|
WWR 10 : คำให้การจากศพในห้องใต้ดิน
คำให้การจากศพในห้องใต้ดิน ภูวดี ตู้จินดา : เขียน สำนักพิมพ์แจ่มใส 241 หน้า 149 บาท
ฉันมีเรื่องราวบางอย่างที่อยากจะเล่าให้คุณฟัง เรื่องราวที่แสนโหดร้าย เศร้าโศก ไร้สิ้นความหวัง เรื่องราวของความไม่ถูกต้อง อยุติธรรม จนไม่น่าเชื่อว่าเกิดขึ้นอยู่ในสังคมเดียวกับสังคมที่คุณใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ แต่เชื่อและยอมรับเถอะว่ามันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้าหากคุณพร้อมจะฟังเรื่องราวจากฉันแล้ว ตามมาในที่ที่อยู่ สถานที่ซึ่งร่างกายของฉันถูกเหล่าฒาตกรช่วยกันฝังอยู่มานานเกือบหนึ่งปีแล้ว !!! เรื่องราวการฆาตกรรมอันแสนโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน กำลังจะเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งราวกับเงาสะท้อนในกระจก โดยที่ฉันได้แต่เฝ้ามองผ่านสายตาจากร่างไร้วิญญานของตัวเอง !!!
ในคืนที่หนาวยะเยือกคืนหนึ่ง พ่อของนาโอมิพาเธอมาส่งที่บ้านหลังนี้..บ้านของป้าซาวิน่า นาโอมิเป็นเด็กสาวลูกครึ่งระหว่างผิวขาวกับผิวดำ -- ชนชั้นที่ถูกเหยียดหยาม ในหน้ารูปไข่ล้อมกรอบไปด้วยผมสีน้ำตาลหยิกเป็นลอนยาวเหยียดถึงกลางหลัง จมูกโด่ง ขนตาหนา ริมฝีปากเต็มและผิวสีกาแฟ แม่ของเธอทิ้งไปกับผู้ชายคนใหม่ และ ต่อจากนี้ไปพ่อของเธอก็จะทิ้งเธอไปกับผู้หญิงใหม่เช่นกัน ชีวิตของเธอจึงต้องมารับชะตาอันน่าเวทนาที่นี่....บ้านเก่าแก่แสนทรุดโทรมของครอบครัวกรีน
ครอบครัวกรีนประกอบด้วยป้าซาวิน่า ป้าของฉัน ปีเตอร์กรีนสามีคนล่าสุดของป้าซาวิน่า ฟลอร์แจนและเอสเบต้า ... ลูกจากสามีคนแรก มาเร็คและเซนอน ... ลูกจากสามีคนที่สอง จัสติน่าและดาวี่ ... ลูกจากสามีคนล่าสุด รวมทั้งแครี่ เด็กสาวขาพิการลูกของบ็อบผู้มีศักดิ์เป็นพี่เขยของปีเตอร์ นอกจากนี้ยังมีเจสัน แฟนหนุ่มของฟลอร์แจนที่แวะมาเป็นครั้งคราว
ชีวิตในบ้าน ท่ามกลางครอบครัวกรีนเป็นชีวิตที่น่าอึดอัด เพราะต้องคอยรองรับอารมณ์และความโหดร้าย ไม่เพียงแค่นั้น นาโอมิยังต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวที่โรงเรียนด้วย เนื่องจากขาโจ๋ประจำโรงเรียนอย่างเบรนด้าและพรรคพวก แต่ในความโหดร้ายก็ยังแฝงไว้ด้วยโชคดี เมื่อจูนเด็กสาวชาวไทย ก้าวเข้ามาปกป้องเธอจากเหล่าวายร้ายและได้กลายเป็นเพื่อนรักที่เธอไว้ใจที่สุด
ในวันที่เธอถูกกลุ่มเบรนด้าจับขังไว้ที่ห้องน้ำในโรงเรียนและภารโรงได้ช่วยปล่อยเธอออกมา ทำให้เธอกลับไปไม่ทันอาหารมื้อค่ำแต่นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ จากแครี่เด็กสาวร่วมบ้าน ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คอยช่วยเหลือเธอ
"แอบเก็บไว้ให้ ถ้าหิวก็กินซะนะ" ถึงมิตรภาพจะให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายไม่ได้แต่ความอบอุ่นใจก็คงช่วยได้ไม่น้อย.... คืนนั้นเธอหลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม
แต่เธอก็ยิ้มได้ไม่นานหรอก เพราะในวันที่ 3 ของเดือนใหม่ พ่อของเธอไม่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูมาตามสัญญา ทำให้ป้าซาวิน่าเริ่มหงุดหงิดและหัวเสียห้ามให้เธอแตะต้องอาหาร เธอต้องออกจากบ้านไปโรงเรียนด้วยท้องที่ว่างเปล่า หิวจับใจ เธอตัดสินใจของานพิเศษทำที่ร้านอาหารไทยของมาลี แม่ของจูน
ตกเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน ทันทีที่ประตูเปิดเธอก็ได้รับการต้อนรับด้วยมรสุมฝ่ามือ ป้าซาวิน่าถูกสามีทำร้ายและก็มาระบายอารมณ์ลงที่เธอ โทษฐานที่พ่อของเธอไม่ยอมส่งเงินมาให้นั่นแหล่ะ ทำให้คืนนั้นนาโอมิต้องลงไปนอนอยู่ที่ห้องใต้ดินเป็นครั้งแรกจากฝีมือของสองแม่ลูก ป้าซาวิน่าและฟลอร์แจน
จนกระทั่งวันที่เงินของพ่อเธอมาถึงมือป้าซาวิน่านั่นแหล่ะ เธอถึงได้มีสิทธิออกมาจากห้องใต้ดิน เย็นวันนั้นอาหารค่ำสุดพิเศษจากเงินที่พ่อของนาโอมิส่งมาให้ บันดาลให้บรรยากาศในบ้านหลังเก่าซ่อมซ่อหลังนี้ดูดีขึ้น อบอุ่นมากขึ้น
"ไม่ว่าใครก็แสวงหาความอบอุ่นด้วยกันทั้งนั้น ถึงมันจะเป็นเพียงความอบอุ่นจอมปลอม เหมือนกับแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟก็ตาม"
แต่มันก็ยังขึ้นชื่อว่าความสุข ระหว่างนั้นกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของ จูนและครูซิมป์สัน ที่เป็นห่วงหลังจากที่นาโอมิหยุดเรียนไป ในการพบกันครั้งนั้นทำให้จูนได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาดจากครอบครัวกรีน แต่เธอก็ยังไม่รู้หรอกว่ามันแปลกประหลาดอย่างไร
วันต่อมานาโอมิได้เริ่มงานที่ร้านของแม่จูน ค่าจ้างที่ได้มาไม่น้อยเลยทีเดียว เธอแบ่งเงินไว้ 2 ส่วน คือติดตัวกลับบ้าน ครึ่งหนึ่งสำหรับเธอและอีกครึ่งหนึ่งสำหรับแครี่ ส่วนอีกส่วนเธอฝากไว้ที่จูน ให้จูนเก็บไว้และรักษามันเป็นความลับ
"ฉันมีเรื่องอยากขอให้เธอช่วย" "ได้สิ อะไรล่ะ" "เธอช่วยเก็บให้ฉันหน่อยได้ไหม" "ทำไมล่ะ" "ฉันจะตั้งใจทำงานหาเงิน จะเก็บเงินจำนวนนี้เอาไว้เริ่มต้นชีวิตใหม่" "แล้วทำไมเธอถึงไม่เก็บเอาไว้กับตัวเองล่ะ" "มัน...ไม่ค่อยปลอดภัย" "แล้วอยู่กับฉัน มันจะปลอดภัยเร้อ" "ถ้าฉันเชื่อใจเธอไม่ได้ ในโลกนี้ฉันคงจะเชื่อใจใครไม่ได้อีกแล้ว"
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ นาโอมิมีเงินเก็บพอที่จะซื้อของที่อยากได้ให้ตัวเอง เช้าวันเสาร์เธอจึงมุ่งหน้าเข้าสู่ไฮสตรีท เพื่อเลือกซื้อถุงนอนและหมอนให้กับตัวเอง แต่เจ้ากรรรมชีวิตเธอจะไม่มีความสุขเลยหรือนั่น หลังจากได้สิ่งที่ต้องการแล้วเธอก็ถูกเด็กต่างโรงเรียนที่อยู่กลุ่มเดียวกับเบรนด้า กระชากของมีค่าที่เพิ่งได้มาหนีไป แต่ก็ไม่โชคร้ายไปซะทั้งหมดหรอกนะ เพราะมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ได้ทัน เมษ หนุ่มชาวเอเชีย นัยน์ตาดำสนิท จมูกโด่ง หล่อเหลาเอาการทีเดียว และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความรักระหว่างเธอกับเขา พี่ชายของเพื่อนสนิท
เมษเอาใส่ใจคอยดูและนาโอมิอย่างเต็มที่จนทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และวันหนึ่งเธอก็ได้เห็นหน้าฉันเป็นครั้งแรก จากรูปถ่ายใบสุดท้ายบนลอนดอนอาย ภาพถ่ายวิญญานของฉันที่ซ้อนทับอยู่ด้านหลังของเธอ ทำให้นาโอมิสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก ว่าฉันในรูปนั้นคือใคร ทำไมถึงละม้ายคล้ายหล่อนราวกับแกะ ทั้งรูปร่าง หน้าตา สีผิว และโชคชะตาที่แสนโหดร้าย
แต่แล้วความสุขของนาโอมิต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง วันหนึ่งหลังจากที่เมษมาส่งเธอที่บ้านเหมือนทุกครั้ง วันนั้นไม่มีคนอยู่ที่บ้าน แครี่ ปีเตอร์และเด็กๆเดินทางไปแมนเชสเตอร์ตามคำขอของบ็อบ ป้าซาวิน่า ฟลอร์แจนพาดาวี่ไปหาหมอเพราะเป็นไข้ เหลือแต่เจสัน กากเดนมนุษย์ที่คอยจ้องตะครุบเหยื่อ พรากพรหมจรรย์ของวัยสาวไปจากเธอ
"สิ่งที่เธอสูญเสียไปไม่ใช่เพียงแต่ความบริสุทธิ์ของร่างกายแต่ยังเป็นความไร้เดียงสาแห่งวัยด้วย มันถูกพรากไปแล้วและจะไม่มีวันหวนคืน เพียงเพื่อสนองตัณหาราคะจากเศษมนุษย์คนหนึ่ง"
ร่างสงบของนาโอมิที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ที่เดิม ที่ที่เธอสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ประตูบ้านเปิดออก เจสันสะดุ้งพร้อมกับเสียงของฟลอร์แจนดังเข้ามา
"มันเกิดอะไรขึ้น!!! พวกแกทำอะไรกัน" "โสเภณีอยากได้เงิน ฉันก็เลยสนองสักหน่อย"
สามีนอกใจ ภรรยาโกรธใคร สามีหรือผู้หญิงอีกคน ???? สุดท้ายร่างอันเสมือนซึ่งไร้วิญญานของนาโอมิก็ถูกโยนลงไปห้องใต้ดินอีกครั้งและมันคงเป็นครั้งสุดท้าย ทันทีที่นาโอมิรู้สึกตัวเธอพยายามหาช่องทางหนีออกไปจากที่นี่ แต่ไม่มีที่ไหนเลย ไม่มีทั้งหน้าต่าง ไม่มีทั้งน้ำ ไม่มีทั้งอาหาร สุดท้ายเธอก็ยอมจำนนต่อชะตา เฝ้าคอยความตายที่คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ แต่ระหว่างที่รออยู่นั้นเอง เธอได้พบกับฉัน แองเจล่า เครตั้น - -ศพในห้องใต้ดินในบ้านของครอบครัวกรีน
เนื้อเรื่องต่อจากนี้คงต้องติดตามให้กำลังใจกันต่อใน "คำให้การจากศพในห้องใต้ดิน" อีกผลงานของ Clear Ice เรื่องนี้สำหรับผมยกให้เป็นระดับมาสเตอร์พีซเล่มหนึ่งของนักเขียนผู้นี้ได้เลย
ทีเดียว จากการสัมผัสงานเล่มนี้ ผมรู้สึกถึงความละเมียดละไม เอาใจใส่ในทุกประเด็นที่จับมาปะติดปะต่อ แอบหาช่องว่างช่องโหว่บ้างแต่ก็หาไม่เจอ แต่อยากจะบอกว่าทำไมถึงทำชีวิตเด็กสาวคนนี้ให้รันทนได้ซะหดหู่เหลือเกิน
คำให้การจากศพในห้องใต้ดินเล่มนี้ ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจมาจากสารคดีการเหยียดสีผิว และเรื่องคดีความของซิลเวีย มารี ไลเคนส์เด็กหญิงตัวเล็กๆผู้เคราะห์ร้ายน่าสงสาร ส่วนรายละเอียดของคดีนี้ขออนุญาติพี่ไอซ์ลอกมาจากแรงบันดาลใจท้ายเล่มเลยแล้วกันนะครับ เพราะพี่ไอซ์ได้แปลและสรุปมาแล้ว อิอิ ( ตัวขี้เกียจวิ่งมาเข้าสิง - ฮา )
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1965 ตำรวจเมืองอินเดียน่าโพลิส ได้รับโทรศัพท์จากเด็กชายวัยรุ่นที่ไม่เอ่ยนาม ว่าพวกเขาจะพบศพเด็กผู้หญิงในบ้านซึ่งอยู่ที่ 3850 อีส นิวยอร์ก สตรีท ตำรวจไปที่นั่นและได้พบศพของเด็กสาววัยรุ่นอายุ 16 ปีชื่อซิลเวีย มารี ไลเคนส์ ในห้องเล็กๆห้องหนึ่งในบ้าน มีผู้ใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นเพียงคนเดียวนั่นก็คือ เกอร์ทรูด แบนนิเซฟสกี้ เกอร์ทรูดบอกตำรวจว่าเธอเป็นคนดูแลซิลเวียเพราะว่าพ่อแม่ของเธอออกเดินทางไปนอกเมืองและซิลเวียถูกแก๊งผู้ชายทำร้าย แต่แพทย์ชันสูตรศพกลับพบว่าซิลเวียถูกทุบตีและขาดอาหารมานานหลายสัปดาห์แล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะถูกทำร้ายในเวลาไม่กี่วันนี้ ร่างของเธอเต็มไปด้วยรอยช้ำ บาดแผลเล็กๆ รอยเผาของบุหรี่มากกว่าร้อยแห่ง บางส่วนของผิวถลอกหลุดลอกออกไป มีเลข 3 ขนาดใหญ่ถูกตีตราอยู่บนอกของเธอและที่โหดร้ายที่สุดก็คือ มีประโยคที่ถูกเขียนด้วยเข็มร้อนๆ เป็นรอยอยู่บนหน้าท้องว่า "I'M A PROSTITUTE AND PROUD OF IT!"
ถึงแม้ว่าบาดแผลของซิลเวียจะน่ากลัว แต่ความจริงที่น่าตื่นตะลึงที่สุดก็คือ เธอถูกทารุณกรรมมานานโดยคนในบ้านและเด็กๆแถบนั้น ซึ่งได้รับเชิญมาร่วมวงลงโทษซิลเวีย เพื่อนบ้านของเกอร์ทรูดเคยได้ยินเสียงแปลกๆและคนที่เคยมาบ้านหลังนี้ก็เคยเห็นซิลเวีย ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกทำร้ายมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างจริงจัง จนในที่สุด เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็ถูกทรมานจนตาย
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1965 เมื่อเลสเตอร์กับเบ็ตตี้ ไลเคนส์ ได้ขอให้เกอร์ทรูดดูแลลูกสาววัยรุ่นสองคนของพวกเขา ขณะที่ทั้งสองจะออกเดินทางไปกับคณะคานิวัล โดยจะให้เงินค่าเลี้ยงดู 20 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ เกอร์ทรูดตกลงรับซิลเวียอายุ 16 ปีและเจนนี่อายุ 15 ปีเข้ามาดูแลในบ้านซึ่งอยู่ที่ 3850 อีส นิวยอร์ก สตรีท ในบ้านนั้นมีเกอร์ทรูดและเด็กๆอีกเจ็ดคน คนที่อายุมากที่สุดคือพอลล่าซึ่งอายุ 17 ปี ยังไม่ได้แต่งงานและกำลังท้องอยู่ ส่วนคนที่อายุน้อยที่สุดยังเป็นทารกอยู่ นอกจากนั้นบ้านหลังนี้ยังเป็นที่ซ่องสุมของเด็กๆในย่านนั้นด้วย ไม่มีข้อมูลว่าทำไมเกอร์ทรูดถึงได้เกลียดซิลเวียหนักหนา อาจเป็นเพราะซิลเวียเป็นเด็กที่กล้าพูด กล้าเถียง ส่วนเจนนี่นั้นตัวเล็ก อ่อนแอเพราะเคยเป็นโปลิโอมาก่อน และไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าทำไมซิลเวียถึงได้กลายเป็นเป้าหมายของการถูกกลั่นแกล้งรังแก ระหว่างฤดูร้อนนั้นการลงโทษเริ่มต้นด้วยการที่ซิลเวียถูกเฆี่ยนขณะเปลือยร่างเหยียดตัวบนที่นอน ซิลเวียถูกทุบตีด้วยเหตุผลที่ว่าเธอกินอาหารที่โบสถ์มากเกินไปและถูกเตะซ้ำๆที่อวัยวะเพศ หลังจากที่ยอมรับว่าเธอมีแฟนอยู่ในแคลิฟอร์เนีย
เด็กๆแถบนั้นเริ่มมาที่บ้านของเกอร์ทรูดเพื่อร่วมวงทารุณซิลเวีย ใช้เธอเป็นเป้าซ้อมยูโด เตะ และต่อยเธอบางคนเอาบุหรี่จี้บนผิวของเธอ ซิลเวียถูกบังคับให้เปลื้องผ้าในห้องนั่งเล่น สอดขวดโค้กเปล่าเข้าไปในช่องคลอด ขณะที่เกอร์ทรูดและเด็กๆคนอื่นล้อมวงดู หลังจากถูกทุบตี ซิลเวียมักถูกยังคับให้อาบน้ำร้อนจัดเพื่อชำระบาป ช่วงหลังซิลเวียไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในบ้านอีกต่อไป เธอถูกโยนลงไปในห้องเก็บของใต้ดิน และถูกขังอยู่ในนั้นโดยได้รับแครกเกอร์เป็นอาหาร วันหนึ่งเกอร์ทรูดประกาศกับลูกๆของเธอและเด็กๆที่มาชุมนุมที่บ้านว่าซิลเวียเป็นโสเภณี และภูมิใจที่เป็นอย่างนั้นก็เลยจะสลักมันไว้บนหน้าท้องของเธอ ด้วยการใช้เข็มขนาดใหญ่มาเผาไฟ และสลักประโยค " I'M A PROSTITUTE AND PROUD OF IT! "
เมื่อเกอร์ทรูดรู้ว่าซิลเวียกำลังจะตาย เกอร์ทรูดบังคับให้ซิลเวียเขียนจดหมายว่าแก๊งผู้ชายทำร้ายเธอ แผนการของเกอร์ทรูดก็คือจะผูกตาซิลเวียและเอาเธอไปทิ้งไว้ในป่าพร้อมกับจดหมายฉบับนั้น ซิลเวียพยายามหนีแต่เกอร์ทรูดกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งจับเธอเอาไว้ได้ทุบตีเธอและโยนเธอกลับลงไปในห้องใต้ดิน ซิลเวียเสียชีวิตในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1965 สาเหตุของการเสียชีวิตก็คือสมองบวม เลือดออกในสมอง ช็อคจากอาการบาดเจ็บและขาดอาหาร
เกอร์ทรูดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องถูกดำเนินคดีอีกหนึ่งปีต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1966 เกอร์ทรูดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อ้างว่าพวกเด็กๆเป็นคนทำ เธอให้คำแก้ต่างว่าไม่ผิดด้วยเหตุผลอาการทางจิต วันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1966 ลูกขุนตัดสินว่าเกอร์ทรูดผิดจริงด้วยข้อหาฆ่าคนโดยเจตนา พอลล่า...ลูกสาวคนโตมีความผิดข้อหาฆ่าคนตายโดยวางแผนไว้ล่วงหน้า และเด็กผู้ชายอีกหลายคนที่ร่วมทุบตีซิลเวียและสลักข้อความลงบนหน้าท้องของเธอผิดด้วยข้อหาฆ่าคนโดยไม่เจตนา
เกอร์ทรูดกับพอลล่าถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต พวกเด็กผู้ชายถูกปล่อยตัวโดยภาคทัณฑ์เอาไว้ในปี ค.ศ. 1968 หลังจากถูกจำคุก 2 ปี ในปี ค.ศ. 1971 ศาลของอินเดียน่าโพลิสอนุญาตให้มีการพิจารณาคดีของเกอร์ทรูดกับพอลล่าเสียใหม่ เกอร์ทรูดถูกตัดสินด้วยข้อหาเดิมอีกครั้ง ส่วนพอลล่าให้การยอมรับว่าผิดจริงในข้อหาที่ร้ายแรงน้อยกว่า นั่นก็คือ ฆ่าคนโดยไม่เจตนา พอลล่าชดใช้ความผิดในคุกอีก 2 ปี เดือนกันยายน ค.ศ. 1985 เกอร์ทรูดได้รับการปล่อยตัวโดยภาคทัณฑ์เอาไว้ เธอเปลี่ยนชื่อเป็น นาดีน แวน ฟอสแซนและย้ายไปอยู่เมืองไอโอว่า เกอร์ทรูดตายด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1990
ปล ในหนังสือมีจุดที่พิมพ์ผิดอยู่นะครับ หน้า 86 "ฉันจำไม่ได้ว่าเลยพูดหรือเปล่า" น่าจะเป็น "ฉันจำไม่ได้ว่าเคยพูดหรือเปล่า" อีกจุดหนึ่งย้อนกลับไปหาแล้วหาไม่เจอ (ขี้เกียจตั้งต้นอ่านใหม่ด้วยหน่ะครับ) แต่จำได้ว่าพิมพ์สลับที่กันอยู่ ประมาณหน้าแรกๆน่ะครับ (คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะหน้า 30 เป็นต้นมาก่อนหน้า 86 ครับ)
Create Date : 29 พฤศจิกายน 2552 |
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2553 0:56:19 น. |
|
8 comments
|
Counter : 774 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: Emotion-P วันที่: 29 พฤศจิกายน 2552 เวลา:0:50:28 น. |
|
|
|
โดย: แพนด้ามหาภัย IP: 124.127.123.114 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:04:12 น. |
|
|
|
โดย: ThaMN วันที่: 29 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:24:41 น. |
|
|
|
โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 29 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:13:07 น. |
|
|
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 29 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:28:07 น. |
|
|
|
โดย: Clear Ice วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:42:05 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
สงขลา Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
สวัสดีเพื่อนใหม่ทุกคนนะครับ ผมเป็นมือใหม่หัดเล่น จริงๆรู้จักมานานแล่ะ แต่ไม่ได้เล่น หลังจากแวะเวียนไปมาหาสู่บล็อกคนอื่นๆมานานชักอยากจะมีเป็นของตัวเอง ก็เลยจัดการสร้างซะเลย
ผมชอบอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลงมีความสุขดีครับ สำหรับคอเดียวกันทำความรู้จักกันได้นะครับ ยินดีอย่างยิ่งเลย
|
|
|
|
|
|
|
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมบางคนถึงมีจิตใจที่โหดร้ายนักนะ น่ากลัวจริงๆ
อยากหามาอ่านค่ะ แต่ออกมาหลายปีแล้ว สงสัยจะหายากหน่อย ร้านมือสองที่ไหนจะมีมั่งน้า