ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด
<<
สิงหาคม 2556
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
28 สิงหาคม 2556

หุ้นพินาศ!ดัชนีหลุด1,300 จุด หวั่นสงครามซีเรียปะทุ โบรกฯหั่นเป้าเหลือ1,420 จุด

 ดัชนีหุ้นไทยดิ่งลงแรงต่อเนื่อง หลังนักลงทุนกังวลสงครามซีเรียปะทุ ผสมโรงข่าวเก่า ทั้งเฟดลด QE-เศรษฐกิจไทยซบ ทุบ SET INDEX หลุด 1,300 จุดแล้ว แถมมีแนวโน้มอ่อนตัวลงได้อีก เหตุยังไม่เห็นสัญญาณต่างชาติหยุดขาย ด้านบล.ทิสโก้ หั่นเป้าดัชนีสิ้นปีนี้ลงอีก 8% จาก 1550 จุด เหลือ 1420 จุด หลังเศรษฐกิจแผ่ว-การบริโภคอ่อนแอ ส่วนบลจ.กรุงศรี ให้กรอบล่างของดัชนีที่ 1,200 จุด ระบุปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือการเมือง-เงินทุนไหลออก โบรกฯแนะชะลอลงทุน ประเมินแนวรับระยะสั้นที่ 1,270 จุด

และแล้วความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยยามขาลงหุ้นเกือบทุกกลุ่มก็ถูกเทขายหนักอีกครั้งจนกระทั่ง SET Index หลุดต่ำกว่า 1,300 จุดเป็นครั้งแรกในรอบปีพร้อมสร้างจุดต่ำสุดใหม่ของปีด้วย เมื่อวานนี้ปิดตลาด 1,293.97 จุด (จุดต่ำสุดของวันทำไว้ที่ 1,290.27 จุด) ลดลง 35.21 จุด หรือ 2.65% มูลค่าการซื้อขาย 37,687.84 ล้านบาท ส่วนปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิบางลงบ้างแล้วมาอยู่ที่ -890.01 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ -1,014.03 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 98.01 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,806.03 ล้านบาทตลท.เผยหุ้นร่วงแรง แต่วอลุ่มน้อย ไม่น่าวิตก

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่าการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในวันนี้เป็นไปตามตลาดในภูมิภาค ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วตลาดหุ้นไทยยังถือว่าลดลงน้อยกว่าประเทศอย่างฟิลิปปินส์ที่ลงไปกว่า 4% โดยเป็นการไหลออกของเงินทุนต่างชาติเพื่อไปลงทุนในทรัพย์สินอื่น หรือไหลกลับเข้าไปที่ประเทศสหรัฐฯ

โดยเชื่อว่าการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสในวันนี้ (28 ส.ค.2556) จะเป็นจังหวะที่ดีที่ทำให้นักลงทุนจากต่างชาติได้มีโอกาสเข้าพูดคุยกับบรรดาบริษัทจดทะเบียนและจะได้ทราบถึงพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทจดทะเบียนไทย ที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง "หุ้นลงเป็นไปตามภูมิภาค แต่ถ้าดูวอลุ่มซื้อขายระดับ 3 หมื่นกว่าล้านฯก็ยังถือว่าไม่น่าวิตกมากนัก เพราะถ้าเกิน 5 หมื่นล้านฯขึ้นไป ถึงจะเป็นจุดที่น่ากังวล เชื่อว่างานไทยแลนด์โฟกัสจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเพราะเป็นโอกาสที่ทำให้นักลงทุนเหล่านั้นรับทราบข้อมูลที่แท้จริงของพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ เรามองว่าหากเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับมาในภูมิภาคอีกครั้ง ตลาดหุ้นไทยจะมีความได้เปรียบที่สุดจากการจัดงานในครั้งนี้" นายชนิตร กล่าว

สงครามซีเรียฉุดบรรยากาศลงทุนอีก รายงานข่าวจากต่างประเทศ ระบุว่า นายจอห์น เคอร์รี่ รมว.ต่างประเทศของสหรัฐมีท่าทีต่อการใช้อาวุธเคมีในการสังหารพลเรือนในซีเรียว่า ถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอภัยได้ และเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ พร้อมกับเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่าจะตอบสนองการกระทำของซีเรียอย่างไร ซึ่งการแสดงความคิดเห็นของนายเคอร์รี่ได้จุดปะทุให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองในตะวันออกกลาง รวมทั้งความหวั่นวิตกเกี่ยวกับการใช้อาวุเคมีในการสังหารประชาชน สำหรับรายงานล่าสุดนายเจย์ คาร์นี่ย์โฆษกประจำทำเนียบขาวกล่าวว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยังไม่ตัดสินใจว่าจะตอบโต้ซีเรียอย่างไรกรณีใช้อาวุธเคมีในเมืองโกตา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,300 ราย แต่ตัดสินใจแล้วว่า จะต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อซีเรียไม่ทางใดทางหนึ่ง 'เราแทบจะไม่มีข้อสงสัยในใจเลยว่า อัสซาดจะต้องรับผิดชอบต่อความตายของเหยื่ออาวุธเคมีหรือไม่ เราได้ประเมินอย่างชัดเจนแล้วว่า ระบอบเผด็จการซีเรียครอบครองอาวุธนิวเคลียร์' นายคาร์นี่ย์กล่าว ขณะที่คณะตรวจสอบอาวุธเคมีขององค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นได้เข้าไปเก็บหลักฐานในพื้นที่ และสอบปากคำผู้รอดชีวิต พยาน และแพทย์ในซีเรีย แต่ขณะที่คณะเดินทางจะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ รถของคณะเดินทางถูกลอบยิง แต่ทางคณะเดินทางได้กลับไปเปลี่ยนยานพาหนะใหม่ และเดินทางเข้าสู่พื้นที่ได้ในที่สุด

แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ยูเอ็นที่ไม่เปืดเผยชื่อรายหนึ่งกล่าวว่า จากพยานหลักฐานเบื้องต้นพบว่า อัสซาดไม่ได้สั่งให้มีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แต่เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่กองทัพที่ฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยเหนือเป็นผู้ทำการโจมตี ทั้งนี้ สหรัฐฯ โดยนายจอห์น เคอร์รี่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประณามการโจมตีดังกล่าว พร้อมประกาศว่าการกระทำดังกล่าวเป็นอาชญกรรมร้ายแรง และสหรัฐฯถือว่า รัฐบาลซีเรียได้ใช้อาวุธเคมีนักวิเคราะห์ชี้ตลาดเกรงสหรัฐจัดการซีเรียแรงเพิ่มปัจจัยลบหุ้น

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีฯ ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ปรับตัวหลุดจากแนวรับที่ 1,300 จุด จากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยต่างประเทศ จากความกังวลของนักลงทุนกรณีที่สหรัฐฯ อาจจะใช้มาตรการบางอย่างเพื่อจัดการกับ ซีเรีย หลังจากที่ซีเรียใช้อาวุธเคมีในการสังหารพลเรือน รวมถึงประเด็นความกังวลเรื่องการยกเลิกมาตรการ QE นอกจากนี้ ปัจจัยในประเทศมีทั้งเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจากวานนี้ หลังทะลุแนวต้านที่สำคัญในทางเทคนิค มาแตะที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ รวมถึงสถานการณ์การเมือง และตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ก.ค.ที่ประกาศออกมาไม่ดีนัก ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมากบล.ทิสโก้ หั่นเป้า SET สิ้นปีนี้ลงอีก 8% จาก 1550 จุด เหลือ 1420 จุด

บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่ยังแย่อยู่ จะยังกดดันความเสี่ยงเศรษฐกิจมหภาคในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า (คิดเป็น 2-4% ของ GDP) แต่หากมองไปในระยะถัดไปอีกราว 1-2 ไตรมาส เราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวเกิดขึ้นจาก (1) PMI แบบถ่วงหน้ำหนักตามประเทศอุตสาหกรรมหลักที่เป็นแหล่งส่งออกหลักของไทยเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งปกติจะเป็นตัวชี้นำทิศทางการส่งออกไทยในระยะ 5-6 เดือนถัดไป (2) แนวโน้มการฟื้นตัวของราคายาง ซึ่งราคายางร่วงลงอย่างมาก 60% นับตั้งแต่ปี 54 ซึ่งมีผลต่อ GDP ราว 1.5% (3) ความจำเป็นที่จะต้องเร่งส่งออกข้าวในสต็อก 17 ล้านตัน เพื่อไม่ให้เกิดผลขาดทุนมากขึ้นไปกว่านี้ โดยมีมูลค่ามหาศาลที่ราว 3.4% ของ GDP ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเกือบทั้งหมด โดยคาดว่าแนวโน้มการบริโภคยังคงอ่อนแอในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า น่าจะขยายตัวลดลงจาก 2.4% ใน 2Q56 เป็น 2.2% และ 2.3% ใน 3Q56F และ 4Q56F ตามลำดับ หลัก ๆ มาจากการอ่อนตัวของอุตสาหกรรมค้าปลีก และผลกระทบจากฐานสูงของยอดขายรถยนต์ในปีก่อนที่มีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของรถยนต์คันแรก, การปรับลดราคาจำนำข้าวลง, การลดลงของมูลค่าตลาดรวมของ SET ที่ราว 2.4 ล้านล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 56 (คิดเป็น 15% ของ GDP) ซึ่งมีผลต่อความมั่งคงของประชาชน และการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือน หลังการขยายตัวของสินเชื่อโตมากกว่าแนวโน้มศักยภาพการเติบโตในระยะยาวตามปกติตลอดช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา

ตามที่ได้เคยปรับลดเป้า SET สิ้นปี 56 เมื่อกลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่จากการประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันใหม่ อาจยังไม่มากพอ ส่งผลให้เรามีการลดเป้า SET สิ้นปีนี้ลงอีก 8% จาก 1550 จุด เป็น 1420 จุด (คิดเป็น PER 12.3 เท่าปี 57F) ส่งผลให้มี upside เพียงประมาณ 6% จากระดับ SET ในปัจจุบัน ท่ามกลางความผันผวนของกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจากความกังวลการชะลอมาตรการ QE ของ FED เรามอง SET ที่ 1300 จุดอาจเป็นระดับความเสี่ยงขาลงในระยะสั้น (downside risk) ซึ่งอิงมาจากค่า PER เฉลี่ยระยะยาวในอดีตที่ 11.3 เท่าบลจ.กรุงศรี หั่นเป้าดัชนีปีนี้เหลือ 1,200-1,650 จุด นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯ ได้มีการปรับลดเป้าดัชนีฯ มาอยู่ที่ 1200-1650 จุด จากเดิมอยู่ที่ 1350-1850 จุด โดยในปีนี้ตลาดหุ้นจะอยู่ในช่วงการปรับฐานเข้ามาใกล้กับปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น เนื่องจากจะมีเงินทุนไหลออกจากตลาดบ้านเราจำนวนมาก ทั้งนี้ในช่วง 1-2 เดือนนี้ จะเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงอย่างมากสำหรับดัชนีหุ้นไทย โดยดัชนีฯ มีโอกาสลงมาทดสอบในระดับที่ต่ำกว่า 1300 จุด

ปัจจัยสำคัญที่กดดันสำคัญ คือปัจจัยการเมือง โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านลบ.ของภาครัฐว่าจะสามารถผ่านกฎหมายได้หรือไม่ รวมถึงปัจจัยจากสหรัฐฯ ในเรื่องของตัวเลขอัตราการว่างงาน รวมถึงการตัดสินใจเพิ่มเพดานหนี้หรือไม่ รวมถึงการฟื้นตัวของประเทศในสหภาพยุโรป ที่เริ่มมีการฟื้นตัวที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ณ ดัชนีฯ ที่ 1300-1350 จุด ถือเป็นค่าเฉลี่ยที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนที่จะเป็นการเทรดในค่า P/E ที่ต่ำและถือว่ามีส่วนลดพอสมควรสำหรับตลาดหุ้นไทย ดังนั้นจึงเชื่อว่าแรงขายหุ้นจะเบาบางลงถือเป็นจังหวะเลือกลงทุนยาว

กลยุทธ์ในการลงทุนช่วงนี้ บลจ.กรุงศรี แนะนำให้ลงทุนในระยะยาว โดยเน้นในกลุ่มสื่อสาร รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว รวมถึงยังเห็นทิศทางการขยายตัวที่สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจอีกด้วย คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ในปีนี้จะเติบโตที่ 15% แม้ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาหลายบริษัทฯ ได้มีการปรับลดเป้ากำไรลง เนื่องจากภาคการบริโภคและกำลังซื้อในประเทศที่ลดลงในช่วงต้นปี แต่เชื่อว่ากำไรของบจ.ในครึ่งปีหลัง จะสามารถเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะภาคการส่งออก ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง โดยทั้งปีคาดว่าการส่งออกของไทยจะเติบโตประมาณ 2% ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคการส่งออกสามารถแข่งขันได้ดีมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมของกำไรของบจ. รวมถึงตัวเลขจีดีพี เนื่องจากกว่า 70% ของบจ. และจีดีพีเป็นภาคธุรกิจส่งออก

" ครึ่งปีหลังทิศทางการส่งออกถือว่ายังไม่สดใสมาก แต่ก็ถือว่ามีหวังและเริ่มเห็นทิศทางที่ยังเป็นบวก โดย ณ สิ้นปีเงินบาทมีโอกาสที่จะแตะที่ 32 บาท ซึ่งตรงนี้จะช่วยการส่งออกได้มาก เพราะจะสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ"นายประภาส กล่าว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 12% ต่อปี แต่ในส่วนของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) จะเติบโตอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งมีผลมาจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีนโยบายในการจ่ายปันผลเป็นหุ้นหรือ Stock Dividend เป็นจำนวนมาก โดยคาดว่าในสิ้นปีนี้กำไรสุทธิต่อหุ้นโดยเฉลี่ยของ SET จะอยู่ที่ 106 บาทต่อหุ้น และปีหน้าจะอยู่ที่ 120 บาทต่อหุ้น ส่วนใน 2558 จะอยู่ที่ 133 บาทต่อหุ้นหลุด 1,300 จุดแล้ว เจอกันที่แนวรับถัดไป 1,270 จุด บล. ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศกดดันจากความวิตกต่อภาวะเศรษฐกิจของไทยต่อเนื่อง หลังล่าสุดตัวเลขการส่งออกเดือน ก.ค.ยังออกมาแย่กว่าที่คาดมาก ดังนั้น จึงคาดว่า SET จะยังรีบาวด์กลับขึ้นไม่ไหวและมีสิทธิที่จะปรับพักตัวลงต่อได้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากตลาดปรับตัวลงมาค่อนข้างเร็ว และลึกพอควร ทำให้คาดว่ากรอบการลงจะเริ่มจำกัดมากขึ้นโดยคาดจุดต่ำของตลาดจะอยู่ในกรอบ 1,270-1,300 จุด


เรียบเรียง โดย นายศักดิ์ชาย งอกงาม
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 28/08/13 เวลา 8:16:10


Create Date : 28 สิงหาคม 2556
Last Update : 28 สิงหาคม 2556 11:00:43 น. 0 comments
Counter : 745 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

tukdee
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add tukdee's blog to your web]