Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 
14 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 

บันทึกการเทรดวันที่15มิ.ย.ต้องทบทวนอย่างจริงจัง

วันนี้ตั้งใจลองใช้แผนเดิมดูก่อน คือ15นาทีเป็นหลัก และ2นาทีประกอบการเข้าออก
   เช้าเปิดมาโดดไป22จุด อะไรจะขนาดนั้น ไม่เห็นใจคนถือช้อตมาหรือไง  แล้วเด้งต่ออีก8จุดภายในสิบกว่านาที จากนั้นก็ไปวิ่งมนกรอบแคบ958-972 มีเด้งบ้างนิดหน่อย ในtf15นาทีเป็นแท่งเขียวบ้างแดงบ้างเกาะอยู่แถวๆเส้น100วันตลอดจนปิดเที่ยงที่960 ทำไรไม่ได้เลย
   บ่ายเปิดโดดขึ้นนิดหน่อยแล้วขึ้นลงในกรอบกว้าง959-966 ในtf15นาทีเริ่มเบรคเส้น100วันขึ้น ตอนแรกกะว่าจะเข้าเมื่อราคาทะลุเส้น100วันขึ้นไป แต่ขอรอดูเพื่อความแน่ใจซักหน่อยเพราะตามมาด้วยแท่งแดงและโดจิ บ่ายสามครึ่งแสดงอาการขึ้นอย่างชัดเจน แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมอะไรเกิดขึ้น บอกให้ก็ได้ครับ ไอแพทที่ใช้streemingแฮ้งอีกละ คราวนี้กู้ยากกว่าเดิม เลยต้องเปลี่ยนไปใช้วันคลิกในแลปทอป ผลเสียก็คือไม่มีกระดานหุ้น(single stock)ให้ดู ทำให้ไม่รู้ความเคลื่อนไหวของหุ้นตัวนำตลาดว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ไปทางไหน เลยเกิดความไม่แน่ใจว่าไอ้ที่ขึ้นมาน่ะจะหักมุมท้ายตลาดหรือเปล่า เลยคิดว่าวันนี้ปล่อยไปก่อนดีกว่า จนปิดตลาดที่976.4โดยที่เราไม่ได้ทำไรเลย วันหยุดนี้คงต้องเอาไอแพทไปเช็คหน่อยแล้ว เครื่องมือทำมาหากินเป็นแบบนี้ก็ลำบากอยู่นิ ท่านผู้ชม



 วันนี้เรามีความรู้สึกว่า ความเคลื่อนไหวขึ้นลงของกราฟ2นาทีค่อนข้างมีอิทธิพลในการตัดสินใจเหมือนกัน คือทำให้อารมณ์ในการเทรดแปรผันไปตามการเคลื่อนไหวนั้น ยิ่งสวิงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดความไม่มั่นใจในเทรนของtf15นาทีมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นวันหยุดนี้ตั้งใจจะทำอยู่สองอย่าง คือเอาไอแพทไปเช็ค กับทบทวนกราฟที่ใช้ในการเทรดอีกครั้ง เอาแบบที่เห็นแล้วมั่นใจ อาจจะกลับไปดูกราฟHAตามที่คุณโจนแนะนำอีกครั้งก็ได้ แล้วค่อยมาดูกันครับ
   เพื่อนๆหลายๆท่านคงได้ประโยชน์จากตลาดวันนี้บ้างนะครับ
   วันศุกร์อีกแล้วครับท่าน สุขสันต์วันหยุดครับ แล้ววันอาทิตย์มาดูกันอีกทีว่าเปิดมาวันจันทร์จะเป็นไงSmileySmiley




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2556
3 comments
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 19:50:37 น.
Counter : 1360 Pageviews.

 

//www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=mlXz_Q-nFZA

โฆษณาเนเจอร์กิฟ ตำนานศักดิ์สิทธิ์ (คลิปโฆษณาขำๆครับ)

"คุณเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวคุณได้...­มุ่งมั่น ทำทุกวัน"

 

โดย: win88 IP: 223.206.194.123 15 มิถุนายน 2556 5:10:19 น.  

 

เพราะการทำความดี โดยไม่คิดอะไร บางครั้ง มันอาจยิ่งใหญ่ ตราตรึงใจใครบางคน



เพราะการทำความดี โดยไม่คิดอะไร
บางครั้ง มันอาจยิ่งใหญ่ ตราตรึงใจใครบางคน

ลองอ่านเรื่องราวด้านล่างนี้ดูนะคะ
NangFahเชื่อว่า มันมีคุณค่า มากพอที่เราจะร่วมกันแบ่งปัน
.........................................................

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่
ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อ
เพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้น
คว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า
'ผมขโมยเองครับ'
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉัน
อย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก
พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้
และด่าว่าน้องชายของฉัน
' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้
ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชาย
ตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ
ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้น
เขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไป
พร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
ขณะฉันกำลังหลับ

' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้าง
มาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม
ที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า
'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วย
ฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...
ฉันถามเขาว่า
'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่าง
ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ .
เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า
'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน
ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและ
ร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป
ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้าน
กับซ่อมกระจกเพียงเพราะหนู
จะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า
' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจ
เมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด
'เจ็บมากไหม' ฉันถาม
'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ
วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ...'
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้
พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้
เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...
เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉัน
เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันได
ขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้
ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....
ฉันบอกกับน้องว่า
'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'
'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 'พี่สาวของผมครับ' .....
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......
นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ'
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......
'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด
คือน้องชายของฉันค่ะ'
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวัน
ในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคน
เป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมาก
อย่างคาดไม่ถึง.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีต
ำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนได
และในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ
ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

'ซัมซุง'

ประธานอี บย็อง-ช็อล
เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุงบริษัทยักษ์ใหญ่
ในประเทศเกาหลีใต้ อี บย็อง-ช็อล
เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2453
ในจังหวัดอึย-เรียง มนฑลคยองซังนัมอี
ได้ก่อตั้งบริษัทการค้าซัมซุงขึ้นในปี พ.ศ. 2481
ในเมืองแทกู หลังจากนั้นก็ได้ก่อตั้งบรัษัทซัมซุงโปรดักส์
บริษัทสิ่งทอ และ บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า
ตลอดระยะเวลาที่เค้าได้ทำคุณประโยชน์
นานับประการให้กับประเทศเกาหลีใต้
เขาจึงกลายเป็นต้นแบบทีมีอิทธิพลอย่างยิ่ง
ต่อแวดวงธุรกิจในยุคสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2504
เขาได้รับการเสนอชื่อและได้รับเลือกเป็น
นายกสมาคมนักธุรกิจ นี้เป็นเรื่องราวคร่าวๆ
ของผู้เคยเป็นคนบริหารSamsung


วันนี้หยุดงานเลยว่างเอาเรื่องดีๆมาให้อ่านกัน%%%%

 

โดย: win88 IP: 223.206.194.123 15 มิถุนายน 2556 5:26:55 น.  

 

ขอบคุณครับ

 

โดย: phajongs 15 มิถุนายน 2556 18:27:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


phajongs
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




รับราชการมาจนจะเกษียณ เลยหาอะไรไว้ทำที่ได้ตังด้วย พรรคพวกไปทำสวนบ้าง เป็นที่ปรึกษาบริษัทบ้าง เราไม่เอาดีกว่าไม่อยากเหนื่อยหรือเป็นขี้ข้าใครอีก เคยเล่นหุ้นก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งบางตัวขายทัน ที่ขายไม่ทันจากห้าหมื่นเหลือบาทเดียวหุ้นเดียว เร็วๆนี้มีคนมาเทคโอเวอร์แบงก์ที่ถืออยู่เขาขอซื้อเจ็ดบาทห้าสิบเลยขายไป เว้นไปเป็นสิบๆปีกลับมาปัดฝุ่นอีกที เริ่มที่หุ้นเมื่อเดือนก.ค.ที่แล้ว ได้เรื่องเลยมันเริ่มลงอีกแล้วเลยขายล้างพอร์ตขาดทุนไปซัก7% หันมาศึกษาtfexจะได้ไม่ต้องวอรี่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง ขอแรงๆหน่อยละกัน คิดว่าเป็นคำตอบสุดท้ายแล้วสำหรับกิจกรรมหลังเกษียณ
Flag Counter
Friends' blogs
[Add phajongs's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.