สมุดบันทึกผู้หญิงชอบเที่ยว "ภัทรานิตย์" -- www.atourthai.com --

"เที่ยวเมืองไทยด้วยหัวใจ แล้วคุณจะรักเมืองไทยอย่างยั่งยืน"


 
เมษายน 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
7 เมษายน 2550
 

BKK - LOEI :: ระทึกขวัญบนภูกระดึง

ช่วงนี้ไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน ว่างๆ ก็เลยค้นไฟล์ข้อมูลเก่าๆ ก็เจอข้อมูลที่ครั้งหนึ่งเขียนถึงภูกระดึงไว้ เมื่อตอนไปเที่ยวภูกระดึงปี 2543 ก็เจ็ดปีมาแล้วล่ะ มาฟังเรื่องเล่าของฉันกับเหตุการณ์ระทึกขวัญบนภูกระดึงกันดีกว่า

กาลครั้งหนึ่ง...ที่ภูกระดึง

ยิ่งสูง ยิ่งหนาว ... เมื่อเอ่ยถึงประโยคนี้ หลาย ๆ คนคงนึกถึงอะไรกันไป ต่าง ๆ นานา ตามความหมายของประโยคแต่สำหรับฉันฉันนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,288 เมตร หลายๆ คนที่ได้ไปคงจะได้สัมผัสและรู้สึกไม่ต่างกันฉันเท่าไรนัก เพราะ ณ ที่นี่อธิบายความหมายของประโยคนี้ได้เป็นอย่างดี ฉันยังจำความรู้สึกที่ฉันได้ยืนอยู่ที่นั่น ณ วันที่ 31 ธันวาคม พศ. 2543 หรือจะเรียกตามประเพณีสากล ก็วันนับถอยหลังเพื่อเริ่มต้นปี 2000 ได้เป็นอย่างดี มันทำให้ฉันรู้สึกว่า การจะทำอะไรต้องใช้ความพยายาม ความมานะ และความตั้งใจ อย่างมาก ทำให้ฉันนึกถึงคนที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คนและเข้าใจได้ทันทีเลยว่า เค้าคงรู้สึกเช่นไร แต่พวกเค้าต่างกันฉันที่เป้าหมายเท่านั้นเอง พวกเขาต้องผ่านอุปสรรคหลากหลายรูปแบบ กว่าจะมายืน ณ จุดแห่งความสำเร็จ แต่สำหรับฉันมาที่นี่ด้วยคำเพียงคำเดียวคือ “ครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าคือผู้พิชิต ภูกระดึง”

พวกเราเริ่มต้นการเดินทางเพื่อพิชิตภูกระดึงเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2543 การเดินทางก็เป็นไปอย่างสะดวกสบาย แต่ต่างก็หารู้ไม่เลยว่าข้างหน้าจะเป็นเช่นไร การเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังผานกเค้าใช้เวลาเพียงข้ามคืน พวกเราก็มายืนยังจุดเริ่มต้นในการพิชิตภูครั้งนี้ คือผานกเค้า หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อยแล้วเราเริ่มเดินทางกันต่อไป โดยนั่งรถสองแถวมายังอุทยานแห่งชาติภูกระดึงตำบลศรีฐาน ค่ารถก็ราว 20 บาทต่อคนหลังจากลงจากรถสองแถวหัวใจก็พองโต อืม ช่างเป็นที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์จังมันต่างกับเมืองกรุงอย่างสิ้นเชิง หลายคนที่เคยไปคงจะจำบรรยากาศกันได้ดี แต่หยุดไว้ก่อน ตามฉันมาที่จุดติดต่อเรื่องที่พักสัมภาระดีกว่า ที่นี่มีบริการเต็นท์ และลูกหาบ ตามประสาคนรักความสบายอย่างพวกเรา แน่นอนฉันคงไม่แบบสัมภาระอันหนักอึ้งนี้ขึ้นไปเป็นแน่ เพราะถ้าใครมาเยือนจะรู้ดีว่าก่อนจะมานั้น มีคำขู่ต่าง ๆ นานา ด้วยความที่เป็นเด็กดีซะด้วยสิ เราต้องเชื่อฟังคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเรา แต่กระนั้นก็เถอะ ยังมีคนประเภทสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ขอลองดูสักหน่อย ค่าบริการลูกหาบก็กิโลละ 10 บาท จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า ตามธรรมชาติก็คนรักการถ่ายภาพอย่างพวกเรา ยังไม่ทันจะขึ้นกันเลยก็ขอเก็บภาพแห่งความประทับใจกับนานา สารพันป้าย ขนาดบ้ากล้องกันขนาดนี้ยังตกไป 1 ป้ายเลย (หลังจากมาขอดูของคนอื่น แต่ดีนะป้ายที่ตกไปเป็นป้ายที่อยู่ก่อนทางขึ้น ) กลับมาทางนี้ปล่อยให้คนบ้ากล้องเค้าถ่ายกันไป เรามาเดินทางกันต่อดีกว่า




จากจุดเริ่มต้นถึง ปางกกค่าเป็นระยะทาง 800 เมตร พวกเราก็ยังคงเดินทางกันอย่างสบายใจ และแล้วอุปสรรคขั้นแรกก็เริ่มมาแล้ว ก่อนที่จะเข้าสู่ซำแฮก ทางขึ้นสมชื่อเค้าเลยล่ะ เพราะชันมากจนทำให้แปลกใจว่าทำไมเพื่อน ๆ ที่มาไม่เล่าให้ฟังก่อนนะว่าฉันจะต้องมาไต่เขากันขนาดนี้



หลังจากเดินทางอย่างทุลักทุเล ก็มาถึงซำแฮก ระยะทาง 700 เมตร เอ้อ แฮกจริง ๆ อาการหายใจไม่ออกเริ่มมาเยือน เพราะว่าเหนื่อยเหลือแสน นี่แค่ส่วนที่ 2 เองนะเนี่ย หลังจากพักเหนื่อยกันอยู่พักใหญ่ ๆ พวกเราก็เดินทางกันต่อไปที่ ซำบอน ระยะทาง 440 เมตร เอาล่ะตอนนี้ขาเริ่มชักล้า ๆ ล่ะ แต่ยังเรายังสู้กันต่อไป เพราะให้ลงกลับไปคงไม่ลงแล้วล่ะ (ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกลับจริง ๆ หลังจากเจอซำแฮก)




จากซำบอนเดินทางต่อสู่ซำกกกอก ระยะทาง 340 เมตร จากจุดนี้ไปเริ่มเดินทางกันไม่ลำบากมากนัก จากซำกกกอกเข้าสู่พร่าพรานแประยะทาง 440 เมตร พร่าพรานแปเข้าสู่ซำกกหว้า 460 เมตร ซำกกหว้าสู่ซำกกไผ่ 300 เมตร ซำกกไผ่สู่ซำกกโดน 450 เมตร เหตุที่ไม่เล่าเรื่องในแต่ละซำเพราะว่าการเดินทางช่วงกกกอกถึงซำกกโดนยังไม่ค่อยทุลักทุเลเท่าไหร่ เดินทางกันเรื่อย ๆ ใครที่เคยมาเยือนแล้วก็จะหลอกเพื่อนฝูงที่ไม่มีแผนที่กันไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เพื่อนมีกำลังใจในการเดินทางต่อ ว่าเดี๋ยวก็ถึงล่ะ ฉันเองก็เช่นกัน ฉันล่ะเกลียดคำนี้จัง เพราะมันหลายเดี๋ยวแล้วนะเนี่ย ทำไมไม่ถึงสักที ที่นี้ล่ะซำสุดท้าย ซำแคร่ เรียกได้ว่าเดินทางมาก็เหนื่อยแสนเหนื่อย มาเจอซำสุดท้ายวัดใจกันของแท้เลยทีเดียว เพราะทางขึ้นชันเหลือแสน เพราะเป็นช่วงที่จะขึ้นสู่หลังแปคือช่วงบนภูแล้วล่ะ ต่อให้ถือของกันมาแค่ไหนก็อยากจะวางไว้ซำนี้ล่ะ ระหว่างเดินทางฉันได้สังเกตุคู่รักคู่หนึ่งซึ่งเดินมาพร้อม ๆ กันกลุ่มของฉัน เรียกว่าเค้าก็หลอกแฟนเค้ามาเรื่อย ๆ นั่นล่ะว่าเดี๋ยวก็ถึงจ๊ะที่รัก เดี๋ยวถึงยอดภูนะจะให้ขี่หลังไป ปรากฏว่าขึ้นถึงภูแฟนเค้าก็ยังเดินอยู่เช่นเดิม เพราะใครจะไปแบกคุณเธอไหว ตัวใหญ่ซะขนาดนั้น แต่ก็เป็นอีกคู่รักที่น่าประทับใจ เพราะระหว่างทางเค้าคอยช่วยเหลือกันตลอดการเดินทาง

กลับมาเรื่องของเรากันต่อดีกว่า เมื่อผ่านพ้นซำหฤโหดมากว่า 10 ซำ เราจะพบป้ายหนึ่งคือจุดหมายที่เรามาเลยล่ะ “เราคือผู้พิชิตภูกระดึง”



ความที่ไม่เคยมาก็นึกว่าคงถึงจุดบริการท่องเที่ยวแล้วกระมัง แต่หลังจากสอดส่องสายตาดูยังรอบ ๆ แล้วยังไม่มีวี่แววของผู้คนอยู่เลย นอกจากกลุ่มคนที่ขึ้นกันมาพร้อม ๆ กับฉัน ก็เลยถามคนที่นั่งพักอยู่ก่อน ว่า”ยังไม่ถึงที่พักอีกเหรอคะ” ฟังคำตอบแล้วลมแทบใส่ “โห.. น้องต้องเดินอีก 3 กิโลนู่น”




เราเดินทางต่อมาอีก อากาศที่ร้อนระอุ บวกกับความล้า ทำให้เดินกันช้าลง กว่าจะถึงจุดบริการนักท่องเที่ยวก็กือบบ่ายโมง จากนั้นเราก็เริ่มกางเต็นท์กันไปพลาง ๆ ก่อนที่ลูกหาบที่เราจ้างหาบจะขึ้นมา ลืมเล่าถึงลูกหาบไปเลย ของเล่าสักหน่อย ระหว่างทางที่เราเดินขึ้นมาจะพบกับลูกหาบที่หาบสัมภาระขึ้นมา เห็นแล้วยังคิดเลยว่ากิโลละ 10 บาทมันถูกไปเลย เพราะเห็นเค้าแบกแล้วนึกสงสัยอยู่ในใจทำไมเค้าถึงได้แข็งแรงกันขนาดนี้ หลังจากที่สอบถามพี่ ๆ ที่เค้าหาบกัน รายได้เค้าตกราว ๆ 2-3 พันเชียว เพราะเค้าเดินขึ้นลงวันละหลายเที่ยว คนที่มาหาบก็คือคนที่ว่างจากงานทำนาที่เป็นอาชีพหลัก เรากลับมาที่เต็นท์ของเรากันดีกว่า เราก็ไปเช่าผ้าห่ม เตา ผ้ากันน้ำค้าง จากนั้นพวกเราก็จัดแจงทำกับข้าวกันเรียบร้อย หลังจากทานข้าวกันเสร็จก็เป็นอันสลบ ปล่อยให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ (เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มเรา) เค้าไปทักทายเพื่อนรอบเต็นท์ นี่แค่เดินทางขึ้นมาเท่านั้นนะ ยังเล่ายาวขนาดนี้



เริ่มต้นวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ 2543 หลังจากที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางที่หฤโหด ก็สลบกันราวกับว่าไม่เคยพักผ่อนก็ไม่ปาน จากนั้นก็มีเพื่อนเราไฟแรงลุกขึ้นมาตอนตี 4 มาก่อไฟ หลังจากที่เธอก่อไฟอยู่ระยะหนึ่งก็เริ่มก่อกวนเพื่อน ๆ ให้ตื่นมาก่อไฟ ขอเล่าหน่อย ปกติคุณเธอแทบไม่เคยสัมผัสอากาศตอนเช้าเอาเสียเลย มาที่นี่ตื่นเช้าได้แฮะ หลังจากเธอก่อกวนได้ไม่นาน พวกเราก็ต้องลุกมาต้มข้าวต้มกันตอนเช้า



จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางเวลา 8.00 น. ด้วยแผนที่ 1 ใบโดยเริ่มจาก องค์พระพุทธเมตตา ทุกคนจะเริ่มจากจุดนี้เพราะจะต้องนมัสการองค์พระก่อนที่จะออกเดินทางกันต่อไป



จากนั้นก็เดินไปตามเส้นทางที่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่าก็เดินหลงกันไปจนถึงเขตป่าปิด ซึ่งหากจะเข้าไปในป่าปิดแล้วต้องมีเจ้าหน้าที่นำเข้าไป พวกเราจึงเปลี่ยนเส้นทางจากนั้นไม่นานนักก็ถึงน้ำตกเพ็ญพบใหม่ ช่วงที่เราไปเป็นหน้านาวน้ำก็เลยไม่ค่อยมี แตกต่างจากในรูปโดยสิ้นเชิง



จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อไปที่น้ำตกเพ็ญพบ และน้ำตาโผนพบ รู้สึกว่านักมวยชื่อโผนเข้าขึ้นมาฝึกซ้อมที่นี่แล้วมาพบจึงตั้งชื่อว่าโผนพบ



หลังจากเดินหลงกันอยู่นานก็มาที่น้ำตกถ้ำใหญ่ แต่ละน้ำตกที่ผ่านมาจะพบต้นก่วมแดง ไฟเดือนห้า หรือที่เรารู้จักก็คือ ต้นเมเปิ้ลนั่นเอง ตลอดทางจะมีใบเมเปิ้ลร่วงหล่นสีแดงสวยเชียวล่ะ



จากนั้นก็ไปต่อกันที่สระอโนดาด ความที่เหนื่อยล้ากันมาพอสมควรก็โดดลงสระกันเลย พอแช่กันอยู่สักพักจึงได้รู้ว่าเค้าให้โยนเหรียญแล้วอธิฐานกันก่อน อ้าวเป็นงั้นไป



หลังจากที่นั่งพักกันอยู่นาน เพราะตลอดการเดินทางที่ผ่านมาแดดเปรี้ยง แต่อากาศเย็น จะว่าร้อนมันก็ร้อนนะจะว่าเย็นมันก็เย็นนะ เลยไม่รู้จะเรียกว่าอะไรกันแน่ดี แต่ที่ทุกคนรับรู้แน่ ๆ คือระหว่างทางมีแต่ต้นไม้ที่แห้งเหลือเกิน เรียกว่าถ้าจะมาภูกระดึงให้สวยคงต้องมาฤดูฝนล่ะ



จากนั้นพวกเราก็เดินทางกันต่อไปจนถึงจุดที่ต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดีที่ใกล้ที่สุดจึงเลือกไปที่ ผาแดง เพื่อที่ว่าเราจะเดินทางไปผาหล่มสัก พอมาถึงผาหล่มสักก็ราว ๆ 4 โมงเย็น แวะทานข้าวกันเป็นที่เรียบร้อย ราคาอาหารก็ไม่ต่างอะไรกับจุดบริการนักท่องเที่ยวเท่าไรนักราคาก็พอ ๆ กับเวลาเราไปทานข้าวในร้านอาหารในโรงหนังนั่นล่ะ และแล้วพวกเราก็รอดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสัก





ความรู้สึกตอนนี้เวลาที่มองไปยังผาหล่มสัก มันเหมือนการรอคอยอะไรสักอย่าง ดูเหงา ๆ และโดดเดี่ยว จากที่สอบถามจากชาวบ้านแถวนั้นเค้าเล่าให้ฟังว่าที่ผานี้เคยมีคนตกลงไป ความสูงขนาดนี้ตกลงไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ คงจะพอเดากันออก ซึ่งฉันก็คิดว่ามันจริงเลยนะเพราะตอนนี้ไปยืน ณ จุดนั้นบอกตรง ๆ ว่ามันรู้สึกหวิว ๆ ยังไงชอบกล ขานี้สั่นยิ่งกว่าร็อกแอนโรลอีก หลังจาดูพระอาทิตย์ตกได้ไม่นาน พวกเราก็เดินทางกลับที่พักตอนนั้นก็ราว ๆ ใกล้จะ 6 โมงแล้วล่ะ พวกเราเป็นกลุ่มแรกที่เดินออกจาผาหล่มสัก เพื่อย้อนกลับไปยังผาแดง จากนั้นก็เดินต่อไปที่ผาเหยียบเมฆ ซึ่งก็เหมือนเหยียบบนเมฆจริง ๆ ยังงั้นล่ะ เพราะถ่ายรูปที่ผานี้จะเห็นผากับท้องฟ้าเท่านั้น ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้กระมังที่เรียกกันว่าผาเหยียบเมฆ หลังจากนั้นเราก็เดินลัดเลาะกันมาตามทางกันเรื่อย ๆ ด้วยอัตราการก้าวที่เร็วพอสมควร เพราะว่ามันมืดมากแล้ว แล้วพวกเราก็มีเพียงไฟฉาย 1 กระบอกที่แถมมากับอะไรสักอย่าง คงพอจะเดากันได้ออกนะว่า ของแถมมามันจะเล็กขนาดไหน เราเดินกันมาจนถึงผานาน้อย ตรงจุดนี้ล่ะที่ทำให้หวนนึกทีไรแล้วยังหวาดเสียวจนถึงทุกวันนี้ เพราะระหว่างทางแทบไม่มีคนเดินตามมาเลยทั้ง ๆ ที่มันเป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าแล้ว ซึ่งมันน่าจะมีคนเดินตามกันมาบ้าง เพราะตลอดการเดินทางที่ผ่านมามีคนเดินตามกันมาและเดินนำหน้ามาตลอด นั่นหมายถึงว่าจะต้องมีคนอยู่ข้างหน้าเรากับข้างหลังเรา แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครเดินผ่านมาสักคน ถึงตอนนี้ในใจของทุกคนก็เริ่มมีความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่ความตื่นตาตื่นใจ พวกเราเกาะกันเหนียวแน่นซึ่งพร้อมกับการเร่งฝีเท้ากันจนเรียกว่าวิ่งเลยทีเดียว จากผานกน้อยมายังผาจำศีล ผาหมากดูก ระยะทางราว ๆ กิโลครึ่งกว่า เราใช้เวลาเดินกันแค่ 15 นาที ซึ่งตลอดการเดินทางอึดใจนี้ ทุกคนไม่พูดไม่จา แต่ทุกคนก็มีข้อสงสัยอยู่ในใจว่า “เสียงอะไร” จนมาถึงผาหมากดูก พวกเราทุกคนรู้สึกโล่งใจไปตาม ๆ กัน เพราะมีกลุ่นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงหน้าเรา ซึ่งดูจากลักษณะแล้วคงจะพบอะไรไม่ต่างจากเรา เพราะเค้าพูดแปลก ๆ จากนั้นพวกเราเลยเกาะกลุ่มกันกับพวกพี่เค้าเดินทางกลับที่พัก ระหว่างทางพวกพี่เขาก็บอกว่าน้องไม่ต้องรีบเดิน แต่ไหงพี่เค้าจ้ำเอาจ้ำเอา เลยงง ไหนบอกไม่ต้องรีบเดินยังไงล่ะ จากนั้นไม่นานเราก็ถึงทีพักราว ๆ 5 ทุ่มกว่า ๆ และแล้วพวกเราทุกคนก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น

นั่นคือฝูงชนมหาศาลกางเต็นท์กันแน่นขนัดตา จนแทบจะไม่มีทางเดิน แต่ที่หนักใจสำหรับพวกเรา อ้าวแล้วเต็นท์ฉันอยู่ตรงไหนล่ะ ก็เดินหากันอยู่พักใหญ่ ๆ กว่าจะเจอก็ใกล้เวลาเคาดาวน์แล้ว เราก็จัดแจงเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม เพื่อจะรวมเคาดาวน์ และแล้วเวลา 12.00 ก็มาถึง ทุกคนร้องไชโยกันเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับพรุที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่อนุญาตให้จุดพรุ เดี๋ยวจะทำให้สัตว์ตกใจ แต่วันนี้พิเศษน่ะ คืนนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาว เหมือนกับทะเลดาวยังไงยังงั้นเลย ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้มาเคาดาวน์ ณ ที่แห่งนี้ พร้อม ๆ กับผู้คนมากมายมหาศาล ไม่มีแสงสีของไฟนีออน มีเพียงแสงดาว ไม่มีเสียงเพลงจากเครื่องเสียง มีเพียงเสียงเพลงจากกีต้าร์ที่ทุกคนเตรียมกันมา ช่างเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกดีจังเลย เป็นการเริ่มต้นปี 2000 ที่วิเศษที่สุด ลืมเล่าไปคืนนี้บนภูกระดึงเค้าจัดให้มีการจดทะเบียนสมรสบนภูเลยล่ะ ไม่น่าเชื่อมีคู่สมรสหลายคู่เดินทางมาจดทะเบียนที่นี่ ฉันมองดูคู่สมรส แล้วได้แต่นึกในใจว่า คู่สมรสทุกคู่เข้าคงอยู่ด้วยกันนานแสนนานแน่ ๆ เพราะการเดินทางมาที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านความลำบากหลาย ๆ อย่าง ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ทุกคู่ก็ผ่านกันขึ้นมาได้ นั่นเป็นสัญญานแห่งความรักโดยแท้จริง ช่างโรแมนติกเสียนี่กระไร มาฟังเรื่องของเรากันต่อดีกว่า หลังจากผ่านเวลาเคาดาวน์ไปแล้ว เรื่องที่พวกเราสงสัยกันก็เริ่มขึ้น ทุกคนต่างเล่าถึงวินาทีที่รู้สึกตอนอยู่ที่ผานาน้อยนั่น บางคนก็บอกว่าได้ยินเสียงคนหวีดร้องมาเป็นระยะ บางคนก็รู้สึกว่าเหมือนมีใครตามมา แต่แน่นอนที่ทุกคนรู้สึกคือความน่ากลัวของป่า ที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่านั่นคือเสียงอะไร จากวันนั้นจนวันนี้ฉันยังสงสัยเหมือนกันว่ามันคืออะไร และแล้วคืนนี้ทุกคนก็พักผ่อนเนื่องจากอ่อนเพลียจากการเดินทาง




วันที่ 1 มกราคม พศ.2544 หรือเริ่มต้นปี 2000 เช้าวันนี้อาการสดใส แต่เสียดายที่ตื่นสายไปหน่อย เลยไม่ได้ไปดูทะเลหมอกตามที่ตั้งใจ



พวกเราจึงเปลี่ยนแผนไปน้ำตกวังกวางกัน แล้วก็ย้อนกลับไปที่ผาหมากดูก ผาจำศีล ย้อนดูทางเดินเมื่อคืน ไม่น่าเชื่อว่าเส้นทางนี้มันไกลมาก ทำไมเราเดินกันได้เร็วจัง แถมข้างทางที่เราเดินเมื่อคืนนั้นเป็นเหวลึก ๆ ทั้งนั้นเลย



และแล้ว 1 วันนี้จึงหมดไปกับการย้อนรอยไปดูสิ่งที่เราสงสัยเมื่อคืน จากนั้นพวกเราก็กลับที่พัก คืนนี้นอนกันเร็วหน่อย เพราะว่าพรุ่งนี้เรามีเป้าหมายที่จะไปดูทะเลหมอก แต่คืนนี้มีเต็นท์มากางใหม่อีกหนึ่งเต็นท์ คาดกันว่าคงเป็นนักดนตรีนั่นละ เพราะร้องเพลงกันไพเราะจริง ๆ แต่มีเพลงหนึ่งที่เข้ากับบรรยากาศมากที่สุดก็คือ คืนจันทร์ ยังกะพี่เสกมาเองเลย ทำให้พอเวลาฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงภูกระดึงทุกทีเลย สรุปคืนนี้เราก็นอนดูทะเลดาว แถมด้วยเพลงไพเราะแบบ non stop อีกต่างหาก

วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2544 ประมาณราว ๆ ใกล้ตี 5 ก็มีเสียงโวกเวกกันดังสนั่น ทุกคนเตรียมตัวออกไปดูทะเลหมอกกัน พวกเราก็ตาม ๆ กลุ่มอื่น ๆ ไป เพราะเนื่องจากไม่มีอุปกรณ์นำทางใด ๆ เลย จนถึงผานกแอ่นจุดนัดพบยามอรุณรุ่ง สวยจริง ๆ ตามคำเล่าลือ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมอก เหมือนเรายืนอยู่บนสวรรค์เลยทีเดียว มิน่าล่ะเค้าถึงเรียกว่าทะเลหมอกเมืองดอกไม้งาม (แต่ดอกไม้งามเนี่ยคงต้องหน้าฝนนะ)




หลังจากยืนชมทะเลหมอกกันอย่างจุใจไปพร้อม ๆ กับการแสงเฟรชจากกล้องที่รัวกระหน่ำกันอย่างไม่ขาดสาย เราก็กลับมาที่เต็นท์เพื่อเตรียมเก็บของเดินทางกลับ โดยการร่ำลาเต็นท์ข้าง ๆ ลืมเล่าไปว่าข้าง ๆ เป็นเด็กนักเรียนที่ขอนแก่น ที่กางเต็นท์ใกล้ ๆ กับเต็นท์พวกเราตั้งแต่คืนแรกจนถึงคืนสุดท้าย ต้องขอบคุณน้อง ๆ ที่มาสร้างสีสันกับพวกเรา โดยเฉพาะน้องโจ หลังจากนั้นก็ร่วมกันถ่ายภาพร่วมกันกับน้อง ๆ เพื่อเป็นที่ระลึก





จากนั้นพวกเราก็เดินทางลงจากภูโดยใช้เวลาไม่นานนัก เพราะขาลงง่ายกว่าขาขึ้น ซึ่งพวกเราก็ได้เข้าร่วมโครงการเก็บขยะลงจากภู ก็เดินเก็บขยะกันมาเรื่อย ๆ จนถึงด้านล่างของภู ฉันยังจำช่วงเวลานั้นที่หันกลับมามองขึ้นไปยังบนภู แล้วนึกในใจว่า ฉันจะต้องกลับมาที่นี่อีกแน่นอน..



ปล. นั่นเป็นความคิดเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ตอนนี้ไม่ไหวแล้วแก่แล้ว และขออภัยที่รูปไม่ค่อยชัดเพราะถ่ายมาจากภาพอีกที สมัยนั้นเรายังไม่มีกล้องดิจิตอลและประกอบกับสมัยนี้ก็ยังไม่มีสแกนเนอร์อีกนั่นแหละ


Create Date : 07 เมษายน 2550
Last Update : 17 สิงหาคม 2556 22:01:09 น. 5 comments
Counter : 1524 Pageviews.  
 
 
 
 
มาดูภาพรำบึกความหลัง ครั้งไปภูกระดึง

คิดถึง คิดถึง
 
 

โดย: ลุงไม้ (ไม้หลักปักมั่นคง ) วันที่: 7 เมษายน 2550 เวลา:13:52:18 น.  

 
 
 
เป็นรูปที่เก่าแล้วทีเดียวเลยนะคะเนี่ย แต่ว่าระทึกตอนที่ถ่ายรูปกับกวางใช่อ๊ะเปล่าอ่ะคะ แบบว่าทำไมมันไม่เดินหนีไปอ่ะยอมให้ถ่ายแล้วเข้ามาหาอะไรกินเฉยเลยอ่ะ
 
 

โดย: umi chan (umi_chan_2 ) วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:13:25:24 น.  

 
 
 
คนเล่าเรื่องทำไมหน้ากลมจัง เหมือนซาลาเปาเลย หิว...
 
 

โดย: อดีตเคยหล่อ IP: 58.9.72.198 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:20:37:24 น.  

 
 
 

ดูแล้วคิดถึง.....
อยากไปรำลึกความหลัง....
 
 

โดย: iamorange วันที่: 5 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:18:29 น.  

 
 
 
งดงามในความรู้สึกจริงๆครับ
 
 

โดย: naigod IP: 124.121.20.167 วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:12:59:06 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

patthanid
 
Location :
ราชบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




: การท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ
: คืออีกก้าวของประสบการณ์
: ทุกๆ ก้าวที่ก้าวเดิน
: มีจุดหมายที่อยากสัมผัส
: โลกใบกลมๆ ใบนี้

ติดต่อผู้เขียน
Email :: patthanids@hotmail.com
Line :: @atourthai
Facebook :: Patthanid Cheang
Fanpage :: โสดเที่ยวสนุก

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิดโดยนำภาพถ่าย
รูปภาพ, บทความ งานเขียนต่างๆ รวมถึง
ข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมดของข้อความใน Blog แห่งนี้
ไปใช้ทั้งโดยเผยแพร่ไม่ว่าเป็นการส่วนตัว
หรือเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็น
ลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
New Comments
[Add patthanid's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com