Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2549
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
1 สิงหาคม 2549
 
All Blogs
 

United93: พวกเขายังไม่ตาย

เหตุการณ์ระทึกขวัญที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 11 กันยายน 2001 ในประเทศอเมริกา คงจะกลายเป็นข่าวที่ทำให้ชาวอเมริกาต้องรู้สึกตื่นตระหนกกันทั้งประเทศ เพราะความสงบสุขของประเทศแห่งประชาธิปไตยถูกสั่นคลอน เมื่อผู้ก่อการร้ายบุกเข้าจี้เครื่องบินพาณิชย์ทั้งสี่ของประเทศตน ซึ่งเป็นเหตุให้เครื่องบินสามลำพุ่งเข้าชนตึกสูงใหญ่อันเป็นหน้าเป็นตาของประเทศอย่าง อาคารที่ทำการกระทรวงกลาโหมและอาคารเวิร์ดเทรดเซนเตอร์ และเครื่องบินอีกหนึ่งลำพุ่งตกลงบนพื้นที่เพนซิลเวอร์เนีย นำมาซึ่งความเศร้าและความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ต่อชาวอเมริกัน ทั้งบรรดาผู้สูญเสียญาติพี่น้องที่ต้องเสียชีวิตในเครื่องบินโดยสาร และผู้ที่ต้องเสียชีวิตบนอาคารที่พังทลายลง ซึ่งนอกจากเหตุการณ์นี้จะทำลายขวัญและกำลังใจของอเมริกันชนแล้ว เรื่องราวการก่อการร้ายครั้งนี้ยังกลายป็นข่าวร้ายที่สะเทือนใจคนทั้งโลกเมื่อได้เห็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ต้องหลั่งน้ำตาให้กับความสูญเสีย และความเจ็บปวดจากบาดแผลใหญ่ที่ถูกผู้ก่อการร้ายเข้าทำลาย จนประชากรชาวโลกทุกคนจำต้องจารึกภาพความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ไว้ในประวัติศาสตร์โลก และขนานนามเหตุการณ์นี้อย่างสั้นๆ ว่า 9/11

หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น อเมริกาต้องรวมรวบพละกำลังและความพยายามอย่างมากที่จะฟื้นฟูประเทศจากภาพความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้น รวมทั้งฟื้นฟูกำลังใจของอเมริกันชนที่ต่างสูญเสียญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมชาติของตน จนถึงบัดนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาห้าปีหลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ชาวอเมริกันต่างได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์เลวร้าย และได้เรียนรู้ที่จะระดมกำลังความคิดในการบริหารที่จะตัดสินใจ เลือกหาทางออกที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบสุขอันเกิดจากการก่อการร้าย
บาดแผลทางกายนั้นยิ่งใหญ่และสามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลเตรียมจัดทำขึ้น แต่สำหรับบาดแผลอันยิ่งใหญ่กว่าที่เกิดขึ้นในใจอเมริกันชนนั้น เรายังไม่สามารถบอกได้ว่า ภายในช่วงเวลาที่ผ่านไปเพียงห้าปี อเมริกันชนได้รับการเยียวยารักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นในใจมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประสบภาวะการสูญเสียญาติพี่น้องโดยตรงจากเหตุการณ์ครั้งนี้

ในเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจชาวอเมริกัน และกลายเป็นเรื่องราวการสูบเสียครั้งสำคัญที่ต้องบรรจุไว้ในประวัติศาสตร์ บรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการถ่ายทอดเรื่องราวเหตุการณ์จึงต้องทำหน้าที่ในการถ่ายทอดบึกทึกเหตุการณ์และความรู้สึกออกสู่สายตาประชาชน ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางการรายงานข่าวที่มีอยู่อย่างสม่ำเสมอ และนักประวัติศาสตร์ที่ต้องเขียนเรื่องราวนี้ออกสู่คนรุ่นต่อรุ่น ไม่เว้นแม้แต่บรรดาผู้สร้างหนังจำนวนไม่น้อยที่หันมาให้ความสนใจที่จะหยิบยกเอาเรื่องราวของ 9/11 มาสื่อถึงผู้ชมในรูปแบบของภาพยนตร์ เพื่อทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความรู้สึกของผู้คนที่เคยเกิดขึ้นในยุคนั้น
“พอล กรีนกราซ” เป็นก็หนึ่งบรรดาในผู้สร้างหนังทั้งหลายที่เลือกที่จะหยิบเอาเรื่องราวบันทึกเหตุการณ์ที่น่าเจ็บปวดของเหตุการณ์ 9/11 มาถ่ายทอดสู่ผู้ชมผ่านการสร้างหนังเรื่อง United 93 ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของเครื่องบินลำที่สี่ของสหรัฐที่ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายบุกเข้าจี้ ก่อนที่เครื่องบินจะพุ่งตกลงที่เพนซิลเวอร์เนีย และทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องทั้ง 40 คนต้องเสียชีวิต กรีนกราซกล่าวถึงบทบาทของผู้สร้างหนังที่มีต่อเหตุการณ์ 9/11 ว่า “มีหนทางมากมายที่จะค้นหาความหมายของ 9/11 โทรทัศน์สามารถถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้สื่อข่าวสามารถเขียนบันทึกเหตุการณ์อย่างคร่าวๆ โดยไม่เสริมแต่งขึ้นมาได้ นักประวัติศาสตร์สามารถขยายกรอบของช่วงเวลาออกไปและทำให้เราเห็นภาพรวมที่แวดล้อมเหตุการณ์นั้นอยู่ได้ ... ผู้สร้างหนังก็มีส่วนที่จะแสดงเหตุการณ์นั้นเช่นกัน และผมเชื่อว่า บางครั้ง ถ้าหากคุณมองดูที่เหตุการณ์นั้นเพียงเหตุการณ์เดียวอย่างชัดเจน ไม่ละสายตาไปง่ายๆ คุณจะพบบางสิ่งอยู่ในตัวของมัน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าตัวเหตุการณ์นั้นเอง ซึ่งเป็น DNA ของช่วงเวลานั้น มากกว่าที่จะเป็นแค่หนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ United 93”

ใน United 93 กรีนกราซบอกเล่าเรื่องราวที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชม โดยการถ่ายทอดบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับบรรดาผู้โดยสาร และลูกเรือ และพนักงานควบคุมการบินที่อยู่บนเที่ยวบิน United 93 ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ระทึกขวัญ ซึ่งทำให้เครื่องบิน United 93 กลายเป็นเครื่องบินลำที่สี่ที่ถูกผู้ก่อการร้ายเข้าจี้ เขาเลือกถ่ายทอดภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบิน United 93 ผ่านภาพเหตุการณ์จริงที่เหมือนจริง ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เครื่องบินจะทะยานขึ้นจากสนามบิน ช่วงเวลาที่บรรดาผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกเข้าจี้ ซึ่งทำให้ผู้โดยสารทุกต่างรับรู้ว่าตนเองจำกลายเป็นส่วนหนึ่งของการก่อการร้าย พวกเขาต้องเผชิญกับความกลัวอย่างน่าหดหู่ของการถูกจับเป็นตัวประกันซึ่งผลักดันให้พวกเขาต้องร่วมกันตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยความกล้าหาญและความเสียสละภายในช่วงเวลา 90 นาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เปลี่ยนเป้าหมายในการเดินทางของผู้โดยสารทุกคนที่อยู่บนเครื่องบิน รวมทั้งแผ่นดินอเมริกาทั้งประเทศที่อยู่เบื้องล่างให้เข้าสู่ภาวะแห่งความรุนแรงและปัญหาการก่อการร้ายที่ยังคงเป็นปัญหาที่ทุกวันนี้ยังคงถูกนำมาถกเพื่อหาทางแก้กันอยู่
แต่การที่กรีนกราซจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน United 93 ออกสู่ผู้ชมให้สัมผัสได้ถึงความสมจริงนั้นไม่ง่ายเลย ในการควบคุมโปรเจคท์งานสร้างครั้งนี้ เขาจำต้องเผชิญกับปัญหาสำคัญที่ว่า บัดนี้ชาวอเมริกาพร้อมหรือยังที่จะมองดูภาพเหตุการณ์ที่ยังคงเป็นเรื่องสะเทือนใจนี้บนจอภาพยนตร์? และ ในการหยิบเอาเรื่องเร่องราวความเจ็บปวดครั้งนี้มาสร้างเป็นหนัง เราควรสร้างออกมาในประเด็นไหนถึงจะดี?

ไม่ว่าผู้สร้างหนังรายอื่นจะคิดหาคำตอบของปัญหาข้างต้นยังไงก็ตาม แต่สำหรับกรีนกราซแล้ว ช่วงเวลาที่เขาคิดว่าเหมาะสมสำหรับการสร้างหนัง คือช่วงเวลาที่บรรดาสมาชิกในครอบครัวกว่าร้อยคนของผู้โดยสารทั้ง 40 คนที่เสียชีวิตบนเที่ยวบินต่างตอบตกลงว่าให้ความร่วมมือในการให้สัมภาษณ์เพื่อเขาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการสร้าง United 93

กรีนกราซกล่าวว่า “มีหนังหลายประเภทถูกสร้างขึ้น เราสร้างหนังเรื่อให้เราเพลินเพลิน เพื่อให้ความบันเทิงกับเรา และทำให้เราหัวเราะ เพื่อพาเราออกไปสู่โลกแห่งจินตนาการ และเพื่อทำให้เราเข้าใจความรัก แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่หนังได้แสดงให้เราเห็นว่าทุกวันนี้โลกของเราเป็นอย่างไร และฮอลลีวู้ดก็ขึ้นชื่อในการสร้างหนังแบบนั้นมาเป็นเวลานานแล้วด้วย” นั่นทำให้เขาตัดสินใจเลือกสร้างหนังเรื่องนี้ในรูปแบบของบันทึกเหตุการณ์จริง อ้างอิงจากสภาพเหตุการณ์จริง ผ่านการแสดงของนักแสดงที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน รวมทั้งบทของนักแสดงแต่ละคนที่ไม่ได้ขัดเกลามาก่อน รวมทั้งยังตั้งตาตั้งตาค้นคว้าข้อมูลในการสร้างหนังอย่างละเอียดถี่ถ้วน

กรีนกราซตัดสินใจเลือกหาข้อมูลที่ถูกต้องจากการสัมภาษณ์บรรดาสมาชิกในครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตบนเครื่องบิน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง เขามอบหมายให้ เคท โซโลมอน สมาชิกหนึ่งในทีมสร้างหนังมาทำหน้าที่ค้นคว้าและประสานงานระหว่างทีมสร้างหนังและสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิต โซโลมอนเริ่มส่งจดหมายถึงบรรดาสมาชิกในครอบครัวเหล่านั้นเพื่ออธิบายถึงจุดประสงค์ในการสร้างหนังเรื่องนี้ และขอความร่วมมือให้พวกเขาร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับบรรดาผู้โดยสารบนเที่ยวบิน จากนั้น ครอบครัวเกือบทั้งหมดก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้าง United 93 ผ่านการให้สัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว

โซโลมอนกล่าวว่า “พวกเขาต้องการเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพื่อที่จะให้เกียรติและระลึกถึงบุคคลผู้เป็นที่รักของพวกเขา มันยังคงเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวด และหลายคนก็รู้สึกว่าการที่พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมทำให้พวกเราได้ข้อมูลที่ถูกต้อง”

ภายหลังจากการสัมภาษณ์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล โซโลมอนส่งข้อมูล รายชื่อ และรูปภาพของนักแสดงที่จะมารับบทบาทเป็นสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาให้สมาชิกในครอบครัวได้ดู และนักแสดงบางคนยังมีโอกาสได้พบกับสมาชิกในครอบครัวเป็นการส่วนตัวด้วย ส่วนนักแสดงบางคนก็ติดต่อกับสมาชิกในครอบครัวทางโทรศัพท์ ซึ่งทีมผู้สร้างได้ค้นหาและรวบรวมเอานักแสดงที่มียังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายเข้ามารับบทบาท เขาเหล่านั้นต้องมีพรสวรรค์และทักษะทางการแสดงอย่างมาก และในบางฉากก็เลือกให้เข้าหน้าที่บนเครื่องบินตัวจริงเข้ามาร่วมแสดงด้วย เพื่อให้พวกเขาสามารถสื่อให้เห็นภาพความสะเทือนใจได้อย่างสมจริง และสามารถรักษาเป้าหมายในการสร้างหนังเรื่องนี้ เพื่อที่จะให้เกียรติแก่ความทรงจำเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตที่พวกเขากำลังสวมบทบาทอยู่นั่นเอง
ส่วนโซโลมอนจะรายงานข้อมูลการถ่ายทำภาพยนตร์ให้บรรดาสมาชิกในครอบครัวทุกๆ สองสัปดาห์ผ่านจดหมายข่าว เพื่อแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างหนังผ่านบทความของกรีนกราซที่บอกเล่าเรื่องราวกระบวนการถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการสร้างฉาก กระบวนการอัดเสียง นอกจากนี้กรีนกราซยังอัดภาพวิดิโอสื่อข้อความถึงบรรดาสมาชิกในครอบครัวผ่านเวบไซต์ส่วนตัว เพื่อทำให้เกิดช่องทางการสื่อสารระหว่างพวกเขากับทีมผู้สร้างหนัง ซึ่งนอกจะทำให้พวกเขาทราบเป้าหมายในการสร้างหนังเรื่องนี้แล้ว ยังช่วยทำให้พวกเขามีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อีก ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วมในการสร้างหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จนสมาชิกในครอบครัวบางคนถึงกับเรียก United 93 ว่า เป็น “หนังของเรา”
ผลที่ออกมาทำให้ United 93 กลายเป็นหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของบรรดาผู้เสียชีวิตบนเครื่องบินได้อย่างสมจริง เมื่อกล่าวถึงความคาดหวัวที่ต้องการให้ผู้ชมได้รับจากหนังเรื่องนี้ กรีนกราซกล่าวว่า “ผมคาดว่าคุณจะสามารถบอกเล่าเรื่องราวของผู้เสียชีวิตบนเที่ยวบินโดยให้เกียรติแก่พวกเขา และยังสามารกบอกเล่าความจริงที่เกี่ยวข้องและกระตุ้นความสนใจของผู้ชมในวันนี้ คำตอบนั่นอยู่ในความเข้าใจที่ว่า บรรดาผู้โดยสารได้โต้แย้งกันในประเด็นที่เรากำลังถกกันอยู่ในปัจจุบัน เช่น ที่ว่าเราจะทำอย่างไรกับอัลไกด้า เราจะทำอะไรได้บ้าง และผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่านี่เป็นคำถามที่พวกเรากำลังสนใจกันอยู่ .. อยากให้รู้สึกว่าการดูหนังเรื่องนี้คุ้มค่ากัลป์เวลาที่เสียไป ให้รู้สึกว่ามันทำให้สิ่งที่เกี่ยวกับ 9/11 ชัดเจนมากขึ้น และขจัดความเข้าใจผิด และความสับสน อยากให้ผู้ชมเข้าใจว่าการถกหาวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินในวันนั้นกำลังบอกอะไรกับพวกเราในวันนี้ และช่วยให้เราเข้าใจความกล้าหาญของพวกเขาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น”

“สำหรับผม ดูเหมือนว่ามันจะเป็นตัวเลือกสองตัวที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในทุกวันนี้ และเราก็เผชิญหน้ากับมันมาตลอดตั้งแต่วันนั้น เมื่อคุณมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินลำนั้น คุณจะเห็นว่าในนั้นมีการถกเถียง เป็นการถกเถียงที่มาจากความรู้สึกทรมานอยู่ในใจภายในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ ผู้คนกลุ่มนั้นพยายามคิดอย่างรอบคอบว่าจะเลือกทำอะไร เขาตัดสินใจ แล้วก็ทำลงไป ผละผมคิดว่าถ้ามองดูสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะพบเรื่องราวความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่และความทรหด คนพวกนั้นกล้าหาญมากๆ และคุณยังจะพบว่าเขาฉลาดด้วย”

หลังจากใช้เวลาดูหนัง อัลลิสัน วาดาห์น บุตรสาวของ คริสติน ไวท์ หนึ่งในบรรดาผู้เสียชีวิตบนเที่ยวบินได้กล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องมากเกินไปสำหรับพวกเราซึ่งเป็นคนในครอบครัวที่ต้องสูญเสียคนที่เรารัก ไม่ใช่เรื่องมากเกินไปสำหรับคนในประเทศประเทศของเราผู้มองดูเหตุการณ์นั้นผ่านจอทีวี มันมักจะกลายเป็นเรื่องสะเทือนใจเราอยู่เสมอ ทำให้เรารู้สึกอึดอัด เป็นสิ่งที่พวกเราไม่อยากพบเจออีก แต่ฉันรู้สึกว่ายิ่งมีหนังเหล่านี้มากขึ้นก็ยิ่งดี เราไม่สามารถลืมมันได้ เราต้องจดจำเอาไว้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และทำไมสิ่งเหล่านั้นถึงเกิดขึ้น เราไม่สามารถหลอกตัวเองได้โดยการเฝ้าคิดว่าถ้าเราลืมมันไปซะ มันก็จะเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ”

แซนดี้ เฟลท์ ผู้ซึ่งสูญเสีย เอ็ดวาร์ด พี เฟลท์ ผู้เป็นสามี กล่าว่า "มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เราต้องทำมันลงไปแม้ว่ามันจะทำได้ยาก เพราะว่ามันเป็นสิ่งถูกต้อง เราถึงต้องทำ นี่ก็เป็นหนึ่งในสถานการณ์เหล่านั้น ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำ ฉันไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ฉันไม่รู้ว่าหนึ่ง หรือสองปีผ่านไป เหตุการณ์นี้จะกลายเป็นความแตกต่างในชีวิตฉัน เหตุการณ์เลวร้ายนี้เกิดขึ้น เราต้องจัดการกับมัน เพราะฉะนั้นฉันจึงเลือกที่จะบอกเล่าเรื่องพวกนี้กับคุณ และฉันก็เลือกที่จะจดจำผู้ชายที่เคยมีชีวิตอยู่ เก็บเขาไว้ ให้เขามีชีวิตอยู่ภายในใจ"

Kenny Nacke พี่ชายของ Louis J. Nacke ผู้โดยสารบนเครื่องบินได้แบ่งปันความรู้สึกออกมาว่า "ผมรู้สึกยินดี ที่หนังถูกสร้างขึ้นมาเพราะว่านี่เป็นช่วงเวลาครบห้าปีที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น และผมไม่ชอบเลยที่จะเห็นผู้โดยสารบนเครื่องทั้ง 40 คนถูกลืม จะเป็นยังไงถ้าเหตุการณ์มันกลับกัน ผมเคยแล้วนะ ... เคยพูดออกมาว่า 'อืม จะเป็นยังไงถ้าหากตอนนั้นผมอยู่บนเที่ยวบิน 93 และวันนี้น้องชายของผมยังอยู่ที่นี่?' และนั้นล่ะสาเหตุที่ผมเข้าไปมีส่วนร่วม ผมคิดว่าเขามีเสียงที่ดังที่สุด เขาจะบอกออกมาเลยว่า 'เราต้องให้เกียรติแก่บรรดาผู้คนบนนั้น ต้องเอาใจใส่ และระลึกถึงพวกเขา' และผมกำลังทำหน้าที่ในส่วนของผมที่จะทำให้เห็นว่าพวกเขายังอยู่ และพวกเขาได้รับการให้ยกย่องอย่างเหมาะสม ไม่ใช่แต่ยกย่องว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ยกย่องว่าพวกเขาได้ทำอะไรบ้างในวันนั้น"

จากคำพูดของบรรดาสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้ทำให้เราพบว่า แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านไปนานแล้ว และผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจบจะชีวิตลงไปแล้ว และเรื่องราวการการตัดสินใจอย่างกล้าหาญของพวกเขายังคงอยู่ และส่งผลเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หนังเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมได้ระลึกถึงสี่สิบชีวิตที่จากไป ระลึกถึงการตัดสินใจทำสิ่งที่กล้าหาญของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น จะสะท้อนให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเห็นภาพการตัดสินใจแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นอยู่ในทุกวันนี้

คุณรู้หรือไม่ว่า ..
- เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศของสหรัฐตัวจริงได้เข้ามาร่วมแสดงในบางฉากของหนังเรื่องนี้ด้วย

- นักแสดงแต่ละคนยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน นักแสดงทุกคนล้วนผ่านการค้นคว้าข้อมูลชีวิตจริงของผู้เสียชีวิตบทเที่ยวบิน United 93 และพอล กรีนกราซ ผู้กำกับหนังก็ให้พวกเขาแสดงออกมาโดยไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน

- เพื่อให้หนังมีความสมจริง United 93 ถูกถ่ายทำด้วยกล้องพกพาธรรมดาๆ แทนที่จะใช้กล้องดิจิตอลราคาแพง

- ในขณะที่ ลูอิส อัลซามารี นักแสดงเชื้อสายอิรักแต่อาศัยอยู่ในอังกฤษที่รับบทเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย กำลังเดินทางมาร่วมงานฉากหนังรอบพรีเมียร์ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับวิซ่าผ่านเข้าเมืองสหรัฐ ทั้งๆ ที่เขาเองก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาลี้ภัยทางการเมืองในอังกฤษตั้งแต่ช่วงปี 90 แล้วก็ตาม เหตุเพราะเขาเคยเป็นสมาชิกของกองทัพอิรักที่ถูกเกณฑ์มา ถึงแม้ว่านั่นจะทำให้เห็นว่าเขาได้ละทิ้งหน้าที่ในกองทัพมาในฐานะผู้ลี้ภัยตั้งแต่ปี 1993 แล้วก็ตาม

- บรรดาสมาชิกในครอบครัวของผู้โดยสารทั้ง 40 คนห้ความร่วมมือในการสร้างหนัง United 93 โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไป แม้กระทั่งรายละเอียดเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ หนังสือที่พวกเขาอ่าน หรือเพลงที่พวกเขาฟัง และลูกอมที่พวกเขาอาจจะกินเป็นของว่างบนเครื่องบิน

- ในระหว่างการถ่ายทำ บรรดานักแสดงที่รับบทเป็นผู้ก่อการร้านและผู้โดยสารบนเครื่องถูกจับให้พักอาศัยแยกจากกัน พวกเขาออกกำลังกายในโรงยิมคนละแห่ง ไม่กินอาหารว่างร่วมกัน เพราะผู้กำกับต้องการให้พวกเขาแสดงถึงอารมณ์ของการแบ่งแยก ความกลัว ความรู้สึกไม่เป็นมิตรระหว่างกลุ่มคนทั้งสองฝ่าย

- ทีมผู้สร้างหนังบริจาครายได้ส่วนหนึ่งในการฉายหนังรอบ opening ให้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงผู้เสียชีวิตที่ Shanksville, Pennsylvania โดยมีจำนวนเงินถึง 1.15 ล้านเหรียญ

- ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า ไม่มีการทำหนังตัวอย่างออกมาให้เห็นก่อนที่หนังจะเข้าฉาย

ข้อมูลจาก
Interview with Paul Greengrass : //www.united93-the-movie.com/interview.html
United 93 Production Note : //emol.org/film/archives/united93/productionotes.html
Trevia for United 93 (2006) : //www.imdb.com/title/tt0475276/trivia
English Production Note From UIP




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2549
3 comments
Last Update : 1 สิงหาคม 2549 13:45:15 น.
Counter : 1086 Pageviews.

 

เป็นหนังที่อยากชมมากๆเลย

 

โดย: Only Bryan 5 สิงหาคม 2549 2:18:07 น.  

 

I love it so much

so sad at the end

feel like I am with them in that situation!!

 

โดย: Dr.Manta (Dr.Manta ) 10 พฤศจิกายน 2549 17:57:42 น.  

 

แนะนำเว็บดูหนังซีรีย์เกาหลีฟรี

 

โดย: koreaserie (loveyoupantip ) 6 สิงหาคม 2554 12:54:36 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


เด็กชายหัวหอม
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เอ้ออ .. ตัวเตี้ย ขี้อาย เรียนม่ายเก่ง พูดก็ไม่เก่ง แต่กินเก่งคับ ..


ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น .. (1โครินทร์ 13:4-8)




Friends' blogs
[Add เด็กชายหัวหอม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.