เขิน....เมื่อฝรั่งคิดว่าเรายังเอ๊าะเอ๊าะ


ตั้งหัวข้อแล้วก็มานั่งดู เอ๊เราเขียนถูกหรือเปล่าหว่า แล้วไอ้คำว่า เอ๊าะ นี่เค้ายังใช้กันอยู่หรือเปล่าน้า......Google ช่วยค่ะถ้าตราบใดที่ยังมีใน Google ก็เป็นอันว่าใช้ได้ ตอนนี้ไม่ว่าภาษาอะไรมันก็มีการเปลี่ยนแปลงกันไปทั้งนั้น กลับไปเมืองไทยทีก็ได้คำอะไรใหม่ๆมาให้ใช้กันที เหมือนกับคำว่า กิ๊ก ได้ยินตอนไปอยุ่เมืองไทยมาปีหนึ่ง (2007) เล่นเอางงอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร

วันนี้เบี้ยวงานซะหนึ่งวันลาป่วยที่จริงก็ป่วยจริงๆ เพราะท้องเสียตั้งแต่ตีห้าจนป่านนี้ก็ยังไม่หยุดเลยวิ่งเข้าห้องน้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง โทรไปบอกหัวหน้าเมื่อเช้าเค้าบอกว่าเธอห้ามมาทำงานน่ะถ้าไม่หายดี เราก็ ok ok คนที่นี่กลัวมากกับเรื่องโรคติดต่อ คงเป็นว่าอากาศที่นี่มันสะอาดมากเกินไปแล้วคนที่นี่มีภูมิต้านทานน้อยก็ได้ อย่างเรื่องหวัดกับเรื่องโรคภูมิแพ้เราเป็นได้ทั้งปีแต่พอกลับไปอยู่เมืองไทยไม่เคยเป็นอะไรเลย

เมื่อคืนนั่งเขียน blog กับนั่งแต่งบ้านใหม่แต่ก็ยังไม่ถูกใจซะทีเลยถามตัวเองว่านี่เราจะมานั่งเขียน blog หรือมานั่งแต่ง blog กันแน่ อีกด้านหนึ่งของสมองก็ตอบไปโดยทันควันว่า ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ เอาแล้วสิแล้วจะเอาเวลาที่ไหนมานั่งทำล่ะ แต่แล้วก็ต้องตัดใจเพราะตอนนี้มีเรื่องอยู่ในหัวสมองเยอะแยะต้องรีบเขียนก่อนที่จะลืม เรื่องแต่ง blog ปล่อยเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

ที่จริงกำลังจะตั้งกลุ่ม blog ใหม่ในเรื่อง Memories แต่คิดว่าเรื่องแรกที่จะเขียนลงเป็น memory จะเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในความทรงจำของตัวเองตลอดไปเอาไว้คอยตามอ่านกันค่ะ

มาต่อกันเรื่องเอ๊าะๆกัน
เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้วเราได้ย้ายข้าวของกับหมาตัวแรกของเราที่นี่ไปอยู่ที่บ้านแฟน (ไม่ใช่แฟนคนปัจจุบันนะ แล้วคนที่เท่าไรก็ไม่บอก อย่าเพิ่งคิดอคติกับเราก่อนนะ ฮ่า ฮ่า ) มีอยู่วันหนึ่งเพิ่งกลับจากทำงานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นได้ยินเสียงแฟนตะโกนมาจากในครัวว่าช่วยรับโทรศัพท์หน่อยเพราะกำลังทอดปลาอยู่ เราก็เดินไปรับสาย

" ฮัลโหล" แล้วก็เอ่ยชื่อเราไป ฝ่ายตรงข้ามก็ " ฮัลโหล " ตอบแต่ก็นิ่งไปประมาณ 10 วินาทีแล้วก็ถามว่า " ที่นั่นใช่เบอร์ xxxxxxxx รึเปล่า"
เรา.................." ใช่ค่ะ จะพูดกับใครคะ"
เสียงผู้ชาย........" พ่ออยู่รึเปล่า "
เราก็ตอบออกไปโดยอัตโนมัติว่า......" ไม่อยู่ค่ะ คุณพ่อเสียไปตั้งนานแล้ว " แต่ก็นึกอยู่ในใจว่าอะไรกันมาถามถึงพ่อเราแล้วนี่มันก็ไม่ใช่เมืองไทย
ผู้ชายในโทรศัพท์ก็นิ่งไปอีกพักใหญ่ เราก็ ฮัลโหล ไปอีกสองครัังแล้วก็ได้ยินเสียงวางสาย แฟนตะโกนถามว่าใครโทรมา เราเลยบอกว่าสงสัยคนคงโทรผิดเพราะเห็นถามถึงพ่อ

อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกตอนนี้แฟนเป็นคนรับเองปรากฏว่าเป็นเพื่อนเขาเพราะได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานสักพักก็ได้ยินหัวเราะลั่นบ้านหัวเราะจนกระทั่งเขาวางหู จึงถามเขาว่ามีเรื่องอะไรที่ขำกันนักกันหนา เขาก็เลยบอกว่าเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีตอนนี้บังเอิญได้เข้ามาทำงานที่ในสตอกโฮล์มเลยอยากจะพบปะด้วย แล้วก็เป็นเพื่อนคนนี้แหละที่โทรมาก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอรับน่ะเค้าคิดว่าเธอเป็นลูกชั้นเพราะคิดว่าชั้นคงเจอผู้หญิงใหม่แล้งคงมีลูกด้วยกันแต่ความไม่แน่ใจเลยวางหูก่อนเพราะคิดว่าคงจะโทรผิดเช่นกัน

เราก็เลยนั่งหัวเราะไปด้วยแล้วก็สั่งว่าคราวหน้าเธอก็บอกเพื่อนๆเธอด้วยก็แล้วกันว่าอายุชั้นน่ะมันปาเข้าไป 30 กว่าแล้ว อย่างนี้เค้าคงไม่เรียกว่าเอ๊าะหรอกน่ะ มานั่งนึกดูตอนนั้นแฟนก็อายุประมาณ 40 ถ้าแฟนมีลูกก็คงจะอยู่ระหว่าง 5-10 ขวบ ว๊ายแล้วเจ้านั่นเค้าคิดว่าเราอายุเท่าไรกันแน่.........

white flowers



มีอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมือปีที่แล้วตอนที่ยังทำงานอยู่ที่แผนกเก่าค่ะ


หลังจากที่ลาพักผ่อน 1 ปีโดยไม่เอาเงินเดือนกลับไปอีกครั้งเพื่อนร่วมงานเก่าๆหายหมด ย้ายงานบ้าง ลาออกบ้าง ลาคลอดลูกบ้าง หน้าเดิมยังมีเหลืออยู่ 6 คนนอกนั้นเด็กใหม่หมด
งานเก่าเป็นงานที่ต้องพูดกับลูกค้าทั่วโลกทั้งวัน ทั้งแผนกมีพนักงานประจำประมาณ 28 คนแต่เรื่องโทรศัพท์เนี่ยะเกี่ยงกันรับ policy ที่แผนกก็มีอยู่แล้วว่าจะต้องรับสายภายในไม่เกิน 3 กริ้งทุกครั้งที่โทรศัพท็เข้ามาที่ Group number ก็มีแต่เรานี่แหละเป็นคนรับสายก่อนทุกทีคือช่วงสัญญาณที่ 3 บางที่เราก็กำลังยุ่งกับงานของตัวเองรอจนสัญญาณที่ 4-5 แล้วไม่มีใครรับเราก็ต้องรับเองอยู่ดีซึ่งก็ได้นำขึ้นถกเถียงในที่ประชุมทุกครั้ง ต่างคนก็ต่างบอกว่ามีงานเยอะ เราก็เลยถามไปว่าแล้วคิดว่าชั้นคงจะไม่มีงานทำรึไงลูกค้าเราก็มีเพียงแต่เค้าใช้ e-mail ไม่ใช้โทรศัพท์ติดต่อ แต่ก็รู้แล้วว่าเด็กพวกนี้โอนเบอร์ของตัวเองเข้า Group number ไปเพื่อจะได้ไม่ต้องรับโทรศัพท็ของตัวเอง

ต่อมาทางที่ทำงานมีการวัดผลค่ะว่าใครรับโทรศัพท์ที่มากที่สุดและน้อยที่สุดคือทำเป็นสถิติออกมาทุกอาทิตย์ก็ปรากฏว่าเราอีกนั่นเป็นผู้ที่รับสายมากที่สุดเลยได้ตั๋วดูหนัง 1 ใบ ในที่สุดก็ลงมติให้มี schedule ผัดเปลี่ยนกันว่าแต่ละโต๊ะๆหนึ่งมี 4 คนรับหน้าที่รับโทรศัพท์ภายใน 1 อาทิตย์ ไอ้โต๊ะเราก็นั่งกันอยู่แค่ 3 คน ยังนึกในใจว่าเด็กพวกนี้ (ที่เรียกว่าเด็กเพราะอายุยังน้อยกันอยู่ ประมาณ 22- 26 ปี ) เพิ่งจะเรียนจบออกมาแล้วก็เคยชินที่กับการที่จะทำอะไรต้องมีกฏเกณฑ์อยู่ตลอดเวลาต้องตั้ง schedule ทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องส่วนตัวมาก่อนจึงไม่แปลกอะไรที่เด็กพวกนี้จะเอามาเสนอในที่ทำงาน แต่ในที่สุดมันก็ไม่เป็นผลอยู่ดี เพราะถึงเวลา coffee break ทีพวกนี้ก็หายไปหมดพร้อมกันทั้ง 10 กว่าคนแทนที่จะแบ่งแยกกันไปแต่ละช่วงเวลา ในที่สุดก็ทิ้งให้โต๊ะ senior อย่างเราต้องรับโทรศัพท์กันต่อไป

มีอยู่วันหนึ่งช่วงอาหารกลางวันเด็กพวกนี้ก็จะต้องไปกินพร้อมกันอีกเหลืออยู่ในแผนก 5 คนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเราก็รับตั้งแต่สัญญาณแรกก็ช่วยเหลือลูกค้าเท่าที่จะช่วยได้ สักพักเด็กพวกนี้ก็กลับเข้ามา เรากับเพื่อนร่วมงานอีกคนได้เวลาที่จะออกไปทานอาหารกลางวันบ้าง ตอนนั้นก็เกือบจะบ่ายโมงครึ่งเข้าไปแล้ว จัดการโอนเบอร์ของตัวเองเสร็จกำลังจะเดินออก เสียงเด็กที่ทำงานก็ตะโกนเรียก

" เมล อย่าเพิ่งไปมีโทรศัพท์ "
" ใครโทรมา " เราถาม
เด็กก็บอกชื่อคนโทร กับธนาคารของลูกค้า เราก็สวนออกไปว่านั่นเค้าเป็นลูกค้าเธอแล้วทำไมไม่บอกลูกค้าไปล่ะว่าเธอเป็น account manager ของเค้า เด็กก้อตอบกลับว่า
" บอกแล้วแต่เค้ายืนยันที่จะพูดกับ เมล young lady ที่ตอบคำถามเค้าเมื่อตอนเที่ยง " แค่นั้นแหละเสียงก็ฮากันทั้งแผนก เราก็เลยสวนออกไปว่าบอกลูกค้าไปว่าชั้นออกไป lunch แล้วถ้าอยากจะคุยกันชั้นอีกก็ให้เบอร์ตรงของชั้นไปก็แล้วกัน

ตั้งแต่นั้นมาเรื่องนี้เลยกลายเป็นเรื่องแซวในที่ทำงานว่าเมลยังหลอกเอ๊าะเอ๊าะได้เหมือนกันทางโทรศัพท์แถมยังเป็น young lady ที่ลูกค้าหลายคนถามหา แม้กระทั่งออกจากแผนกไปแล้วก็ตาม แต่ถ้ามาเจอต้วจริงก็คงเผ่นหนีกันไปตามๆ

บางทีต้องโทรติดต่องานราชการที่นี่ก็ต้องบอกเบอร์ social security numbers โดยเริ่มจากปี เดือน วันแล้วตามด้วยเลขรหัส มีอยู่ครั้งหาว่าเราไม่อยู่ในระบบก็มันจะมีได้ยังไง เราบอก 55 แต่เพื่อนเล่นพิมพ์เป็น 75 นะซี่ เลยเดี๋ยวนี้ต้องใช้วิธีบอกเสร็จแล้วพูดว่าขอทบทวนนะคะบอกเลขทีละตัวไปเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคอยอีก

โอ๊ยตายแล้วเพิ่งจะมาเห็นว่าเขียนมาซะยาวยืดโทษทีนะคะเขียนเพลิน




 

Create Date : 06 มีนาคม 2552
7 comments
Last Update : 30 มกราคม 2553 4:33:31 น.
Counter : 613 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะ

เราว่าเจ้าของบล็อกหน้าตายังเอ๊าะอยู่เลยจ้า

น่ารักสดใสด้วยจ้ะ

ขอบคุณที่ไปเยี่ยมกันนะค๊า

Photobucket


 

โดย: fleuri 6 มีนาคม 2552 6:51:12 น.  

 

เล่าได้สนุกดีค่ะ จงภูมิใจในความเอ๊าะของตนเองนะคะ

 

โดย: pinkyrose 6 มีนาคม 2552 10:22:03 น.  

 

อยู่เมืองนอกเหรอคะ อยู่ที่ไหนบ้าง มีอะไรน่าเที่ยวบ้างค๊ะ เรื่องน้ำใจในการรับโทรศัพท์นี่เป็นปัญหาโลกแตก แต่เราก็ชอบรับน๊ะ แต่ถ้ามีสายโทรเข้าบ่อยก็คงอารมณ์เสียเหมือนกันแหละ

 

โดย: skylion 6 มีนาคม 2552 10:59:40 น.  

 

น่าภูมิใจจังน่าเอ๊าะ

 

โดย: คุณนายทหารเรือ 6 มีนาคม 2552 11:56:07 น.  

 

อิอิ

 

โดย: Bramasole 6 มีนาคม 2552 16:03:36 น.  

 

5555555 ตลกมากเลยครับ
ยังเอ๊าะๆ อยู่จริงๆ โดยเฉพาะเรื่องรับโทรศัพท์เพื่อนแฟนเนี่ย เล่นเอาผมขำเลยอ่ะ

ขอบคุณมาก ๆ ที่อ่านบล๊อคผมนะครับ ความจริงก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากระบายเฉย ๆ น่ะครับมันเลยดูตรง ๆ ไปหน่อยน่ะครับ

ปล. ผมจะติดตามต่อนะ คิดว่าชีวิตพี่นี่เอามาเขีนเป็นหนังสือได้เลยนะครับเนี่ย

 

โดย: EDDY_TG 6 มีนาคม 2552 21:26:57 น.  

 

 

โดย: ขุนพลน้อยโค่วจง 7 มีนาคม 2552 1:48:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Mellitus
Location :
กาญจนบุรี Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




ขอปรับปรุงข้อมูลของตัวเองซักหน่อยเอาเป็นว่าเป็นคนไทยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสวีเดนมานานพอสมควรและชอบกับระบบและวัฒนธรรมของสวีเดนจึงทำให้เข้ากับชีวิตประจำวันของตัวเองได้ดีทีเดียว

เป็นคนเกิดที่จังหวัดกาญจนบุรีแต่มาแก่อยู่ที่กรุงสต๊อกโฮล์ม อายุเริ่มมากแล้วแต่จิตใจยังวัยรุ่นอยู่เพราะไม่มีเวลาที่จะมากังวลเรื่องความแก่ ถ้าคิดว่าตัวเองแก่มันก็แก่อย่างที่คิด
กำลังคิดที่จะเขียนประวัติย่อๆของตัวเองเพราะมีน้องคนหนึ่งเขียนถามมา ที่จริงไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยเท่าไร เพราะชีวิตจริงไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นแต่อาจจะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย เพราะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งที่ทำงานและในยามว่าง ไม่ค่อยมีคนไทยเป็นเพื่อนเนื่องจากเป็นคนตรงและปากเสีย เลยคนส่วนใหญ่ไม่อยากจะคบ ไม่เคยเกรงกลัวคนประเภทโอ่ๆทั้งหลาย เคยทำงานที่ Office of Commercial Affairs มาก่อน (เดี๋ยวนี่คงจะไม่มีแล้วในสวีเดน ไม่ทราบเหมือนกัน) เจอประเภทพวกใหญ่ๆโตๆทั้งหลายที่มาสวีเดนมาแล้วทำตัวเหมือนเจ้าแล้วมองคนอื่นเหมือนทาส เลยเบื่อและออกห่างจากสังคมไทยมานานเกือบ 20 ปีแล้วเนื่องจากเห็นมาเยอะ เกลียดคนที่ชอบเลียก้นนักการเมืองและผู้ที่มีอิทธิพลทั้งหลาย วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยไม่เคยลืมแต่จะใช้และแสดงออกก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามสมควรที่จะได้รับ



Locations of visitors to this page







Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mellitus's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.