นี่แหละคือโรงพยาบาลในสวีเดน



ขอระบายสักหน่อยคือเมื่อ 2 วันก่อนได้มีโอกาสย่างเท้าเข้าโรงพยาบาลของสวีเดนหลังจากห่างเหินไปเกือบ 10 ปี ที่ต้องไปเพราะสถานพยาบาลของที่ทำงานไม่มีเวลาจองฉุกเฉินในวันนั้นและหมอประจำที่เคยหามีเวลาให้อีก 4 วันข้างหน้าพยาบาลก็เลยแนะนำให้ไป emergency เล็กๆของเขตที่อาศัยอยู่ซึ่งอยู่ในเขตของโรงพยาบาลของรัฐนั่นแหละ แต่ไม่ใช่เป็น emergency ของโรงพยาบาลโดยตรง ที่นี่จะรับคนไข้เฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตนั้นเท่านั้น

ออกจากบ้านตั้งแต่ 8 โมงเช้าโชคดีมีคนรออยู่ก่อนเพียงแค่ 3 คนนึกในใจว่าทำไมวันนี้คนน้อยจังคนที่รอก่อนหน้าเข้าไปพบหมอได้ประมาณ 5 นาทีก็ออกมาพร้อมกับกระดาษหนึ่งใบ ถึงตาเราบ้างหมอก็จับมือทักทายตามอัธยาศัยแล้วก็ถามว่าจะให้ช่วยอะไร เราก็บอกว่าอาการไป หมอก็ให้เราอ้าปากเอาไม้กดที่ลิ้นแล้วก็ให้ออกเสียงอาาาาา เสร็จแล้วก็เอาหูฟังตรวจที่หลังแล้วก็นั่งพิมพ์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เราก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะไม่ได้พูดอะไรแล้วหมอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ก็เลยเอ่ยขึ้นว่าได้ซื้อยาโรคภูมิแพ้และยาแก้ไอจากร้านขายยาแต่มันไม่ช่วยอะไร หมอก็ตอบว่าลองยาที่สั่งให้อาจจะดีขึ้น

เราก็รับกระดาษมาอ่านแล้วก็บอกว่าเราเป็น allergic asthma ด้วยและต้องการยา xxxxx เพิ่ม หมอก็เขียนใบสั่งยาเพื่ม ความที่เหนื่อยและเพลียเนื่องจากไม่ได้นอนทั้งคืนหัวสมองเลยไม่ค่อยทำงาน อะไรที่ควรจะถามก็เลยลืมไปเลย ไอ้ที่จะให้หมอเจาะเลือดเช็คดูว่าตอนนี้แพ้อะไรบ้างเพราะครั้งสุดท้ายที่เช็คมันก็นานกว่า 7 ปีแล้วก็ลืมบอกหมออีก ดีที่ว่าก่อนออกจากบ้านดูชื่อยาที่เคยได้จากหมอที่ทำงานไปก่อนแล้วถึงจำได้

ได้ใบสั่งยาเสร็จก็ตรงไปร้านขายยาในโรงพยาบาลเลยถามคนขายยาว่ายาชนิดเดียวกันขนาดเดียวกันกับที่เคยซื้อในร้านขายยากับที่หมอเขียนใบสั่งยาให้มันต่างกันตรงไหน คนจ่ายยาก็บอกว่าตัวยาต่างกันนิดหน่อย เราก็เลยพูดกับคนจ่ายยาว่า ที่จริงเรายังขาดยาอีกอย่างหนึ่งแต่ทำไมหมอไม่เขียนให้ก็ไม่รู้เพราะเวลาเป็น asthma เคยใช้ยาที่เป่าให้หลอดลมขยายและอีกอย่างเป็น cortisone ที่สูดเข้าไปทางปาก เธอก็เลยเช็คชื่อหมอแล้วก็บอกว่าไม่เคยเห็นชื่อหมอคนนี้มาก่อน เธอก็เลยแนะนำให้ลองกลับไปหาหมออีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เราก็เลยบอกว่าคงจะไม่มาเสียเงินหาหมอแบบนี้อีกหรอก

กลับถึงบ้านนอนต่อแล้วก็นึกโมโหตัวเองว่าไปหาหมอแล้วต้องบอกหมอว่าเราต้องการยาอะไรแทนที่หมอควรจะต้องถามว่าเป็นมานานรึยังเคยใช้ยาอะไรมาบ้าง นี่แหละคือการไปหาหมอที่นี่ บางครั้งต้องเรียนรู้เองหาอ่านเองทางอินเทอร์เนทบ้างว่าอาการที่เกิดขึ้นมันอาจจะเป็น symptom ของโรคอะไรควรมีวิธีระงับหรือป้องกันเบื้องต้นอย่างไรบ้าง เวลาไปหาหมอจะได้ไต่ถามได้ถูกต้อง

ที่นี่จะพยายามกันไม่ให้คนไปโรงพยาบาล การไปหาหมอต้องมีเวลานัด ถ้าเกิดมีอาการทันด่วนก็ต้องไป emergency แล้วก็ต้องนั่งรออีก 3-4 ชั่วโมงกว่าจะได้พบหมอ เมื่อไม่นานนี้มีข่าวออกหน้าหนังสือพิมพ์ถึงเรื่องที่มีเด็กคนหนึ่งเสียชีวิตลงเพราะแม่มัวแต่ฟังพยาบาลที่ให้การแนะนำทางโทรศัพท์ว่าควรจะทำอย่างไร จนแม่ของเด็กเมื่อเห็นลูกของเธอมีอาการตัวเขียวถึงได้ตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลแต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะเด็กได้เกิดเสียชีวิตลงเมื่อไปถึงโรงพยาบาล หนังสือพิมพ์เลยลงประโคมว่าถ้าเจ็บป่วยขึ้นมาให้ไปโรงพยาบาลเลยไม่ต้องโทรหาคำแนะนำจากโรงพยาบาลไหน

ทุกวันนี้ทั้งสื่อมวลชนและประชาชนส่วนใหญ่ได้โจมตีถึงด้านสาธารณสุขว่าแย่ลงทุกวันเพราะภาครัฐตัดงบประมาณลง สวีเดนมีชื่อเสียงในต่างประเทศเกี่ยวกับด้านยา การวิจัยและค้นคว้า แต่เรื่องการให้การรักษาคนในประเทศกลับแย่ลง การผ่าตัดถ้าไม่เป็นการรีบด่วนก็ต้องรอเป็นเดือน คนที่ได้รับการผ่าตัดภายใน 6 เดือนก็นับว่าบุญโขแล้ว

ถ้าคนที่ใกล้จะตายเช่นได้รับอุบัติเหตุอย่างสาหัสนั่นแหละถึงจะมีโชคดีได้รับการรักษาอย่างฉับพลัน หมอที่นี่ก็ขาดแคลนต้อง Import หมอจากยุโรปตะวันออกเข้ามา หมอที่เราพบก็ไม่ใช่คนสวีดิชเพราะพูดภาษาสวีดิชยังไม่ชัดชื่อ Said Gacanin ไม่รู้ว่ามาจากประเทศไหน

นี่คงจะต้องโทรนัดหมอที่ทำงานและต้องเสียเงินค่าพบหมออีกรอบเพราะอย่างน้อยเขาก็มี journal ของเรามาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว

ที่แปลกคือที่นี่ไม่มีคลีนิคหมอส่วนตัวเหมือนเมืองไทย จะมีก็แต่คลีนิคหมอฟันกับคลีนิคหมอศัลยกรรมที่เกี่ยวกับการเสริมสวย ทุกวันนี้ก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เจ็บป่วยหนักหนาอะไรเลยเพราะไม่ได้มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่นี่ พยายามเช็คร่างการตัวเองทุกครั้งที่กลับเมืองไทย

ลืมเล่าให้ฟังว่าเมื่อ 2-3 ปีก่อนโรงพยาบาล Bangkok Phuket Hospital ที่ภูเก็ตได้ทำสัญญากับบริษัทของสวีเดนบริษัทหนึ่งมาเปิด Reception ชั่วคราวที่สต๊อกโฮล์มไม่ได้ทำการรักษาที่นี่แต่เพียงให้พบปะกับคนไข้ชาวสวีดิชที่พอมีฐานะดีต้องการรักษาหรือทำการผ่าตัดเช่นตาหรือกระดูกสะโพกโดยไม่จำเป็นต้องรอนานอย่างที่สวีเดน เพราะคนที่มีเงินที่นี่ต้องรอเหมือนกับคนอื่นๆทั่วไป คนสวีดิชทราบถึงคุณภาพและความสามารถของแพทย์และพยาบาลไทยเมื่อครั้งที่เกิดซึนามิ ไม่ทราบว่ามีคนสวีดิชมากแค่ไหนที่เดินทางไปผ่าตัดที่เมืองไทยเพราะไม่ได้ยินข่าวอีกเลย

อย่างน้อยในเมืองไทยการรักษาพยาบาลก็ยังมีให้เลือกทั้งโรงพยาบาลของรัฐและของเอกชนสำหรับคนที่มีเงิน แต่ถ้าเป็นคนจนมันก็คงเหมือนหมดคือไม่มีสิทธิเลือก แต่ที่สวีเดนคนจนคนรวยร้องเพลงเดียวกันคือรอแล้วรออีก






Create Date : 30 พฤษภาคม 2552
Last Update : 30 พฤษภาคม 2552 8:38:52 น. 9 comments
Counter : 3803 Pageviews.

 
อ่านแล้วรู่สึกว่าการรักษาพยาบาลของเมืองไทยเนี่ย
ดีกว่ากันเยอะเลยค่ะ (ถึงแม้จะมีคนบ่นให้ฟังหรือออก
ข่าวทางทีวีบ้างเป็นบางครั้งว่ารักษาไม่ดี)

อ่านมาก็หลายบล็อกเกี่ยวกับการรักษาของเมืองนอก
ทำให้รักโรงพยาบาลเมืองไทยขึ้นเยอะเลยค่ะ

(ปล. ถึงแม้ตัวเราจะมีปัญญาแค่รักษาโรงพยาบาลรัฐ
ก็เถอะ )

แต่อ่านแล้วก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้ค่ะว่าถ้าเราเกิด
เจ็บป่วยต้องไปโรงพยาบาลขึ้นมาเนี่ย จะต้องรอนัดล่วงหน้านานแค่ไหน


โดย: อารีรัตน์ วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:9:16:41 น.  

 
คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ
ที่เดนมาร์กจาเป็นแบบนี้มั๊ยเยี่ย


โดย: หนูดำจำมัย วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:51:46 น.  

 
อ่านแล้วอึ้งค่ะ ไม่นึกว่าที่สวีเดนจะเป็นขนาดนี้ แสดงว่าเมืองไทยสบายกว่ากันเยอะเลยค่ะ

เมื่องไทยมักจะมีปัญหากับคนยากจนที่ไม่มีเงินรักษาในโรงพยาบาลเอกชนดีๆ และก็พวกโรงพยาบาลรัฐใหญ่ๆที่มีบรรดาอาจารย์หมอเก่ง คนไข้ต้องเข้าคิวกันแต่เช้ามืดแต่อาจจะไม่ได้คิวตรวจ ถ้าเป็นผ่าตัดก็ต้องรอกันเป็นแรมเดือนเหมือนกัน เหตุเพราะเตียงหรือห้องพักมีจำนวนจำกัด ทางที่ดีก็คือพยายามอย่าให้เป็นโรคดีกว่าค่ะ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คงต้องทำใจและพยายามหาทางรักษาเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อน

ขอขอบคุณที่แวะมาอวยพรวันเกิดและเอาใจช่วยเรื่องคุณแม่นะคะ

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ
[ของตกแต่งโดนๆคลิกเลย]


โดย: pinkyrose วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:9:26:35 น.  

 
สวัสดีค่ะ
แวะมาชมบ้านและขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมค่ะ
เห็นด้วยค่ะว่าระบบการรักษาของโรงพยาบาลที่นี่แย่กว่าเมืองไทยมาก และทุกคนเสมอภาคกันจริงๆ จะจนหรือรวยก็รอหมอนานเท่ากัน เพราะไม่มีคลีนิกนอกเวลาเหมือนบ้านเรา
เวลาป่วยต้องนัดหมอก่อน ไม่หนักจริงๆก็ร้องเพลงรอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้พบหมอ หรือจนหายป่วย หรือไม่ก็หายไปจากโลกเลย
ดังนั้น อยู่นี่ต้องห้ามป่วยค่ะ


โดย: สวยสุดซอย วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:3:56:49 น.  

 
ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมนะคะ
ตอนนี้กำลังเรียนภาษารอสอบอยู่ค่ะ กะว่าจะพยายามสอบก่อนตุลาค่ะ เพราะอยากลาออกตอนสิ้นปีเพราะอยากได้โบนัสก่อน

อยากไปเที่ยวสวีเดนเหมือนกันค่ะ


โดย: อารีรัตน์ วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:14:22:57 น.  

 
เดนมาร์ก หมอไม่จ่ายยาค่ะ บอกว่าหวัดจะหายไปเอง


โดย: หนูดำจำมัย วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:21:09:04 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: pinkyrose วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:20:45:53 น.  

 
ขอโทษนะค่ะคือมีเรื่องสงสัยรบกวนขอถามหน่อย พอดีมีพี่สาวทำงานอยู่ ที่สวีเดน แล้วไม่สบายตอนนี้ไม่รู้เป็นไงเพราะติดต่อไม่ได้ โทรไปเพื่อนเค้ารับบอกเราว่า ฟโรงพยาบาลที่นั้นห้ามพกโทรศัพท์ไว้ จริงไหมค่ะ รบกวนช่วยตอบหน่อยค่ะ


โดย: เนเน่ IP: 101.108.16.111 วันที่: 3 มกราคม 2556 เวลา:20:44:44 น.  

 
ต้องขอโทษด้วยค่ะน้องเนเน่ที่ตอบช้าเพราะไม่ได้เข้า blog ของตัวเองเป็นเวลานานค่ะ ขอตอบว่าเป็นเรื่องจริงค่ะที่เวลาอยู่ในโรงพยาบาลที่สวีเดนห้ามใช้มือถือเพราะจะมีป้ายห้ามเนื่องจากว่าสัญญาณอาจจะไปกระทบกับการสื่อสารและอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือของทางโรงพยาบาลค่ะ คงอาจจะคล้ายกับเวลาที่เรานั่งอยู่บนเครื่องบินนั่นแหละค่่ะ


โดย: Mellitus วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:6:37:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mellitus
Location :
กาญจนบุรี Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




ขอปรับปรุงข้อมูลของตัวเองซักหน่อยเอาเป็นว่าเป็นคนไทยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสวีเดนมานานพอสมควรและชอบกับระบบและวัฒนธรรมของสวีเดนจึงทำให้เข้ากับชีวิตประจำวันของตัวเองได้ดีทีเดียว

เป็นคนเกิดที่จังหวัดกาญจนบุรีแต่มาแก่อยู่ที่กรุงสต๊อกโฮล์ม อายุเริ่มมากแล้วแต่จิตใจยังวัยรุ่นอยู่เพราะไม่มีเวลาที่จะมากังวลเรื่องความแก่ ถ้าคิดว่าตัวเองแก่มันก็แก่อย่างที่คิด
กำลังคิดที่จะเขียนประวัติย่อๆของตัวเองเพราะมีน้องคนหนึ่งเขียนถามมา ที่จริงไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยเท่าไร เพราะชีวิตจริงไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นแต่อาจจะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย เพราะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งที่ทำงานและในยามว่าง ไม่ค่อยมีคนไทยเป็นเพื่อนเนื่องจากเป็นคนตรงและปากเสีย เลยคนส่วนใหญ่ไม่อยากจะคบ ไม่เคยเกรงกลัวคนประเภทโอ่ๆทั้งหลาย เคยทำงานที่ Office of Commercial Affairs มาก่อน (เดี๋ยวนี่คงจะไม่มีแล้วในสวีเดน ไม่ทราบเหมือนกัน) เจอประเภทพวกใหญ่ๆโตๆทั้งหลายที่มาสวีเดนมาแล้วทำตัวเหมือนเจ้าแล้วมองคนอื่นเหมือนทาส เลยเบื่อและออกห่างจากสังคมไทยมานานเกือบ 20 ปีแล้วเนื่องจากเห็นมาเยอะ เกลียดคนที่ชอบเลียก้นนักการเมืองและผู้ที่มีอิทธิพลทั้งหลาย วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยไม่เคยลืมแต่จะใช้และแสดงออกก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามสมควรที่จะได้รับ



Locations of visitors to this page







Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
30 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mellitus's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.