~@-@~ ซัวสเดยเมืองปราสาทหิน ~@-@~
ความเรียงเรื่องนี้เราเขียนและโพสต์บน "ถนนนักเขียน/พันทิปดอทคอม" เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2545 เล่าเรื่องราวที่ได้ซื้อทัวร์พาแม่ไปเที่ยวนครวัด-นครธมในวันที่ 4 - 6 พฤษภาคม 2545 เขียนไว้ค่อนข้างละเอียดเหมือนกันค่ะ เพราะไปแค่สามวัน พอจะเล่าเรื่องไปเที่ยวลาวในบล็อกก็รู้สึกเสียดายเรื่องนี้ เลยนำมาแปะไว้ในบล็อกก่อนแบบไม่มีการตัดตอน เวลาผ่านไปสามปี เรื่องบางเรื่องอาจล้าสมัยไปบ้าง ข้อมูลก็เปลี่ยนไป อย่าถือสานะคะ และที่สำคัญ ตอนนั้นยังไม่มีกล้องดิจิตอล และแม้ว่าตอนนี้จะมีเครื่องสแกนรูปก็เกิดอาการไม่ขยันซะอย่างนั้น เลยขอส่งนางอัปสรจากนครวัดมารับรองแค่รูปเดียวนะคะ สำหรับเรื่องไปเที่ยวลาวขอบอกว่ารูปเพียบ ( แต่เนื้อหามีติ๊ดเดียว ฮี่ๆๆ )

Create Date : 29 ธันวาคม 2548 |
|
8 comments |
Last Update : 29 ธันวาคม 2548 15:16:32 น. |
Counter : 842 Pageviews. |
|
 |
|
~@-@~ ซัวสเดยเมืองปราสาทหิน ~@-@~
ซัวสเดย แปลว่า สวัสดี อย่าเพิ่งงงว่าเป็นภาษาอะไร แต่น แต๊น ภาษาเขมรจ้า แต่ได้แค่คำเดียวเท่านั้นแหล่ะ อย่านึกว่าโอ้โฮจะเก่งกาจจนสามารถพูดได้อีกภาษา อิอิ ที่เอ่ยทักทายเช่นนี้ เพื่อจะบอกว่าเมื่อวันที่ 4-6 พฤษภาคมที่ผ่านมา โอ้โฮพาแม่ไปเที่ยวเขมรมาจ้า ประทับใจสุดๆ จึงอยากนำเรื่องราวที่ได้พบเห็นมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ
@ ก่อนไปเขมร @
การพาแม่ไปเที่ยวไกลๆ เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่ฉันตั้งใจไว้ว่าจะทำให้ได้ ในช่วงเวลาที่ว่างหลังจากออกจากงานและก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิดเทอม ดังนั้นจึงไม่รอช้าที่จะนำความไปหารือกับแม่
"ก่อนเปิดเทอม อ้อว่างแล้ว ไปเที่ยวกันดีมั้ยแม่"
"เอาซิ ไปไหนดี แต่เอาเลือกที่เก๋ๆ แปลกๆ หน่อยนะ" แม่แจ้งความประสงค์มาแบบนี้ ทำให้ฉันต้องกุมขมับเล็กน้อย เข้าใจล่ะว่าเก๋และแปลกของแม่นั้นต้องรวมเรื่องงบประมาณที่ไม่สูงเกินไปนักด้วย
"เขมรดีมั้ยแม่ ไปดูนครวัด-นครธม เขาว่ากันว่า -นครวัด- เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วยนะ" ฉันชักชวนหลังจากค้นหารายการท่องเที่ยวที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับแล้ว "ตอนนี้เขากำลังโปรโมททัวร์ไปเขมร ไปทางรถยนต์ ราคาไม่แพงด้วย"
พอได้ยินแค่ว่า "สิ่งมหัศจรรย์ของโลก" และ "ราคาไม่แพง" เท่านั้น แม่ก็ตกลงทันที
เมื่อเราตกลงกันได้แล้วว่าเราจะไปทัวร์เขมรกัน ฉันก็เริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมมาอ่านประกอบ เพราะการเดินทางไปท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์ โดยมากจะเป็นทัวร์แวะ ทัวร์นั่งรถชม กล่าวคือ ไปกับกลุ่มคนอื่นหลายคน ไม่อาจใช้เวลากับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งได้นาน และสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งก็ต้องชมผ่านทางหน้าต่างรถ ดังนั้น การได้อ่านข้อมูลก่อน จะทำให้เรามีความเข้าใจ และชมสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ ได้อย่างมีอรรถรสมากยิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูลที่สำคัญที่ฉันค้นหาได้ก็คือ หนังสือ ซึ่งฉันก็แว่บเข้าไปหาอ่านที่หอสมุดของมหาวิทยาลัย เวบไซต์ และข้อมูลจากบริษัททัวร์ต่างๆ ก่อนที่จะเลือกว่าจะไปกับบริษัททัวร์รายไหน ซึ่งก็ไม่ได้อาศัยเงื่อนไขอะไรมากมาย นอกจากคุยกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทแล้วถูกชะตา แค่ฟังเสียงเท่านั้นล่ะค่ะ บางคนก็พูดเหมือนไม่ต้องการลูกค้า ฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่บางคนก็ตามจี้จนฉันกลัว
เนื่องจาก "เขมร" หรือประเทศกัมพูชา เป็นประเทศที่อยู่ติดกับประเทศไทย จึงตัดปัญหาเรื่องการเตรียมเครื่องแต่งกายให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศไปได้ หลังจากที่เลือกได้บริษัทแห่งหนึ่งที่ถูกชะตา และราคาเหมาะสมแล้ว นัดให้มารับพาสปอร์ตเพื่อขอวีซ่าเข้าประเทศ และจ่ายเงินค่าทัวร์แล้ว ฉันก็บอกกับแม่ว่า "เราพร้อมที่จะไปเที่ยวเขมรกันแล้ว"
@ วันแรกของทัวร์ - 4 พฤษภาคม @
วันนี้แม่ตื่นเต้นมาก นอนไม่หลับ ปลุกให้ฉันและน้องชาย ( ซึ่งจะขับรถไปส่งที่ที่นัดหมายให้ ) ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ซึ่งก็เป็นปรกติ เวลาจะไปไหน ใกล้ไกล แม่จะเกิดอาการเช่นนี้เสมอ และยิ่งตื่นเต้นหนักขึ้นไป เพราะในเช้าวันนี้ ฝนตก แง... จะไปเที่ยวแล้วทำไมฝนตก แต่ก็ได้แต่หวังว่าจะตกเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น
คณะทัวร์ที่นัดพบกันที่กรุงเทพฯ มีเพียง 8 คนเท่านั้น ทางบริษัททัวร์จึงให้พวกเราเดินทางไปถึงอรัญประเทศโดยรถตู้ปรับอากาศ พอฉันรู้ว่าคณะทัวร์ที่ไปด้วยมีจำนวนเท่าไร ฉันก็นึกกระหยิ่ม อิอิ มีน้อย ไม่วุ่นวายดี ชอบ แล้วก็เกิดอาการห่อเหี่ยวเล็กๆ เมื่อรู้จากเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์ว่าจะไปรวมกับอีกหนึ่งกลุ่มที่ตลาดโรงเกลือ ทำให้ทริปนี้จะมีสมาชิกถึง 19 คน หุหุ ไม่เป็นไรหรอก ไปกันหลายๆ คนก็สนุกไปอีกแบบ <--- แบบว่าปลอบใจตัวเองค่ะ
ระหว่างเดินทาง ฝนหยุดตกแล้ว ดีจริงๆ แถมยังอากาศไม่ร้อนอีกด้วย คณะทัวร์ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงตลาดโรงเกลือ อรัญประเทศ ประมาณสามชั่วโมงครึ่ง ก็แวะพักเหนื่อย และเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่รอรวมกับอีกหนึ่งกลุ่ม หลังจากนั้นคณะทัวร์ทั้งหมดก็เดินขบวนเข้าแถวกันไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองของเขมร ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร เพราะในวันนั้น มีคนเดินทางไปเที่ยวกันเยอะมากกกก ยังไม่นับพวกที่ไปเช้าเย็นกลับอีกนะคะ
หลายท่านอาจจะสงสัยว่าพวกที่ไปเช้าเย็นกลับ เขาไปทำไมกัน ไม่ต้องแปลกใจหรอกค่ะ เขาข้ามไปคาสิโนกันค่ะ ซึ่งบริเวณ "ปอยเปต" นั้นมีอยู่ประมาณ 7 แห่ง หรูหรา และเป็นตึกใหญ่โตเชียวแล อาหารมื้อแรก ซึ่งเป็นมื้อเช้า + เที่ยง ของคณะทัวร์ ก็เป็นห้องอาหารในบ่อนคาสิโนค่ะ ระหว่างที่รอเรื่องเอกสารเข้าเขมรเรียบร้อย เขาก็ให้พวกเราหย่อนใจกับบ่อนนั่นแหล่ะค่ะ ฉันก็ลองเล่นสล็อต เพราะความอยากรู้มากกว่าอยากได้ และก็ได้เสริมความมั่นใจให้กับตัวเองว่า "ชาตินี้ฉันไม่ถูกกับพวกลาภลอย ล็อตเตอรี่ และการพนันทุกชนิด" ยิ่งขึ้น
หลังจากพักผ่อนหย่อนใจ และหายเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว คณะทัวร์ก็มารวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนเป็นรถปรับอากาศ
"เข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยนะคะ เพราะตลอดทางจากปอยเปตนี่ไปจนถึงศรีโสภณ จะไม่มีห้องน้ำเลย มีแต่ทุ่งนาโล่งๆ" ไกด์สาวบอกกับทุกคน
"จากนี่ไปไกลมั้ยคะ" ฉันถาม
"150 กิโลค่ะ"
ฮืมม 150 กิโล เอง....ฉันคิด
"แต่ใช้เวลาเดินทางเกือบสี่ชั่วโมงกว่าๆ"
หา...สี่ชั่วโมงกว่าๆ กับระยะทางแค่ 150 กิโลเมตร โฮ่ๆๆๆ ไม่อยากจะนึกเลยว่าเส้นทางจากปอยเปต ผ่านศรีโสภณ ไปจนถึงเสียมเรียบ เมืองที่เราจะไปพักและท่องเที่ยวกันนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร
@ ปอยเปต-ศรีโสภณ-เสียมเรียบ @
เพราะคำกล่าวเตือนของไกด์สาวเหมือนกับคำขู่ ทำให้แม่ต้องรีบไปเข้าห้องน้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เลยทำให้เราทั้งคู่ไปขึ้นรถปรับอากาศเป็นคู่สุดท้าย และก็ได้ที่นั่งเป็นเบาะหลังท้ายสุด
"มีที่นั่งข้างหน้าทีหนึ่ง ว่างนะแม่ ไปนั่งมั้ย"
"ไม่เป็นไร แม่ชอบนั่งหลังรถ"
ใช่แล้ว...เวลานั่งรถตู้ แม่ชอบนั่งหลังรถตลอด ฉันก็ไม่อยากแย้งให้เอิกเกริกว่านั่งหลังรถกับเส้นทางในเขมรมันไม่เหมือนนั่งที่บ้านเรานะ เอาก็เอา แม่บอกว่าไหว ฉันก็ไหวตามแม่ นั่งได้อยู่แล้ว
รถปรับอากาศของท้องถิ่นดังกล่าวเป็นรถคล้ายๆ รถมินิบัสค่ะ แต่คันใหญ่กว่า มีที่นั่งประมาณยี่สิบกว่าๆ ที่นั่ง ( ที่บอกว่า "กว่าๆ" คือ ฉันนับได้ไม่แน่นอนค่ะ จะมีเก้าอี้เสริมที่พับเก็บตามซอกอีก )
รถคันดังกล่าวพาคณะทัวร์ไปตามถนนหมายเลข 6 จากโปรแกรมทัวร์จะบอกไว้ว่า "สภาพถนนจะเป็นถนนราดยางและมีลูกรังเป็นบางช่วง ผ่านบรรยากาศ แบบธรรมชาติ บริสุทธิ์ และสดชื่น" และจากการเดินทางจริงๆ ทำให้ฉันเห็นว่าควรเปลี่ยนรายละเอียดสักเล็กน้อย เป็น สภาพถนนจะเป็นถนนลูกรัง และมีราดยางเป็นบางช่วง จะเหมาะกว่า อิอิ เพราะว่าเป็นถนนราดยางที่ยางหมดไปตั้งแต่ช่วงกิโลเมตรแรกๆ บางช่วงที่ยังมียางเหลือถึงค่อยนำมาลาดถนน ระหว่างทางก็มีคนงานจำนวนหนึ่งมาช่วยกันเรียงหินก้อนใหญ่ ๆ ทำถนน เขาบอกว่าเรียงให้รถวิ่งก่อนถ้ามียางเหลือแล้วค่อยว่ากันใหม่
"นี่ยังดีนะคะ ที่มาเที่ยวกันตอนนี้ ถ้าเลยออกไปอีกนิด จะเป็นหน้าฝน ถนนจะแย่กว่านี้ ค่ารถมาจากปอยเปตจะแพงขึ้นเป็นสองเท่า บางคันก็ไม่กล้ามา เขากลัวรถของเขาจะพัง" โฮ่ๆๆๆ ไกด์สาวประจำทริปเข้าใจให้กำลังใจลูกทัวร์
นอกจากสภาพถนนจะเป็นถนนราด "ยางหมด" แล้ว ทางจากศรีโสภณไปเสียมเรียบ ยังมีสะพานเยอะมากกกก สะพานเล็ก สะพานน้อย สะพานกลาง ไปจนถึงสะพานเหล็ก ซึ่งฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าสร้างสะพานมากมายเช่นนี้เพื่ออะไรกัน คงต้องหาข้อมูลอ่านเพิ่มเติมอีกครั้ง
"เคยมีนะคะที่รถบรรทุกของไปขายที่ชายแดน ยางแตกอยู่กลางสะพาน รถอีกทางก็สวนมาไม่ได้ จะเสียเวลามาก และเจ้าของรถก็ไม่ยอมให้เลื่อนรถเด็ดขาด จนกว่าเจ้าหน้าที่ราชการจะมาดู เพราะว่าถ้าเลื่อนรถเอง ก็ต้องขนของลงจากรถ ซึ่งขนของลงเมื่อไร ของเป็นหายหมด ทั้งๆ ที่รอบข้างก็เป็นทุ่งนาโล่งๆ ไม่รู้ว่าคนจากไหนมาช่วยขนของ" คุณไกด์เธอว่า
หากผู้อ่านท่านใดนึกสภาพการเดินทางบนถนนสายนี้ไม่ออก ฉันอยากให้นึกถึง "จานดิสโก้" ค่ะ คงเคยเล่นกันนะคะ ที่เป็นลานกลมๆ ผู้เล่นก็จะขึ้นนั่งและจับราวรอบด้านไว้ให้แน่น และจานกลมนี่ก็จะคอยเหวี่ยง คอยสะบัดให้ผู้เล่นเสียหลักหลุดออกจากราวเหล็ก ซึ่งจานดิสโก้ในสวนสนุกจะจำกัดเวลาเล่นไม่กี่นาทีก็เลิก แต่ฉัน แม่ และคณะทัวร์ได้เล่นจานดิสโก้ติดต่อกันสี่ชั่วโมงกว่าๆ แหะ แหะ นึกภาพออกแล้วใช่มั้ยคะว่าเป็นอย่างไร
ระหว่างทาง คุณไกด์ประจำทริป และผู้ช่วยชาวเขมร ก็คอยชี้ชวนให้ดูทิวทัศน์รอบข้าง ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเป็นทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ฟ้าใสๆ และฝุ่นแดงๆ ก็คล้ายกับเวลาที่เรานั่งรถออกจากกรุงเทพไปต่างจังหวัดนั่นแล แต่ฉันก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า รอบข้างเป็นทิวทัศน์ที่เป็นธรรมชาติจริงๆ ไม่มีเสาไฟฟ้าให้เห็นเกะกะ บ้านเรือนที่นานๆ จะเห็นสักหลัง พอๆ กับโรงเรียนที่มีน้อยกว่าน้อย และนักเรียนไม่ว่ารุ่นไหนก็ใช้วิธีเดินกันเป็นกิโลๆ ทั้งนั้น
นักเรียนคนใดที่มีจักรยานเป็นของตัวเอง เรียกว่าสุดโก๋ และรวยสุดๆ ก็ว่าได้
นอกจากทุ่งนาแล้วยังมีดงตาล ( ชาวเขมรเรียกว่าโตนด ) ให้เห็นเป็นบางช่วง คุณไกด์เล่าให้ฟังว่า ดงตาลทั้งหลายนี้นับว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เขมรเชียว เพราะในช่วงที่เขมรแดงเรืองอำนาจมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก็ได้
ใบตาลนี่แหล่ะเป็นเครื่องมือ คือ ใช้ปาดคอ เหอ เหอ ฟังจากคุณไกด์เล่าแล้ว ก็ให้นึกเศร้าใจ ทุกวันนี้ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่าคนเราจะบ้าอำนาจได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
เมื่อฟังคุณไกด์เล่า ใจฉันก็คิดไปถึงเรื่องราวของคุณยาสิโกะ นะอิโต ผู้บันทึก "4 ปี นรกในเขมร" ( แปลโดย ผุสดี นาวาวิจิต ) เสียเฉยๆ ขนาดถนนสายนี้ คุณไกด์บอกว่าเป็นเส้นทางที่ดีขึ้นมากแล้ว และได้มีการเคลียร์กับระเบิดจนหมดแล้ว พวกเรายังสะบักสะบอมขนาดนี้ ถ้ามีชีวิตอยู่ในสมัยนั้นจะทุกข์กว่าเดิมขนาดไหน เฮ้อ.....เลิกนึกถึงเรื่องเศร้าเถอะค่ะ เพราะอย่างน้อยๆ ปัจจุบันนี้ การเมืองภายในเขมรก็คลี่คลายลงมาก และพร้อมจะเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมชมประเทศแล้ว เขาบอกว่าประเทศนี้ปลอดภัยแล้วจ้า ทำให้ฉันคิดต่อไปอีกว่า ถ้าเมื่อไรประเทศเขาส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น ทัวร์ครั้งหน้า ฉันจะไป เจืองเฮก หรือ ทุ่งสังหาร แหะ แหะ แต่ตอนนี้กลับมาทัวร์ครั้งนี้กันก่อนดีกว่านะคะ
และแล้วเวลา 16.00 น. คณะทัวร์ของเราก็เดินทางมาถึงโรงแรมสามดาวแห่งหนึ่งของเมืองเสียมเรียบได้อย่างที่ทุกคนไม่มีอาการบุบสลาย กระดูกกระเดี้ยวยังอยู่ครบ ไม่หลุดหายไปไหน
เมื่อฉันสำรวจสภาพร่างกายของแม่แล้ว ก็ ฮืมม สบายใจ แม่สบายดี อิอิ ก่อนมานี้ หลายคนถามว่าทำไมไม่เลือกมาเครื่องบินล่ะ สบายกว่ากันเยอะเลย ใช่ค่ะ สบายกว่า ก็ใช้เวลาเดินทางแค่ 30 นาที จากสนามบินดอนเมืองตรงเข้าเสียมเรียบเลย แต่ว่าค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงกว่าเดิมถึง 3 เท่า และที่สำคัญ เวลาเพียง 30 นาที บนที่นั่งอันเรียบสนิท สุดสบาย จะสร้างความประทับใจได้เท่ากับเล่นจานดิสโก้ 4 ชั่วโมง ผ่านทิวทัศน์อันบริสุทธิ์หรือ
คณะทัวร์มีเวลาพัก ล้างหน้าล้างตากันประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนจะมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อออกไปชมพระอาทิตย์ตกที่ "พนมบาเค็ง" โดยในการออกทัวร์ครั้งนี้ พวกเราได้ "คุณปวน" มัคคุเทศก์ชาวเขมรมาให้การต้อนรับและนำเที่ยว
คุณปวน ( เวลาเขาออกเสียงจะปนๆ กันระหว่าง ปวน กับ เปือน ค่ะ คงคล้ายๆ กับการออกเสียงตัว U ในภาษาฝรั่งเศสมั้งคะ เขียนเป็นตัวหนังสือไทยได้ยากยิ่งนัก ) เป็นไกด์เขมรที่เพิ่งแต่งงานมาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมนี่เอง แต่ไม่อาจหยุดไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ได้ เนื่องจากในช่วง 3 วันนี้ มีคณะทัวร์จากไทยมากันมาก จึงต้องขอแรงให้มาช่วยๆ กันหน่อย ที่สำคัญ กฎหมายการท่องเที่ยวของเขมรค่อนข้างเข้มงวด ผู้ที่จะนำเที่ยวโบราณสถานในเขมรได้ จะต้องเป็นคนเขมรเท่านั้น และต้องผ่านการสอบใบอนุญาตมาแล้วเท่านั้น ห้ามคนต่างชาติบรรยายเด็ดขาด แม้กระทั้งเผลอๆ พูดขึ้นมา ก็อาจโดนปรับแพงๆ ได้
มัคคุเทศก์ชาวเขมรจะสังเกตได้ง่าย เพราะจะต้องใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นหรือยาวก็ได้ด้วยสีที่ฉันก็บอกไม่ถูกว่าเรียกว่าสีอะไร ประมาณสีส้มปนชมพูปนสีอิฐ อิอิ