ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้บอกว่าญี่ปุ่นจะไม่มีกรอบทางความคิดเลยนะครับ แต่ผมมองว่าโดยรวมแล้วเขามีกรอบที่กว้างกว่าของฝรั่ง ไทย จีน เกาหลีครับ
......นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมชอบ และก็ยังมีส่วนที่ผมไม่ชอบอยู่ด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมจะชอบญี่ปุ่นไปซะหมด เช่น.....
ระบบอาวุโสของญี่ปุ่นแรงมาก....ส่วนตัวผมไม่ชอบพวกระบบอาวุโสสักเท่าไหร่ คือจริงๆ แล้วผมไม่มีปัญหากับตัวระบบนะ แต่ผมไม่ชอบคนที่เอาระบบไปใช้ เพราะส่วนใหญ่ในคนชอบใช้กันแบบไม่มีขอบเขต เห็นได้ชัดในคนไทย คนจีนก็เป็น ใช้ระบบนี้มาเอาเปรียบคนอายุน้อยกว่าสารพัด ซึ่งลองคิดดูว่าเรื่องแบบนี้เองก็เกิดในคนญี่ปุ่นได้ไม่ยากหรอกครับ เมื่อระบบอาวุโสเขาแรงมากผลที่ออกมาคงไม่ต่างกับไทยหรือจีนเท่าไหร่นัก แค่ในสายงานก็เห็นได้แล้วครับว่าเสียงของหัวหน้าดังกว่า
ผมไม่ชอบพวกแม่บ้านขาเมาท์ แต่คนพวกนี้ก็มีส่วนในการควบคุมความประพฤติคนไปด้วยในขณะเดียวกันซึ่งส่วนหลังก็เป็นข้อดีไป...แต่ผมก็ไม่ชอบพวกซุบซิบนินทาเอาซะเลย
คนญี่ปุ่นสูบบุหรี่เยอะ.....พอดีผมเป็นคนไม่สูบ แล้วก็ไม่ได้ชอบดมกลิ่นบุหรี่ด้วย จุดนี้ก็เลยเป็นอีกจุดที่ผมไม่ชอบ
ด้วยเพราะหลายๆ อย่างในสังคมทำให้สังคมคนญี่ปุ่นเครียดมาก และหลายครั้งผมก็รู้สึกว่ามันเครียดเกินไป ซึ่งผมก็ไม่ชอบตรงเรื่องความเครียดนี้ แต่ในขณะเดียวกันบางครั้งมันก็เกิดจากข้อดีที่ผมพูดไปนั่นเองที่เป็นตัวที่ทำให้เกิดความเครียด เพราะเขาไม่ค่อยผ่อนให้กับเรื่องพวกนี้มันเลยกลายเป็นความเครียดไปครับ
และยังมีข้อเสียอื่นๆ อีก
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะพอจับได้บ้างใช่มั้ยว่าผมชอบญี่ปุ่นเพราะมันตอบโจทย์ของผมได้ ไม่ใช่เพราะผมเชิดชูเทิดทูนญี่ปุ่นจนกลายเป็นพวก "บ้าญี่ปุ่น" หรือ "ทาสญี่ปุ่น" อย่างที่หลายคนชอบว่าผม.....คือถ้าอะไรๆ ของฝรั่งมันตอบโจทย์ของผมได้ผมก็ไม่เกี่ยง
การแต่งตัวแบบฝรั่งอเมริกันที่เป็นไปในทางเดียวกัน....ใส่ยีนส์เหมือนกันหมดยังกะนัดกันมา (ภาพจากวิดีโอโดย Yamada Taro)เอาจริงๆ ผมชอบอะไรที่หลากหลาย ไม่ชอบอะไรที่มันเป็นสูตรสำเร็จ จำเจ เป็นพิมพ์เดียวกัน เป็นบล๊อคไปหมด เพราะงั้นการที่ในไทยทุกวันนี้มีแต่คนเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นกันเต็มไปหมดแบบนี้ผมก็ไม่ชอบหรอก ผมว่ามันเกลื่อนเกินไป เหมือนว่าทำตามๆ กันไปหมด แม้ว่าผมจะชอบกินอาหารญี่ปุ่นก็ตาม
ทีนี้จุดสังเกตุก็คือคนที่ชอบว่าผมว่าบ้าญี่ปุ่นนั้น เมื่อเจอคนที่มีลักษณะ.....
- ชอบกินอาหารฝรั่งและยกย่องอาหารฝรั่งเต็มที่
- สนใจที่จะรู้แต่เรื่องเกี่ยวกับฝรั่งและอาหารแบบฝรั่ง
- ดูและชื่นชมแต่หนังฮอลลีวู้ดเท่านั้น แทบไม่ดูหรือชื่นชมหนังของชาติอื่นเลย
- ฟังเพลงฝรั่ง (ภาษาอังกฤษ) เท่านั้น อาจมีเพลงไทยบ้าง
- ใช้แต่สินค้าแบรนด์ฝรั่ง
- แต่งตัวตามเทรนด์แฟชั่นและรูปแบบของฝรั่ง
- แสดงออก ทำท่าทาง และพยายามมีบุคคลิกแบบฝรั่ง
- สนใจแต่ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน มุ่งไปทางสำเนียงอเมริกันเท่านั้น
- ใช้ชีวิตและมีไลฟ์สไตล์แบบฝรั่ง โดยเฉพาะแบบอเมริกัน
- รับเอาวัฒนธรรมของฝรั่งอย่างไม่มีการคัดกรอง
- ยกย่องความเป็นฝรั่งหลายๆ อย่าง (อาจเรียกได้ว่าเกือบทุกอย่าง) โดยเฉพาะแบบอเมริกัน
คนแบบนี้คุณผู้อ่านคิดว่าเป็นอย่างไรบ้างล่ะครับ ต้องเรียกว่า "บ้าฝรั่ง" หรือ "ทาสฝรั่ง" เลยใช่มั้ยล่ะครับ หรืออาจระบุกลุ่มย่อยลงไปอีกเป็นพวก "คลั่งอเมริกา" เลยก็ได้จริงมั้ยครับคนแบบที่ชอบว่าผมเมื่อเจอคนแบบที่ผมว่ามานี้กลับเงียบ ไม่ว่าอะไรเลยด้วยซ้ำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา คนกลุ่มที่ชอบอะไรๆ ก็ฝรั่ง เอะอะก็ฝรั่ง จนดูแล้วก็เรียกได้ว่าเป็นพวก บ้าฝรั่ง คลั่งอเมริกา แต่คนกลุ่มนี้มักไม่ถูกว่าอะไร
แม้แต่คนที่บอกว่าชอบของไทย ชอบแบบไทย ไม่น้อยก็ยังทำตัวแบบคนบ้าฝรั่งที่เพิ่งจะพูดถึงไปนี่ด้วย หลายคนก็ทำตัวแบบฝรั่งหรือเหมือนพวกบ้าฝรั่งโดยไม่รู้ตัว และคนกลุ่มนี้ก็ไม่ถูกใครว่าอะไรอีกเหมือนกัน
.....ฟังดูตลกดีมั้ยล่ะครับ
บางคนก็อาจจะคิดว่า ก็ญี่ปุ่นมันไม่ได้ดีอะไรนี่นา แต่ฝรั่งมีดีจริงๆ นี่ ไม่แปลกที่จะชอบ.....ผมอยากบอกว่าจริงๆ แล้วพวกฝรั่งก็ไม่ได้ดีไปซะหมดอย่างที่หลายคนคิด.....
- ฝรั่งไม่ได้เปิดกว้างทางความคิดจริง มองลึกๆ แล้วจะเห็นกรอบความคิดของพวกเขาอยู่ดี
- อเมริกันไม่ได้ให้ความเท่าเทียมกันกับทุกคน อย่างที่ชอบพูด คนพวกนั้นก็เหยียดคนดำและเอเซีย เช่นคนไทยเหมือนกัน......คนดำอเมริกันถูกฝรั่งเหยียดมา เจอคนไทยพวกก็มาเหยียดคนไทยต่ออีกทอด....พ่อผม เพื่อนผมโดนกันมาแล้ว
- อเมริกันก็มีเล่นพักเล่นพวก รวมหัวกับหัวหน้าแกล้งและกีดกันคนไทยที่ทำงานที่อเมริกาด้วย
- ฝรั่งก็มีความคิดบางอย่างที่เหมือนฝังหัวอยู่เหมือนกัน เป็นรูปแบบความคิดที่ยังไงก็จะคิดแบบนั้น ไม่ยอมเปลี่ยน ไม่ยอมทำความเข้าใจ
- อเมริกันไม่ได้เปิดกว้างให้กับวัฒนธรรมที่แตกต่างทั้งหมด หลายคนก็ไม่ยอมที่จะยอมรับหรือทำความเข้าใจ เอาแต่ใช้ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่รู้จักการปฏิบัติแบบ "เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม"
- อเมริกันบางคนก็ไม่ได้มีน้ำใจมากนัก แค่น้ำดื่มยังไม่มีการให้กันเลย
- อเมริกันไม่ได้เป็นมิตรกับคนไทยไปหมดซะทุกคน บางคนก็ทำท่าเชิดๆ ใส่ ออกจะดูเหมือนเหยียดๆ ด้วยซ้ำ....เห็นจากลูกค้าผม
- คนอเมริกันเองบางคนก็ยังพูดถึงอเมริกันเองว่า "friendly but not sincerely".....ขนาดนี้ก็คงบอกได้ว่าคนอเมริกันก็ไม่ได้จริงใจเหมือนกัน
- คนอเมริกันมักใช้แนวคิดแบบเอาเงินฟาดหัวมากกว่าที่จะเป็นแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
- ฝรั่งยุโรปก็มีที่ยังเหยียดคนไทยอยู่ไม่น้อยนะครับ ตั้งแต่แม่ผมมาจนถึงยุคเพื่อนผมเรียนที่อังกฤษก็โดนเหยียด
- ลูกค้าผมเป็นคนเยอรมัน คุยกับเราอย่างเป็นมิตรดี แต่ว่าเขาก็บอกผมว่าคนเยอรมันก็ยังมีคนที่ "conservative" หรือเรียกว่าหัวโบราณ ซึ่งก็คือเหยียดคนเอเซียอยู่
- จริงๆ ฝรั่งก็มีการเหยียดกันเองด้วย ฝรั่งประเทศนึงเหยียดฝรั่งอีกประเทศนึงอะไรแบบนี้
- ฝรั่งก็มีระบบอาวุโสนะครับ เพียงแต่อาจไม่ได้แสดงออกชัดเท่าของไทย ของเขามักใช้ในสายงาน ในครอบครัว อาจเรียกได้ว่าไม่ได้ใช้พร่ำเพรื่อเท่าของไทยแต่ก็เรียกได้ว่ามีนะครับ ไม่ใช่ไม่มี
- ฝรั่งที่ไม่ทำตามกฏกฏิกาก็มีเยอะแยะ เช่น ข้ามถนนไม่รอสัญญาณไฟ จอดรถในที่ห้ามจอด
เห็นมั้ยครับว่าฝรั่งก็มีที่ไม่ดีเหมือนกัน แต่ทำไมคนไม่น้อยถึงไม่เคยคิดถึงข้อเสียพวกนี้ บางคนที่ผมเคยเจอก็รู้อยู่แต่ไม่ยอมรับว่าฝรั่งมีข้อเสียแบบนี้จริง บางคนถึงกับไม่ยอมรับรู้เลย แล้วเอาแต่บอกว่าฝรั่งดี ญี่ปุ่นไม่ดี.....ที่ผมอยากบอกคือไม่ว่าเป็นคนชาติไหนก็มีทั้งดีและไม่ดีทั้งนั้น แม้กระทั่งคนไทยที่เรามักจะพูดถึงตัวเองว่า คนไทยเป็นมิตรและยิ้มเก่ง คนไทยมีน้ำใจ คนไทยเปิดรับชาวต่างชาติ มันก็ไม่ใช่แบบนั้นไปทั้งหมด หลายครั้งเราก็เป็นแบบนั้นเฉพาะกับชาวต่างชาติหรือกับฝรั่งเท่านั้นเหมือนกัน
ถึงตรงนี้แล้วสังเกตุอะไรได้บ้างมั้ยครับ? (ขอบคุณครับ ที่อ่านมาถึงตรงนี้)
.....คนที่ชอบมาว่าผมนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่ชอบฝรั่งแล้วก็ทำตัวแบบที่ผมอธิบายไว้ข้างบน ส่วนข้อเสียผมสังเกตุว่าคนเหล่านั้นมักจะเพิกเฉยหรือไม่สนใจ เรียกได้ว่าชอบแบบไม่ดูข้อเสีย ซึ่งก็สามารถเรียกได้ว่าคนพวกนั้นก็เป็นพวก "บ้าฝรั่ง" หรือ "ทาสฝรั่ง" เหมือนกันนั่นเอง เพราะถ้าเจอคนที่คลั่งฝรั่ง (อาการหนักกว่าที่ผมชอบญี่ปุ่นซะอีก) คนพวกนั้นจะทำเหมือนไม่เห็นหรือไม่มีอะไรผิดปกติ
แค่นี้เราก็มองออกได้อย่างไม่ยากแล้วว่าทำไมหลายๆ คนถึงชอบว่าผมอย่างนั้น เพราะว่าคนเหล่านั้นจัดอยู่ในพวกที่คลั่งฝรั่ง เอียงไปทางฝรั่งซะ +8 (ต้องขออธิบายแบบเป็นค่าตัวเลขสักนิดนะครับจะได้เห็นภาพ) แล้วเขาก็เอาตัวเองเป็นมาตรฐานคิดว่าตรงที่ตัวเองอยู่คือ 0 แต่พอผมเอียงไปทางญี่ปุ่นสัก -3 หมายความว่าผมเอียงจาก 0 ไปแค่ 3 เองแต่อีกฝ่ายเอียงไปตั้ง 8 เมื่อดูส่วนต่างแล้วมันต่างกัน 11 คนอื่นก็เลยมองว่าผมเอียงไปทางญี่ปุ่นตั้ง 11 ทั้งที่จริงๆ แล้วเมื่อเรามองอย่างเป็นกลางโดยยึดจุดอ้างอิงคือ 0 จะเห็นว่าผมเอียงไปแค่ 3 ซึ่งน้อยกว่า แต่ปัญหาจริงๆ อยู่ที่พวกเขานั่นแหละที่เอียงไปตั้ง 8
ผมอยากให้ลองคิดตามดูสักหน่อยว่าใครกันแน่ที่ "บ้า" หรือ "คลั่ง" หรือเป็น "ทาส"
มาถึงจุดนี้ก็สรุปได้ว่า ปัญหาอยู่ที่คนที่มาว่าผมต่างหาก ไม่ใช่ที่ตัวผม พวกเขาต่างหากที่บ้าฝรั่ง ไม่ใช่ผมบ้าญี่ปุ่นผมไม่เถียงเลยว่าผมชอบญี่ปุ่นและไม่ชอบอเมริกา แต่ผมรู้จักแยกแยะนะ ผมไม่ชอบก็คือผมไม่ชอบ ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องแย่ไปหมดทุกอย่าง บางอย่างมันเป็นข้อดีจริงๆ ผมก็ยอมรับว่าจุดนี้มันดีจริงนะ ไม่ได้ห้ามคนอื่นชอบไม่ได้ห้ามคนอื่นพูดเรื่องอเมริกากับผม ใครมีเรื่องอะไรที่ดีหรือน่าสนใจเกี่ยวกับอเมริกาอยากจะบอกผม อยากจะเล่าให้ผมฟัง ก็เล่าได้เลยผมไม่ว่า เพียงแต่ในทางกลับกันผมก็อาจจะมีเรื่องอะไรที่เป็นจุดน่าสนใจเกี่ยวกับญี่ปุ่นเล่ากลับไป ก็หวังว่าอีกฝ่ายจะแฟร์พอที่จะเปิดใจฟังเรื่องญี่ปุ่นจากผมด้วย ซึ่งตรงนี้ผมมองว่ามันจะทำให้เรามองอะไรได้กว้างขึ้น
แต่ส่วนใหญ่คนที่มีปัญหากับผมจะไม่เป็นอย่างนั้น พออะไรที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นจะไม่สนใจถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับฝรั่งไม่ว่าจะอเมริกาหรือที่ไหนก็จะพยามมาพูดมาเล่าให้ผมฟัง หลายครั้งพยามโจมตีญี่ปุ่นด้วย เหมือนกับว่าพยายามจะให้ผมเกลียดญี่ปุ่นแล้วหันไปชอบฝรั่งให้ได้ยังไงยังงั้น
สุดท้ายครับ.....คำถามที่หลายคนมักจะไม่เคยมาถามผมตรงๆ หรือไม่เคยที่แม้แต่จะฟังความเห็นของผม แต่มักจะคิดเอาเองบางคนอาจมีคำถามว่า ถ้าผมไม่ได้บ้าญี่ปุ่นแล้วทำไมถึงชอบแต่ญี่ปุ่น ผมชอบประเทศอื่นบ้างหรือเปล่า?.....มีสิครับ ผมอาจจะสนใจญี่ปุ่นเป็นอันดับแรกๆ แต่ผมก็ยังสนใจเยอรมัน ด้วย และผมยังสนใจหลายๆ สิ่งของไทยด้วย แม้ผมจะชี้ข้อเสียของคนไทยหรือประเทศไทยอยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็เพราะว่าสนใจไงครับ ถึงได้อยากให้มันดีขึ้น
สินค้าแบรนด์ฝรั่งที่ผมใช้หรือสนใจจะใช้แล้วผมใช้สินค้าของที่อื่นบ้างมั้ยนอกจากญี่ปุ่น?.....ใช้ครับ ผมอาจจะชอบของญี่ปุ่นเพราะมันมีสไตล์ที่ผมใช้มากกว่าของที่อื่น แต่สินค้าของเยอรมัน อังกฤษ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สวีเดน ก็มีสไตล์ผม แม้แต่ของอเมริกาก็ยังพอมีสไตล์ผมอยู่ เพียงแต่แบรนด์ยุโรปมันหาได้ยากกว่าแบรนด์ญี่ปุ่นและถ้าสั่งเข้ามาก็แพงกว่าสั่งมาจากญี่ปุ่น....ปัจจุบันผมใช้เสื้อแจ็คเก็ตของ Montbell ซึ่งเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นอยู่ ถ้าผมอยู่อังกฤษผมก็คงไม่พยายามซื้อของ Montbell มาหรอกครับ ผมคงซื้อ Craghoppers ซึ่งเป็นแบรนด์อังกฤษใช้.....ในทางกลับกันคนอีกกลุ่มแทบจะไม่มีการใช้สินค้าของญี่ปุ่นเลย (ที่ไม่ใช่เครื่องไฟฟ้ากับรถหรือนาฬิกา) จะเมินเอาด้วยซ้ำ จะใช้ก็เมื่อมันเป็นเทรนด์ตามยุคนั้นๆ แต่สินค้าฝรั่งจะใช้กันอยู่ตลอด
ถ้าไม่บ้าญี่ปุ่นแล้วทำไมถึงพูดถึงแต่ญี่ปุ่น?......ก็ของฝรั่งมีคนพูดกันไปเยอะแล้ว และส่วนใหญ่ก็รู้กันอยู่แล้ว แต่ญี่ปุ่นยังมีจุดที่คนไทยยังไม่เห็นหรือไม่ได้มองอยู่อีกเยอะและไม่ค่อยถูกพูดถึง ทำให้คนอีกไม่น้อยยังไม่รู้ ผมเลยพูดถึงเพื่อให้มันเป็นอีกทางเลือก เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแค่ไทยกับอเมริกานี่นา จริงมั้ยล่ะครับ
ทำไมต้องคอยแก้ตัวแทนถ้าไม่ได้บ้าญี่ปุ่น?......อันนี้เป็นสิ่งที่คนมักจะคอยหาว่าผมแก้ตัวแทนญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้วผมมองว่าผมก็แค่เอาความจริงมาพูดกัน มองกันอย่างเป็นกลาง บางกรณีผมก็รู้สึกว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอะไรสวนทางกับประเทศอื่นอยู่หลายอย่าง สังคม ความคิด ธรรมเนียมปฏิบัติ มารยาททางสังคม มันสวนทางกับความคิดหรือความรู้สึกของคนประเทศอื่นๆ รวมถึงไทยด้วย ทำให้เราไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้นและอาจมองว่าไม่ดี ผมไม่ได้พยามแก้ตัวเลย ก็แค่อธิบายสิ่งที่ผมรู้มาให้ฟังและบางอย่างเราก็ต้องเข้าใจและยอมรับมันทั้งอย่างนั้นไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับสิ่งนั้นหรือไม่ ของฝรั่งเรายังเข้าใจและยอมรับได้เลยนี่
เรื่องของวัฒนธรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัตินี้ ญี่ปุ่นก็อาจมีหลายอย่างของเขาที่เราไม่เข้าใจ (รวมถึงผมด้วย บางอย่างผมก็ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน) ซึ่งตรงนี้ผมมองว่ามันก็เป็นสิ่งที่เหมือนกันกับของฝรั่งหลายๆ อย่างที่เราก็ต้องยอมรับไปโดยที่ไม่ได้เข้าใจอะไรมากมายเช่น การใช้เท้า, มารยาทบนโต๊ะอาหารต่างๆ, การเรอที่ต้องขอโทษแต่ลดแรงดันในท้องไม่ต้องขอโทษ (บอกว่าเรอมันมีกลิ่นอาหาร เออแล้วเปิดวาวล์ล่างนั่นมันกลิ่นอะไรบ้างฮึ?),การพูดตรงๆ, การให้ความสำคัญกับการอาบน้ำเช้า, การใส่รองเท้าสำหรับนอกบ้านเดินเข้าไปในบ้าน (เดินขึ้นไปยันห้องนอนเลยทีเดียว) และอื่นๆ อีกมากมายที่เราทำความเข้าใจและยอมรับมันไปอย่างนั้น ในเมื่อของฝรั่งเรายังเข้าใจได้แล้วทำไมของญี่ปุ่นเราจะเข้าใจบ้างไม่ได้ล่ะ
เอาล่ะครับ
ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะเข้าใจอะไรมากขึ้น (ขอบคุณมากเลยครับที่อ่านมาถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทนอ่านหรือตั้งใจอ่านมันจริงๆ) สิ่งที่เราเห็นได้จากเรื่องทั้งหมดนี้ว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรือดีเต็ม 100 คนทุกชาติมีข้อดีและข้อเสีย บางอย่างมันก็มองว่าดีก็ได้มองว่าเสียก็ได้แล้วแต่คนจะมองหรือมันจะถูกจริตตรงใจใครแค่ไหน
และไม่ว่าอย่างไรก็ตามการที่เราจะชอบอะไร ประเทศไหน ชนชาติไหน เราก็ควรรับรู้ในข้อดีข้อเสียของสิ่งนั้นๆ ประเทศหรือชนชาตินั้นๆ ด้วย ข้อดีเราก็เอาอย่างเพื่อปรับปรุงพัฒนาเราเอง ข้อเสียก็รับรู้เพื่อให้รับมือกับมันได้ และไม่หลงไปกับสิ่งนั้นๆ แต่ไม่ต้องเอาอย่าง ถึงจะเป็นการชอบอย่างมีสติ ไม่ใช่ชอบทุกอย่างโดยไม่แยกแยะข้อดีข้อเสียมองว่าดีไปหมดนั่นก็กลายเป็นการชอบอย่างขาดสติไปครับขอบคุณมากที่อ่านจนจบครับ
ภาพประกอบเนื้อหาจากอินเตอร์เน็ต