Liverpool สโมสรเดียวในดวงใจ My Dog สุนัขอันเป็นที่รักเเละเพื่อนที่แสนดี Web Counter
Group Blog
 
 
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
30 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
Bill Shankly You'll Never Walk Alone

ความคิดเห็นที่ 5

ตอน : You'll Never Walk Alone

6 สัปดาห์หลังจากการลาออก แชงคลี่ย์รู้สึกว่าเขาได้ทำสิ่งผิดพลาดอย่างมหันต์ เขาไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆจะทำอะไร ความจริงแล้ว เขาน่าจะมีชีวิตที่เป็นสุขหลังเกษียณ เขาสามารถตื่นสายได้เท่าที่ต้องการ สามารถนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ได้ตลอดช่วงเช้า แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของแชงคลี่ย์ เขายังคงตื่นแต่เช้าและต้องหาอะไรทำอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพูดคุยเรื่องฟุตบอลกับคนอื่น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นผู้จัดการทีม นักฟุตบอล แฟนบอลหรือแม้แต่คนทั่วไป แต่ทุกวันนี้เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ตลอดเวลา เขาเคยกล่าวว่า คำว่าเกษียณอายุนั้น ควรถูกลบออกไปจากดิคชันนารีด้วยซ้ำ แต่ในขณะนี้ กลับเป็นตัวเขาที่สัมผัสความหมายของคำนี้อยู่ตลอดเวลา

ฤดูกาลใหม่กำลังจะเริ่มแล้ว พวกหนังสือพิมพ์พากันคาดการณ์ว่าลิเวอร์พูลหลังยุคแชงคลี่ย์จะเป็นอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายทำนายกันว่าลิเวอร์พูลได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ซึ่งก็เหมือนทุกทีมที่ยิ่งใหญ่ที่มียุคของตนเอง แม้ว่าสโมสรจะแต่งตั้งบ็อบ เพสลี่ย์เป็นผู้จัดการแทน แต่ทุกคนรู้ดีว่าลิเวอร์พูลจะไม่มีวันเหมือนเดิมหากปราศจากแชงคลี่ย์ นับแต่นี้ไป ลิเวอร์พูลจะมีแต่ความตกต่ำไปเรื่อยๆ สำหรับแชงคลี่ย์เองแล้ว เวลานี้เขารู้สึกเหมือนเป็นสิงโตที่ถูกขังไว้ในกรง ในช่วงที่ลิเวอร์พูลฝึกซ้อมก่อนเปิดฤดูกาลใหม่นั้น แชงคลี่ย์ได้ไปเมลวู้ดเป็นครั้งคราวเพื่อฝึกซ้อมกับพวกนักเตะ ซึ่งทำให้เขาสดชื่นขึ้น เขาเคยกลับไปเมลวู้ดในวันจันทร์แรกหลังจากประกาศลาออกด้วยซ้ำ เขายังคงคุมนักเตะฝึกซ้อมและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งทางสโมสรประกาศแต่งตั้งบ็อบ เพสลี่ย์อย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี มันเป็นเวลาหลายอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้ทำกิจวัตรที่เขาคุ้นเคย วันหนึ่งเขาตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา จอห์น สมิธ เพื่อขอเข้าพบ สมิธคิดว่าแชงคลี่ย์ต้องการมาพูดคุยเกี่ยวกับสัญญาของเขากับทางสโมสรและรายได้ส่วนที่เขาสมควรจะได้รับ เมื่อแชงคลี่ย์มาถึงและได้พูดคุยกันในเรื่องทั่วไปแล้ว แชงคลี่ย์เป็นฝ่ายพูดกับสมิธอย่างอึดอัดใจว่า "ผมต้องการกลับมา ผมผิดพลาดเหลือเกินที่เกษียณตัวเอง ผมรู้สึกเหนื่อยและน่าจะพักผ่อนให้มาก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมากและพร้อมแล้วสำหรับฤดูกาลใหม่" แต่สิ่งต่างๆไม่ง่ายอย่างที่แชงคลี่ย์ต้องการ จอห์น สมิธไม่อาจปฏิเสธแชงคลี่ย์ได้ในนาทีนั้น ขณะเดียวกัน เขาไม่ต้องการให้ความหวังแก่แชงคลี่ย์ด้วย แม้ว่าในใจเขารู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร และเขาก็กล่าวชี้ทางว่า "คุณทำให้เราอยู่ในสถานการณ์น่าลำบากใจ บ็อบได้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมแล้ว และเราไม่คิดว่าจะสามารถให้เขากลับไปเป็นสต๊าฟโค้ชตามเดิมได้ง่ายๆ ยังไงก็ตาม ผมต้องขอเวลาปรึกษาบอร์ดผู้บริหารก่อน" สมิธได้เรียกประชุมบอร์ดทันทีและทั้งหมดก็เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เพสลี่ย์คือผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลแล้ว และทุกอย่างจะยังคงเป็นไปตามนั้น

สำหรับสมิธแล้ว เขาเองก็คิดว่าไม่มีทางที่บอร์ดจะกลับมามอบตำแหน่งให้แชงคลี่ย์อีก บอร์ดบริหารไม่ได้มีช่วงพักร้อนที่ดีนัก พวกเขาต้องใช้เวลาตลอดช่วงปิดฤดูกาลในการเกลี้ยกล่อมแชงคลี่ย์ให้ยกเลิกความคิดที่จะรีไทร์ และใช้เวลาอีกไม่น้อยในการชักจูงให้บ็อบ เพสลี่ย์รับนำตำแหน่งผู้จัดการทีม นอกจากนี้ สมิธยังรู้ดีว่าแชงคลี่ย์นั้นอายุ 60 ปีแล้ว หากเขากลับมา เวลาของเขากับลิเวอร์พูลก็คงมีอีกไม่นาน ดังนั้น การยืนกรานสิ่งที่ตัดสินใจลงไปจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และให้มันเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า "The King Is Dead; Long Live The King"

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของบอร์ดไม่อาจกันแชงคลี่ย์ให้ออกห่างจากแอนฟิลด์ได้ เขายังคงไปที่เมลวู้ดเป็นครั้งคราว และหลังจากนั้น 1 เดือน กลับกลายเป็นว่าเขาไปที่นั่นทุกเช้าและกลับสู่งานที่เขาคุ้นเคย คือคุมนักเตะฝึกซ้อม พูดคุยเรื่องฟุตบอล และหัวเราะกับคนคุ้นเคย แม้แต่พวกนักเตะเองก็ยังเรียกแชงคลี่ย์ว่า "เจ้านาย"

ในช่วงแรก ทุกคนดีใจและมีความสุขที่ได้เห็นแชงคลี่ย์ที่เมลวู้ด แต่นานวันเข้า มันกลับกลายเป็นความลำบากใจ ส่วนลึกในใจของทุกคนคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อแม็ต บัสบี้ที่ตัดสินใจรีไทร์จากฟุตบอล ยังคงมีอิทธิพลเหนือผู้จัดการคนใหม่ วิฟ แมคกินเนส และในที่สุด บัสบี้ก็กลับมาเป็นผู้จัดการแมน ยูไนเต็ดอีกครั้งเพื่อหยุดยั้งความตกต่ำ ไม่มีใครรู้ว่า เพสลี่ย์คิดถึงเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แต่หากคุณคิดว่าการทำงานให้ดีเท่าตำนานที่ยังมีชีวิตนั้นยากแล้ว การที่มีตำนานนั้นมายืนรดต้นคอคุณตลอดเวลา กลับทำให้การทำงานเป็นสิ่งที่ยากกว่า

ทุกคนรู้ว่าเพสลี่ย์เคารพแชงคลี่ย์มากแค่ไหน แต่การมายังเมลวู้ดทุกวันของแชงคลี่ย์ไม่เป็นผลดีแก่ตัวเพสลี่ย์เอง อิทธิพลของแชงคลี่ย์ยังครอบคลุมพวกนักเตะ แต่พวกเขาเหล่านั้นควรจะเข้าใจว่ายุคของแชงคลี่ย์ผ่านพ้นไปแล้ว และบ็อบ เพสลี่ย์คือผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน เมื่อความอึดอัดสะสมขึ้นเรื่อยๆและถึงจุดสิ้นสุด เพสลี่ย์จึงจำเป็นต้องคุยกับแชงคลี่ย์ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าแชงคลี่ย์จะรู้สึกอย่างไรที่เพสลี่ย์บอกเขาว่า การมาของเขาสร้างความลำบากใจให้แก่ทุกคน เพสลี่ย์พยายามพูดอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันยังคงสร้างความเจ็บปวดให้แชงคลี่ย์ เพสลี่ย์บอกเขาว่า ทุกคนยังยินดีต้อนรับเขาที่เมลวู้ด และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป แต่เขาก็จำเป็นต้องตระหนักว่าสิ่งต่างๆได้เปลี่ยนไปแล้ว น่าเศร้าที่ในมุมมองของแชงคลี่ย์นั้น ลิเวอร์พูลไม่ต้องการเขาอีกต่อไป ทุกคนไม่อยากเห็นเขาที่เมลวู้ดอีกต่อไป เขาแปลความหมายของข้อความของเพสลี่ย์ว่า "ออกไป" แต่โดยแท้จริงแล้ว เพสลี่ย์ยังเสนอแชงคลี่ย์ให้รับงานเป็นแมวมองของทีม "เขาสามารถพาเนสซี่ย์ไปพักผ่อนและเสาะหานักเตะใหม่ๆมาเสริมทีมไปพร้อมกัน" เพสลี่ย์กล่าวภายหลัง "ผมต้องการให้เขายังคงผูกพันอยู่กับทีม แต่เขากลับแปลความหมายของผมผิดไป"

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีความเย็นชาเกิดขึ้นระหว่างสองผู้ยิ่งใหญ่ "ความขัดแย้ง" อาจเป็นคำที่แรงไป สิ่งที่เกิดขึ้นควรเรียกว่า "ความห่างเหิน" มากกว่า และเมื่อฤดูกาลเริ่มขึ้น การหายไปของแชงคลี่ย์ดูไม่ผลต่อผลงานของลิเวอร์พูลเลย ทำให้ความห่างเหินนั้นทวีขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องปกติของการทำงาน หากสองคนที่เคยทำงานด้วยกัน กลับต้องทำงานคนเดียวโดยผลงานโดยรวมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีใครทราบว่าคนที่หายไปจะมีความรู้สึกในเชิงริษยาหรือไม่ โดยเฉพาะการที่เพสลี่ย์เป็นผู้จัดการทีมและถ้วยรางวัลยังคงไหลมาเทมายังแอนฟิลด์ ครั้งหนึ่ง แชงคลี่ย์ได้รับเชิญให้เป็นผู้ประกาศชื่อเพสลี่ย์ สำหรับตำแหน่งผู้จัดการทีมแห่งปี เขากล่าวท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติว่า "พวกคุณคงคิดว่า ผมอิจฉาที่ต้องมอบตำแหน่งผู้จัดการแห่งปีอันทรงเกียรตินี้แก่ บ็อบ เพสลี่ย์? พวกคุณคิดถูกแล้วล่ะ!" ทุกคนหัวเราะ แต่ไม่มีใครรู้ว่าแชงค์พูดจริงหรือพูดเล่น




จากคุณ : say it isn't so - [ 29 ก.ย. 50 14:51:55 ]


+++++++++++++++++++++++++++++++++++


ความคิดเห็นที่ 6

นอกจากนี้ สโมสรเองก็ไม่ได้คิดแก้ปัญหาที่ทำให้ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย การเสนอตำแหน่งในบอร์ดบริหารแก่แชงคลี่ย์เป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างยิ่ง หากเทียบกับสิ่งที่เขาทำให้กับสโมสร อีกทั้งตำแหน่งนี้ยังสามารถกันแชงคลี่ย์ออกจากเมลวู้ดและห้องแต่งตัวได้อีกด้วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ไม่มีแม้แต่ที่นั่งดูเกมในชั้นผู้บริหารให้เขา และแชงคลี่ย์เองก็ไม่เคยเรียกร้องในสิ่งต่างๆที่เขาควรจะได้รับ เขาภูมิใจในตนเองเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้ อย่างไรก็ดี มีการพูดกันว่า พวกบอร์ดเองก็ต้องการกันให้เขาออกจากแอนฟิลด์ด้วย แชงคลี่ย์มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป แฟนบอล นักเตะ และสต๊าฟโค้ช ทุกคนอยู่ข้างเขา หากเขามีตำแหน่งในบอร์ด รับรองได้ว่าไม่มีบอร์ดคนไหนกล้าท้าทายเขาแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งในบอร์ดอาจไม่ใช่สิ่งที่แชงคลี่ย์สนใจแม้แต่น้อย เขาบอกนักข่าวในวันลาออกว่า ไม่เคยต้องการตำแหน่งในบอร์ด การคาบซิการ์และใส่สูทอย่างดีไม่ใช่รูปแบบชีวิตของแชงคลี่ย์ เขายินดีอยู่ท่ามกลางเดอะค็อปมากกว่า และผู้คนบนเดอะค็อปต่างเป็นผู้ใช้แรงงาน กรรมกรท่าเรือ หรือคนขับรถเมล์ หรืออาชีพอื่นที่ไม่ต่างจากนี้ แชงคลี่ย์เองก็มีพื้นฐานครอบครัวจากคนงานถ่านหิน ดังนั้น เขาจึงเข้ากับเดอะค็อปได้อย่างสนิทใจ แต่ใช่ว่าลิเวอร์พูลจะลืมเขาเสียสนิท ทางสโมสรจัดเทสติโมเนี่ยลแม็ตช์ให้เขาในปี 1975 ที่แอนฟิลด์ และเดอะค็อปจำนวน 40,000 คน ได้เข้าชมเกมระหว่าง ลิเวอร์พูล และ ดอน เรวี่ย์ 11 ซึ่งสามารถเก็บค่าผ่านประตูได้ 25,000 ปอนด์ หลังจากนั้น แชงคลี่ย์ยังคงเข้าชมเกมที่แอนฟิลด์เป็นประจำ แต่เขาเข้าชมด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจในสถานะของตนเองเท่าใดนัก หากเขานั่งดูเกมที่ไดเร็กเตอร์ บ็อกซ์ เขาจะรู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้อนรับในการสังสรรค์หลังเกมกับบรรดาผู้บริหาร แต่หากเขาเข้าไปร่วมกับทีมในห้องแต่งตัว เขาเองก็ไม่ต้องการทำลายบรรยากาศการทำงานของพวกสต๊าฟโค้ชนัก ดังนั้น ทางออกที่แชงคลี่ย์เลือกคือการขึ้นไปดูเกมคนเดียวเงียบๆบนอัฒจรรย์ บางครั้งเขาขึ้นไปยืนดูเกมบนเดอะค็อปด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ ทางสโมสรยังคงสร้างระยะห่างกับแชงคลี่ย์ เมื่อเชิญให้เขาร่วมทีมไปบรู๊กซ์ เพื่อแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ นัดที่สอง ในปี 1976 แต่กลับให้เขาพักอยู่คนละโรงแรมกับทีม โดยอยู่โรงแรมเดียวกับพวกภรรยานักเตะ ซึ่งแชงคลี่ย์เจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทุกคนทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็ยังแปลกใจเมื่อเห็นแชงคลี่ย์ตัดพ้อสโมสรในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาที่ตีพิมพ์ในปี 1976 เกี่ยวกับเรื่องตั๋วเข้าชมเกม และเรื่องอื่นๆอีกมาก

หากเขารู้สึกอึดอัดที่เมลวู้ดแล้ว เขาคงแปลกใจที่ตัวเขากลับได้รับการต้อนรับอย่างดีที่เอฟเวอร์ตัน และจากนั้น เขาเริ่มเข้าชมเกมของเอฟเวอร์ตันอย่างสม่ำเสมอ เอฟเวอร์ตันให้เกียรติแชงคลี่ย์มาก ถึงขนาดอนุญาตให้เขาร่วมฝึกซ้อมกับทีมที่สนามซ้อมเบลฟิลด์ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเขาขนาดขว้างก้อนหินถึง นอกจากนี้ อเล็กซ์ ยัง ตำนานของเอฟเวอร์ตันเคยกล่าวว่า "ผมต้องการเล่นให้แชงคลี่ย์ เขาคือผู้จัดการทีมที่ผมยอมรับและเคารพนับถือมากที่สุด" ความจริงแล้ว ยัง เคยเล่นภายใต้แชงคลี่ย์ครั้งหนึ่ง เมื่อเขาติดทีมลิเวอร์พูล-สก๊อต 11 ของแชงคลี่ย์ พบกับ ลิเวอร์พูล-อังกฤษ 11 ในนัดเทสติโมเนี่ยลแม็ตช์ของดิ๊กซี่ ดีน ในปี 1964

ในช่วงเวลานั้น มิค ลียงส์ ผู้ซึ่งเป็นอดีตกัปตันทีมเอฟเวอร์ตันมักมาที่กูดินสัน ปาร์คทุกบ่ายวันอาทิตย์เพื่อให้ความรู้แก่ทีมอายุต่ำว่า 12 และ 14 ปี ซึ่งแชงคลี่ย์มักมาร่วมด้วยเสมอ ลียงส์เล่าว่า "เขามักมาในชุดวอร์มสีแดง และเล่นฟุตบอลกับพวกเด็กๆ พวกเขาจะเล่นเมื่อการฝึกซ้อมจบลงและใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง บางครั้งพวกเขาเล่นกันข้างละ 20 คน ครั้งหนึ่ง แชงคลี่ย์พบผมโดยบังเอิญและบอกว่า พวกเราสนุกกันมากเมื่อบ่ายวันอาทิตย์ และทีมของผมชนะ 19-17" ยีนส์ ลูกสาวของแชงคลี่ย์เสริมว่า "พวกเราคิดว่าจะได้พบพ่อมากขึ้นเมื่อเขาลาออกแล้ว แต่เขาก็ยังคงยุ่งอยู่กับการเล่นฟุตบอลเป็นประจำ"

นอกจากการเล่นฟุตบอลเป็นประจำแล้ว แชงคลี่ย์ยังต้องการพูดคุยเรื่องฟุตบอลกับทุกคนด้วย นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งเคยสารภาพว่า "ผมเสียใจเหลือเกินที่ต้องสารภาพว่า เคยไม่สนใจเขาที่กูดิสัน ปาร์ค เมื่อเขาพบผม เขาพยายามชวนคุยเรื่องฟุตบอลตลอดเวลาซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก ผมรู้ว่าหากผมคุยกับเขาเมื่อไหร่ ผมจะไม่สามารถหาทางจบบทสนทนาได้เลย ผมเองยังมีงานต้องทำทั้งก่อนและหลังแมตช์ ดังนั้นการไม่สนใจเขาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดของผม" นักหนังสือพิมพ์อีกคนหนึ่งที่ชื่อ บ็อบ กรีฟท์ เคยพบแชงคลี่ย์โดยบังเอิญที่สนามแห่งหนึ่งย่านนอร์ธเวสต์ เขาเล่าว่า "ผมสังเกตเห็นว่าแชงคลี่ย์จะเดินออกจากสนามก่อนหมดเวลาประมาณ 1-2 นาที เพื่อไปยืนรอที่ประตูทางออกของชั้นไดเร็กเตอร์ บ็อกซ์ เมื่อเกมจบลงและพวกนั้นเดินออกมา พวกเขาจะพบกับแชงคลี่ย์ยืนทักทายจับมือกับพวกเขาทุกคน มันเป็นวิธีหนึ่งของเขาที่จะทำให้ตนเองไม่ถูกลืม"

ในเดือนเมษายน 1979 แชงคลี่ย์ได้รับเชิญให้ไปพูดที่อีสต์แฮม ลอดจ์ กอล์ฟ คลับ ในย่านเวอร์เรล ซึ่งโดยปกติแล้ว แชงคลี่ย์จะตอบปฏิเสธคำเชิญ แต่ครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องไป เพราะ โจ เมอร์เซอร์ ตำนานของเอฟเวอร์ตันเป็นเพื่อนของเขา อีกทั้งยังเป็นประธานของกอล์ฟ คลับแห่งนี้ด้วย เมอร์เซอร์มอบหมายให้ยอร์จ ไฮแกรม เป็นผู้ประสานงาน ไฮแกรมเป็นเลขาฯของกอล์ฟคลับแห่งนี้ และเป็นบอร์ดบริหารของทรานเมียร์ โรเวอร์สด้วย ในขณะที่เขาคิดว่าการประสานงานกับแชงคลี่ย์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เช้าวันงาน แชงคลี่ย์ได้โทรศัพท์หาเขาและกล่าวว่า "ผมไม่ชอบกอล์ฟ มันไม่ใช่เกมของผม" อย่างไรก็ตามไฮแกรมได้เกลี้ยกล่อมแชงคลี่ย์อยู่นานซึ่งในที่สุดเขาก็ตกลง

ไฮแกรมเล่าว่า "เห็นชัดว่า เขากลัวการเข้าสังคมที่ไม่ใช่ตัวเขา ซึ่งเมื่อเขาได้ขึ้นพูด เขามีกระดาษโน้ตอยู่ในมือด้วย มันแสดงให้เห็นว่าเขาตื่นเต้นและไม่มีความมั่นใจเลย อย่างไรก็ดี เมื่อเขาเริ่มพูดไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงและมีความรู้สึกคุ้นกับพวกคนฟัง ในที่สุด เขาสามารถพูดต่อไปได้ถึงสองชั่วโมงโดยไม่ต้องอ่านโน้ต" หลังจากการพูดของแชงคลี่ย์แล้ว ไฮแกรมได้มอบของที่ระลึกชิ้นหนึ่งให้เขา ไฮแกรมเป็นนักสะสมของที่ระลึกเกี่ยวกับฟุตบอลตัวยงคนหนึ่ง และเขาได้มอบหนังสือโปรแกรมประจำนัดชิงชนะเลิศ เอฟ เอ คัพ ปี 1938 ที่เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ซึ่งมีแชงคลี่ย์ร่วมทีมอยู่ชนะและได้แชมป์เอฟ เอ คัพ แชงคลี่ย์คงทำของมีค่าทางจิตใจของเขาหายและเขากำลังได้รับมันอีกครั้งแล้วในขณะนี้ ไฮแกรมเล่าว่า "เราเพียงต้องการมอบบางอย่างให้เขา เรารู้ดีว่าเขาจะไม่ยอมรับเงินเด็ดขาด" แชงคลี่ย์ถึงกลับน้ำตาซึมและปล่อยให้มันไหลมาในที่สุด เป็นภาพที่หาดูไม่ง่ายนักที่เห็นแชงคลี่ย์เป็นเช่นนี้ เขากล่าวกับไฮแกรมภายหลังว่า ผมทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้ประชาชน แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าผมต้องการอะไร" เพียงประโยคเดียวทำให้ไฮแกรมเข้าใจในทันที "ผมรู้สึกเศร้าไปกับเขาเหลือเกิน สิ่งที่เขาต้องการจากคนทั่วไปไม่ใช่เงินทองหรือเกียรติยศ ผู้คนเข้าใจว่าเขาเหินห่างจากลิเวอร์พูลเพราะเขาไม่ได้สิ่งที่เรียกร้อง มันทำร้ายความรู้สึกของเขามาก"




จากคุณ : say it isn't so - [ 29 ก.ย. 50 14:52:47 ]

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความคิดเห็นที่ 7

อย่างไรก็ตาม การเกษียณจากฟุตบอลก็ทำให้เขามีเวลามากขึ้น เขาเดินทางไปบัคกิ้งแฮม พาเลซ กับเนสซี่ย์ เพื่อรับการแต่งตั้งเป็น OBE (Order of Britrish Empire) ในปี 1974 และยังได้รับเชิญเป็นแขกในรายการยอดฮิต This Is Your Life ด้วย นอกจากนี้ เขายังเป็นคนจัดรายการสนทนาพูดคุยในสถานีวิทยุ เรดิโอ ซิตี้ด้วย ซึ่งเขาเพียงบอกทีมงานว่า ในแต่ละครั้ง เขาต้องการใครมาเป็นแขกรับเชิญ ซึ่งคนเหล่านั้นไม่มีใครปฏิเสธคำเชิญจากแชงคลี่ย์เลย แขกร่วมรายการของเขาจึงหลากหลายและน่าสนใจ ซึ่งมีทั้งคนธรรมดาที่มีสิ่งที่น่าสนใจนำเสนอ ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี แฮโรลด์ วิลสัน

พฤศจิกายน 1974 แชงคลี่ย์ยังรับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้ทรานเมียร์ โรเวอร์สด้วย ทรานเมียร์กำลังลำบากอยู่ในท้ายตารางดิวิชั่น 3 โดยมี รอน ยีตส์ กัปตันทีมลิเวอร์พูลยุค 60s เป็นผู้จัดการทีม และจอห์น คิง เป็นผู้ช่วย ในนัดแรกที่ทรานเมียร์ลงสนามหลังจากมีแชงคลี่ย์เป็นที่ปรึกษานั้น ผู้คนต่างหลั่งไหลมาชมเกมและทรานเมียร์สามารถเอาชนะ เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ที่มีบ็อบบี้ ชาร์ลตันเป็นผู้จัดการทีมลงได้ 3-1 ประตู นอกจากนี้ แชงคลี่ย์ยังตามทีมไปเตะนัดเยือนเป็นครั้งคราวด้วย และจอห์น คิงก็เป็นอีกคนที่มีความประทับใจเกี่ยวกับแชงคลี่ย์

"ครั้งหนึ่ง แชงคลี่ย์ ยีตส์ และผมนั่งเล่นกันในล็อบบี้ของโรงแรม มันเป็นเวลา 22.30 น. แชงคลี่ย์ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า 'โอเค ผมไปนอนแล้ว' แต่เขายังยืนอยู่กับที่และมองมายังเรา ผมจึงพูดกลับเพื่อเป็นมารยาทว่า 'ครับ ราตรีสวัสดิ์' แต่แชงค์ก็ยังไม่ไปไหน จนกระทั่งรอน ยีตส์รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงฉุดผมขึ้นและบอกว่า 'เราก็ไปนอนด้วยเถอะ' ในขณะที่เดินไปกันสามคน ยีตส์แอบกระซิบบอกผมว่า 'แชงคลี่ย์ต่างหวังให้พวกเราปฏิบัติตัวเหมือนเขา ซึ่งไม่ต้องห่วง เราค่อยแอบลงมาดื่มกันต่อหลังจากเขานอนไปแล้ว' " ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แม้รอน ยีตส์เป็นผู้จัดการทีม แต่แชงคลี่ย์ยังรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้านายของยีตส์ ซึ่งยีตส์เองก็เรียกแชงคลี่ย์ว่า "เจ้านาย" ตลอดเวลาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ภายในไม่กี่สัปดาห์ที่แชงคลี่ย์เป็นที่ปรึกษาให้ทรานเมียร์ ทีมได้ให้โอกาสเด็กหนุ่มคนหนึ่งลงสนาม เด็กคนนั้นชื่อ สตีฟ ค็อปเปลล์ แชงคลี่ย์ส่งสารไปยังลิเวอร์พูลทันที "มีเด็กหนุ่มที่เล่นได้เหมือน ทอม ฟินนี่ย์ เขาเป็นปีกสไตล์โบราณ พวกคุณควรมาดูเขาเล่นโดยเร็วที่สุด" น่าเศร้า มันเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไม่มีใครในแอนฟิลด์สนใจในความหวังดีของเขา ในที่สุด เขาโทรศัพท์ไปหาเพื่อนของเขา ทอมมี่ ด็อคเฮอร์ตี้ ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และค็อปเปลล์ก็เป็นนักเตะ แมน ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา

หลังอาหารเช้าของวันเสาร์ที่ 26 กันยายน 1981 บิล แชงคลี่ย์ถูกคุกคามด้วยโรคหัวใจ เขาถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบรอดกรีน และอาการของเขาดีขึ้นและไม่มีวี่แววว่าเขาจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตแม้ว่าแพทย์จะอนุญาตให้ครอบครัวของเขามีโอกาสเข้าเยี่ยมท่ามกลางการ์ดอวยพรหลายร้อยใบที่หลั่งไหลสู่โรงพยาบาล แต่เช้าวันจันทร์ต่อมา อาการของเขากลับแย่ลง แชงคลี่ย์ถูกย้ายไปห้องฉุกเฉินเมื่อเวลาเที่ยงคืนครึ่ง และเสียชีวิตลงในวันอังคารที่ 29 กันยายน 1981 เวลา 1.20 น. โดยมีเนสซี่ย์อยู่เคียงข้างตลอดเวลา

หากข่าวการลาออกของเขาไม่น่าเชื่อแล้ว ข่าวการเสียชีวิตกลับไม่น่าเชื่อมากกว่านั้น หนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูล เดลี่ โพสท์ พาดหัวข่าวตัวใหญ่ในตอนเช้าว่า "Shankly Is Dead" ทั่วทั้งเมืองลดธงลงครึ่งเสาโดยไม่ได้นัดหมาย ที่แอนฟิลด์มีการยกเลิกการฝึกซ้อมประจำวัน พวกนักเตะเดินกันวุ่นวายทำอะไรไม่ถูก แม้ว่านักเตะหลายคนไม่เคยผูกพันกับแชงคลี่ย์ก็ตาม

เพสลี่ย์ ฟาแกน และมอแรน ต่างน้ำตานองหน้า รอน ยีตส์แทบหัวใจสลายและกล่าวได้เพียงว่า "เขาคือพ่อคนที่สองของผม" ข้ามฟากไปที่เมืองแมนเชสเตอร์ แม็ต บัสบี้ เพื่อนสนิทของเขาไม่อยู่ในอาการที่ให้สัมภาษณ์ใดๆได้ และการประชุมประจำปีของพรรคแรงงานที่ไบร์ทตันได้มีการยืนสงบนิ่งไว้อาลัยแด่ชายคนหนึ่งผู้ชึ่งเป็นนักสังคมสงเคราะห์มาตลอดชีวิตของเขา

จากทั่วโลก คำสรรเสริญและอาลัยหลั่งไหลเข้ามา ไม่ว่าจากสโมสรที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ หรือจากบรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ จากอดีตนักเตะลิเวอร์พูล รวมไปถึงจากอดีตนักเตะของฮัดเดอร์สฟิลด์ คาร์ลไลล์ กริมสบี้ เวิร์คกิ้งตัน และเปรสตัน คำอาลัยจากจอห์น สมิธ ประธานสโมสรลิเวอร์พูลเรียบง่ายแต่ได้ใจความว่า "แชงคลี่ย์คือผู้จัดการทีมที่โดดเด่นและมีพลังมากที่สุดในศตวรรษ"

ทุกคนต่างมีความประทับใจในตัวแชงคลี่ย์แตกต่างกัน หากทุกคนต่างบรรยายความประทับใจนั้นออกมา คงเขียนเป็นหนังสือได้หลายเล่ม แต่สิ่งเดียวที่ทุกคนโดยเฉพาะผู้คนย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์มีความประทับใจร่วมกันเกี่ยวกับแชงคลี่ย์คือ แชงคลี่ย์นำสิ่งที่ดีต่างๆมาสู่ชีวิตของเขา เป็นตัวอย่างในความกระตือรือร้นและความรักในเกมฟุตบอล ซึ่งพวกเขาไม่มีวันลืมเลือนเป็นอันขาด

เมื่อมีชีวิตอยู่ แชงคลี่ย์ดูเป็นอมตะ เขาฟิตกว่าคนในวัยเดียวกันมาก เขาออกกำลังกายทุกวัน ไม่เคยดื่มเหล้า เคยแต่สูบบุหรี่บ้างเฉพาะในวัยหนุ่ม ดังนั้น การเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 68 ปี จึงเป็นสิ่งเหลือเชื่อและอาจกล่าวได้ว่าเขาเสียชีวิตก่อนเวลากันสมควร จอห์นี่ ไจล์ส อดีตนักเตะลีดส์ เคยให้ทรรศนะที่แสบสันต์ว่า "แชงคลี่ย์เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ที่มีสาเหตุมาจากลิเวอร์พูลที่เขารัก ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้โดยไม่มีเขา ดังนั้น การมอบชีวิตให้สโมสรใดสโมสรหนึ่งจึงเป็นความผิดพลาดที่น่าเศร้า"

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 1981 พิธีฝังศพของเขามีขึ้นที่โบสถ์เซนต์แมรี่ ในเวสท์ ดาร์บี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขานัก ภายนอกสนามฝึกซ้อมของเอฟเวอร์ตัน นักเตะเอฟเวอร์ตันทุกคนในสโมสร รวมไปถึงสต๊าฟโค้ชทุกคนต่างยืนสงบนิ่งไว้อาลัยเมื่อขบวนแห่ศพเคลื่อนผ่าน สภาพท้องฟ้าวันนั้นซึมเศร้าไม่ต่างจากสภาพอารมณ์ของผู้คนเกือบหมื่นคนที่ยืนเรียงรายอยู่สองข้างทางเฝ้ามองขบวนแห่ศพที่มี จอห์น โตแช็ค รอน ยีตส์ เอมลีน ฮิวจ์ และเรย์ คลีเมนซ์เป็นผู้แบกหีบศพ โดยมี เควิน คีแกน เอียน คัลลัคแฮน และเอียน เซนต์จอห์นเป็นผู้ติดตาม อดีตนักเตะของเขาเกือบทั้งหมดได้มาร่วมพิธี เช่นเดียวกับเพื่อนเก่าแก่อย่าง แม็ต บัสบี้ ทอม ฟินนี่ย์ และทอมมี่ ด็อคเฮอร์ตี้ รวมไปถึงตัวแทนจาก 92 สโมสรในฟุตบอลลีกด้วย และสายฝนได้โปรยปรายลงมาเมื่อเสียงเพลง You'll Never Walk Alone ดังขึ้น ในขณะที่บิล แชงคลี่ย์กำลังเดินทางครั้งสุดท้ายผ่านไปบนถนนแห่งแอนฟิลด์ มุ่งหน้าสู่ Priory Road Crematorium



จากคุณ : say it isn't so - [ 29 ก.ย. 50 14:53:52 ]

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความคิดเห็นที่ 8

พิธีกรทางทีวี ซู ลอร์ลี่ย์ เคยถามแชงคลี่ย์ว่า ต้องการให้คนทั่วไปจดจำเขาว่าอย่างไร เขากล่าวว่า "คนที่ซื่อสัตย์..ผมไม่เคยทรยศหรือหักหลังใคร ผมทำงานอย่างซื่อสัตย์ตลอดอาชีพของผม เพื่อประชาชนในเมืองลิเวอร์พูลที่เข้าไปยังแอนฟิลด์ ผมทำงานเพื่อพวกเขาและพยายามทำให้พวกเขามีความสุข"

ปี 1980 เขาได้ร่วมพิธีศพของดิ๊กซี่ ดีน สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองลิเวอร์พูลเคยปะทะกันในสนามหลายครั้ง ซึ่งดีนกล่าวถึงแชงคลี่ย์ว่า "เขาเป็นนักเตะที่มีไหวพริบ" ในพิธีนั้น โจ เมอร์เซอร์ คือผู้อ่านคำไว้อาลัย แต่แชงคลี่ย์คือคนที่สรุปใจความที่ดีที่สุดว่า "ในวันนี้ ไม่มีการแบ่งแยกสีดำหรือสีขาว ไม่มีสีน้ำเงินหรือสีแดง มีเพียงสิ่งเดียวคือความอาลัยต่อนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่" แชงคลี่ย์คงรู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติมากที่ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ในพิธีของเขาเอง

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลิเวอร์พูลเกือบลืมเลือนเขาไป ในยุคของแกรม ซูเนสส์ พวกเขาเปลี่ยนแปลงประเพณีหลายอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยแชงคลี่ย์ หนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนบู้ทรูมให้กลายเป็นห้องแถลงข่าว รวมไปถึงการทุบอัฒจรรย์เดอะค็อปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้น สโมสรเหมือนดิ่งลงเหว พวกเขาซื้อพวกนักเตะเกรดสองมาร่วมทีม ตารางฝึกซ้อมที่เปลี่ยนใหม่หมด แต่โชคยังดี ที่พวกเขายังตระหนักทันเวลาว่าสโมสรลิเวอร์พูลคือสโมสรของบิล แชงคลี่ย์ และบิล แชงคลี่ย์ คือสมบัติของสโมสรลิเวอร์พูลเพียงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือกลับไปสู่สิ่งที่แชงคลี่ย์วางรากฐานไว้

แม้ว่าแชงคลี่ย์ได้จากไปนานแล้ว แต่เดอะค็อปทุกคนรู้ว่าเขายังคงอยู่ที่แอนฟิลด์ เขารักทุกสิ่งทุกอย่างที่นั่นแม้แต่ต้นหญ้า ครั้งหนึ่งเขากล่าวว่า "ต้นหญ้าทุกต้นที่แอนฟิลด์คือต้นหญ้าที่เป็นมืออาชีพที่สุดในโลก" และเดอะค็อปทุกคนรู้ว่าเขาจะคงอยู่ที่นั่นตลอดไป ไม่มีเดอะค็อปคนใดลืมวันเวลาที่มีความสุขภายใต้การคุมทีมของแชงคลี่ย์ไปได้ จิตวิญญาณของเขายังคงครอบคลุมแอนฟิลด์เสมอ

หากคุณอยู่ในแอนฟิลด์เพียงลำพัง เมื่อใดที่คุณหลับตา วันเวลาอันแสนสวยงามในยุค 60s และ 70s จะผ่านเข้ามา คุณจะแว่วเสียงเดินของเขาบนทางเดินคอนกรีตมุ่งไปยังห้องแต่งตัว เสียงกระตุ้นนักเตะของเขา "พวกแกไม่ต้องกลัว ไอ้ลูกชาย พวกนั้นมันขยะ ไม่มีความสามารถพอที่จะผูกเชือกรองเท้าให้พวกแกด้วยซ้ำไป" เมื่อนักเตะลงสู่สนามแล้ว ในห้องแต่งตัวจะเหลือเขาเพียงคนเดียวท่ามกลางความเงียบ เขาเดินไปแขวนเสื้อสำรองของโรเจอร์ ฮันท์ เดินไปเก็บสนับแข้งสำรองที่เควิน คีแกนทิ้งไว้บนพื้น เมื่อเขาเดินออกจากประตูแล้ว ล้วนแต่ปรากฏรอยยิ้มและการจับมือทักทายจากเพื่อนฝูงมากมาย บนทางเดินของอุโมงค์นักเตะลงสู่สนาม เขาไม่ลืมยกมือสัมผัสป้าย This Is Anfield เหมือนเช่นทุกครั้ง ในระยะห่างออกไป เดอะค็อปกำลังร้องท่อนสุดท้ายของเพลง You'll Never Walk Alone และเสียงเพลงได้จบลงพร้อมกันกับที่แชงคลี่ย์ออกสู่สนาม เขาเหม่อมองเบื้องหน้าไปยังแฟนบอลอันเป็นที่รักบนเดอะค็อป และชูมือสองข้างขึ้นคารวะ

เดอะค็อปคารวะเขากลับว่า "แชง-คลี่ย์....แชง-คลี่ย์....แชง-คลี่ย์...."



จากคุณ : say it isn't so - [ 29 ก.ย. 50 14:54:53 ]

+++++++++++++++++++++++++++++++++++








ที่มา ; ขอขอบคุณ คุณ say it isn't so




Create Date : 30 กันยายน 2550
Last Update : 8 ตุลาคม 2550 9:31:44 น. 0 comments
Counter : 612 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชายกลางเก่า
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ส่งข้อความถึงชายกลางเก่า




<< มกราคม 2553 >>
พฤ
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31
Friends' blogs
[Add ชายกลางเก่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.