Ghibli museum ตั้งอยู่ที่เมือง มิทากะ (Mitaka) ค่อนข้างจะออกนอกเมืองโตเกียวไปไกลการเข้าชมนั้นต้องจองตั๋วผ่านร้านลอว์สัน (Lawson) ร้านสะดวกซื้อของญี่ปุ่นเท่านั้นไม่สามารถไปซื้อที่หน้าพิพิธภัณฑ์ได้ เพราะจำกัดรอบและคนเข้าชมในแต่ละวันเราเลยขอให้เจ้าหน้าที่จัดการทัวร์ช่วยจองตั๋วไว้ให้ และโชคดีมากที่ยังว่าง! เป็นอันว่าได้เข้าแน่นอน
สำหรับการเดินทางบอกไว้ก่อนว่าจำไม่ได้แล้ว(ขอโทษค่ะ) คือเรานั่งรถไฟของ JR สาย JR Saikyo Line Local จากโรงแรมย่าน Ikebukuro ไปลงที่สถานี Shinjuku แล้วเปลี่ยนไปสาย JRChuo/Ome Line Rapid Service เพื่อลง Mitaka อีกครั้งจำได้ว่าตอนนั้นตื่นเต้นมาก กลัวหลง ไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนและเคยได้ยินมาว่าสถานีรถไฟของเขาค่อนข้างสับสน และเราก็รีบมากเพราะเครื่องดีเลย์ทำให้โปรแกรมรวนไปหมด เกือบไปไม่ทัน แต่สรุปแล้วนั่งรถไฟสนุกดี ไม่ยากอย่างที่คิดรถไฟที่ญี่ปุ่นตรงเวลามาก ถ้าทำเวลาได้ดี เที่ยวได้คุ้มแน่ๆ
บนรถไฟ
คนญี่ปุ่นรักการอ่าน
พอมาถึงสถานีมิทากะแล้ว ให้หาป้ายว่า Ghibli museum เลย เดินออกมาจะมีป้ายรถเมล์ที่ไปส่งหน้ามิวเซียมเลย รถเมล์และป้ายแถวๆ นั้น จะมีเอกลักษณ์คือตกแต่งด้วยตัวการ์ตูนของจิบลิเสียดายมากไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะฝนตก ทุลักทุเลด้วยเพราะรีบไปให้ทัน
ทางเข้า ถ่ายจากด้านบน
เน้นสีเหลือง ตัดกับสีเขียวของต้นไม้
ขอตัดมาที่พิพิธภัณฑ์เลย พอมาถึงจะมีโตโตโร่ตัวใหญ่ให้ถ่ายรูปและไม่อยากจะบอกว่าเราไปถึงจวนเวลาจะต้องเข้าไปข้างในแล้ว เลยวิ่งจนลืมถ่าย เสียใจมาก (คงต้องเก็บเงินหาโอกาสไปใหม่) พอเอาตั๋วชั่วคราวไปให้พนักงานเราจะได้รับแผ่นฟิล์มเล็กๆ (เป็นตั๋วตัวจริง) ซึ่งแต่ละคนจะได้ไม่เหมือนกัน (เป็นฉากของการ์ตูนแต่ละเรื่องของจิบลิ)เราได้เรื่อง Ponyo on the Cliff by the Sea มา
หน้าตาตั๋วจริงที่ได้จาก Ghibli
กฏการเข้าชมของจิบลิคือ ห้ามถ่ายรูปด้านในเพราะผู้ก่อตั้งคือคุณปู่ฮายาโอะ มิยาซิกิ (Hayao Miyazaki) คิดว่าหากให้ถ่ายรูปด้านในได้ พ่อแม่ก็จะคอยให้เด็กๆ ถ่ายรูปจนลืมดูรายละเอียดต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์สรุปคือคุณปู่อยากให้ทุกคนใช้เวลาข้างในให้มากและคุ้มค่าที่สุดไม่ต้องมัวมาถ่ายรูป
Ghibli museum ข้างในเป็นอาคารไม้สูงสองชั้น (หรือสามไม่แน่ใจ) ออกแบบให้เป็นวงกลมเมื่อเข้ามาข้างในแล้ว ทุกคนจะได้เข้าไปนั่งชมภาพยนตร์อะนิเมชั่นสั้นของจิบลิ (พิเศษสำหรับฉายที่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น) ที่จะจัดฉายเป็นรอบๆ ไม่แน่ใจว่ามีทั้งหมดกี่เรื่อง แต่รอบที่เข้าไปดูคือเรื่อง Mr.Dough and the Egg Princess โรงภาพยนตร์สามารถนั่งได้ 80 ที่นั่ง รอบที่เราไปมีคนต่างชาติ คนญี่ปุ่นนั่งเต็มเลย เด็กๆ ดูชื่นชอบกันมากๆ แอบอิจฉาแทนเด็กไทย
พอดูจบ ก็ได้เวลาเดินชมภายในพิพิธภัณฑ์ชั้นล่างจะจัดแสดงเกี่ยวกับวิธีการทำอะนิเมชั่น ตื่นตาตื่นใจมาก ขึ้นไปด้านบนจะเป็นห้องทำงานและโต๊ะทำงานของคุณปู่มีภาพสเก็ตช์จริงให้ได้เปิดอ่านด้วย (แต่ขอโทษค่ะอ่านไม่ออก) คนญี่ปุ่นก็ยืนอ่านกันใหญ่ เราก็ได้แต่ยืนดูรูปไป แต่แค่นี้ก็มีความสุขมากๆ แล้ว
วันที่เราไปมีนิทรรศการพิเศษจัดแสดงด้านในด้วยชื่อว่า "The Lens at Work in The Ghibli Forest" เกี่ยวกับเรื่องเลนส์ เช่น ส่องแล้วเห็นภาพใหญ่ขึ้น เล็กขึ้นอะไรประมาณนี้ มีให้ได้ลองเล่นเองด้วย มีความสุขมาก (อีกรอบ)
จากนั้นก็จะเป็นส่วนที่ขายของระลึกค่อนข้างแพง เราเลยซื้อการ์ดกับกระดาษลายโตโตโร่มา ไม่ได้ซื้อชิ้นใหญ่ๆ แต่ขอโทษค่ะ สินค้าจากจิบลิฮอตมากๆ มีขายทั่วไปในญี่ปุ่นระหว่างทางไปนิกโกะก็ได้ติดมือมาอีกค่ะ
ด้านในจะมีเนโกะบัสหรือรสบัสแมวจากเรื่อง My Neighbor Totoro ตัวใหญ่ ขนนุ่มนิ่มให้เด็กๆ เข้าไปเล่นได้ด้วย จริงๆ ผู้ใหญ่ก็อยากเล่นแต่เกรงใจเด็กมากค่ะ ได้แต่มองตามตาละห้อย
ส่วนข้างนอกของอาคารจะเป็นบันไดวนให้ขึ้นไปบนดาดฟ้าตรงนี้สามารถถ่ายรูปได้ แต่ตอนนั้นฝนตกค่อนข้างหนัก ถ่ายได้นิดเดียวกลัวกล้องพัง ด้านบนจะเต็มไปด้วยต้นไม้และมีหุ่นยนต์ตัวใหญ่จากเรื่อง Castle in the Sky ตั้งตระหง่านอยู่ จริงๆ ไปเที่ยวฤดูฝนญี่ปุ่นก็สวยดีนะคะต้นไม้เขียวชะอุ่ม แต่อาจจะทุลักทุเลนิดนึง
ลงมาด้านล่างจะมีปั๊มน้ำ (เรียกแบบนี้รึเปล่า) ให้เล่นกัน เด็กๆ ทุกคนเดินผ่านไปมาต้องโยกเล่นค่ะ นอกจากนั้นจะมีคาเฟ่เล็กๆ ให้บริการ ได้ข่าวมาว่าเบเกอร์รี่ที่นี่อร่อยมากแต่เสียใจไม่ได้เข้าไปลองชิมเพราะต้องรีบกลับเพื่อไปขึ้น Tokyo Skytree จริงๆ มาคิดอีกทีในตอนนี้ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยอะเสียดาย
Ghibli Museum Cafe
ตัว Makkuro kurosuke
สรุปคือการไปเที่ยวโตเกียวครั้งนั้นของเรา สิ่งที่ประทับใจมากคือการได้มีโอกาสไปเที่ยว Ghibli museum สตูดิโอที่ทำอะนิเมชั่นที่เราหลงรักหลายเรื่องและคิดว่าหากมีโอกาสจะกลับไปอีกครั้งและครั้งนี้จะไม่ให้เวลามาเป็นตัวแปรให้เราเร่งรีบ คืออยากเดินชมอย่างช้าๆ อีกสักครั้ง
ไว้เจอกันใหม่นะ Ghibli museum
ถ้ามีโอกาสอยากไปบ้างจัง