สวัสดีลาว เมื่อสี่สาวออกเดินทาง ตอนที่ 4 ปั่นจักรยาน เที่ยววัด ล่องแม่น้ำโขง ที่หลวงพระบาง
สวัสดีลาวเมื่อสี่สาวออกเดินทาง ตอนที่4 ปั่นจักรยาน เที่ยววัด ล่องแม่น้ำโขง ที่หลวงพระบาง
กลับมาต่อสักทีหลังจากทิ้งตอนที่ 3 ไว้นาน เหตุเพราะยังไม่ได้ทำรูปค่ะก็เลยปล่อยยาวไปหน่อย ถึงไหนแล้วน้า อ้อ! หลังจากเราเคลียร์เรื่องห้องหับเรียบร้อยพักนิดหน่อยพวกเราก็เตรียมตัวไปท่องหลวงพระบางกันแล้วค่ะเราถามพนักงานที่เกสต์เฮ้าส์ว่าร้านเช่าจักรยานที่ใกล้ที่พักอยู่แถวไหนพอรู้ที่ก็จัดไปคนละคัน
การเช่าจักรยานที่นี่ไม่ยุ่งยากมากค่ะ แค่จ่ายเงินมัดจำและให้บัตรประชาชนไว้กับทางร้านเท่านี้ก็ได้ไปขี่ให้เพลิดเพลินแล้ว ราคาแต่ละร้านอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยถ้าเป็นจักรยานธรรมดาประมาณ แอลเอ ก็จะถูกหน่อย แต่ถ้าเป็นจักรยานคลาสสิกสวยขึ้นมานิด เก๋ๆ ขึ้นมาหน่อย น่าจะราคาสูงขึ้นมาแต่พวกเราเลือกสะดวกและใกล้ที่พักค่ะ ตอนคืนจะได้ไม่ต้องเดินไกล แม้หลวงพระบางจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่มีแผนที่ไว้ก็อุ่นใจกว่า ไม่เสียเวลาด้วยจุดมุ่งหมายแรกของเราคือ วัดเชียงทอง
ระหว่างทาง แวะถ่ายแม่น้ำโขง
ให้ความรู้สึกเหมือนต่างประเทศ
วัดเชียงทอง เป็นวัดที่สำคัญของหลวงพระบาง สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจุดเด่นคือวัดเชียงทอง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ หลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่3 ชั้น ลดหลั่นเกือบจรดฐานจนแลดูค่อนข้างเตี้ย ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองซึ่งชาวลาวจะเรียกว่าช่อฟ้า ประกอบด้วย 17 ช่อ(ข้อมูลจาก louangprabang.net)
นอกจากนั้นที่ด้านหลังของพระอุโบสถ (คนลาวเรียกสิม) จะตกแต่งด้วยกระจกชิ้นเล็กๆ ที่ประกอบกันเป็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ และวิหารรอบๆก็จะตกแต่งด้วยกระจกชิ้นเล็กๆ ร้อยเรียงเป็นนิทานพื้นบ้าน สวยงามแบบเรียบง่ายมากๆ
ข้อเสียของการมาเที่ยววัดมีอย่างเดียวเลยจริงๆ คือ เราถ่ายรูปสถาปัตยกรรมไม่สวยของจริงสวยและสงบกว่าในรูปแน่นอน
อย่างที่บอกว่าเราผิดแผนกันนิดหน่อย ตรงที่การเข้าวัดทุกวัดในหลวงพระบาง (น่าจะทั้งประเทศเลยนะ) ต้องเสียค่าธรรมเนียม ณ วันที่เราเข้าคือ สองหมื่นกีบ (ราวๆ 80 บาท) ซึ่งตอนแรกเราวางแผนไว้เยอะมากว่าจะต้องเข้าทุกวัดแต่เนื่องจากทุกคนจ่ายค่าเสียหายจากตลาดมืดไปเยอะเกินคาด ทำให้เราเริ่มลังเลสุดท้ายเลยตกลงกันว่าจะปั่นจักรยานรอบเมือง ดูบ้านเก่า ถ่ายรูปกัน แวะร้านกาแฟเพราะถ้าเข้าทุกวัด ไม่มีเงินกลับบ้านแน่ๆ (แย่เลย ณ จุดนี้)
แต่แล้ว....เมื่อเราไหว้พระ ถ่ายรูปซึมซับกับความสงบจนได้ที่ ขณะที่กำลังก้าวลงบันได ก็มีพี่คนหนึ่ง เข้ามาเสนอว่า นั่งเรือไปไหว้พระฝั่งนู้นมั้ยคิดราคาถูกๆ พวกเรามองหน้ากัน เอาแล้วไง ก็เพิ่งคุยกันว่าไม่มีเงินแวะทุกวัดแน่ๆ หรือจะนั่งเรือชมแม่น้ำโขงแวะหมู่บ้านทอผ้าก็ได้นะ พวกเรายังมองหน้ากันเพื่อตัดสินใจ เคยดูสะบายดีหลวงพระบางมั้ยที่อนันดาเล่น อ้ายเป็นคนขับเรือให้นางเอกในหนังนะ
อุต๊ะ!นี่เราจะได้นั่งเรือกับดาราหนังเหรอเนี่ย สุดท้ายพวกเราคุยกันแล้วว่าค่าเรือน่าจะพอสำหรับทริปนี้อีกอย่างได้ล่องแม่น้ำโขงก็ดีไปอีกแบบ ก็เลยตัดสินใจไปค่ะ อ้ายคนเรือใจดีมากเลยอธิบายให้เราฟังในจุดที่น่าสนใจ หรือจุดที่เราถามแล้วแพลนที่งอกออกมาครั้งนี้ก็คือ หมู่บ้านทอผ้าและทำกระดาษสา
ล่องเรือ
คุณป้าทำกระดาษสา
ขยี้ปอที่ตำแหลกแล้ว
ขยี้เสร็จแล้วก็เอามาตาก
ปั่นด้าย
สาวทอผ้า
จริงๆ หมู่บ้านนี้ก็ไม่มีอะไรมากนะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่เน้นทอผ้าและทำกระดาษสาขาย เราก็ไปดูวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านนี้ ที่ว่าไม่มีอะไรมันก็มีอะไรนะคะที่นี่เราไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมา เพราะราคาผ้าทอค่อนข้างแพง
เล่นขายของกันอยู่
พี่หมิวสมัยวัยรุ่น
ได้เวลากลับ ขณะกำลังล่องเรืออยู่สายตาพวกเราหันไปเห็นร้านค้ากลางน้ำ (คือแม่น้ำโขงมันจะมีส่วนดินโผล่มาเป็นที่ว่าง เลยมีคนมาตั้งร้าน) เราถามพี่คนเรือว่าร้านนี้ขายอะไรอ้ายบอกว่าเป็นร้านตำแตง (รอบๆ เค้าก็ปลูกแตงกันนะคะ เก็บมาทำสดๆ เลย) ก็เลยลองถามดูว่าขอแวะได้มั้ย อ้ายบอกว่าได้ ก็เลยได้กินตำแตงกัน อร่อยมากแทบไม่ได้กลิ่นปลาร้าเลย (ปลาร้าเค้าอร่อย) แต่เราไม่กินไก่นะคะเพราะเค้าบอกว่าถ้าจะกินไก่เค้าจะจับเชือดให้ โอ้วววว สงสารก็เลยสั่งต้มยำปลาแทนแต่ต้มยำบ้านเราแซ่บกว่านะ ที่นี่รสชาติจืดๆ เปรี้ยวๆ
สองแสบวิ่งตามไปที่เรือ
แล้วก็โบกมือให้
ชีวิตเด็กๆ ริมน้ำค่ะ
เล่นน้ำคลายร้อน
หลังจากนั้นก็ขึ้นฝั่งขี่จักรยานกันกลางแดดเปรี้ยง แล้วก็แวะดื่มกาแฟที่ Joma and Bakery cafe เป็นร้านฮิตสุดๆ ที่คนไทยไปหลวงพระบางต้องไปลองความจริงเราไม่ค่อยเข้าร้านที่มีคนรีวิวเยอะ แต่ร้านนี้น่านั่งดี ร้อนด้วยก็เลยยอมนั่งค่ะ (เพื่ออยากใช้เน็ตด้วย ลงแดง ฮ่าๆ) เราชอบดื่มกาแฟจึงมักจะขอลองชิมทุกครั้งที่เข้าร้านกาแฟใหม่ๆ เพื่อจัดอันดับของตัวเองสรุปว่ากาแฟที่นี่ ไม่อร่อยแฮะ
เราใช้เวลาที่โจมานานพอสมควรเพราะมีเน็ตและข้างนอกแดงแรงมาก ไม่เหมาะกับการขี่จักรยานแล้วจากนั้นก็ได้เวลากลับห้องค่ะ ตามแพลนที่วางไว้คือ เราจะอาบน้ำกันอีกครั้งเพราะตอนเย็นเราต้องไปขึ้นรถนอนเพื่อเดินทางไปเวียงจันท์ แต่เรายังต้องไปขึ้นพระธาตุพูสีกันก่อนที่เลือกขึ้นตอนเย็นเพราะบนพระธาตุเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นหลวงพระบางได้ทั้งเมืองและพระอาทิตย์ตกจะสวยมากๆ แต่พวกเราคิดผิดนิดหน่อย เพราะการเดินขึ้นพระธาตุไม่ง่ายเลย และเสียเหงื่ออีก (คือที่อาบน้ำมาไม่ช่วยอะไรแล้ว)
พระธาตุพูสี
ทิวทัศน์เมืองหลวงพระบาง
พระธาตุพูสี ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงราว 150 เมตร มีบันไดขึ้นทั้งหมด 328 ขั้น พูสี มีความหมายว่า ภูเขาของพระฤาษี เสียค่าเข้าชมคือ สองหมื่นกีบ อีกเช่นเคย
ตอนแรกที่บอกเพื่อนว่าจะขึ้นพระธาตุเราไม่รู้จริงๆ ว่าจะสูงและชัน (ความจริงน่าจะรู้นะ) คือส่วนตัวแล้วมีโฟเบียเล็กๆ เรื่องกลัวบันไดและความชัน ทำให้ตลอดทางต้องเกาะมือเพื่อนไปตลอดเพราะถ้าหยุดเมื่อไรจะขาสั่น เหงื่อแตก และกลัวมาก แต่สุดท้ายด้วยความอนทนอันแรงกล้าก็ฝ่าขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินกันได้อย่างปลอดภัยแต่น่าเสียดายเราไม่ได้อยู่จนค่ำเพราะต้องเตรียมตัวไปรอรถตุ๊กตุ๊กที่ร้านเอเจนที่เราซื้อตั๋ว เพื่อเดินทางไป บขส นั่นเองค่ะ
เดินทางกันมาถึงตอนที่ 4 แล้วตอนหน้าก็จบทริปแล้วค่ะ ความจริงที่เวียงจันท์ไม่มีอะไรให้เล่าเท่าไรเพราะใช้เวลาน้อยมาก แต่ขอยกไปตอนหน้านะคะ เพราะตอนสี่นี้ใช้พื้นที่ยาวมากขอบคุณที่ติดตามอ่านกันค่ะ
Create Date : 24 มีนาคม 2557 |
Last Update : 25 มีนาคม 2557 15:00:18 น. |
|
12 comments
|
Counter : 3673 Pageviews. |
|
|
แวะมาเที่ยวหลวงพระบางด้วยค่ะ..
น่าสนุกนะคะ..
จะติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ