เมษายน 2556

 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
13
14
15
17
18
19
20
22
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
สัมผัสมนตรา.. Chapter 2.. จุดเริ่มต้น


Chapter 2

จุดเริ่มต้น

‘ฉันอยากเป็นคนรักของนาย จะได้ไหม’

‘ไร้สาระ...’

‘เฟ..! อย่าทิ้งพี่ไป!!’

‘ช่วยทำให้ฟาลืมเรื่องทั้งหมดที ฟาไม่อยากจดจำอะไรได้อีกแล้ว’

‘ได้ยินไหม..! ฟาอยากลบลืมทุกอย่าง!!’

คิ้วเรียวขมวดคล้ายกำลังต่อต้านกับบางอย่างในความคิด เหงื่อผุดตามผิวหนังมือกำบีบแน่นจนเส้นเลือดปูดนูน ร่างกายขยับเคลื่อนไหวดิ้นไปมาก่อนจะสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกกว้างพร้อมเปลวเทียนลุกสว่างรอบห้องนอนจิตใจกระตุกไหว ลมหายใจระบายอย่างหนักหน่วง พลางขยับกายลุกขึ้นนั่ง ‘ฝันร้ายอีกแล้ว’จะมีบ้างไหมสักคืนที่ได้นอนเต็มตา ตื่นตอนรุ่งเช้าเฉกเช่นคนอื่นเขาทำกัน

ฟาหันมองรอบห้องจับจ้องเปลวเทียนพลางดีดนิ้วมือสิ้นเสียงป๊อกทุกอย่างดับวูบเหลือเพียงความมืดมิด และปลายเทียนติดไฟสว่างอีกครั้งเมื่อนิ้วถูกดีดซ้ำเป็นหนที่สองฟาครุ่นคิดถึงพลังในร่างกายเริ่มมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทุกครั้งหากต้องการใช้มนตร์พิเศษในสมองจะสั่งการคล้ายเป็นรหัสบางอย่างซึ่งเธอคงหลงลืมไปทั้งที่พยายามนึกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ช่วงที่ฟารับรู้ถึงพลังพิเศษนี้ใหม่ๆ เธอเพ่งสมาธิอยู่นานกว่ามนตราที่ร่ายออกมาจะสัมฤทธิ์ผลทว่าค่ำคืนนี้แตกต่าง เพียงแค่ตกใจตื่นจากฝันร้ายแสงไฟจากเปลวเทียนกลับติดขึ้นเองจนสว่างทั่วทั้งห้องเป็นสิ่งซึ่งเธอไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

ความจำพอมีเลือนรางเกี่ยวกับสิ่งที่น้องสาวเคยบอกกล่าวเอาไว้เมื่อสามปีก่อนตอนฟาอายุย่างยี่สิบปี เธอหมดสติล้มลงจนศีรษะฟาดกับพื้นและถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งฟากลับจำอะไรไม่ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่รับรู้มาจากคำบอกเล่าของน้องสาวทั้งสิ้นไม่ว่าจะชีวิตครอบครัวหรือการดำรงอยู่ในอดีต และนับว่าโชคดีที่มีน้องสาวคอยเคียงข้างตลอดเวลาไม่เคยห่างจนผ่านนานหลายเดือนความผิดปกติเริ่มเกิดขึ้น เมื่อในความคิดมีทั้งภาพและเสียงคล้ายเป็นรหัสส่งสัญญาณราวกับคาถาวิ่งวนในสมองฟาไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้แม้แต่น้องสาวตัวเอง เธอพยายามค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตามอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ หรือแม้แต่หนังสือเกี่ยวกับไสยศาสตร์มนตรา ทำให้เธอเริ่มฝึกควบคุมสมาธิและใช้มนตร์พิเศษในตัวได้ตามใจคิดนั่นคือสิ่งที่ฟาพอจำได้คลับคล้ายคลับคลาจนถึงวันนี้

ฟาเคลื่อนลงจากเตียงก้าวเดินยังระเบียงด้านนอกวงหน้านวลเนียนแหงนขึ้นท้องฟ้ามองหาดวงดาวที่ส่องแสงวับวาม ถึงแม้เบื้องบนจะมืดมิดดูเงียบเหงาแต่ยังมีสิ่งสวยงามประดับไว้ชวนมองเปลือกตาปิดลงส่งจิตอธิษฐานยังท้องฟ้า หากเป็นไปได้เธออยากมีครอบครัวอีกครั้งหรือถ้าทำได้เธออยากสลายหายจากตรงนี้และลอยขึ้นไปเป็นดวงดาว อยู่เคียงข้างกับครอบครัวที่จากไป

ระหว่างครุ่นคิดเพลิดเพลินหางตาเห็นความเคลื่อนไหวภายใต้แสงไฟสลัวบนพื้นถนนด้านล่างคนรูปร่างสูงโปร่งสวมแจ็คเก็ตดำคลุมศีรษะเดินพ้นสายตาไป ดึกดื่นค่อนคืนยังมีผู้คนมาเดินผ่านให้เห็นฟาได้แต่นึกในใจก่อนปัดความคิดทั้งหลายทิ้งและเดินกลับเข้าบ้านเมื่อเห็นว่าควรหลับตาพักผ่อนได้แล้วระหว่างก้าวเดินเกือบถึงเตียงนอนในความคิดเกิดนึกถึงเพื่อนร่วมงานคนใหม่ขึ้นมากับความรู้สึกเพียงเสี้ยววินาทีที่ทำให้ใจวูบไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุเธอรู้สึกคุ้นชินคล้ายเคยเห็นความอ่อนโยนเหล่านั้นมาก่อน

จากช่วงเช้าที่ผ่านมาตั้งแต่เจ้าของร้านเบเกอรี่ตัดสินใจรับลูกจ้างคนใหม่เข้างานทำให้ฟาได้รับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมหลายอย่าง ทั้งชื่อเสียงเรียงนาม ทั้งสถานที่ซึ่งเขาชอบไปบ่อยครั้งอย่างเช่นสถานที่ซึ่งเธอได้เจอะเจอพวกเขาเมื่อคืนนี้ และยังรู้ถึงความสนิทสนมของพ้องเพื่อนทำให้พอมีวิธีเข้าใกล้บุคคลที่สร้างรอยจำแก่เธอ ในสมองเริ่มประมวลถึงหนทางแก้แค้นเพื่อยุติฝันร้ายเสียที

เช้าวันใหม่กับการทำงานพิเศษฟากระตือรือร้นอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน คว้ารถคู่ใจขับมาถึงที่ทำงานในเวลาเพียงไม่กี่นาทีระหว่างนำรถเข้าจอดประจำที่ไม่ทันสังเกตว่ามีใครมาดักคอยอยู่ด้านหลัง คนตัวสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์ดำสนิทเส้นผมออกโทนน้ำตาลอ่อนรวบรัดเรียบร้อยเผยให้เห็นใบหน้าคมคายชัดเจน ดวงตาคมเข้มใต้แนวคิ้วหนามองการกระทำของหญิงสาวริมฝีปากหยักได้รูปแย้มยิ้มส่งให้เมื่อเห็นฟาหันมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ กับความคิดซึ่งมั่นใจอย่างมากว่าตนมาถึงที่ทำงานเร็วกว่าคนอื่นทว่ากลับแพ้ลูกจ้างคนใหม่ซึ่งถึงก่อน แถมยืนยิ้มเยาะกวนประสาทแต่เช้าตรู่

“ไฮ..ฟา”

คนถูกเรียกรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับการทักทายโบกมือไปมาพร้อมก้าวเดินหาเธอตั้งแต่เมื่อวานหลังจากได้เริ่มต้นทำความรู้จักกันแอลก็ซักถามประวัติส่วนตัวของฟาจนถี่ยิบ หากแต่มีเพียงชื่อเรียกเท่านั้นที่เธอยอมเปิดเผยให้เขารับรู้ฟาหนักใจกับผู้ชายเบื้องหน้า ไม่รู้ไปถูกใจอะไรนักหนาเขาถึงอยากรู้จักสนิทสนมกับเธอทั้งที่พูดคุยกันได้ไม่ถึงวันแต่ทำเหมือนรู้จักกันมาหลายปี

“เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้านหรือไงถึงมายืนอยู่นี่แต่เช้า”

“ผมคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้มั้ง”

ฟากระตุกยิ้มพลางเดินผ่านคู่สนทนายังหน้าร้านเบเกอรี่นิ้วดีดร่ายมนตร์ปลดล็อคประตูตามความเคยชิน เผลอลืมไปว่าเวลานี้ไม่ได้อยู่คนเดียวลำพังฝีเท้าชะงักนิ่งหน้าทางเข้า แสร้งทำทีควานหาบางสิ่งในกระเป๋าสะพายเพียงชั่วครู่พวงกุญแจถูกยกขึ้นไขประตูทั้งที่ปลดล็อคเรียบร้อยแล้วแอลชะโงกหน้าผ่านไหล่บอบบางมองดูลูกบิดราวกับตั้งใจจับผิด ทำให้ฟารู้สึกร้อนๆหนาวๆ เสียวสันหลังขึ้นมา

“อะไรของนาย”

“ผมรู้สึกว่าประตูมันไม่ได้ล็อคนะมีขโมยเข้าร้านหรือเปล่า”

“นายจะบ้าเหรอก็ฉันเพิ่งไขกุญแจเมื่อกี้ ไม่เห็นหรือไง”

ประตูถูกผลักเปิดปรับเปลี่ยนสถานการณ์คลายความสงสัยแคลงใจ แอลคลี่ยิ้มเมื่อเห็นความหงุดหงิดที่แสดงออกจากน้ำเสียงของเธอที่เดินนำเข้าในร้านสิ่งของเครื่องใช้ถูกเก็บเข้าตู้ส่วนตัวก่อนเริ่มต้นทำงานตามหน้าที่

อุปกรณ์ประกอบการทำงานถูกจัดเตรียมตามปกติประจำวันมีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลง นั่นคือการสอนงานลูกจ้างคนใหม่ แอลพยายามพูดจาถามไถ่เกี่ยวกับหน้าที่อย่างตั้งใจทั้งที่จริงก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรแต่เขากลับให้ความสนใจเต็มที่ ระหว่างรับฟังข้อมูล วงหน้าหวานอยู่ภายในสายตาของเขาตลอดเวลาจนไม่อยากละหนีไปไหน

“นายฟังที่ฉันพูดหรือเปล่าแอลขอเตือนไว้ก่อนนะ ฉันสอนแค่รอบเดียวเท่านั้น”

“ฟังสิฟังอยู่ ฟาอย่าโหดนักเลยน่า ผมเพิ่งเริ่มงานนะ จะให้เข้าใจทุกอย่างทันทีไม่ได้หรอก”

“งั้นก็ตั้งใจสิอย่าเหม่อลอย เออนี่.. ฉันขอถามอะไรหน่อย”

“ว่าไง..”

“นายเข้ามาวุ่นวายกับฉันทำไม”

ฟาหันมองคนด้านข้างซึ่งยืนนิ่งกับประโยคสนทนาราวกับมีบางอย่างในใจและลังเลที่จะตอบคำถามของเธอจนข้อศอกกระทุ้งเข้าข้างเอวทำให้เขาเริ่มพูดจาอีกครั้ง

“ก็อย่างที่บอกผมอยากรู้จักคุณ ฟาไม่เคยเป็นหรือไง เวลาเห็นใครบางคนแล้วถูกชะตากะทันหันเหมือนกับคุ้นเคยมานานทำให้อยากรู้จักขึ้นมาเฉยๆ”

“นายก็เลยรู้สึกว่าคุ้นเคยกับฉันงั้นเหรอแอล”

“ใช่..ผมรู้สึกคุ้นเคยกับคุณ”

คำพูดฟังดูละมุนหูแต่รอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความทะเล้นทำให้ฟาไม่อยากเชื่อคำพูดเขาสักเท่าไหร่ ผู้ชายคนนี้จากการคาดเดาถ้าไม่เป็นพวกเสือผู้หญิงก็คงเข้าข่ายกะล่อนออกแนวเจ้าชู้ประตูดินฟาหันกลับไปสนใจเมล็ดกาแฟที่เทลงกระปุกแก้วแบ่งแยกตามชนิดลังเลใจชั่วครู่ก่อนตั้งคำถาม

“เพื่อนนายสองคนที่มาร้านเมื่อวานนี้เขาคบกันนานหรือยัง”

“ไอ้รันกับซันน่ะเหรอ”

“ใช่..ก็เพื่อนนายสองคนนั้นล่ะ คบกันนานหรือยัง”

“คุณอยากรู้ไปทำไม”

คำถามสะกิดใจชะงักการกระทำทุกอย่างฉุกคิดและถามตัวเอง นั่นสิ.. จะอยากรู้เรื่องราวของสองคนนั้นไปทำไมถึงอย่างไรเธอก็ไม่คิดจะญาติดีด้วยอยู่แล้ว ต่อให้พวกเขาคบกันไม่ว่าจะก่อนหรือหลังที่รู้จักกับเฟมันก็ไม่ได้ช่วยให้น้องสาวของเธอฟื้นจากความตายอยู่ดีอารมณ์หงุดหงิดก่อร่างสร้างตัวจนต้องควบคุมเอาไว้

“อยากรู้เฉยๆไม่ได้หรือไง”

“เปล่า..ก็แค่อยากรู้เหตุผล ไม่ใช่ผมไม่อยากบอกนะ”

“ช่างเหอะฉันก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องของพวกนายนักหรอก”

“ที่อยากรู้เพราะคุณสนใจไอ้รันงั้นเหรอผมรู้มาว่าคืนก่อนฟาไปสนามแข่งรถและเข้าไปขอมันเป็นคนรัก เรื่องจริงหรือเปล่า”

เป็นอีกครั้งที่การกระทำหยุดชะงักแต่ไม่ใช่ฉุกคิดแบบครั้งแรกคราวนี้เธอแค่นยิ้มส่ายหน้า วางมือจากทุกสิ่งหันหน้าเผชิญกับแอลซึ่งจ้องมองรอฟังคำตอบอยากรู้ความจริงจากปากของเธอ

“แสดงว่าพวกนายจำฉันได้จากคืนนั้นงั้นสิ”

“สำหรับผม..ไม่เคยลืม” น้ำเสียงดูแผ่วลงก่อนกลับมาจริงจังอีกครั้ง “แต่เรื่องที่คุณขอรันเป็นคนรักผมเพิ่งรู้เมื่อวานนี้จากซัน ตกลงจริงหรือเปล่า”

“จะจริงหรือไม่จริงก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับนายเราสองคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงวัน ไม่ต้องอยากรู้เรื่องของฉันมากนักหรอก”

“อืม..อย่างงั้นเหรอ”

“หรือหากอยากรู้เรื่องจริงช่วยทำให้เพื่อนนายมาคบฉันสิ แล้วนายจะได้รู้ทุกอย่าง”

รอยยิ้มเหยียดอวดดีรู้สึกว่าตัวเองเป็นต่อถึงอย่างไรแอลก็ไม่มีทางได้รับรู้เรื่องราวในชีวิตของเธอไปมากกว่านี้ข้อเสนอที่ตั้งไว้เป็นเพียงการหลีกเลี่ยงและยุติเรื่องสนทนาเท่านั้น

“ถ้าคุณต้องการแบบนั้นผมจะช่วยคุณ”

ฟาหยุดฝีเท้าระหว่างจะก้าวเดินเพื่อจัดการงานส่วนอื่นประโยคทำให้ชะงักอึ้งไม่นึกว่าเขาจะรับบทบาทที่เธอนำเสนอแบบส่งเดช ฟาไม่เคยอยากหลอกใช้ใครแต่ถ้ามันเป็นความเต็มใจ และสามารถทำให้เธอได้ชำระแค้นที่ก่อตัวเนิ่นนาน ก็สมควรยินดีรับไว้พิจารณา

“มากันแต่เช้าเชียว”

ยังไม่ทันได้เจรจาต่อรองการสนทนาถูกขัดโดยเจ้าของร้านเบเกอรี่ส่งเสียงทักทาย ทำให้ฟาหันหลังกลับและเดินปฏิบัติงานตามที่เคยตั้งใจไว้ส่วนแอลหันหาหญิงสาวมากวัยซึ่งมองหน้าเขาด้วยสายตาหยาดเยิ้มเป็นประกายพร้อมส่งยิ้มหวานให้ไม่มีหุบ

“สวัสดีครับพี่สาวมาเริ่มงานวันแรกผมไม่อยากมาสาย เดี๋ยวเสียภาพพจน์กันพอดี”

“อะไรกันทำงานฟรีไม่เอาค่าแรง จะเข้าออกตอนไหน หรือมาสายโด่งพี่ก็ไม่ว่าแอลหรอกนะ ตามสบายเลย”

“ไม่ดีมั้งครับอุตส่าห์ได้งานทำทั้งที คงต้องเต็มที่กับมัน”

เสียงโครมใหญ่ดังขัดจังหวะการสนทนาซึ่งทำให้ใครบางคนเกิดหมั่นไส้กะทันหันมาเริ่มงานวันแรกก็ทำเป็นตีซี้เอาอกเอาใจเจ้าของสถานที่ไม่ได้เกรงใจรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนสักนิด

“เสียงอะไรฟา”เจ้าของร้านถามไถ่ พร้อมย่างก้าวมองดูเหตุการณ์

“สงสัยหมามันวิ่งชนถังขยะล้ม..นี่นายน้องใหม่ออกไปเก็บถังขยะหลังร้านให้ที”

ฟาส่งสายตานิ่งเฉยมองแอลซึ่งระบายยิ้มส่งให้พลางเดินยังหลังร้านตามคำสั่งของเธอที่จริงแล้วถังขยะใบนั้นไม่ได้มีสุนัขตัวไหนวิ่งไปชนมันล้มทั้งนั้น เพราะฟาต่างหากที่หาเรื่องให้แอลเลิกตีสนิทกับหญิงสาวเจ้าของร้านเสียทีไม้กวาดพร้อมไม้ถูพื้นถูกถือออกมาทำความสะอาดบริเวณหน้าร้าน ฟาเริ่มลงมือจัดการงานตามหน้าที่ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าเนื่องจากมีอย่างอื่นให้ทำอีกมากมาย

เสียงครางหงิงของลูกสุนัขดังแว่วจากหลังร้านก่อนปรากฏให้เห็นตรงหน้าแอลอุ้มสัตว์โลกสี่ขาอย่างทะนุถนอมเดินกลับเข้าในร้าน เสียงร้องของมันดึงดูดความสนใจให้มองตาม

“ลูกหมาที่ไหนหรือแอลดูมันร้องเหมือนบาดเจ็บเลยนะ”

เจ้าของร้านเดินเข้าหาพลางยกมือลูบไล้หัวของลูกสุนัขตัวนั้นอย่างเอ็นดูทำให้ฟาเกิดสนใจหยุดทำหน้าที่ชั่วครู่หันมองบุคคลทั้งสองพูดจากัน

“มันคงเป็นลูกหมาจรจัดมาหาเศษขนมกินแล้วเผลอวิ่งชนถังขยะใบเบ้อเริ่มล้มใส่ตัวเองมั้งครับพี่ ทำอะไรซุ่มซ่ามไม่รู้จักระวังเลยนะเจ้าหมาน้อยไม่รู้กระดูกส่วนไหนหักบ้างหรือเปล่า พี่สาวพอจะมียาสามัญประจำร้านบ้างหรือเปล่าครับเผื่ออาการมันไม่หนักหนาจะได้ดูแลเบื้องต้นไปก่อน”

เจ้าของร้านพยักหน้าพร้อมหากล่องยาตามที่ขอมาแอลเดินเข้ากลางร้านยกเก้าอี้ลงจากโต๊ะ นำลูกสุนัขตัวกลมขนฟูวางอย่างระมัดระวังเมื่อฟามองสำรวจอาการจนชัดเจน จึงเริ่มเข้าใจว่าเธอเองเป็นตัวการทำให้ลูกสุนัขตัวนั้นบาดเจ็บลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นจู่โจมจิตใจให้รู้สึกผิดอย่างรู้ตัว คงเพราะมนตร์พิเศษที่เธอใช้กลั่นแกล้งผู้อื่นทำให้สิ่งมีชีวิตรอบกายพลอยได้รับผลกระทบไม่ว่าจะลูกสุนัขตัวนี้หรือเพื่อนรุ่นน้องที่กำลังเปิดประตูเข้ามา

“ทำอะไรกันอยู่”

“...”ทุกสายตาหันมองเก่งชั่วครู่ก่อนเทความสนใจให้เจ้าสัตว์ตัวน้อยโดยไม่มีใครตอบคำถามของเขาทำให้หนุ่มหน้าตี๋เดินหาตัวช่วยคลายความสงสัย

“ทำอะไรกันอยู่เหรอเจ้แล้วพี่เขาเอากล่องยามาทำอะไร”

ฟาละสายตาจากลูกสุนัขบนโต๊ะมองเพื่อนรุ่นน้องชั่วครู่แต่ไม่ได้ตอบอะไรไม้ถูพื้นในมือถูกส่งให้เก่งถือไว้ก่อนผละจาก หนุ่มหน้าตี๋มองสิ่งของในมือสลับกับเพื่อนร่วมงานสาวด้วยอาการงุนงงจนอ้าปากค้างไม่เข้าใจใครสักคนในร้านนี้ เกิดอะไรขึ้นมาถึงไม่มีใครปริปากตอบคำถามเขาสักคน

ความรู้สึกหดหู่และวิตกกังวลถาโถมจิตใจฟาเอื้อมมือลูบไล้ขนปุยตรงส่วนหลังของลูกสุนัขบาดเจ็บ ยิ่งเห็นแววตาละห้อยของมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดเพราะมนตร์พิเศษที่เสกร่ายเมื่อครู่นี้ทำให้มันต้องรับเคราะห์จนบาดเจ็บเช่นนี้

“มันเป็นอะไรมากไหม”

ฟาถามไถ่ทั้งที่ยังมองลูกสุนัขตัวนั้นไม่วางตาแอลไม่ได้ตอบคำถามเนื่องจากเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าสัตว์ตัวน้อยเป็นอย่างไรบ้างสองมือพยายามจับคลำยังส่วนต่างๆ จนเห็นว่ามันเจ็บบริเวณขาหลัง เสียงร้องส่งดังเมื่อจับไปโดนส่วนที่บวมเป่งขึ้นมา

“สงสัยถังขยะจะทับถูกขามันผมจะเอาผ้าพันไว้ก่อนรอดูอาการ หากไม่ดีขึ้นคงต้องพาไปหาหมอ”

“ที่จริงไม่ต้องพันผ้าก็ได้นะหมามันมีวิธีรักษาตัวเอง เดี๋ยวมันเลียแผลแปบเดียวก็หายแล้ว”

“แกรู้ได้ไงเก่งเคยเป็นหมาหรือไง”

ประโยคของฟาทำให้คนฟังหลุดขำมีแต่เก่งที่สะดุ้งโหยงรู้สึกกำลังถูกด่าแบบเปรียบเปรย ฟายังคงให้ความสนใจกับสุนัขตัวนั้นช่วยจัดการนำผ้าก๊อซพันรอบขาที่เกิดอาการบาดเจ็บเปล่งคำว่าขอโทษอยู่ในใจซ้ำๆ หวังเพียงลบล้างความผิดที่ก่อไว้ และส่งผลให้ลูกสุนัขหายเป็นปกติโดยเร็ว

ลังกระดาษเปล่าถูกนำมาเป็นที่อาศัยให้ลูกสุนัขได้พักผ่อนรักษาตัวชั่วคราวเศษขนมปังแผ่นถูกฉีกป้อนเป็นอาหารพร้อมนมสดเทใส่ถ้วยให้มันได้เลียกินจนพุงกางแอลยืนกอดอกพิงขอบประตูมองฟาซึ่งคอยดูแลสัตว์บาดเจ็บทั้งวันตั้งแต่เช้ารอยยิ้มระบายบนใบหน้าคมคายเมื่อเห็นความห่วงใยที่หญิงสาวคนหนึ่งมอบให้แก่สิ่งมีชีวิตร่วมโลกถึงแม้การกระทำของฟาที่แสดงออกมาจะเป็นในส่วนที่ร้ายกาจ อวดดี ไม่ยอมใครแต่โดยพื้นฐานของนิสัยเขาเชื่อว่าเธอเป็นคนอ่อนโยนมีจิตใจโอบอ้อมอารีเหมือนที่กำลังทำอยู่เวลานี้

“เจ้วันนี้หาเรื่องอู้งานหรือไงมัวแต่ดูไอ้หมาตัวนี้ทั้งวันปล่อยให้ผมกับลูกจ้างใหม่ทำงานหนักอยู่สองคน ไม่คิดจะช่วยกันมั้งหรือไงนะ”

เก่งกระแทกกายลงนั่งยังโซฟาขนาดเล็กเมื่อเดินหลบเข้าหลังร้านพักเหนื่อยเสียงบ่นอุบเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้ฟาหันมาสนใจเขาแต่อย่างใดมีเพียงแอลที่ปรายตามองชั่วครู่และส่งยิ้มให้เก่งก่อนเดินไปช่วยงานหน้าร้านปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่เจรจากันต่อไป ฟายกถ้วยว่างเปล่าเติมนมสดใส่จนเต็มและวางไว้ในลังตามเดิมเพื่อให้ลูกสุนัขได้กินกันหิวโหยก่อนลุกขึ้นยืนและหันหน้าหารุ่นน้องที่นั่งหน้ามุ่ยยกมือโบกพัดใส่ใบหน้าตัวเองดับความร้อน

“บ่นอะไรมากมายกับแค่ดูแลน้องหมาตัวเดียว อิจฉามันหรือไงที่มีคนดูแล แกขาดความอบอุ่นมากเหรอเก่ง”

“ใครว่าอิจฉาหมาผมเหนื่อย เข้าใจไหมว่าเหนื่อย ลูกค้าก็เต็มร้านทั้งวัน มีเรื่องจะคุยด้วยก็ไม่มีโอกาสซักที”

“เออ..รู้ว่าเหนื่อย เดี๋ยวฉันออกไปทำงานต่อก็ได้ ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะคุยก็ว่ามา”

“วันนี้ช่วงค่ำๆเจ้จะไปธุระที่ไหนหรือเปล่า ผมจะยืมรถไปหาสาวหน่อย นัดเด็กดินเนอร์”

“ตลอดอะแกเมื่อไหร่จะออกรถเก๋งซะที เก็บเงินได้เยอะแล้วไม่ใช่เหรอสาวที่ไปจีบจะได้สบายไม่ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ตากลมอยู่แบบนี้”

“เหอะน่าเดี๋ยวรอให้รักกันจริงจังค่อยคิดถึงอนาคต ว่าแต่ให้ยืมไหมรถเจ้อะ”

“เออ..เอาไปสิ เดี๋ยวฉันเดินกลับบ้านเอง”

“โอ้ย..ขอบคุณมากนะเจ้”

หนุ่มหน้าตี๋ลุกยืนเตรียมพุ่งกายถลาเข้าหาเพื่อนร่วมงานคล้ายอยากโอบกอดอย่างแรงทำให้ฟาก้าวถอยหลังห่างไม่อยากเข้าใกล้

“หยุดตรงนั้นเลยไอ้เก่ง”

ฟารีบก้าวหนีพร้อมเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจดังไล่หลังก่อนจะมีเสียงโอยตามมากล่องกระดาษเรียงรายสูงท่วมศีรษะรอเก็บขายเป็นเศษซากถูกเสกร่ายให้ร่วงหล่นลงมาใส่คนหัวเราะสนุกสนานแปรเปลี่ยนเป็นตกใจและเจ็บตัวเล็กน้อยพาฟาขำขันมีความสุขได้กลั่นแกล้งเพื่อนรุ่นน้องในเวลาทำงานช่วงบ่าย

ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าพร้อมแสงสุดท้ายหมดลงความมืดมิดยึดเต็มพื้นที่บนท้องฟ้าซึ่งมีดวงจันทร์นวลผ่องลอยล่องอยู่กลางความมืดนั้นกลุ่มเมฆก้อนใหญ่เคลื่อนบดบังราวกับกลืนกินดวงจันทร์ไปครึ่งซีกและคายออกเมื่อลมโบกพัดก้อนเมฆเปลี่ยนทิศทางแสงดาวระยิบระยับมองเห็นเป็นจุดเรียงรายห่างไกล แหงนมองเมื่อไหร่ยิ่งคิดถึงใครซึ่งไม่มีทางได้อยู่ใกล้กันอีกแล้ว

“เจ้าถ้วยฟูแกเห็นดวงดาวไหม คงไม่เห็นสินะ หมาน้อยอย่างแกคงไม่รู้จักดวงดาวใช่ไหมแกรู้ไหมครอบครัวฉันอยู่บนนั้น”

มือข้างหนึ่งที่โอบอุ้มรอบลังกระดาษยกขึ้นลูบหัวลูกสุนัขบาดเจ็บอย่างเอ็นดูตลอดช่วงเย็นที่ผ่านมาฟาตัดสินใจอย่างหนักเกี่ยวกับการเลี้ยงดูถ้วยฟูชื่อของสุนัขซึ่งเธอตั้งไว้เรียกมันด้วยความรู้สึกผิดติดค้างในใจทำให้ฟาทิ้งความลังเลนำเจ้าถ้วยฟูกลับมาดูแลที่บ้านหากปล่อยมันไว้ที่ร้านเบเกอรี่ก็อดสงสารไม่ได้เนื่องจากไม่มีใครอยู่ดูแลหรือคอยเฝ้ามันตลอดทั้งคืน

ฟาชวนถ้วยฟูพูดคุยระหว่างทางกลับบ้านถนนหลักของหมู่บ้านเดี่ยวสองชั้นเงียบสงบคงเป็นเพราะบ้านแต่ละหลังเว้นระยะห่างกันพอสมควรและด้วยเวลาค่ำคืนค่อนไปทางดึกดื่นราวสามทุ่มเศษทำให้บนถนนร้างผู้คนเดินผ่านไปมาแสงไฟจากเสาสูงตระหง่านตั้งเรียงรายห่างกันเป็นระยะตามริมทาง แม้จะเงียบเหงาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับน่ากลัวเสียทีเดียวเพราะมีความสว่างเป็นเพื่อนให้เห็นตลอดเส้นทางเดิน

สายลมพัดพลิ้วกรีดผิวกายให้เย็นเยียบจนต้องกระชับลังกระดาษแน่นขึ้นฤดูกาลคงแปรปรวนไปตามกาลเวลาหากมนุษย์บนโลกยังไม่เลิกทำลายธรรมชาติช่วงกลางวันอากาศร้อนเสียจนเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างหนักแทบจะระเบิดตัว ความเย็นไม่ช่วยกลบความร้อนผิดกับช่วงกลางคืนคล้ายอากาศผิดฤดู หนาวเย็นจนทะลุถึงกระดูก ช่างไม่สมดุลเอาเสียเลยแต่แล้วความผิดปกติบางอย่างทำให้สองเท้าชะลอการเดิน เมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนเดินตามมาทางด้านหลังฟาหันกลับไปสังเกตรอบกาย ไม่พบสิ่งใดผิดแปลกจึงเดินหน้าต่ออีกครั้ง

คนร่างสูงใหญ่ใส่เสื้อคลุมดำความยาวเลยเข่าฮู๊ดบนศีรษะปิดบังใบหน้าจนมองไม่เห็นลักษณะหน้าตายืนสงบนิ่งในท่ากอดอกขวางทางไว้ในระยะห่างระดับหนึ่ง จากชุดที่สวมใส่ละม้ายคล้ายกับคนที่เห็นเมื่อคืนทำให้ฟาเชื่อว่าน่าจะเป็นคนเดียวกัน แต่ที่ไม่รู้คือเขาต้องการอะไรถึงมายืนดักอยู่เบื้องหน้าอย่างนี้ต่างคนต่างยืนนิ่งราวกับรอดูสถานการณ์ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรแต่เพียงไม่นานคนตัวใหญ่ก้าวเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“น้องสาว..อยากเห็นของดีไหม”

น้ำเสียงทุ่มต่ำหัวเราะผ่านลำคอราวกับพึงพอใจที่หญิงสาวยืนนิ่งเห็นแววสับสนเล็กน้อยฟาไม่ได้เกรงกลัวหรือหวาดระแวงคนตรงหน้าจะเข้ามาทำร้ายแต่อย่างใดกลับนึกสงสัยเสียมากกว่าว่าเขามีของดีอะไรมาอวด

“ของดีอะไรแล้วมายืนขวางทางทำไม หลบไปให้พ้นก่อนที่จะหงุดหงิดไปมากกว่านี้”

เสียงพูดจาพาถ้วยฟูแหงนหน้ามองตาแป๋วพยายามยกขาหน้าตะกุยตะกายข้างกล่องคล้ายจะทรงตัวยืนฟาละสายตาจากบุคคลเบื้องหน้าหันมองลูกสุนัขพลางยกมือลูบหัวมันเบาๆ ให้อยู่อย่างสงบแต่ต้องตกตะลึงเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพอุจาดตา ร่างกายเปลือยเปล่าท่อนบนมือสองข้างกางดึงเสื้อคลุมออกยืดอกโชว์กางเกงชั้นในที่เหลือเพียงตัวเดียวภายใต้เสื้อคลุมตัวนั้น พร้อมเสียงหัวเราะทุ่มต่ำดังขึ้นอีกครั้ง

“เป็นไงน้องสาวแค่นี้พอไหม หรืออยากเห็นมากกว่านี้ พี่จะจัดให้”

ฟาเพ่งสมาธินึกถึงบางสิ่งบางอย่างลมกรรโชกพัดพาเศษใบไม้แห้งปลิวว่อนทำให้มนุษย์โรคจิตที่ยืนอวดของดีถึงกับปล่อยมือจากเสื้อคลุมยกแขนขึ้นกันเศษฝุ่นละอองที่พัดผ่านป้องกันไม่ให้เข้าดวงตา ฮู๊ดคลุมศีรษะที่เคยปกปิดใบหน้าเวลานี้กลับไม่ได้ช่วยอะไรเสื้อผ้าบนร่างกายพัดปลิวตามแรงลมจนแทบจะหลุดไปตามอากาศ ต้นไม้ใหญ่เหนือศีรษะโบกสะบัดพัดไหวงูเหลือมขนาดใหญ่เลื้อยทิ้งตัวลงมาพันมนุษย์โรคจิตเอาไว้ทำให้เขาช็อคขั้นโคม่าก่อนจะร้องโวยวายด้วยความหวาดกลัวสุดขีดพยายามดิ้นรนหนีให้พ้นจากงูเหลือมตัวนั้น

ฟาเหยียดยิ้มนึกขำขันในใจภาพหลอนที่เธอจงใจสร้างขึ้นมาให้มนุษย์โรคจิตคนนั้นเห็นเป็นงูตัวใหญ่กำลังพันรัดร่างกายเอาไว้เพื่อครั้งต่อไปจะได้ไม่กล้าลองดีโชว์ของดีกับเธออีกเมื่อเห็นว่าได้รับความสะใจเพียงพอแล้วฟาดีดนิ้วยุติภาพหลอนเหล่านั้นให้สลายหายไป มนุษย์โรคจิตวิ่งหนีกระเจิงราวกับคนเสียสติเผ่นแนบหายไปในที่สุด

“เจ้าถ้วยฟูเมื่อกี้แกเห็นเรื่องตลกหรือเปล่า”

เสียงปรบมือดังแว่วจากด้านหลังทำให้ฟารีบหันขวับยังต้นทางเสียงรอยยิ้มเมื่อครู่เจื่อนลงทันทีพยายามควบคุมอาการตกใจให้อยู่ในสภาวะปกติเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานเดินเข้าใกล้ในระยะประชิดกาย

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณทำให้ไอ้โรคจิตคนนั้นวิ่งป่าราบทั้งที่ยืนเฉยๆผมกำลังจะเข้ามาช่วยคิดว่ามันทำอะไรคุณแต่ผิดคาด มันวิ่งหนีไปเองทั้งที่ยังไม่มีใครทำอะไรคุณทำไงมันถึงกลัวจนลนลานแบบนั้น”

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นมนตราที่เธอเสกร่ายขึ้นมาซึ่งมีเพียงเธอและมนุษย์โรคจิตเท่านั้นที่เห็นมัน คนอื่นที่อยู่นอกเหนือจากนั้นจะเห็นเหตุการณ์เป็นปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นแอลติดตามฟาในระยะห่างโดยไม่ทำให้เธอรู้ตัวตั้งแต่หอบเจ้าถ้วยฟูออกจากร้านเบเกอรี่และเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันจึงไม่แปลกหากแอลจะนึกสงสัยว่าเหตุใดชายร่างใหญ่ถึงวิ่งหนีหญิงสาวตัวเล็กและผอมบางกว่าราวกับโดนผีหลอกอย่างนั้น

“นายตามฉันมาทำไม”

“ผมแค่เป็นห่วงเห็นคุณเดินคนเดียวดึกดื่นแบบนี้”

“กลับไปได้แล้วนายก็เห็นว่าไม่มีใครทำอะไรฉันได้”

น้ำเสียงอึกอักหลบเลี่ยงการสบตาพยายามไม่พูดจาถึงเรื่องที่กำลังเป็นปัญหาคาใจแอลเวลานี้ดวงตาคมเข้มจ้องมองเธอนิ่งๆ เห็นท่าคงไม่ได้รับคำตอบในสิ่งที่ถามไถ่ และไม่อยากสร้างความกดดันเขาจึงเบี่ยงประเด็นถามในสิ่งที่ต้องการ

“ให้ผมไปส่งคุณที่บ้านได้ไหมมีผมเดินไปเป็นเพื่อน คุณน่าจะปลอดภัยมากกว่า”

“ฉันว่าเดินคนเดียวคงจะปลอดภัยที่สุด”

ฟากลับหลังก้าวเดินหนีชายหนุ่มที่ยืนมองเธอจากไปแต่ยังไม่ทันถึงไหนคำพูดของเขากลับดึงรั้งเธอเอาไว้ให้หยุดยืนอยู่กับที่

“งั้นเรามาแลกเปลี่ยนกันถ้าคุณให้ผมเดินไปส่งหน้าบ้าน ผมจะพาคุณไปหารันคืนนี้”

ชื่อบุคคลที่ฝังจำ กระแทกจิตใจรุนแรงจนต้องทบทวนข้อเสนออีกครั้งร่างบางค่อยๆ หันกลับมาเผชิญหน้าชายหนุ่มดวงตาคมเข้มที่รอคอยคำตอบเช่นกันฟาไม่รู้เหตุใดเขาต้องดิ้นรนอยากใกล้ชิดเธอและพยายามทำให้เธอได้ในสิ่งที่ต้องการสมใจ



To be continued..





Create Date : 21 เมษายน 2556
Last Update : 21 เมษายน 2556 13:01:12 น.
Counter : 541 Pageviews.

3 comments
  
มาหาน้องฟา ของพี่มาโซ ^^

รอรันตอนหน้านะคะ อิอิ

โดย: lovereason วันที่: 21 เมษายน 2556 เวลา:19:52:29 น.
  
จ้า รันออกตอนหน้า มาแบบ ..... รออ่านดีกว่า 55
โดย: มาโซคิส IP: 124.122.32.122 วันที่: 21 เมษายน 2556 เวลา:21:23:36 น.
  
ใครจะมาตอนหน้าก็รอทั้งนั่น
โดย: sakeena IP: 124.120.67.111 วันที่: 22 เมษายน 2556 เวลา:9:07:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments