พฤษภาคม 2556

 
 
 
1
2
3
5
6
8
9
10
12
13
15
16
17
19
20
21
23
24
26
27
29
30
31
 
 
All Blog
สัมผัสมนตรา.. Chapter 6.. ความสับสนในสิ่งผิดพลาด


Chapter 6

ความสับสนในสิ่งผิดพลาด


ร่างกายเปียกปอนนั่งพิงกำแพงกอดเข่าคุดคู้อยู่หน้าที่พักอาศัยบนใบหน้านิ่งเฉยมองไม่ออกว่าน้ำฝนหรือน้ำตากันแน่ที่ไหลอาบแก้ม สายน้ำตกหล่นจากฟากฟ้าอย่างต่อเนื่องไม่ขาดระยะและไม่มีทีท่าเบาบางลงความหนาวเหน็บไม่อาจสะเทือนถึงผิวกายเย็นเยียบหรือแม้แต่จิตใจที่คล้ายจะด้านชาไปทั้งดวงฟากำลังทบทวนความรู้สึก เหตุใดโลกทั้งใบที่อาศัยอยู่เหมือนเป็นสิ่งหลอกตา คล้ายพื้นที่ทรงกลมนั้นมีแค่เธออาศัยแต่เพียงผู้เดียวความทรงจำขาดๆ เกินๆ ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัวหรือน้องสาว เป็นสิ่งซึ่งฟาพยายามนึกถึงตลอดเวลาแต่บางครั้งกลับหายวูบไปราวกับไม่เคยมี

ฟานั่งนิ่งกลางสายฝนโปรยปรายนานนับชั่วโมงแม้ท้องฟ้าทาทับด้วยความมืดมิดแต่ยังมีแสงของสายฟ้าสว่างแว้บลงมาเป็นระยะในความอึมครึมนั้นไม่หมดเวลาเสียทีกับสายฝนซึ่งตกลงมาราวกับมันกำลังร่ำไห้อย่างหนักแสงไฟสลัวจากเสาข้างทางไม่ได้เรียกร้องความสนใจให้หญิงสาวหันมอง แม้กระทั่งแสงไฟหน้ารถยนต์สาดส่องมีการเคลื่อนไหวยังไม่อาจดึงดูดสายตา

เสียงฝนกระทบพื้นยังคงดังต่อเนื่องไม่มีผ่อนลงสักนาทีทว่ารอบตัวคล้ายถูกเว้นพื้นที่ราวกับมีใครกักกั้นน้ำฝนไม่ให้ตกใส่ร่างกายบอบบาง และมันฉุดดึงให้ฟากลับมามีสติยังปัจจุบันอีกครั้งวงหน้าหวานอมเศร้าเงยสูง มองใครบางคนซึ่งหยุดยืนเบื้องหน้า บุคคลคุ้นตาหรืออาจจะเรียกได้ว่า‘คุ้นเคย’ ย่อกายนั่งลงตรงหน้า ในมือยังคงถือร่มมั่นคงเพื่อกางกั้นป้องกันสายฝนไม่ให้ถูกผิวกายนวลเนียนที่เริ่มซีดขาวเพราะความหนาวเย็น

“แอล..”

ริมฝีปากซีดไร้เลือดฝาดน้ำเสียงสั่นพร่าเรียกชื่อบุคคลซึ่งมองเธอด้วยดวงตาหม่น ฉายแววห่วงใยท่วมท้น ในความนิ่งเฉยของแอลฟาสัมผัสได้ถึงคำถามมากมายที่รอคอยให้ตอบ

“ทำไมมานั่งตากฝนแบบนี้”

ประโยคเรียกน้ำตาเป็นอีกครั้งที่มันพาลจะไหลรินออกมา แต่คงต้องสะกดกักเอาไว้ ฟากระตุกยิ้มน้อยๆ หลบเลี่ยงดวงตาคมเข้มก้มหน้าควบคุมความรู้สึกหลากหลาย ทั้งอยากร้องไห้และอยากขอบคุณที่ยังมีใครนึกถึงผู้หญิงอย่างเธอฟาเริ่มเกลียดตนเองที่ทำตัวราวกับเด็กขาดความอบอุ่น เรียกร้องความสนใจ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของตัวเอง

“ฉันแค่ลืมกระเป๋าไว้ในรถนายเลยไม่มีกุญแจเข้าบ้านก็เท่านั้น”

“งั้นเหรอ..”

แอลระบายยิ้มหยุดเสียงพูดจาไว้เพียงเท่านั้น แม้รู้ดีสิ่งที่ฟาบอกกล่าวจะเรียกว่าโกหกคงไม่ผิดเธอตั้งใจปิดบังความจริงที่ไม่อยากระบายออกมาให้ใครรับรู้กระเป๋าสะพายใบโตถูกยื่นส่งคืนเจ้าของพร้อมดึงแขนฟาให้ลุกขึ้นยืนทั้งสองชายหญิงพากันเดินเข้าเขตที่พักอาศัย โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาบางคู่เฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาสายตาซึ่งแสดงว่ายังคงคิดถึง.. โหยหา.. ห่วงใย..

ไฟฟ้าเปิดสว่างภายในส่วนของห้องครัวเพื่อไม่ให้มืดมิดจนเกินไปสำหรับลูกสุนัขตัวน้อยซึ่งอยู่อาศัยเพียงลำพังเก่งนำถ้วยฟูกลับมาไว้ในบ้านตามที่ฟาฝากฝังไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นของวัน แก้วใสทรงสูงใส่น้ำฝรั่งสีเขียวอ่อนไอขุ่นรอบแก้วบ่งบอกถึงความเย็นฉ่ำถูกส่งยื่นให้แขกผู้มาเยือน แอลรับแก้วน้ำพลางยกดื่มก่อนวางลงบนโต๊ะกระจกรับแขกและหันมาใส่ใจลูกสุนัขบนตักตามเดิม

“นายรู้ไหมเจ้าถ้วยฟูกินจุมาก”

ฟาพูดจาระหว่างหย่อนกายนั่งลงตรงโซฟาด้านข้างเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกชื้นเรียบร้อยแล้ว ผมเปียกหมาดถูกผ้าขนหนูผืนกำลังเหมาะเช็ดซับให้แห้งใบหน้านวลเนียนเริ่มมีสีแดงระเรื่อ ร้อนวูบวาบเป็นระยะคล้ายไข้หวัดกำลังกล้ำกรายไม่แปลกเลยถ้าจะมีอาการป่วยหากได้นั่งตากฝนนานหลายชั่วโมงอย่างนั้น

“เจ้าถ้วยฟูมันกินขนมส่วนคุณคงต้องกินยาแล้วนะฟา คืนนี้คงหนีไข้หวัดไม่พ้น”

“อย่าห่วงเลยน่าฉันหัวแข็งไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก”

“คุณกลับมาถึงบ้านได้ไง..”

แอลตั้งคำถามโดยไม่ได้หันมองเธอด้านข้างเขายังคงให้ความใส่ใจเจ้าถ้วยฟูที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับแผ่นขนมปัง ผิดกับฟาที่เอาแต่หลบสายตาไม่กล้าเผชิญหน้าชายหนุ่มซึ่งรอฟังคำตอบจากปากของเธอสำหรับฟาแล้ว การกลับมาถึงบ้านได้อย่างไรเป็นสิ่งที่เธอเองก็แปลกใจไม่หาย ช่วงเวลานั้นคล้ายจิตใจสับสนล่องลอย จนไม่รู้เนื้อรู้ตัว อย่างเดียวที่พอนึกออก คงเพราะมนตราหรือพลังพิเศษในร่างกายที่ทำให้เธอกลับมายืนอยู่หน้าบ้านอย่างฉับพลัน

“จะให้ฉันกลับมายังไงล่ะถ้าไม่นั่งแท็กซี่”

“งั้นเหรอ..แถวนั้นคงมีแท็กซี่วิ่งเยอะสินะ”

“อืม..เยอะเลย”

น้ำเสียงแผ่วลงแทบจะเป็นกระซิบฟาไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าแอลจะเชื่อเรื่องที่เธอกุขึ้น แต่คงดีกว่าบอกในสิ่งที่เหลือเชื่อหรือคิดปิดปากเงียบกริบไม่ตอบคำถาม อาจทำให้การสนทนาเลวร้ายหนักกว่าเดิม

“เอาล่ะ..ผมกลับก่อนดีกว่า คุณจะได้พักผ่อน อย่าลืมกินยาด้วยนะฟา”

“สั่งอย่างกับเป็นเจ้านายฉันเลยนะ”

“ขอเป็นคนที่ห่วงใยคุณคงดีกว่า”น้ำเสียงละมุนแฝงความอบอุ่นไว้ในประโยคเหล่านั้น ฟายิ้มส่งให้แอลราวกับมีบางสิ่งกักเก็บไว้ภายในใจไม่ยอมระบายออกมา“หรือคุณไม่เชื่อว่าผมเป็นห่วงคุณจริงๆ แต่ผมไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านั้นเลยนะฟา”

“ทำไมต้องร้อนตัวฉันยังไม่ทันพูดอะไรซักคำ”

“ก็คุณยิ้มเหมือนไม่เชื่อที่ผมพูด”

แอลรีบอธิบายเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองแต่กลับทำให้ฟาหัวเราะขำขันในสีหน้าจริงจัง เจ้าถ้วยฟูส่งเสียงเห่าเรียกร้องความสนใจคล้ายอยากร่วมวงพูดจาด้วยอีกตัวพาให้เกิดรอยยิ้มและแววตาเอ็นดูระหว่างวงสนทนานั้น



ในค่ำคืนแสนยาวนานไม่ได้ทำให้ฟาหลับไหลอย่างที่ควรเป็นอาการไข้หวัดเริ่มถามหาและความเจ็บปวดยังคงรุมเร้าศีรษะจนหนักอึ้ง ไม่อาจทนนอนต่อได้ไหวฟาพาตัวเองออกมายืนนอกระเบียงหน้าห้องนอน หลังจากฝนซาไปแล้วเมื่อหลายชั่วโมงก่อน สภาพรอบด้านยังทิ้งร่องรอยของหยาดน้ำค้างเกาะกุมทุกสิ่งที่กั้นขวางเส้นทางของสายฝนเทกระหน่ำไม่มีขาดตอน

ท้องฟ้าคืนนี้ไร้เงาของดวงจันทร์ไม่มีแม้กระทั่งแสงระยิบระยับจากดวงดาวซึ่งเคยส่องประกายให้เห็นยามค่ำคืนไม่ว่าจะมองไปทิศทางใดคล้ายหัวใจหม่นหมองของฟาพยายามมองหากลุ่มดาวที่เปรียบเสมือนครอบครัวในจินตนาการของเธอทว่าไม่เห็นแสงดาวส่องสว่างแม้สักดวง ถึงสมองจะรวดร้าวจากอาการเริ่มไข้แต่ยังไม่ยอมหยุดคิดเรื่องราวหลายอย่างที่พาสับสนควรหรือยัง ยุติความแค้นเคืองกับเรื่องราวซึ่งล่วงเลยมาแล้วเนิ่นนาน

เงาตะคุ่มตรงต้นไม้ใหญ่ข้างที่พักอาศัยฉุดสายตาให้หันมอง สิ่งผิดปกติเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงเวลากลางคืนสร้างความประหลาดใจไม่น้อยเห็นทีวันนี้คงปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นคาใจต่อไม่ไหว ฟาสาวเท้าเข้าบ้าน รีบรุดยังสถานที่ก่อความสงสัยคาดว่ามีบางอย่างแอบแฝงประตูรั้วถูกเปิดคาไว้พร้อมฟาก้าวออกไปสำรวจรอบต้นไม้ใหญ่ริมกำแพง ไม่ว่าจะเป็นแมวหรือสุนัขหรืออะไรก็ตาม คืนนี้คงต้องหาให้เจอ หลังจากที่ปล่อยไว้เป็นข้อข้องใจหลายครั้งหลายหน

“ทำไรอยู่..”

ฟาสะดุ้งโหยงกับประโยคถามไถ่หรือจะเรียกว่าทักทายคงไม่ผิด เธอรีบหันยังต้นทางเสียงทันทีสีหน้าออกอาการผวาเล็กน้อย ทำหนุ่มหน้าตี๋หลุดขำในอาการของเธอ

“ไอ้บ้าเก่ง!ตกใจหมดเลย”

“เจ้กำลังหาอะไรอยู่ตรงนั้น”

เพื่อนรุ่นน้องทวนคำถามเพื่อความกระจ่างหรืออีกนัยคงกำลังกลบเกลื่อนความผิดโทษฐานทำให้ฟาตกใจ ดีไม่ดีอาจถูกต่อว่าเอาได้ง่ายๆเก่งจึงชิงตั้งคำถามตัดหน้า เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส คล้ายหาทางหนีเอาตัวรอด และมันก็เป็นผลสำเร็จเมื่อคำถามเบี่ยงประเด็นให้ฟาเลือกที่จะอธิบายแทนการต่อว่า

“มันเหมือนมีอะไรไม่รู้อยู่แถวนี้ฉันเห็นเงาตะคุ่มๆ ทุกคืนเวลาออกมายืนตรงระเบียง เลยลงมาดูให้ชัดๆ ว่าเป็นตัวอะไร หมาแมว หรือคน”

“เห้ย!เจ้.. แน่ใจนะว่าแค่หมาแมว ไม่ใช่ผะ ผี..”

เก่งหยุดเสียงพูดจาเหล่สายตามองรอบด้านพลางขยับกายเข้าใกล้ชิดหญิงสาว เกิดขนพองขึ้นมากะทันหันเมื่อนึกถึงสิ่งสยองขวัญคล้ายหลอกหลอนตัวเอง

“ผีเผออะไรกันแกอย่าไร้สาระได้ไหมเก่ง”

“อ้าว..เจ้.. ถ้ามันเป็นสิ่งมีชีวิต เจ้ก็ต้องเห็นแล้วสิ สรุปตั้งแต่หามานี่เจออะไรหรือยัง”

“ถ้าเจอแล้วฉันจะหาอยู่หรือไงเล่าไอ้เด็กบ้า ว่าแต่แกมาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้”

“ผมรู้สึกเป็นห่วงเจ้อะดิตอนผมเอาถ้วยฟูมาส่งเห็นเจ้ยังไม่กลับ พอฝนหยุดเลยย้อนมาดูอีกทีว่ากลับมาหรือยัง”

“ขอบใจที่เป็นห่วงฉันสบายดี กลับมาถึงนานแล้วล่ะ พอดีนอนไม่หลับเลยหาอะไรทำ”

“หาอะไรทำด้วยการสำรวจรอบบ้านเนี้ยนะ”

เก่งหัวเราะขำขันเหตุผลของเพื่อนรุ่นพี่แต่จะให้เธออธิบายอย่างไร ในเมื่อความรู้สึกบ่งบอกชัดเจนว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นจริงไม่ใช่เพียงคิดไปเอง ฟาละทิ้งความฟุ้งซ่านและสิ่งต่างๆที่คล้ายเป็นเรื่องตลกสำหรับเก่ง เตรียมเดินเข้าที่พักอาศัย

“แกกลับไปนอนเลยนะเก่งฉันจะได้เข้าบ้านซะที เห็นหน้าแกแล้วรู้สึกปวดหัวแทบระเบิด”

“เห็นเจ้สบายดีแบบนี้ก็หมดห่วงเออนี่.. ลืมเสื้อไว้หน้าบ้านหรือเปล่า พอดีจอดรถแล้วเห็นมันวางอยู่ตรงนั้น”

เก่งชี้ชวนให้มองตามยังริมรั้วหน้าบ้านอิฐสีน้ำตาลเข้มก่อสูงเป็นชั้นไว้สำหรับปลูกต้นไม้เพื่อความสวยงามเหมาะจะเป็นที่นั่งพักได้อย่างสบายฟามองตามชั่วครู่ก่อนหันกลับมาใส่ใจเสื้อแจ็คเก็ตในมือเพื่อนรุ่นน้องและดึงมาถือเอาไว้ด้วยความเปียกชื้นจากน้ำฝนทำให้เสื้อตัวนั้นหนักอึ้ง ทว่าสร้างความคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“อืมขอบใจ”

ฟาเก็บความใคร่รู้เอาไว้พลางเดินตามเก่งยังมอเตอร์ไซค์เพื่อส่งเขากลับบ้าน รถถูกสตาร์ทติดเครื่องและบิดคันเร่งออกตัวเดินทางยังที่หมาย ฟายืนส่งจนเพื่อนรุ่นน้องพ้นสายตาจึงเดินกลับเข้าบ้านพร้อมแจ็คเก็ตปริศนาตัวนั้นเธอครุ่นคิดว่าใครจะวางเสื้อลืมไว้ในละแวกบ้านของเธอ จู่ๆ ความคิดเกิดแล่นขึ้นมามันอาจมีส่วนเกี่ยวพันกับเงาตะคุ่มที่เห็นก็เป็นได้



เช้าวันใหม่ค่อยๆปรากฏพร้อมแสงแดดเจิดจ้า ท้องฟ้าโปร่งโล่งไม่หลงเหลือกลุ่มก้อนเมฆครึ้มฝนเมื่อคืนนี้เสียงนกเจื้อยแจ้วหยอกล้อกันเป็นระยะสร้างบรรยากาศสดใส ทว่าความเป็นธรรมชาติถูกขัดด้วยเสียงไอค่อกแค่กบ่งบอกอาการไข้ชัดเจนฟาเอื้อมคว้าเครื่องมือสื่อสารต่อสายยังหัวหน้างานเพื่อแจ้งข่าวการป่วยของเธอ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีขาดงานหรือขอลาพักสักวันแต่วันนี้คงฝืนสังขารไม่ไหว หลังเจรจาเสร็จสิ้นฟานำโทรศัพท์วางลงบนโต๊ะข้างเตียงนอนขอต่อเวลาพักผ่อนเอาแรงอีกสักหน่อย

เสียงกริ่งดังกังวานลั่นบ้านฟายกหมอนขึ้นปิดทับศีรษะไม่อยากต้อนรับใครหน้าไหนที่แวะมาหาเวลานี้ ทว่าเสียงดังผ่านโสตประสาทสร้างความปั่นป่วนทำให้ทนนอนต่อไม่ได้คิ้วเรียวขมวดเป็นปมเริ่มมาคุอารมณ์หงุดหงิด ดีดกายลุกขึ้นนั่งเหวี่ยงหมอนในมืออย่างขัดใจก่อนก้าวลงจากเตียง ปวดร้าวไปทั้งสมองก็ว่าแย่แล้วยังต้องทนฟังเสียงกริ่งซึ่งดังต่อเนื่องไม่มีหยุดพัก ราวกับใครสักคนกำลังกลั่นแกล้งให้เธอฉุนเฉียวหนักกว่าเดิม

ฟาประคองตัวเองเดินโซเซลงจากชั้นบนของบ้านตรงเปิดผ้าม่านส่องดูลาดเลาของบุคคลผู้มาเยือน ระยะนี้คล้ายจะเจอะเจอกันบ่อยครั้ง สำหรับเขาคนนี้

“นายมีธุระอะไรหรือเปล่าฉันปวดหัวอยากนอน”

ฟาส่งเสียงถามไถ่ทั้งที่ยืนอยู่ภายในบ้านไม่คิดจะเปิดประตูต้อนรับบุคคลคุ้นเคยรอดูสถานการณ์และความอดทนว่าเขาจะรอคอยจนถึงเมื่อไหร่ หรือต้องการอะไรกันแน่

“ผมได้ข่าวว่าคุณไม่สบายอดห่วงไม่ได้ เลยแวะมาดูอาการ”

ฟาระบายลมหายใจไม่นึกเลยว่าข่าวเกี่ยวกับการป่วยของเธอจะแพร่กระจายรวดเร็วราวกับเชื้อไวรัสโรคติดต่อระบาดเวลาของการพักรักษาตัวอย่างสงบสุขคงไม่มีอีกแล้วตั้งแต่แอลกดกริ่งอยากพบเจอ

“ฉันแค่ปวดหัวนอนเดี๋ยวเดียวก็หายเองล่ะ นายกลับไปทำงานเถอะ”

“ให้ผมเข้าไปดูคุณได้ไหมฟา”

อีกครั้งที่ฟาถอดถอนใจหนักหน่วงเป็นไปอย่างคาดไว้ไม่ผิด เขาคงไม่เลิกราหรือยอมกลับไปง่ายๆ และเธอเองคงต้องทำตามแต่ใจของเขาไม่อย่างนั้นคงเซ้าซี้ไม่เลิก

“เข้ามาสิ”

“กุญแจมัน...”

ยังไม่ทันจบประโยคพูดจาสายตาเลื่อนมองยังแม่กุญแจที่ถูกปลดล็อคแล้วเวลานี้ แอลมั่นใจเต็มสองตา ก่อนฟาจะอนุญาตให้เข้าด้านในแม่กุญแจลูกนี้ยังล็อคเอาไว้แน่นหนาป้องกันบุคคลภายนอกล้ำแดน ‘ที่คุณร่ายมนตร์ได้คงดีอย่างนี้สินะฟา’ แอลบ่นกับตัวเองระหว่างเปิดประตูรั้วเดินเข้าเขตที่พักส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานสาว

“นายนี่ตื้อชะมัดฉันบอกว่าปวดหัว อยากนอน ก็ยังจะเซ้าซี้จนได้”

“หัดมองคนอื่นในแง่ดีซะบ้างผมก็แค่ห่วง เห็นว่าตัวคนเดียว”

แม้จะสะดุดกับคำพูดในประโยคนั้นเล็กน้อยแต่อาการปวดศีรษะหนักหนากว่าจะมานั่งคิดเล็กคิดน้อยหรือแสดงความดราม่าออกมาให้ใครได้เห็นต่อให้ใครมาย้ำเตือนบ่อยๆ ฟาคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรเนื่องจากเธอชินชาเสียแล้วกับการต้องอยู่แบบตัวคนเดียว

ฟาก้าวเดินยังโซฟากลางบ้านกระแทกกายลงนอนแผ่หรา คล้ายหมดเรี่ยวแรงต่อล้อต่อเถียงกับแอลที่เดินตามมานั่งยังเก้าอี้ด้านข้างเขาจ้องมองเธออยู่ชั่วครู่จึงเริ่มถามไถ่อาการ

“เป็นไงบ้างกินยาหรือยัง”

“อืม..”

“อืมนี่คืออะไร”แอลทวนคำถามด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

“กินแล้ว”

หลังมือเอื้อมแตะหน้าผากของคนป่วยวัดระดับความร้อนในร่างกาย มนตราคาถาเสกอาจจะมีข้อดีในหลายอย่าง แต่ข้อเสียของมันที่เห็นได้ชัดเจนคือไม่สามารถลดอุณหภูมิในร่างกายให้หายจากอาการไข้หวัดได้แอลได้แต่ตำหนิพลังพิเศษนั้นในใจ

“ไปหาหมอเถอะตัวคุณร้อนจัดเลยนะฟา”

“ฉันกินยาไปแล้วนอนซักพักคงดีขึ้น”

“จะลุกดีๆหรือจะให้ผมอุ้ม”

“...”ดวงตาลุกวาวแทบหายจากอาการไข้เป็นปลิดทิ้ง ฟาหันมองชายหนุ่มด้านข้างซึ่งจ้องเธอไม่มีกะพริบฟาคงเริ่มฟั่นเฟือนหรือหูฝาดไปเองที่คิดว่าแอลพูดประโยคนั้นออกมา

“หนึ่ง..”

“นี่นายจะบ้าเหรอ!”

ฟาเริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่หูฝาดหรือฟั่นเฟือนไปเองหากแต่แอลพูดจริงและคงทำจริงอย่างที่เอ่ยบอกเอาไว้ฟาขยับกายลุกขึ้นนั่งเริ่มระแวงชายหนุ่มด้านข้าง ด้วยอาการป่วยรุมเร้าคงทำให้ฟาไม่มีสมาธิรวบรวมพลังร่ายมนตร์เพื่อป้องกันตัวเองอย่างแน่นอน

“สอง”

แอลจ้องมองหญิงสาวเบื้องหน้าตาเขม็งขยับกายเตรียมลุกขึ้นเพื่อยืนยันในสิ่งที่พูดเป็นความจริงฟาถอยหลังหนีด้วยท่าทางหลุกหลิกเห็นแววไม่สู้ดีกับตนเองเท่าไหร่

“เออ..รู้แล้วน่า ฉันไปหาหมอก็ได้ แล้วที่ยอมไปเนี้ย อย่าคิดว่าฉันจะกลัวนายนะแอล”

แอลลอบยิ้มเมื่อเห็นฟาลุกยืนทำท่าลุกลี้ลุกลนคล้ายเกรงกลัวเขาไม่น้อยร่างบอบบางพาสังขารเกือบจะไร้แรงเดินก้าวขึ้นชั้นสองของบ้านอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมออกเดินทางตามคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ ฟาได้แต่นึกต่อว่าตนเองไม่น่าหลงผิดปลดล็อคกุญแจให้แอลเข้ามาบังคับข่มขู่ง่ายดายแบบนี้



เคาน์เตอร์ลงทะเบียนผู้ป่วยใหม่ดูหรูหราสมกับโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่พนักงานสาวสวยยืนต้อนรับคอยให้บริการ แย้มยิ้มทักทายสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีแก่ผู้มาติดต่อหากเป็นคนไข้อาการหนักหนามาเจอรอยยิ้มหวานของพนักงานสาวเหล่านั้นคงหายจากอาการเจ็บปวดไปแล้วกว่าครึ่งฟานั่งกุมขมับรู้สึกเบื่อหน่ายกับการรอคอย แม้จะเป็นโรงพยาบาลเอกชนแต่ผู้ป่วยที่รอคิวพบแพทย์ก็มีมากมายจนแทบล้นโรงพยาบาล

“เป็นไงทนไหวหรือเปล่า”

“ฉันไม่ชอบมาโรงพยาบาลก็เพราะแบบนี้ล่ะคนเยอะ มีแต่คนป่วยเต็มไปหมด ไม่รู้โลกใบนี้จะขยันสร้างเชื้อไวรัสขึ้นมาทำไม”

“ลองบ่นได้ยืดยาวขนาดนี้ผมว่าคุณคงหายดีแล้วมั้งฟา”

“ฉันก็ชักอยากหายแล้วล่ะเรากลับกันดีกว่า ฉันเกลียดการรอคอย”

“เถอะน่า..อีกนิดก็จะถึงคิวคุณแล้ว โน้นไงพยาบาลเรียกชื่อแล้ว”

ผู้ช่วยแพทย์หน้าห้องตรวจส่งเสียงหวานเรียกชื่อผู้ป่วยที่รอรับการรักษาตามลำดับฟาระบายลมหายใจก้าวเดินอย่างสะโหลสะเหลเข้าพบแพทย์ โดยมีแอลมองตามทุกฝีก้าว ระหว่างทางเสียงซุบซิบและแววตาลุกวาวของนางพยาบาลผู้ช่วยสองรายหน้าห้องตรวจคล้ายกำลังสนใจใครสักคนอย่างหลงใหลปลาบปลื้มดึงดูดความสงสัยให้ฟาหันมองตามจุดสนใจ

“น่ารักนะเธอว่าไหมดูสิรักแฟนจังเลย”

“อยากเป็นคนป่วยแบบเธอคนนั้นจัง”

ใจกระตุกแปลบเมื่อมองเห็นภาพชายหนุ่มซึ่งคุ้นตาเข็นเก้าอี้ผู้ป่วยพาหญิงสาวผมบ๊อบเดินผ่านบริเวณโถงกว้างของอาคาร ฟาปัดความรู้สึกแปลกๆทิ้งไปและก้าวเดินต่อยังห้องตรวจโดยไม่ใส่ใจเสียงซุบซิบเหล่านั้น เวลาผ่านไปราวยี่สิบนาทีฟาเปิดประตูห้องตรวจออกมาพร้อมเดินต่อยังเคาน์เตอร์จ่ายชำระและรับยาเธอมองหาบุคคลซึ่งบังคับขู่เข็ญพามายังสถานที่แห่งนี้ แต่ไร้วี่แววแอลคงเบื่อนั่งคอยและออกไปเดินเล่นฆ่าเวลา

“ผลตรวจเป็นไงบ้าง”

ประโยคขัดความคิดเรื่อยเปื่อยกลางอากาศฟาสะดุ้งเล็กน้อยพลางหันขวับด้านข้างแปลกใจว่าแอลโผล่พรวดมาจากทิศทางใดถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่เธอแน่ใจว่ามองหาเขาจนทั่วแล้วเมื่อครู่

“นายหายไปไหนมาฉันมองหาซะทั่วไม่เจอ อยู่ดีๆ ก็โผล่มา ทำเอาใจหายหมด”

“ก็มัวแต่เหม่อไม่สนใจสิ่งรอบตัว ผมก็ยืนอยู่แถวนี้ล่ะ ยังเห็นคุณตลอดเวลา”

คงจริงอย่างแอลว่าไว้เพราะเธอมัวแต่คิดเรื่องของหนุ่มสาวที่ได้เจอก่อนเข้าห้องตรวจทำให้จิตใจอยู่กับตัวไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เสียงเรียกชื่อจ่ายชำระค่ารักษาและรับยาส่งดังทำให้ฟาและแอลหันเหความสนใจยังไม่ทันที่ฟาจะลุกยืนก็ถูกห้ามให้นั่งรอเฉยๆปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษมาดดีจัดการ

เสร็จสิ้นภารกิจพบแพทย์ทั้งฟาและแอลพากันเดินออกจากอาคารของโรงพยาบาลเพื่อกลับยังที่พักอาศัยรักษาตัวจากอาการป่วยไข้

“นายรู้หรือเปล่าว่าเพื่อนคู่หูกับแฟนสาวมาที่โรงพยาบาลนี้”

“คุณหมายถึงรันกับซันงั้นเหรอ”

“ก็จะมีใครซะอีกล่ะ”

“รู้..เพราะผมอยู่ที่นี่ทั้งคืน เพิ่งออกไปหาคุณเมื่อเช้านี้ว่าแต่ทำไมคุณถึงคิดว่ารันกับซันเป็นแฟนกัน”

“สนิทสนมกันขนาดนั้นไม่ใช่แฟน นายจะให้มองว่าเป็นพี่น้องหรือไงแอล”

“ใช่..เขาสองคนอาจเป็นพี่น้องกันก็ได้ ไม่แปลก”

“นายนี่หาเรื่องตลกมาเล่าสู่กันฟังตลอดเลยนะ”

ฟาเหยียดยิ้มยกมือเสยผมลวกๆ ไม่อยากเชื่อในคำพูดของแอลเท่าไหร่ ยิ่งสนิทสนมมากขึ้นสิ่งที่เขาบอกกล่าวเริ่มเชื่อถือไม่ได้สักอย่าง ไม่รู้เรื่องไหนจริงเรื่องไหนพูดเล่นหรือโกหกกันแน่

“นี่คุณไม่เชื่อผมเหรอฟา”

“นายจะให้ฉันเชื่อว่าเพื่อนนายสองคนเป็นพี่น้องกันเนี้ยนะ”

“ใช่..รันกับซันเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด คลานตามกันมาเลยล่ะ ซันเป็นพี่สาวแท้ๆ ของรัน”

ฟาหันมองใบหน้าคมเข้มด้านข้างจับสัมผัสได้ว่าแอลพูดประโยคนั้นด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีท่าทีหยอกล้อแม้แต่น้อยทำให้ร่างบอบบางเย็นวาบราวกับเลือดอุ่นๆที่ไหลเวียนในร่างกายถูกน้ำแข็งขั้วโลกยึดพื้นที่หมดสิ้น ไม่นึกฝันมาก่อนว่าสิ่งที่เธอครุ่นคิดเคียดแค้นฝังใจ จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดมาโดยตลอดความรักที่เฟน้องสาวเธอถูกพรากไปไม่ใช่เพราะผู้หญิงที่ชื่อซัน แล้วอย่างนั้นเฟจากไปเพราะสาเหตุใดกันแน่

“ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวการที่แย่งความรักเฟไปแล้วทำไมนายนั่นถึงทิ้งเฟ”

“ความรักเฟ..นายนั่นไหน.. นี่คุณพูดเรื่องอะไรฟา”

แอลชะงักฝีเท้ากะทันหันคว้าข้อมือของฟาเอาไว้ ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม แต่คงต้องให้เวลาเธอตั้งสติลำดับเหตุการณ์ก่อนเล่าเรื่องราวเนื่องจากเวลานี้ดวงตากลมโตคู่นั้นดูสับสนอย่างหนักคล้ายกำลังวิตกกับอะไรบางอย่าง

“นายเคยรู้เรื่องที่เฟน้องสาวฉันคบกับรันบ้างไหม”

ฟาตั้งคำถามอย่างแคลงใจอยากคลี่คลายในสิ่งที่ได้รับรู้มาทว่าคู่สนทนากลับหลบสายตาไม่ยอมสู้หน้ากับเธอคล้ายพยายามปกปิดบางอย่างเอาไว้

“...”

“นายไม่ตอบไม่เป็นไรฉันจะไปถามเพื่อนของนายเอง”

“ฟา!”

แม้ศีรษะจะหนักอึ้งอาการไข้ยิ่งสาหัสเพราะร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนเต็มที่ แต่ปัญหาคาใจหนักหน่วงกว่าเป็นไหนๆฟาต้องละทิ้งทุกอย่างนอกกายเพื่อลดข้อขัดแย้งที่รุมเร้าจิตใจเวลานี้ให้สิ้นซากก่อนความฟุ้งซ่านเล่นงานฟาหมุนกายกลับและเดินเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อค้นคำตอบของความสัมพันธ์ระหว่างนายรันและเฟน้องสาวของเธอว่ามีสิ่งใดที่ฟาเองไม่เคยรับรู้


To be continued




Create Date : 11 พฤษภาคม 2556
Last Update : 11 พฤษภาคม 2556 18:13:06 น.
Counter : 500 Pageviews.

6 comments
  
แวะมาหาฟากับรัน
เอ๊ยจะเชียร์แอลดีกว่ามั๊งคะ

สงสัยๆว่าคนที่แอบดูฟาแต่ไม่แสดงออก
คือรันใช่ป่าวคะ หุหุ

โดย: lovereason วันที่: 12 พฤษภาคม 2556 เวลา:0:56:11 น.
  
อิอิ คงใช่รันแระ เนอะ ฮ่าๆ
โดย: มาโซคิส IP: 110.168.33.196 วันที่: 12 พฤษภาคม 2556 เวลา:18:59:43 น.
  
อย่าบอกนะว่าแอลนี่เองคนทำเฟอกหัก โอ๊ยอยากรู้จักเลย ^^
โดย: sakeena IP: 115.87.71.36 วันที่: 13 พฤษภาคม 2556 เวลา:9:12:15 น.
  
แอลแสนดีนะคะ ไม่ทำใครอกหัก รอหน่อยนะคะ พรุ่งนี้ ตอนต่อไปก็มาแล้ว
โดย: มาโซคิส IP: 115.67.227.54 วันที่: 13 พฤษภาคม 2556 เวลา:9:21:55 น.
  
จริงอ่ะ .. หุหุ
เชีนร์ .. แต่ไม่เชื่อ
โดย: โค อัสดง วันที่: 14 พฤษภาคม 2556 เวลา:6:37:23 น.
  
ไม่เชื่อว่าแอลแสนดีหรอคะ อิอิ
โดย: มาโซคิส IP: 115.67.100.248 วันที่: 14 พฤษภาคม 2556 เวลา:8:24:22 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments