The Diary of my Back Pain (2): The First Emergency Room Visit
สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว หลังจากที่หมอโรคกระดูก บอกว่าเราขาเรายาวไม่เท่ากัน เป็นผลให้ปวดหลัง จากนั้นเราไปจัดกระดูก สัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยคุณหมอคาดการณ์ว่า น่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการรักษา
ช่วงต้นปี 2011 เราเริ่มปวดหลังมาก ปวดเหมือนกับช่วงบนกับช่วงล่างของลำตัว จะหลุดออกจากกัน แต่ตอนนั้นเรายังคิดว่า อาจจะเป็นเพราะช่วงฤดูร้อน เราค่อนข้างจะเป็นคนแอคทีฟ คือ เราชอบเดินป่า ปีนเขา ไปตามเรื่อง
ข้อเสียอีกข้อของเรา คือ เราเป็นคนไม่ชอบ "เอ่ยปากให้คนช่วย" เช่น เวลาต้องยกของหนัก ๆ เรายกเลย เราจะไม่รอเรียกนายจอมยุ่ง ซึ่งคิดว่า อันนี้ก็เป็นอีกเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เจ็บหลังอยู่ตลอดเวลา
ครั้งแรกกับห้องฉุกเฉินที่อเมริกา
เช้าวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม เราตื่นแต่เช้า นึกได้ว่าไม่มีผงซักฟอก เลยรีบออกไปซื้อ แต่ก็นิสัยผู้หญิงล่ะค่ะ ไปถึงร้านค้าแล้ว จะให้ซื้ออย่างเดียวได้ยังไง ก็เลยเดินซื้ออาหารไปด้วย ตอนกลับถึงบ้าน ขณะจะก้าวออกจากรถ รู้สึกเหมือนร่างกายจะหลุดเป็นสองส่วนให้ได้ แต่ก็กัดฟันเดินเข้าบ้าน
ขณะเอาของเก็บใส่ตู้ ก็ปวดหลังจี๊ดมาก จนทนไม่ไหว แค่จะก้าวเท้าไปนั่งที่เก้าอี้ในครัว มันก็ก้าวไม่ออกแล้ว เลยนั่งลงไปกับพื้นครัวนั่นแหละ กะว่านั่งพักซักพักคงจะหาย
ปรากฎว่า พอจะลุกขึ้น ลุกไม่ได้แล้วค่ะ พยายามจะลุกหลายรอบ แต่ก็ทำไมได้ แค่นั้นแหละ ร้องไห้โฮเลย ตอนนั้นนายจอมยุ่งอาบน้ำอยู่ เลยไม่ได้ยินเรากรีดเสียงเรียก กว่าเฮียจะรู้ตัว เราน้ำหูน้ำตาน้ำมูก เต็มไปหมด อิอิ
ว่าแล้วเฮียก็จัดการลากใส่รถ แล้วรีบขับไปที่ห้องฉุกเฉิน ณ โรงพยาบาลใกล้ ๆ บ้านทันที
เมื่อถึงห้องฉุกเฉิน เนื่องจากเรามีอาการเดินไม่ได้ พยาบาลจึงรีบนำเข้าห้องตรวจ ไม่ต้องมานั่งสืบประวัติก่อน
ณ ห้องตรวจ พยาบาลสอบอาการ แล้วจัดการเจาะสายน้ำเกลือให้ทันที ไม่นานหลังจากนั้น เค.พี ซึ่งตอนแรกเรานึกว่านางเป็นหมอ แต่จริง ๆ แล้วนางเป็น Nurse Practitioner ค่ะ
ข้อแตกต่างระหว่าง Registered Nurse กับ Nurse Practitioner คืออะไร?
ในขณะที่ Registered Nurse มีหน้าที่ดูแลคนไข้ จัดการให้ยา ฉีดยา หรือเจาะสายน้ำเกลือ ฯลฯ Nurse Practitioner จะอยู่ในขั้นสูงกว่า คือ สามารถตรวจคนไข้ได้ และออกใบสั่งยาได้ ตามโรงพยาบาล จะจ้าง Nurse Practitioner หรือ NP เป็นจำนวนมาก เนื่องจากสามารถลดต้นทุนได้ เพราะจะถูกกว่าจ้างแพทย์
สำหรับคนที่ไม่ค่อยมั่นใจให้ NP ตรวจ ก็สามารถรีเควสแพทย์ได้ค่ะ ซึ่งตอนกลาง ๆ เรื่องช่วงที่เราวีนจัด ๆ เราก็ไม่เอา NP เลยเหมือนกัน อิอิ
เจ๊ K.P (ชื่อแปลกดีเนอะ) มาถึง ก็ถามเราว่า อาการปวดเรา อยู่ในระดับไหน โดยให้เลือกระหว่างเลข 1-10 โดยที่เลข 10 คือ ปวดมากที่สุด ตอนนั้นความปวดเราอยู่ระหว่างเลข 8-9 ว่าแล้วเจ๊เลยสั่งพยาบาลให้ฉีดมอร์ฟีนเข้าเส้นเลือดทันที เพื่อลดอาการปวด
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ได้รับมอร์ฟีน ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น แต่ไม่ใช่แบบจะเป็นไข้ คล้ายตัวมันอุ่น ๆ แบบที่ฝรั่งเรียก Cozy Feeling
เวลามาหาห้องฉุกเฉินที่อเมริกาเนี่ย ถ้าไม่ได้มีอาการแบบจะเป็นจะตาย หรือจะต้องผ่าตัดฉุกเฉิน ส่วนมากเค้าจะรักษาแค่ให้อาการทุเลา แล้วไล่กลับให้เราไปหาหมอส่วนตัวของเราเอง เรียกได้ว่า ถ้าหัวแตกมา เค้าจะก็เย็บแผลให้ แต่ให้เราไป Follow up หรือตามผลกับหมอของเราเอง
ในอเมริกา เกือบทุกคน จะต้องมีแพทย์ประจำตัว หรือ Primary Physician ซึ่งโดยมากจะเป็นแพทย์อายุรกรรม ทำหน้าที่ตรวจทั่วไป ห่างเราต้องไปหาแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านต่าง ๆ (Specialist) เค้าก็จะแนะนำเราไป แล้วทางSpecialist ก็จะส่งผลกลับมาให้แพทย์ประจำตัวของเรา เพื่อให้บันทึกประวัติทางด้านการรักษา
หลังเจ๊ K.P จัดการสั่งมอร์ฟีนให้ นางก็บอกว่า เดี๋ยวนางจะเดินกลับมาเช็คเราอีกครั้ง พักใหญ่ ๆ (ประมาณ 1 ชั่วโมง) เธอก็เดินกลับมาถามอาการ เราก็บอกว่า ไม่รู้สึกดีขึ้นเลย คือ ยังเจ็บมากอยู่
แม่นางเลยบอกว่า วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ไม่มีหมอทางด้านไขสันหลัง เลยถามเราว่า จะสะดวกนอนค้างมั้ย เช้าวันรุ่งขึ้นจะเรียกหมอจาก Spine Institute มาให้ และจะได้ให้มอร์ฟีนไปเรื่อย ๆ ลดความปวดคืนนี้
จากนั้นพยาบาลก็ย้ายเรา จากห้องฉุกเฉิน ไปยังห้องรอดูอาการ (Observation Room) ห้องนี้อยู่ในส่วนของห้องฉุกเฉิน เป็นห้องเล็ก ๆ แต่ก็มีอุปกรณ์ครบครัน มีทีวีให้ดู มี Wi-Fi ให้เล่น แต่ขณะนั้นไม่มีอารมณ์เล่นค่ะ อยากนอนอย่างเดียว ง่วงมาก
บุรษพยาบาลเดินเข้ามา พร้อมกับส่งเมนูให้ แล้วบอกให้เราสั่งอาหารเช้าเลย ไม่งั้นทางโรงครัวเค้าจะจัดแบบเบสิคมาให้ อาหารก็สั่งได้เต็มที่ค่ะ แต่เป็นอาหารเช้าแบบอเมริกันนะ ไม่มีข้าวต้มหมู หรือโจ๊กไก่ให้เลือกกิน เครื่องดื่มก็มีพร้อม ไปตั้งแต่นม น้ำผลไม้ ไปจนถึงน้ำอัดลม เวลาสั่งอาหาร เราก็กดโทรศัพท์ไปสั่ง จะมีพนักงานรับโทรศัพท์ คอยจดรายการ เหมือน Room Service ในโรงแรมนี่แหละค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณหมอคนใหม่ก็เข้ามาตรวจ รอบนี้เป็นคุณหมอแท้ ๆ ว่าแล้วเธอก็ส่งเราไปฉาย MRI (Magnetic resonance imaging) เมื่อได้ผลแสกนมาแล้ว คุณหมอจาก Spine Institute ก็ลงมาคุยด้วย บอกเราว่า หมอนรองกระดูกเรา มันแตก (Ruptured Disc หรือ Herniated Disc) ทำให้เนื้อเยื่อในหมอน ไปพันรอบ ๆ เส้นประสาท พร้อมกันนี้คุณหมอก็วาดภาพให้ดู พร้อมบอกว่า ขณะนี้ที่เส้นประสาทของเรา มีลักษณะเหมือนโดนหนวดปลาหมึกยักษ์พันอยู่ (คุณหมอใช้คำว่า Octopus) แถมมีการทำมือทำไม้ให้ดูซะอีก
เราก็ถามว่า แล้วจะรักษายังไง คุณหมอเธอก็บอก ให้เรานัด Follow Up กับคลีนิคของเธอ จากนั้นเธอก็อนุญาตให้เรากลับบ้านได้ บอกแล้วค่ะว่า โรงพยาบาลที่อเมริกา ถ้าไม่ตายลงต่อหน้าต่อตา เค้าจะไม่รับเป็นคนไข้ใน
สรุป เรานอนโรงพยาบาล 1 คืน พบ Nurse Practitioner 1 คน และ Medical Doctor 2 คน จากนั้นโดนส่งกลับบ้าน แม้อาการปวดจะยังมากอยู่ก็ตาม กลับถึงบ้าน เราก็จัดการนัดกับแพทย์ที่ Spine Institute ปรากฎว่า เกิดเรื่องร้าย 1 วันก่อนถึงวันนัด เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อ ติดตามบล็อคหน้าค่ะ
จ บ ต อ น
Create Date : 14 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 14 กรกฎาคม 2556 5:25:14 น. |
|
13 comments
|
Counter : 1482 Pageviews. |
|
|
ทำให้อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อัพต่อเร็วๆนะคะ
และขอให้คุณหายเร็วๆนะคะ