Group Blog
ธันวาคม 2550

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
21
22
24
25
26
27
28
30
31
 
 
ทำไมผมถึงเปลี่ยนสำเนียงภาษาอังกฤษเป็นฝรั่งได้ 2: ตอน พลาดการสอบชิงทุน
ก่อนอื่น ขอบคุณมากนะครับที่ติดตามอ่านประวัติของผมในการเปลี่ยนสำเนียงภาษาอังกฤษ ช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมาไม่ได้เข้ามา update เพราะเข้ากรุงเทพฯ ไปเตรียมเลือกตั้งวันอาทิตย์ครับ บ้านที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ติด high speed internet เลยไม่ได้เข้า net น่ะครับ ทนความอืดอาดของ net แบบธรรมดาไม่ไหว อีกอย่างเมื่อคืนไปดูคอนเสิร์ตโต๋มาด้วย (วัยรุ่นมั้ยครับ?) ตอนแรกกะจะเขียนวิจารณ์คอนเสิร์ตโต๋ให้อ่านกันก่อน แต่พอดูคนเข้ามาทวงอัตชีวประวัติผมแล้ว คงต้องโดนทืบแน่ๆ ถ้ามัวแต่เขียน review คอนเสิร์ตโต๋อยู่ ยังไงอย่าลืมเข้ามาดูคำวิจารณ์ของผมที่ blog นี้นะครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลาขอเล่าต่อเลยดีกว่า

ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม มีเพื่อนที่สนิทมากๆ อยู่ 3 คนด้วยกันที่มักจะอยู่ห้องเดียวกันตลอดมาตั้งแต่ชั้น ม.2 เพื่อนผมแต่ละคนเก่งๆ (กว่าผม) กันทั้งนั้น (คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล!) ตอนผมอยู่ชั้นม. 5 ส่วนใหญ่เพื่อนทุกคนในห้องผมก็จะไปสอบเทียบกันทั้งนั้น ตอนแรกผมก็กะว่าจะไม่สอบเทียบหรอก แต่โดนครูไล่ให้ไปสอบเทียบดู ก็เลยไป แล้วก็ดันเอ็นฯ ติดตอนม.5 คณะวิศวะ จุฬาฯ ใครเล่า? จะไม่เอา เลยไม่ได้เรียนม.6 ต่อครับ พวกเพื่อนๆ เกือบทั้งห้องก็เอ็นฯ ติดกันยกห้อง เชื่อมั้ยครับว่าผมมีเพื่อนห้องเดียวกันที่เรียนหมอ เฉพาะที่จุฬาฯ ก็นับได้สิบกว่าคน (น่าจะฝากผีฝากไข้ได้เวลาแก่ตัว!) วิศวะฯ จุฬา อีกเพียบ นี่ยังไม่นับมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกนะครับ

ในบรรดาเพื่อนสนิทของผม 3 คน คนหนึ่งเรียนหมออยู่ที่จุฬาฯ คนนี้แหละครับที่เป็นลูกศิษย์คนแรกของครูเคทเลย เพราะพ่อของเพื่อนคนนี้เป็นลูกน้องของแม่ครูเคท (งงมั้ยครับ? ค่อยๆ นึกตามก็ได้!) พอรู้ว่าครูเคทเพิ่งเรียนป.โทจบมาจากอเมริกา พ่อมันเลยเอาลูกมาฝากให้ครูเคทสอนภาษาอังกฤษให้หน่อย ตั้งแต่ตอนเพื่อนคนนี้อยู่ชั้น ม.2 ซึ่งภาษาอังกฤษของเพื่อนคนนี้ก็ดีกว่าผม มันพูดได้ฟังออกตั้งแต่อยู่มัธยมแล้ว ส่วนเพื่อนสนิทอีก 2 คนมีดีกรีเป็นถึงผู้ชนะเลิศในการแข่งตอบปัญหาภาษาอังกฤษของเชลล์ (ไม่รู้ว่าสมัยนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า?) ที่มีฝรั่งคอยถามคำถามความรู้ทั่วไปเป็นภาษาอังกฤษ แล้วให้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ โดยมีตัวแทนของโรงเรียนเป็นกลุ่มๆ ละ 3 คน เวลาผมดูรายการนี้ รู้สึกทึ่ง (ประมาณดูรายการเกมทศกัณฐ์เด็ก แล้วเด็กบ้าอะไรก็ไม่รู้ตอบคำถามได้ทุกหน้าเลย ไม่รู้มันจะเก่งอะไรขนาดนั้น? ก็ขนาดผมลืมตาดูโลกขึ้นมาก่อนเด็กพวกนั้นตั้งนาน ยังตอบไม่ได้เลย) เพราะมันเป็นความรู้ทั่วไปที่กว้างมากๆ เค้าจะถามอะไรก็ได้ ถามเกี่ยวกับประธานาธิบดีของอเมริกาคนที่เท่าไหร่ก็ได้อะไรหยั่งงี้ โห...พวกนี้มันเก่งจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเล่าต่อหรอกนะครับว่าเพื่อนผมทั้ง 2 คนนี้จะเก่งภาษาอังกฤษเพียงใด ลำพังผมฟังพิธีกรถามคำถามก็ไม่รู้เรื่องแล้ว อย่าหวังจะให้ควักเอาความรู้รอบตัว (ที่มีอยู่น้อยนิด)มาตอบเลย เพื่อนทั้ง 2 คนนี้มีปณิธานแน่วแน่ว่าจะเรียนต่อม. 6 เพื่อสอบชิงทุนฯ และมันก็ไม่พลาดครับ คนหนึ่งได้ทุนคิงส์ ไปเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ที่อเมริกา อีกคนได้ทุนก.พ.ไปเรียนด้านวิศวะ ที่อเมริกาเหมือนกัน โอ้โห...เท่จริงๆ มีเพื่อนได้ทุนของรัฐบาลไปเรียนอเมริกาตั้ง 2 คนแน่ะ (แต่ความหมายโดยนัยคือ ผมคือคนที่โง่ภาษาอังกฤษสุดในกลุ่มแล้วครับ เพราะจบมัธยมมา ก็ยังพูดไม่ได้ ฟังไม่ออกอยู่ดี สำเนียงก็โครตไทย ไม่เห็นมีดีสักอย่าง...เฮ้อ)

ผมอยากเล่าถึงเพื่อนผมที่ได้ทุนคิงส์ ไปเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกในอเมริกา เชื่อหรือไม่ครับ? ว่าไอ้เพื่อนคนนี้ตอนสอบมิดเทอมขณะอยู่ชั้นม. 4 ไอ้นี่มันยังสอบตกวิชาเศรษฐศาสตร์อยู่เลย ผมจำได้ขึ้นใจ เพราะพ่อมันเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะอันดับหนึ่งของคนที่อยากเรียนเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ครูที่สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่โรงเรียนเลยเยาะเย้ยมันว่ามีพ่อเป็นถึงระดับอาจารย์ แต่ลูกดันสอบตกเศรษฐศาสตร์ แต่เอากับมันสิ...เป็นไงล่ะ จบม. 6 ดันได้ทุนคิงส์ไปเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์อันดับต้นๆ ของโลก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “หัวเราะทีหลังดังกว่า” เอ๊ย... “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” น่ะครับ

ผมว่าครูสมัยที่เรียนชั้นมัธยมมีอิทธิพลต่อนักเรียนมากนะครับ สมัยผมอยู่ม. 4 อาจารย์ที่สอนวิชาชีวะวิทยา ไม่ค่อยใส่ใจนักเรียนเท่าไหร่ ประกอบกับผมไม่ชอบการท่องจำเยอะๆ (คิดว่าตัวเองมีความจำไม่ดีเอาซะเลย) มันทำให้ผมเกลียดวิชานี้ไปเลย แต่ชอบวิชาเคมีเพราะอาจารย์สอนสนุกดี พอผมตัดสินใจว่าชีวิตนี้ไม่เอ็นฯ หมอแน่ๆ เพราะไม่อยากผ่าศพ ไม่อยากเป็นลมเวลาเห็นเลือดเยอะๆ พอม. 5 ผมเลย drop วิชาชีวะทันทีแล้วมุ่งมั่นไปทางวิศวะเคมี บอกแล้วไงว่าชอบเคมี แถมเป็นคนเดียวในรุ่นที่ทำข้อสอบมิดเทอมวิชาเคมี ม. 4 ถูกต้องหมดทั้ง 40 ข้อ ช่วงนั้นดังมากๆ เดินไปไหนมีแต่คนทัก...เพิ่งรู้ว่าพวกดาราเค้ารู้สึกกันอย่างนี้นั่นเอง...อย่างน้อยผมก็พอมีดีสู้เพื่อนๆ ระดับหัวกะทิในกลุ่มได้อยู่บ้าง...จริงมั้ยครับ?

กลับมาเรื่องภาษาอังกฤษ พอเข้ามหาวิทยาลัย ต้องเรียนภาษาอังกฤษตัดคะแนนร่วมกับคณะอื่นๆ ด้วย คะแนนผมก็ปานกลางนะ ไม่ได้โดดเด่นทั้งด้านบวกและลบ ซึ่งตอนเรียนป.ตรี เค้าบังคับให้เรียนภาษาอังกฤษแค่ 2 ตัวเท่านั้น เน้นทักษะทั่วไปทุกทักษะ ก็ไม่ค่อยต่างอะไรจากที่เราเรียนมาตอนมัธยมนะครับ จบไปแล้วทั้ง 2 ตัวสำเนียงก็ยังไทยเหมือนเดิม ไม่ค่อยมีพัฒนาการเท่าไหร่

ตอนผมอยู่ปี 3 ภาควิศวกรรมเคมี มีทุนเรียนต่อปี 4 ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน จากอเมริกามาเสนอให้นิสิตภาควิชาวิศวกรรมเคมี จุฬาฯ 1 ทุน ซึ่งตอนนั้นผมก็มีหวังค่อนข้างมาก เพราะเกรดของผมก็ประมาณที่ 2 ของภาค ไม่น้อยหน้าใคร (ยกเว้น..ที่ 1 ของภาค ยกให้มัน มันเก่งจริงๆ มันทำรายได้ให้กับร้านซีร็อกที่คณะเป็นกอบเป็นกำ ทำไมเหรอครับ? ก็เวลามันทำการบ้านเสร็จ มันก็ต้องส่งต้นฉบับไปให้ร้านซีร็อกเพื่อให้คนที่มีสติปัญญาธรรมดาสามัญอย่างพวกเราลอกไง ขนาดพวกพี่ๆ ที่เรียนป.โท ยังเอาของมันไปลอกเลยครับ แต่ขอยอมรับในความอัจฉริยะของมันจริงๆ ครับ ยกไว้ให้คนนึง) การสอบชิงทุนครั้งนั้น มีการสอบวิชาทางวิศวกรรมเคมี ซึ่งผมไม่ห่วงอยู่แล้วและสอบภาษาอังกฤษ..นี่สิที่น่าเป็นห่วง พอประกาศผลออกมา ปรากฏว่าคนที่ได้ทุนนี้ไม่ใช่ที่ 1 และ ที่ 2 ของภาคครับ แต่กลับเป็นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้ที่เท่าไหร่ของภาคก็ไม่รู้ แต่เธอเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าผมแน่ๆ นี่นับเป็นครั้งแรกน่าจะได้ที่ผมผิดหวังอย่างแรงจากการพลาดทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ (ตอนนั้นหวังไว้มาก) แต่ก็รู้จุดอ่อนว่าต่อให้เราเก่งวิชาภาคเพียงใด แต่ภาษาอังกฤษแย่ก็คงไปไหนไม่รอด ตอนนั้นแหละครับเริ่มเห็นโลงศพอยู่รำไร น้ำตาเริ่มหยด (ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา) พอหายจากการเสียใจก็กลับมาคิดได้ว่า “ไม่ได้การละ ฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว(ยืมเพลงของป้างมาใช้) เพื่อให้เก่งภาษาอังกฤษก่อนเรียนจบป.ตรีจากที่นี่ให้ได้ คอยดูสิ ฉันต้องทำให้ได้ ฉันต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม ถ้ามีโอกาสงามๆ อย่างการสอบชิงทุนอย่างนี้เข้ามา ฉันจะได้ไม่พลาดอย่างนี้อีก เฟียต..สู้ เว้ย”

โปรดติดตามตอนต่อไปว่าผมจะสู้ยังไง และจะไปรอดหรือไม่? หรือจะเจออุปสรรคอะไรเข้ามาอีก รอลุ้นดูนะครับ



Create Date : 23 ธันวาคม 2550
Last Update : 23 ธันวาคม 2550 21:18:57 น.
Counter : 1658 Pageviews.

3 comments
  
หวัดดีจ๊ะ, อยากจะบอกว่าการ ที่จะ
พูดภาษาอังกฤษให้เหมือนฝรั่ง
ทำได้นะ แต่ต้องอาศัยเวลา มาก ก็ต้องเป็นหลายปี
อาจจะ ยากหน่อย ถึงแม้ว่า เราจะรู้
คำศัพท์ รู้ที่จะพูด รู้ประโยค
แต่สำเนียง ไทยก็จะติดตัวเราไปตลอด
แต่ว่า เราก็ดัดแปลงให้คล้าย ฝรั่งได้
แต่ ขอเวลา เท่านั้นเอง
พยายาม เข้านะ
เราต้องทำได้ ในวันหนึ่ง
คนเก่ง อย่างน้อง
ทำได้แน่นอน......
โดย: Kiky Dee IP: 86.151.169.152 วันที่: 23 ธันวาคม 2550 เวลา:21:56:52 น.
  
Photobucket

โดย: the river of Aquarius วันที่: 24 ธันวาคม 2550 เวลา:0:30:48 น.
  
มีความฝันฮ่ะ สู้ตาย!!
โดย: ตาตั้ม IP: 203.131.208.115 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:11:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

KruFiat
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 304 คน [?]



ครูเฟียต ธีรเจต บุญพยุง
"หากคุณพูดภาษาไทยได้ คุณก็ควรจะพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการเรียนรู้ภาษาด้วยวิธีธรรมชาติเหมือนกัน"
ข่าวดีสุดๆ!หนังสือ pocket book เล่มแรกของครูเฟียต ชื่อ "เรียนภาษาอังกฤษในไทย ทำไงให้ใครๆ คิดว่าคุณจบนอก" มีวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book แล้ว และขึ้นอันดับ 1 top seller เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดใน Ookbee อยู่ในขณะนี้ อย่าบอกนะ ว่าคุณยังไม่ได้ download ที่ https://bit.ly/KruFiatBook 4| | | ข่าวดีสุดๆ!หนังสือ pocket book เล่มแรกของครูเฟียต ชื่อ "เรียนภาษาอังกฤษในไทย ทำไงให้ใครๆ คิดว่าคุณจบนอก" มีวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book แล้ว และขึ้นอันดับ 1 top seller เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดใน Ookbee อยู่ในขณะนี้ อย่าบอกนะ ว่าคุณยังไม่ได้ download ที่ https://bit.ly/KruFiatBook | | |3