Bloggang.com : : JitJai : ธุรกิจปิดตัวหนีน้ำท่วม เดือนต.ค.แห่เลิกกิจการเกือบพันราย พุ่ง103% 2 ยักษ์ใหญ่หนีไทย

ธุรกิจปิดตัวหนีน้ำท่วม เดือนต.ค.แห่เลิกกิจการเกือบพันราย พุ่ง103% 2 ยักษ์ใหญ่หนีไทย

ธุรกิจปิดตัวหนีน้ำท่วม เดือนต.ค.แห่เลิกกิจการเกือบพันราย พุ่ง103%

นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เดือนตุลาคม 2554 มีผู้ประกอบธุรกิจขอจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ จำนวน 3,523 ราย ลดลง 997 ราย หรือลดลง 22% เทียบกับเดือนตุลาคม 2553 มีจำนวน 4,520 ราย และลดลง 1,571 ราย หรือลดลง 30% เทียบกับเดือนกันยายน 2554 เนื่องจากประสบปัญหาน้ำท่วมใน 31 จังหวัด เฉพาะกรุงเทพฯเหลือยอดจดทะเบียนเพียง 1,391 ราย จากยอดจดทั้งหมด เงินทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 60,237 ล้านบาท แต่ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2554 มีจำนวน 49,912 ราย เพิ่มขึ้น 7,006 ราย หรือเพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันปี 2553 มีจำนวน 42,906 ราย คาดว่าหลังน้ำลดจะทำให้ยอดตั้งบริษัทใหม่กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจทำความสะอาด ซ่อมแซมที่อยู่ ซ่อมรถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

นายศิริวัฒน์กล่าวว่า สำหรับยอดเลิกกิจการ เดือนตุลาคม 2554 มีจำนวน 974 ราย เพิ่มขึ้น 495 ราย หรือ 103% เทียบตุลาคมปีก่อนมียอด 479 ราย และลดลง 260 ราย หรือ 21% เทียบเดือนกันยายน 2553 มียอด 1,239 ราย ทำให้ 10 เดือนแรกปีนี้ มีกิจการเลิกแล้ว 6,663 ราย เพิ่มขึ้น 1,777 ราย หรือ 36% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนมียอด 4,886 ราย

-----------

2ยักษ์อิเล็กทรอนิกส์จ้องหนีไทย ย้ายฐานไปเขมรจ่ายค่าแรงต่ำ80บ. กระจายความเสี่ยงหลังโดนน้ำท่วม

ส.อ.ท.เผย 2 บริษัทยักษ์อิเล็กทรอนิกส์แม็กซอน-มินิแบเตรียมย้ายฐานลงทุนบางส่วนไปกัมพูชาแทน กระจายความเสี่ยง ไทยเจอ 2 เด้ง น้ำท่วมนิคม-ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท พาณิชย์ถกช่วยผู้ผลิตยานยนต์เจรจาประเทศคู่ค้าเอฟทีเอผ่อนผันชิ้นส่วนนำเข้าได้สิทธิประโยชน์ด้วย

นายกฤษดา ทรัพย์ทวนชน เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า บริษัท แม็กซอน ซิสเต็ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากเกาหลี และบริษัท มินิแบ จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ เตรียมย้ายฐานการลงทุนบางส่วนจากไทยไปกัมพูชาแล้ว หลังจากไทยเจอปัญหาน้ำท่วมใหญ่รวมทั้งกัมพูชามีความได้เปรียบเรื่องของค่าแรงต่ำ เพียงวันละ 80 บาทเท่านั้น

อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มจะย้ายฐานไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เวียดนาม และกัมพูชามากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในไทย เพราะเทียบกันตอนนี้ไทยไม่มีความได้เปรียบอะไรเลย หลังโดนทั้งสึนามิน้ำและค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลไม่มีเอกภาพ นายกฤษดากล่าว

นายกฤษดากล่าวว่า อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่ารวม 1.3-1.4 ล้านล้านบาท มีมูลค่ามากใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมยานยนต์ และส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อส่งออก อยากให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูให้ผู้ประกอบการในนิคมสามารถผลิตสินค้าป้อนตลาดได้ หากยิ่งช้าจะทำให้เสียโอกาสทางตลาดให้จีนและอินเดียเพราะต้นทุนการผลิตต่ำกว่า ระยะยาวผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทรายใหญ่จะกระทบต่อผู้ผลิตเอสเอ็มอีที่ป้อนชิ้นส่วนให้ต้องสูญเสียรายได้ และกระทบต่อการจ้างงานของแรงงานไทยแน่นอน

นายกฤษดากล่าวว่า กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องการลดภาษีหัก ณ ที่จ่าย จาก 3% เหลือ 0.5% กับกลุ่มที่รับช่วงผลิตต่อ รวมถึงลดการส่งเงินประกันสังคมเป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดภาระผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า มีหลายอุตสาหกรรมได้ย้ายฐานการผลิตไปเพื่อนบ้านแล้วหลายราย ส่วนใหญ่จะย้ายไปกัมพูชาและเวียดนาม แต่ในอนาคตจะย้ายหนีไปพม่ามากขึ้นหากรัฐบาลพม่าสามารถแก้กฎระเบียบในการดึงดูดการลงทุนที่ดีเพราะพม่ามีค่าจ้างประมาณ 80 บาทต่อวันซึ่งต่ำมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 22 พฤศจิกายน มีมติให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในจังหวัดนำร่องเป็น 300 บาทต่อวัน ในวันที่ 1 เมษายน 2555

นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมจะประชุมร่วมกับกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ตัวแทนสมาคมผู้ค้าและผู้ส่งออกยานยนต์ วันที่ 25 พฤศจิกายน เพื่อกำหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ที่ไม่สามารถขอใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้านำไปลดภาษีจากประเทศคู่ค้าภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ได้ เนื่องจากผู้ผลิตยานยนต์ต้องนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบภายในประเทศ เพราะโรงงานผลิตชิ้นส่วนในไทยถูกน้ำท่วม ทำให้แหล่งกำเนิดสินค้าไม่เป็นไปตามเกณฑ์ข้อตกลง ทั้งนี้ กรมจะประสานรัฐบาลประเทศคู่ค้าต่างๆ เพื่อขอผ่อนผันเป็นระยะเวลาชั่วคราว อย่างน้อย 3 เดือน หรือจนถึงไตรมาส 1 ปี 2555 และจะเร่งสำรวจความเสียหายอุตสาหกรรมอื่นๆ ว่าได้รับกระทบด้วยหรือไม่ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือไม่ให้กระทบต่อภาพรวมการส่งออกสินค้าไทย ทั้งนี้ประเทศคู่ค้ากลุ่มยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากแหล่งกำเนิดสินค้าไม่เข้าเกณฑ์มากสุด คือประเทศออสเตรเลีย เพราะไทยส่งออกถึง 12.94% ของการส่งออกรถยนต์ทั้งหมด

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2554

Last Update : 26 พฤศจิกายน 2554 19:00:41 น.

0 comments

Counter : 501 Pageviews.