Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
24 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 

หุ้นฝรั่งขายทิ้งเดือนต.ค. BIGCสูงสุด450ล้านบาท

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์" ได้รวบรวมข้อมูลการซื้อขายประจำวันของไทย เอ็นวีดีอาร์ ซึ่งเป็นดัชนีหนึ่งที่สะท้อนการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ประจำเดือน ต.ค. 54 พบว่าหุ้นที่มีการขายสุทธิผ่านไทยเอ็นวีดีอาร์สูงสุด 5 อันดับแรก หากพิจารณาจากมูลค่าการขายสุทธิ ได้แก่ BIGC, GOLD, MAJOR, TCAP และ DCC ตามลำดับ และหากพิจารณาจากปริมาณการขายสุทธิ 5 อันดับแรก ไดแก่ NEP, GJS, GOLD, HEMRAJ และ GSTEEL ตามลำดับ

บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC เป็นหุ้นที่มีมูลค่าการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR มากเป็นอันดับที่ 1 ในเดือนต.ค.โดยมีมูลค่าสูงถึง 449.26 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้น BIGC ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 102 บาท มาอยู่ที่ระดับราคาสูงสุด 126 บาทในช่วงวันที่ 10 ต.ค. หลังจากนั้นราคาปรับตัวลงต่อเนื่องและต่ำสุดที่ 98.25 บาท ก่อนจะปรับตัวขึ้นอีกครั้งและปิดที่ระดับราคา 110.50 บาทในวันที่ 31 ต.ค.54 แม้น้ำท่วมจะทำให้ BIGC จะได้รับปัจจัยบวกจากการซื้อสินค้าเพื่อกักตุน แต่สถานการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงส่งผลให้ BIGC เริ่มทยอยปิดสาขาและศูนย์กระจายสินค้า นอกจากนี้ยังมีปัญหาในด้านขนส่ง ซึ่งทั้งหมดนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/54

นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศเพิ่มทุนกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ที่มีกว่า 3.65 หมื่นล้านบาท จากการกู้เพื่อซื้อกิจการคาร์ฟูร์ ซึ่งจะครบกำหนดราวกลางปีหน้า ส่งผลให้เกิด Dillution ต่อกำไรต่อหุ้นประมาณ 27-43%

อย่างไรก็ตาม บล.เอเซีย พลัส ยังแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ BIGC โดยแนะนำ ให้ผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิเพิ่มทุน เนื่องจาก BIGC ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากแผนการขยายสาขาเชิงรุกและโอกาสในการเปิดสาขาในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงฐานะการเงินที่จะกลับมาแข็งแกร่งหลังการเพิ่มทุน

นอกจากนี้ยังได้ปรับสมมติฐานปี 55 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% และนโยบายปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนนักศึกษาจบปริญญาตรี โดยปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อยราว 1.5% โดยอยู่ที่ 5,096 ล้านบาท เติบโต 26.7%

บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GOLD เป็นหุ้นที่มีมูลค่าการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR มากเป็นอันดับที่ 2 ในเดือนต.ค.โดยมีมูลค่าสูงถึง 243.97 ล้านบาท และเป็นหุ้นที่มีปริมาณการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR มากเป็นอันดับ 3 จำนวน 54.23 ล้านหุ้น ขณะที่ราคาหุ้น GOLD กลับปรับตัวขึ้นตรงข้ามกับแรงขายผ่าน NVDR โดยราคาหุ้นไต่ระดับจากราคา 3.50 บาท ขึ้นไปสูงสุดที่ 3.96 บาท ซึ่งเป็นผลจากแรงเก็งกำไรหลังตระกูล "มหากิจศิริ" ได้เข้าถือหุ้น GOLD เพิ่มเป็น 23% โดยได้ซื้อหุ้นเพิ่มจากผู้ถือหุ้นต่างชาติ 16% ทั้งนี้ นายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการ GOLD ระบุว่าการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเนื่องจากเห็นว่าเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดี และจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทในอนาคต อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราคาหุ้นปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับราคา 3.70 บาทในวันที่ 31 ต.ค.54 ทั้งนี้ ภาวะน้ำท่วมที่รุนแรงขึ้นส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR เป็นหุ้นที่มีมูลค่าการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR มากเป็นอันดับที่ 3 ในเดือนต.ค.โดยมีมูลค่าสูงถึง 186.74 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นกลับปรับตัวขึ้นหลังจากปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.จากระดับราคา 16.10 บาท มาอยู่ที่ระดับ 10.50 บาทในช่วงต้นเดือนธ.ค. แม้ว่าจะมีแรงขาย NVDR แต่เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลงมากแล้วก่อนหน้านี้จากความวิตกเรื่องน้ำท่วม ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาและราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13.20 บาทในช่วงกลางเดือนต.ค. ก่อนจะปรับตัวลงตามแรงขายมาปิดที่ 12.10 บาท ในวันที่ 31 ต.ค.54

บล.กิมเอ็ง มองว่าด้านพื้นฐาน MAJOR ยังแข็งแกร่งแม้จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/54 มีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่กำไรที่คาดการณ์ในช่วง 9 เดือน มีสัดส่วนถึง 85% ของประมาณการกำไรปีนี้ที่ 850 ล้านบาท (0.96 บาท/หุ้น) เติบโต 44% จากปี 53 จึงยังคงประมาณการเดิมและคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวและเติบโตต่อเนื่องในปีหน้า อย่างไรก็ตามได้ปรับลดราคาเหมาะสมลงจาก 21.50 บาท เป็น 16.30 บาท เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงของตลาดที่สูงขึ้น ขณะที่หุ้นยังมีอัพไซด์สูง ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังอยู่ในระดับน่าสนใจที่ 7%

บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เป็นหุ้นที่มีมูลค่าการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR มากเป็นอันดับที่ 4 ในเดือนต.ค.โดยมีมูลค่าสูงถึง 180.67 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น TCAP ในช่วงต้นเดือนต.ค.ปรับตัวขึ้นจากแรงเก็งกำไรผลการดำเนินงานหุ้นกลุ่มแบงก์ ประกอบกับก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงจากระดับราคา 31 บาท ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามา ส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นหุ้นสวนทิศทางการขายของ NVDR จากระดับราคา 24.70 บาท ขึ้นไปสูงสุดที่ 27 บาท อย่างไรก็ตาม หลังจากประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิลดลง 13.06% ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมาปิดที่ระดับ 24.70 บาทในวันที่ 31 ต.ค.54

ทั้งนี้ บล.เอเซีย พลัส ได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิ TCAP ปี 54 ลงถึง 11% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับลด NIM และการเติบโตของสินเชื่อลงเหลือ 2.90% และ 6% ตามลำดับ โดยมีปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและวิกฤติน้ำท่วมในประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในช่วงไตรมาส 4/54 และอาจต่อเนื่องถึงช่วงครึ่งแรกในปี 55 จากปัจจัยที่ Supply รถยนต์ใหม่มีแนวโน้มลดลง เช่นเดียวกับช่วงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงต้นปี 54 ซึ่งในส่วนของราคาหุ้นคาดว่าจะยังถูกกดดันจากประเด็นน้ำท่วมจนถึงสิ้นปีนี้ จึงแนะนำให้ “เข้าลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว” เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน

ขณะที่บล.กิมเอ็ง แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 34 บาท เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันค่อนข้างถูก และซื้อขายในระดับเพียง 0.7 เท่า PBV 4.6 เท่า PER ขณะที่ ROE ค่อนข้างสูง 15.6% และ dividend yield ที่ระดับ 6.3% โดยคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงปีหน้า อย่างไรก็ตามเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงจึงแนะนำ “ซื้อเมื่อราคาอ่อน” ตัวเช่นกัน

บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC เป็นหุ้นที่มีมูลค่าการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR มากเป็นอันดับที่ 5 ในเดือนต.ค.โดยมีมูลค่าสูงถึง 178.02 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นกลับสวนแรงขายผ่าน NVDR โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 48.50 บาท ขึ้นมาสูงสุดที่ระดับ 58 บาท และหลังจากนั้นปรับตัวลดลงมาปิดที่ 55 บาทในวันที่ 31 ต.ค.54

แม้ว่า DCC จะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมโดยตรง เนื่องจากที่ตั้งของโรงงานอยู่ในจังหวัดสระบุรี แต่คาดว่ายอดขายของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/54 จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง Outlet บางสาขาต้องปิดลง รวมถึงเส้นทางการขนส่งในภาคกลางและภาคเหนือถูกตัดขาดจากภาวะน้ำท่วม ซึ่งทั้ง 2 ภาคคิดเป็นมูลค่ากว่า 40% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท

อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มสูงที่ผลประกอบการในช่วงต้นปีหน้าจะเติบโตอย่างโดดเด่น จากความต้องการซื้อกระเบื้องสำหรับซ่อมแซมความเสียหายของอาคารบ้านเรือนหลังน้ำลด ขณะที่ DCC รายงานกำไรช่วง Q3/54 มีกำไร 289 บาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมาเนื่องจากการขยายสาขาเพิ่ม รวมถึงเพิ่มกำลังผลิตในสินค้าที่ได้รับความนิยม ขณะที่บริษัทยังประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.71 บาท ตามนโยบาย Dividend Payout Ratio 100%

บล.เอเชีย พลัส แนะนำ “ซื้อ” อย่างไรก็ตามได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2554 ลงจากเดิม 2.1% สะท้อนผลลบจากยอดขายที่ลดลงในช่วงต้นไตรมาส 4/54 ขณะที่ปี 55 ปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้น 3.5% จากผลสุทธิระหว่างการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และ อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จะลดลงจาก 30% เหลือ 23% ทำให้คาดว่า DCC จะมีกำไรจากการดำเนินงาน ปี 54 อยู่ที่ 1,260 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 1,538 ล้านบาท ในปี 55 โดยให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 61.45 บาท มี Upside จากราคาปัจจุบัน 11.7% รวมกับผลตอบแทนจากเงินปันผลอีก 6.9%



หากพิจารณาจากปริมาณการขายสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรกในเดือน ก.ย. ได้แก่ GSTEEL, HEMRAJ, GOLD, GJS และ NEP ตามลำดับ

บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL เป็นหุ้นที่มีปริมาณการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR สูงสุดเป็นอันดับแรกในเดือนต.ค.จำนวน 132.57 ล้านหุ้น ทั้งนี้ ราคาหุ้นในช่วงเดือนต.ค.ปรับตัวขึ้นสวนแรงขายของ NVDR ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจาก 0.30 บาท มาปิดที่ 0.37 บาทในวันที่ 31 ต.ค. 54 และช่วงกลางเดือนปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 0.41 บาท

ทั้งนี้ ราคาเหล็กยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในสหรัฐที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่เศรษฐกิจในจีนชะลอความร้อนแรงลง รวมถึงปัญหาหนี้ในยุโรปยังคงกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซน ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาไม่มีปัจจัยบวกมาสนับสนุนความน่าสนใจในการลงทุน นับตั้งแต่บริษัทได้รายงานความคืบหน้าของการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของกลุ่ม อาร์เซลอร์ มิตตัล เมื่อช่วงกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง GSTEEL ยืนยันว่าจะไม่มีการล้มดีลนี้อย่างแน่นอน ขณะที่ล่าสุดยังไม่มีความคืบหน้าจากกรณีดังกล่าว

โดยนายสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล รองประธานกรรมการ GSTEEL แสดงความมั่นใจว่าภายหลังที่ อัลซอลอร์มิตัล ใส่เงินเข้ามาแล้วจะเห็นการฟื้นตัวของบริษัทได้ในปี 55 ซึ่งถ้ามีเงินหมุนเวียนเพิ่มเข้ามามีแนวโน้มที่บริษัทจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรในช่วงไตรมาสที่ 4 ขณะที่ปี 55 จะพยายามลดขาดทุนสะสมให้ได้มากที่สุด เนื่องจากได้มีการตั้งสำรองไว้แล้วจำนวน 6,000 ล้านบาท

บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ เป็นหุ้นที่มีปริมาณการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR มากเป็นที่สุดเป็นอับดับที่ 2 ในเดือนต.ค.จำนวน 57.37 ล้านหุ้น ขณะที่ราคาหุ้นปรับขึ้นสวนการขายผ่าน NVDR จากแรงเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยที่คาดว่าจะได้รับผลดีจากพื้นที่นิคมฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 1.75 บาท มาอยู่ที่ระดับ 2.06 บาท ณ วันที่ 31 ต.ค. 54 อย่างไรก็ตามบริษัทอาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อมบ้าง เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมจะส่งผลทางด้านจิตวิทยาโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ต้องการจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ด้านนายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HEMRAJ ยังคงเป้ายอดขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 54 จำนวน 1,700 ไร่ เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตของรายได้ในปีนี้ โดยเฉพาะรายได้จากการขายที่ดินเพื่ออุตสาหกรรม และโรงงานสำเร็จรูปเพื่อขายหรือให้เช่า โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมแล้วกว่า 1,212 ไร่

ด้าน บล.KGI และบล.กสิกรไทยแนะนำลงทุน HEMRAJ เนื่องจากเป็นหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่น้ำไม่ท่วม หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่ำที่จะได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว ทำให้มีโอกาสที่บริษัทจะได้รับปัจจัยบวกในระยะยาว เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอาจมีความน่าสนใจลดลง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาใช้ทำเลที่ปลอดภัยแทน ขณะที่ บล.โกลเบล็กระบุว่ามีแนวโน้มที่ HEMRAJ จะได้รับประโยชน์จากกรณีน้ำท่วมที่นิคมอุตสาหกรรมในอยุธยาและปทุมธานี โดยคาดว่าลูกค้าจะโยกฐานการผลิตเข้านิคมอิสเทิร์นซีบอร์ด ขณะที่ในช่วงปีหน้าคาดว่ากำไรสุทธิจะโตโดดเด่นกว่าเท่าตัวจากการเริ่มรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้า Gheco One


บริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GJS เป็นหุ้นที่มีปริมาณการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR มากเป็นที่สุดเป็นอับดับที่ 4 ในเดือนต.ค.จำนวน 51.06 ล้านหุ้น ขณะที่ราคาหุ้น GJS ขณะที่ราคาหุ้นค่อนข้างทรงตัวที่ระดับราคา 0.15 บาท ทั้งนี้ ปริมาณการซื้อขายหุ้น GJS ค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นแม่อย่าง GSTEEL

บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ NEP เป็นหุ้นที่มีปริมาณการขายสุทธิผ่าน THAI NVDR มากเป็นที่สุดเป็นอับดับที่ 5 ในเดือนก.ย.จำนวน 49.12 ล้านหุ้น ทั้งนี้ ราคาหุ้น NEP ปรับตัวขึ้นจากระดับราคา 0.54 บาท และขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 0.96 บาท ก่อนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับราคา 0.80 บาท ในวันที่ 31 ต.ค.54 ซึ่งสวนทางกับแรงขายผ่าน NVDR เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยได้เข้าไปเก็งกำไรหุ้น NEP อย่างต่อเนื่องจากความคาดหวังเรื่องอุปสงค์กระสอบที่เพิ่มขึ้นในช่วงน้ำท่วม

ทั้งนี้ นายเสกสิทธิ์ เจริญเศรษฐศิลป์ กรรมการผู้จัดการบริษัท NEP ระบุว่าเมื่อสถานการณ์น้ำท่วมกลับเข้าภาวะสู่ปกติ และเริ่มมีผลผลิตทางการเกษตรออกมา คาดว่าจะทำให้ความต้องการกระสอบมีมากเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่ NEP รายงานกำไรไตรมาสที่ 3/54 มีกำไรสุทธิ 8.26 ล้านบาท ฟื้นตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาที่ขาดทุนสุทธิ 103.7 ล้านบาท




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2554
0 comments
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2554 22:02:45 น.
Counter : 590 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


JitJai
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add JitJai's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.