ปาฏิหาริย์กับความเชื่อ
เห็นว่ามีประโยชน์เลยนำมาฝากกัน

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / CEO Blog
ตัน ภาสกรนที
วันที่ 23 พฤษภาคม 2554 13:47

คุณเชื่อหรือเปล่าครับว่า “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นได้หลายครั้ง

สมัยโออิชิประสบความสำเร็จด้วยแคมเปญแรงๆ ก้าวกระโดดสูงๆ หลายปีติดต่อกัน ทุกปีจะมีคนถามเสมอว่าปาฏิหาริย์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้อีกไหม

ผมบอกว่า ทิศทางธุรกิจขึ้นอยู่กับความเชื่อ เมื่อมี “ปาฏิหาริย์” ครั้งแรก ครั้งที่สองก็ต้องมีอีก

สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องเชื่อว่า “เราทำได้”

ความเชื่อเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งของความสำเร็จ เชื่ออย่างไร คิดอย่างไร เราจะเดินไปอย่างนั้น คนกำหนดคือตัวเรา เพราะเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ ผมจึงไม่เคยล็อกความคิด ติดกรงขังอยู่กับคำว่า “เป็นไปไม่ได้”


แต่ไม่ได้หมายความว่าจะบุ่มบ่ามโดยไม่ล็อกความเสี่ยง

ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ และไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เราคิด

การตัดสินใจทุกครั้งของผมจะใช้ “แว่นขยาย” ส่องขยายธุรกิจทั้งหมดให้เห็นชัด ขั้นเลวร้ายที่สุดผลลัพธ์จะลงเอยอย่างไร

เพียงแต่เพราะผมไม่ได้มีต้นทุนชีวิตมากมายเหมือนกับคนอื่น ผมจึงไม่ค่อยกลัวความล้มเหลวและความผิดพลาดสักเท่าไหร่ อย่างมากถ้ากลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์อีกครั้ง ถึงกลับเป็นเจ้าของแผงขายหนังสือเล็กๆ ผมก็มีความสุขได้ในแบบของผม ถึงรูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนมาน้อย แต่เพราะเชื่อว่าคนเราประสบความสำเร็จได้หลายวิธี

ปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่าสำหรับผมจึงเกิดขึ้นได้ในชีวิต

เพราะผมเชื่อ..ผมถึงกล้า

เราฝันใหญ่ๆ ได้ไม่มีข้อจำกัด ถึงแม้จะเริ่มเล็กๆ ก็ไม่เป็นไร

เป้าหมายมีไว้ให้เรากล้าตั้ง ที่เหลือจากนั้นต้องไปควานหาหนทางทำให้มันเป็นไปได้

ไม่มีอะไรน่ากลัวเกินไปกว่าความกลัวในใจเรา

ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน มีดีก็มีเสีย บางอย่างรู้มากคิดมากไปก็ไม่ได้ทำหรือทำไม่ทัน เพราะโอกาสมักจะอยู่กับเราเพียงไม่นาน บางจังหวะต้องอาศัยความกล้าหาญ ฉกฉวยโอกาสไว้ให้มั่น ถ้าคิดจะเดินหน้าแล้ว ผมเลือกจะมองข้ามปัญหาไว้ทีหลัง ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นปัญหา แต่ผมอยากใช้สมองไปสนใจวิธีทำให้ประสบความสำเร็จมากกว่า

ถ้าเอาแต่มองปัญหา ความกล้าในใจเราจะฝ่อ เอาแต่กลัว ไม่กล้าลงมือทำ

วิธีปลุกความกล้าของผม คือ ชอบกระโดดเข้าใส่ เรื่องปัญหาเดี๋ยวค่อยว่ากัน ยังไงก็หนีไม่พ้น ผมมองปัญหาเหมือนกับการเผชิญหน้าหมาน้อยที่คอยวิ่งไล่ถึงมันจะตัวเล็กพันธุ์ไม่ดุ แต่ถ้าเรายิ่งหนี มันจะยิ่งวิ่งไล่ แต่ถ้าเราวิ่งเข้าใส่ เผลอๆ หมาตัวใหญ่กว่านี้ยังต้องกลัวจนวิ่งหนีเรา

ผมเชื่อว่ามนุษย์เรามีพลังซ่อนเร้นในตัวเองอีกมากมาย เรี่ยวแรงมหาศาลเหล่านี้มักจะถูกดึงมาใช้ก็ต่อเมื่อยามวิกฤติ เหมือนกับคนที่กลายร่างเป็นจอมพลังแบกโอ่ง แบกสมบัติ หนีไฟไหม้

มองอีกด้าน ปัญหาเฉพาะหน้าและแรงกดดันจึงมีค่า เพราะทำให้เราเกิดแรงฮึดได้มากกว่าปกติหลายเท่า

สมัยหนุ่มๆ เวลาเจอปัญหาที่คิดไม่ตก ผมชอบใช้วิธีเข้าห้องเซาน่าที่ร้อนจัดๆ ใช้อุณหภูมิความร้อนเป็น"แรงกดดัน" นั่งอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหาทางออก

เดี๋ยวนี้ก่อนนอนทุกคืน ผมจะนั่งครุ่นคิดแก้ปัญหา แต่ถ้าเลยเวลานอนแล้วยังคิดไม่ออก ผมจะปิดสวิตช์ตัวเองเข้านอนทันที

ประสบการณ์สอนผมว่าอย่าจมอยู่กับปัญหา แต่ต้องเอาตัวเองออกจากปัญหา ทั้งปัญหาและโอกาสอยู่กับเราไม่นาน เราเองต่างหากเป็นคนที่จะฉุดยื้อหรือปล่อยมันให้หลุดลอยไป

แค่ออกไปหาของกินอร่อยๆ ไปเที่ยว ไปพักผ่อนกับครอบครัว บางทีเราอาจค้นพบคำตอบปริศนาที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติและสิ่งรอบตัว

ปัญหาจึงเหมือนภูเขา ยิ่งอยู่ใกล้ๆ เราจะรู้สึกว่าใหญ่โตมาก แต่ถ้าถอยออกมาห่างๆ ปัญหาที่เคยเห็นอาจจะเป็นแค่เรื่องจิ๊บๆ คว้าตะเกียบคีบกินได้เลย

ทำธุรกิจไปนานๆ ผมจึงเข้าใจคำโบราณที่บอกไว้ว่า "เรือเมื่อถึงท่า..หัวจะตรงเอง" ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุด

เรือที่ลอยลำในทะเลถึงจะโซซัดโซเซอย่างไร แต่ถ้าตราบใดยังมองเห็นฝั่ง ไม่ถอดใจยอมแพ้

ไม่หยุดพายต่อไปเรื่อยๆ ยังไงสักวันก็ต้องถึง

ตราบใดที่เรามีความหวังและลงมือทำ..ทำไม "ปาฏิหาริย์" จะเกิดขึ้นไม่ได้ครับ



Create Date : 25 พฤษภาคม 2554
Last Update : 25 พฤษภาคม 2554 5:40:47 น.
Counter : 667 Pageviews.

0 comments

Depulis
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



พฤษภาคม 2554

1
2
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog