มองความจริงที่มันเป็นอยู่มิใช่ที่เคยเป็นหรืออยากให้เป็น->When people don't understand, they make assumption.
|
|||
เคล็ดลับการลงทุนของสง่า บางส่วนจาก 'สง่า ตั้งจันสิริ'..เล่นหุ้นปี54 ซื้อแล้ว 'ถือ' เวิร์คสุด โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 26 มกราคม 2554 01:00 เพราะยาวมาก เลยคิดว่า น่าจะเก็บเฉพาะที่เป็นส่วนสำคัญมาให้อ่านกัน หาอ่านฉบับเต็มได้ตามสะดวกครับ สถานการณ์เปลี่ยน..วิธีคิดเปลี่ยน 'สง่า ตั้งจันสิริ' เล่นหุ้นตัวใหญ่ ซื้อแล้ว 'ถือ' กำไร 30-40% เล่นสั้นก็ได้เท่านี้เหมือนกัน เป็นหลายชาย ไกรสร จันศิริ ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF และเป็นญาติผู้น้องของ ธีรพงศ์ จันศิริ สร้างแรงกดดันให้ "นิค" สง่า ตั้งจันสิริ อยู่ไม่น้อยเพราะการทะยานขึ้นของหุ้น TUF ในรอบปี 2553 ที่ผ่านมา "นิค" ถูกเหมารวมว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทะยานขึ้นของราคาเขา "แหยง" กับคำว่า "เซียนหุ้น" หรือ "เซียนนิค" เป็นที่สุด คติประจำตัว 'อย่าโลภ เดี๋ยวลาภหาย' นักลงทุนที่ผ่านการ "เก็งกำไร" มาอย่างโชกโชนอย่าง สง่า ตั้งจันสิริ เขาย่อมมี "คติ" ไว้ "เตือนสติ" ตัวเองในเวลาที่ความโลภก่อตัวขึ้นในจิตใจ คติการลงทุนประจำตัววันนี้เขาบอกว่ายังคงเหมือนที่ผ่านมานั่นคือ "อย่าโลภ เดี๋ยวลาภหาย" สำหรับเคล็ดลับการลงทุนของสง่า 1.ต้องกระจายความเสี่ยง แบ่งพอร์ตลงทุนออกเป็น "สามส่วน" คือ สั้น-กลาง-ยาว ถ้าเป็นหุ้นบลูชิพชั้นดี "เกรดเอ" ถ้าถือต้นทุนต่ำก็จะถือยาว 2-3 ปี โดยจะดูที่ Dividend Yield ถ้าอยู่ประมาณ 5-6% ก็จะถือไว้กินปันผล ถ้าเป็นพอร์ต "ระยะสั้น" ก็จะเน้นเล่นหุ้นหวือหวาโดยจะ "เล่นตามข่าว" (หุ้นมีสตอรี่) ถ้าเล่นสั้นจะไม่ถือนาน แต่บางครั้งจะสลับตัวเล่น "กลาง-สั้น" ตามความเหมาะสม 2.เมื่อถึงเป้าหมายต้องพอ สิ่งที่นักลงทุนรายนี้ท่องเป็นประจำคือ "อย่าโลภมาก" หุ้นทุกตัวที่เข้าไปลงทุนจะต้องตั้ง "เป้าหมายกำไร" เมื่อถึงเป้าก็ต้อง "ขาย" ห้ามยื้อ (โลภ) โดยปกติจะตั้งไว้ที่ 20% 3.ต้อง Cut Loss ให้เป็น การลงทุนจะตั้งจุด Stop Loss (จุดหยุดขาดทุน) ไว้ที่ลง 10% ต้องตัดขายทันที ที่เล่นมาเคย Cut Loss หนักสุด 3 ล้านบาทไม่งั้นขาดทุนแน่ๆ 6-7 ล้านบาท แต่ถ้ารีบขายก่อนอาทิตย์หนึ่งจะขาดทุนแค่ล้านเดียว ประสบการณ์เลยสอนว่าต้องกล้าตัดสินใจ "ขาย" ในช่วงหุ้นเป็นขาลง 4.รู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว หลักการจำกัดความเสี่ยงข้อหนึ่งก็คือ อย่าไปลงทุนในสิ่งที่เราไม่รู้ หรือรู้น้อยกว่าคนอื่น จะต้องรู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ ข้อจำกัดของตลาดหุ้นไทยคือ ตลาดเล็กและคนมีเงินเยอะๆ สามารถคุมตลาดได้ ส่วนเราคุมตลาดไม่ได้ถ้ารู้ทีหลังค่อนข้างเสียเปรียบ ก่อนลงทุนจำเป็นต้อง "เช็คข่าว" ต่อสายคุยกับนักวิเคราะห์คุยกับคนในวงการหาข่าวก่อนลงทุนจะปลอดภัย เราไม่จำเป็นต้องรู้มากที่สุดแต่ต้องไม่น้อยกว่านักลงทุนคนอื่น 5.ต้องมีเงินสดติดกระเป๋าไว้เสมอ ในตลาดหุ้นอะไรก็ไม่แน่นอน ต้องมี "เงินสดติดกระเป๋า" ไว้ตลอดเวลา ถ้ามีเงิน 100 บาท ส่วนตัวจะต้องเก็บเงินสดไว้ 40% เสมอ เพราะโอกาส "ซื้อของถูก" ไม่ได้มีมาบ่อยๆ จง (กล้า) เข้าซื้อเมื่อหุ้นตก และจงขายออกเมื่อหุ้นขึ้น "ผมมองว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ใจไม่เย็นพอ และบางคนเอาเงินร้อนมาเล่นแต่ผมจะใช้เงินเย็นมาลงทุน และไม่เคยซี้ซั้วจะค่อยๆ ดูทีละตัว" 6.เหนือทุกข้อคือ "ต้องมีวินัย" ความจริงของชีวิตนักลงทุนต้องมีทั้งสีขาวและสีดำ มีขึ้นและมีลง แต่คนที่จะยืนบนเวทีนี้ได้ในระยะยาวสำคัญที่สุดต้อง "มีวินัย" "ขาดทุนต้องรับกับมันได้ ถ้ากำไรอย่าดีใจกับมันมาก เห็นหุ้นวิ่งอย่าแหกกฎของตัวเอง เหมือนกฎหมายถ้าใครไม่ทำตามมันก็มีบทลงโทษรออยู่ ถ้าคิดว่าทำตามไม่ได้ก็อย่าตั้งกฎให้ตัวเอง" จากประสบการณ์ 7 ปีในตลาดหุ้น ถ้าอยากได้กำไรเยอะๆ ต้องเล่นหุ้นขนาดกลางหรือเล็กที่ "พื้นฐานดี" และธุรกิจกำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" แต่ราคาหุ้นยังต่ำ หุ้นพวกนี้เวลาขึ้นมีโอกาสได้กำไรเกิน 20% ในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสไม่บ่อย และการลงทุนในตลาดหุ้น คือ การอยู่กับอนาคต อย่าดูแต่ปัจจุบันต้องมองไปข้างหน้าเสมอ *** มองไปข้างหน้า....... " เหว 6xxจุด ช๊าดๆ "
โดย: ขงเบ้ง_ดีดพิณที่ยอดเขากีสาน IP: 192.168.51.70, 110.164.175.127 วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:11:17:56 น.
|
Depulis
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?] Group Blog All Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |