ตามใจเล่าครับ
Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
26 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
แล่ปลามากุโระที่อีแก่บุคโล

              ผมมีภารกิจพาคณะข้าราชการจากหน่วยงานแถวๆ วังจันทรเกษม ถนนราชดำเนินนอก กรุงสยาม ไปดูงานด้านประวัติศาสตร์ การศึกษา และวัฒนธรรม ณ  ประเทศญี่ปุ่น ช่วงเดือนมิถุนายน ก็ได้รำลึกถึงบรรยากาศและสถานที่ต่างๆในอดีตด้วยครับ เริ่มตั้งแต่ปราสาทโอซาก้า (Osaka Jo : โอซาก้าโจะ)  อยู่ที่โอซาก้า( Osaka )ซึ่งเป็นทั้งเมืองและจังหวัด( shi/city  :  ken/prefecture ) สร้างสมัยโชกุนโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Shogun  Toyotomi  Hideyoshi ) เริ่ม ปี คศ. 1583 (พ.ศ. 2126) แต่มาเสร็จรุ่นลูก คือ โชกุนโตโยโตมิ ฮิเดโยริ (Toyotomi Hideyori) ในปี คศ. 1597 ตัวปราสาทแบ่งเป็น 8 ชั้น โอบล้อมด้วยกำแพงหินแกรนิต  สร้างได้อย่างปราณีต สวยงาม ดูเด่นและสง่า เป็นเอกลักษณ์ของเมืองโอซาก้า  เนื่องจากเคยมาสองสามครั้งแล้ว ก็เลยขอตัว นั่งจิบน้ำสีทอง (Kirin beer) อยู่ในร้านแถวๆนั้น   และชื่นชมความงามด้านนอกของปราสาท สักพักก็มีสองสามคนจากคณะพี่ไทยมาร่วมนั่งผ่อนสมองกับน้ำฟองๆด้วยกัน พอดีโต๊ะข้างเคียง มีลุงคนนึงนั่งทานไอติมชาเขียวอยู่คนเดียว  ผมก็เลยคุยกับลุง เค้าดีใจที่รู้ว่า พวกเรามาจากบางกอก  เพราะลุงเคยไปกรุงเทพฯ-อยุธยาฯ มาแล้ว  ตอนนี้ก็อายุแปดสิบสามแระ   กำลังคุยกันถูกคอ   ลุงแกลุกขึ้น แล้วบอกผมว่า "  Chotou  Mate'  Kudazai : โชโตะ มาเตะ คุดาไซ : คอยแป๊ปนะ)  "   ไม่นานนัก ลุงก็เดินกลับมาพร้อมไก่ทอด (Karaage ) สี่แก้วกระดาษ และแจกพวกเราสี่คน ผมถามเท่าไรครับ  ลุงบอก  เอามาให้ฟรีๆ ประมาณว่า ถูกชะตากัน  พวกเราก็เลย ขอบคุณ Arigatou  ขอให้ลุงอายุยืนมากๆนะครับ พอได้ยินคำขอบคุณ ใบหน้าก็ระบายไปด้วยรอยยิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี และตอบกลับมาว่า   "  Doitashimashite .  Watashiwa  Thai  ga  sukidesu  :  โด้ อิตะชิมาชิเตะ วาตาชีวะ ไทยกะ สุกิเดส  "  (ไม่เป็นไร  : ยินดีครับ  ผมชอบคนไทยครับ)   



จากนั้น คณะของเราก็มาถึงจังหวัดนารา (Nara ken / prefecture )อดีตเมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น  รถบัสมาส่งพวกเราที่ปากทางเข้าวัดโทไดจิ  หลังจากซื้อตั๋ว( ที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะมาดูอะไรที่ไหน ต้องจ่ายเงินตลอด ไม่มีของฟรีครับ )   ถ้ามาที่นี่ ราวๆ ช่วงฤดูใบไม้ล่วงกลางตุลาฯ หรือพฤศจิฯเป็นต้นไป บรรดาใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทอง ส้ม แดงและน้ำตาล ตามวาระ  และตลอดทางไปสู่วัด เราจะได้เห็นคนที่มาเยี่ยมชมถ่ายรูปกับน้องกวางมากมาย(chika  :  ชิกะ  :  ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของจังหวัดนารา )เป็นระยะๆ ประชากรกวางที่นี่ เชื่อง และรู้อยู่  แต่เมื่อสิบปีก่อน ผมเห็นกวางเพศผู้ เขาโง้งท่าทางเกรียนๆ บางทีคนเข้าใกล้ก็ไล่ขวิด มาคราวนี้ไม่เจอกวางดุๆเลย สงสัยขึ้นสวรรค์กันไปหมดแล้ว   ในที่สุดคณะฯก็เดินสวนฝ่่ากลุ่มนักเรียนมากมาย (นโยบายการศึกษาของญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการศึกษานอกสถานที่เป็นอย่างมาก) มาสู่วัดพุทธ  Todaiji : โทไดจิ  "Great  Eastern  Temple"   นอกจากจะเป็นมรดกโลกแล้ว ก็ยังเป็นวิหารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Daibutsuden  :  ไดบุต์สึเด็ง : Big  Buddha  Hall)อีกด้วย ก่อนเข้าโบสถ์ วิหารก็ทำตามธรรมเนียมเค้าด้วยครับ โดยจะมีบ่อเล็ก พร้อมกระบวยน่ารักๆ หลายอันให้ผู้มาเยือนล้างมือก่อน บางคนก็เอาลูบหน้าด้วย น้ำเย็นเจี้ยบ ช่วยทำให้สดชื่นเชียว แล้วก็เข้าไปนมัสการพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ (บางคนเรียกพระใหญ่ : Daibutsu แต่คนละองค์กะที่คามาคุระ) ผมแอบเห็นกระเหรี่ยงของเรา อธิฐาน ขอพรกันนานมากมาย แต่โยนตังใส่จุดบริจาคแค่  1 - 5 เยนเอง


                   หลังจากเต็มอิ่มกันที่จังหวัดนารา  คณะเราก็นั่งบัสมุ่งตรงยาวไปสู่กรุงโตเกียว   แวะช้อปปิ้งกันเพลินที่ย่านชินจูกุ (Shinjuku)ซึ่งมีถนนคนเดินและห้างสรรพสินค้ามากมาย ที่คุ้นหูคนไทยรุ่นเดอะคือห้างไดมารู (Daimaru : ไดมาหรุ) และไปเดินเล่นที่ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) มีฝนโปรยปรายเล็กน้อย แต่อากาศเย็นเฉียบ กระนั้นก็ยังได้เห็นผู้คนพลุกพล่าน โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ญี่ปุ่นที่แต่งตัวกันอย่างน่ารัก หลุดโลก  สุดฤทธิ์ สุดเดช   แต่อะนะ  ถ้าอากาศที่กรุงเทพฯ เย็นแบบเค้า สาวๆ วัยรุ่นไทยก็คงแต่งตัวได้ไม่น้อยหน้ายุ่นหรอกครับ    พวกเราเข้าพักที่ Sunshine City Prince Hotel,  Ikebukuro , Tokyo  เป็นทั้งโรงแรมและศูนย์การค้าสะดวกในการละลายทรัพย์ของพี่ไทยอย่างมากเลย     ตอนค่ำเพื่อนชาวญี่ปุ่นมารับผมไปทานอาหาร ร้านมีชื่ออยู่ไม่ไกลโรงแรมมากนัก  ก็เป็นอาหารญี่ปุ่นหลากหลาย และสาเกร้อนๆ (Osake) โดยเฉพาะมีโชว์การแล่ปลามากุโระ (Tuna) ตัวใหญ่ทีเดียว ราคาน่าจะหลักแสนบาท พอเสียงเขย่าระฆังดังกรุ้งกริ้ง  คนญี่ปุ่นก็รีบลุกออกจากโต๊ะไปดูกันเต็มไปหมดด้วยความตื่นเต้น เห็นสาวญี่ปุ่นใช้มือถือถ่ายรูปกันตลอดเวลา  ทว่าผมดูแล้ว ใจแป้วงัยไม่รู้เมื่อเห็นหนุ่มตวัดมีดคมกริบชำแหละปลาอย่างคล่องแคล่ว  เลือดปลาเพียบเลย เพราะมันสดมากๆ  แอบหดหู่อ่ะ  แต่สำหรับคนญี่ปุ่นน่ะ เค้าถือว่าปลา หรือ  หมึกยักษ์  และบรรดาสรรพสัตว์ เหล่านี้เนี่ยะ เป็นอาหารของเค้า ก็ เลยไม่รู้สึกสงสารหรือสลดใจแต่อย่างใด ส่วนเพื่อนเห็นอาการของผม ก็ พอเข้าใจ ถามว่า "  Jack san ,  Daijoubu desu ka  :  คุณแจ๊คเป็นไรหรือเปล่า "  แล้วพาผมกลับโต๊ะเลย     เปลี่ยนเรื่องดีกว่า กล่าวกันว่าสมัยก่อนนี้  ออกญาฯ ยามาดะและคณะฯมาเป็นทหารในยุคอยุธยาฯ เป็นราชธานี  เมื่อได้ชิมสาโทซึ่งเป็นเหล้าพื้นบ้านไทย ก็ติดใจ ตอนกลับญี่ปุ่นก็นำเหล้าสาโทไปด้วย  และพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นเหล้าสาเก ลดค่าแอลกอฮอล์แต่เพิ่มมูลค่ามากมาย(ตอนนั้น ยังไม่มีกฏหมายลิขสิทธิ์)   เราคุยกันหลายๆเรื่องที่เกี่ยวกับเมืองไทยจนดึก   เพราะเพื่อนคนนี้เคยไปเมืองไทยหลายครั้งและติดใจหลายๆอย่าง โดยเฉพาะอาหารไทยทั้งคาวหวานและผลไม้ เค้าทึ่งที่คนไทยสามารถนำมะม่วงสุกมาทานกับข้าวเหนียวมูลกระทิ กลายเป็นของหวานแสนอร่อย รวมทั้งมังคุดที่เค้าหมายตาไว้ว่าจะต้องกลับมาชิมอีกให้ได้  และมังคุดเนี่ยะ เป็นผลไม้ไทยยอดนิยมของคนญี่ปุ่น เวลาเค้ามาเมืองไทย ผมซื้อให้ชิมทีละโล สอง สามโล     เรียกว่า   ถังขยะในห้องพักเต็มไปด้วยเปลือกมังคุด  กินไปรำพึงไป   "Oishi ,  Taihen  Oishi , Sugoi   Yasui  desu  :  โออิชิ ไทเฮน โออิชิ  สุโก้ย  ยาซุย เดส : อร่อยอ่ะ  อร่อยมากๆ  สุดยอด  ราคาถูกจัง  "   ก็เพราะมังคุดซึ่งส่งออกจากไทยเราน่ะ เค้าขายกันที่โตเกียว ลูก (ผล)ละร้อยบาท ถึงร้อยยี่สิบบาทเลยละครับ 

             ขากลับเพื่อนเรียกแท็กซี่ พอจอดสนิท คนขับก็เปิดประตูหลังด้านซ้ายให้เรา เป็นการเปิด-ปิดแบบอัตโนมัติ( Auto-door )  ผมเห็นพี่โชเฟอร์แท็กซี่ในญี่ปุ่นทีไร ก็อดยิ้มไม่ได้    เพราะทุกคนที่นี่จะใส่สูทและสวมถุงมือ  การแต่งตัวดูเนี้ยบกว่าผมที่ใส่ชุดลำลอง สบายๆ   และค่าโดยสารก็จ่ายตามมิเตอร์ เริ่มต้นที่  650  เยน   จะจ่ายเป็นเงินสด   หรือรูดการ์ด( Credit  Card ) ก็ได้    ( คิดง่ายๆ 100 เยน  =  40 บาท ถ้านั่งระยะสั้นไม่ไกลนักก็จ่ายๆไป  280 บาท  คนไทยบอกว่า  พอคิดเป็นเงินไทยแล้ว ฉันเดินกลับดีกว่า   แหม แค่นั่งรถเมล์ญี่ปุ่น ก็ 100 เยน แระ ) ค่าครองชีพเค้าสูงอ่ะครับ แท็กซี่ที่นี่เท่าที่ทราบเป็นรถของบริษัท คนขับก็กินเงินเดือนและมีวินัยสูง ( ไม่ได้เช่ารถมาขับอย่างพี่ไทย ) และไม่ต้องห่วงว่า พี่แท็กซี่จะเกเร หรือทำอะไรออกนอกลู่นอกทางเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เพราะรถทุกคันติด GPS ไม่ว่าอยู่ตรงไหน บริษัทเช็คได้หมด  กล่าวกันว่า สมัยก่อนนี้ แท็กซี่บางคันก็ มีปัญหา ก่อคดีความเยอะแยะเหมือนกัน แต่เค้าได้พยายามพัฒนาปรับปรุงมาจนได้รับคำชมในปัจจุบันครับ อ้าว ถึงแระ โรงแรมที่พักอยู่ย่านอีเคบุคุโระ ( Ikebukoro ) แล้วครับ 

            ทีนี้ คำว่า  "  อีแก่บุคโล  "  มาจากไหน  ก็ พี่ไทยเราเป็นเซียนปรับภาษามาแต่โบราณแล้ว  เพื่อให้สะดวกในการออกเสียง เช่น  Raja  Pattern  ไทยเรียก  " ราชปะแตน : ราด ชะ ปะ แตน"      และTelegraph เราก็ออกเสียงว่า  " ตะแล้ปแก้ป "   ส่วนคำว่า Ikebukuro : อีเคบุคุ๊โระ เนี่ยะ คนไทยบอกออกเสียงย๊าก ยาก   เอางี้ เรียกง่ายๆ ให้ถูกหูคนไทยล่ะกันว่า  " อีแก่บุคโล "  (สตรีสูงวัยแถวบุคโล อย่ามีเคืองล่ะครับ)   และขอเรียนตรงๆ สำหรับคนไทยกับชาวต่างชาติทั้งหลายว่า  การใช้บริการแท็กซี่ในญี่ปุ่นเนี่ยะ ถึงแม้ว่าเค้าจะมีเทคโนโลยีทันสมัย  แต่โปรดจำไว้เลย คนขับแท็กซี่เค้ายินดีพูดและอ่านแต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น  ผมเห็นคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษเก่งๆ พอมาญี่ปุ่น ใบ้รับประทานหมด  และเคยมีคนไทยมาทัวร์ญี่ปุ่น เป็นแม่กับลูกสาว แล้วพลัดหลง ต้องเรียกแท็กซี่กลับที่พัก แต่จำชื่อย่านที่โรงแรมตั้งอยู่ไม่ได้ นามบัตรโรงแรมที่เป็นภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้เอาติดมา  และพูดภาษากันก็ไม่รู้เรื่อง   ทั้งๆที่ พี่เค้าก็พยายามตะแคงหูฟังเต็มที่    สุดท้าย ลูกสาวซึ่งเป็นเด็กมหาลัย  ก็ นึกขึ้นมาได้   "  แม่ แม่  พี่ไก้ด์( คนไทย ) เค้าสั่งไว้ให้บอกว่า  ไปที่ ' อีแก่บุคโล ' นะแม่ "   พี่แท็กซี่ที่กำลังเครียดๆอยู่ได้ยิน  รีบพูดออกมาอย่างดีใจ     " Hai , Hai .  Wakarimashita .  Ikebukuro  :  ไฮ ไฮ วาการิมาชิตะ  :   ครับ  ครับ  เข้าใจแล้ว อีเคบุคุ๊โระ .... "  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  เราจะได้ยินคนไทยเรียกขานย่านนี้ว่า   "อีแก่บุคโล" กันมาโดยตลอดเลยครับ  

ขอบคุณ ภาพรถแท็กซี่

            และภาพ Sunshine City Hotel , Ikebukuro , Tokyo จากอากู๋ครับ




Create Date : 26 เมษายน 2556
Last Update : 8 กรกฎาคม 2558 17:04:52 น. 5 comments
Counter : 1858 Pageviews.

 
ดูการแร่ปลาสดๆ น่ากลัวมั๊ยค่ะ


โดย: Nush IP: 110.49.251.145 วันที่: 26 เมษายน 2556 เวลา:18:58:04 น.  

 
มาเป็นคนที่สอง อิอิ หนุกเหมือนเดิมคะ วันนี้


โดย: Anut IP: 49.48.174.250 วันที่: 26 เมษายน 2556 เวลา:20:50:56 น.  

 

คุณ Nush ลองกลับไปอ่านใหม่ซิครับ ผมปรับเนื้อหาแล้วโดยเฉพาะการแล่ปลามากุโระ ดู แล้วน่ากลัว ปลาสดมาก เลือดเยอะเชียวครับ

คุณ Anut ลองอ่านซ้ำใหม่นะครับ อาจได้อรรถรสมากขึ้น

ส่วนคุณ Pim ถามค้างไว้เกี่ยวกะแท็กซี่ญี่ปุ่น ถ้าอ่านเรื่องนี้คงจะได้คำตอบนะครับ


โดย: Jack (Jack Happy ) วันที่: 26 เมษายน 2556 เวลา:21:09:09 น.  

 
ขอบคุณค่ะ ได้อ่านใหม่ตามที่คุณ Jack Happy แนะนำแล้ว
อ่านแล้วจินตนาการตามเลยค่ะ น่ากลัวจัง เรื่องใหม่สนุกมากค่ะ
อ่านแล้วมีความสุข ไม่ผิดหวังเลยค่ะ


โดย: Nush IP: 110.49.249.32 วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:7:04:46 น.  

 
ขอบคุณคะ ใส่ใจทุกรายละเอียดและคนอ่านมากๆเลยนะค่ะ
อ่านแล้วมีความสุขและสนุกมาก
ขอชมภาพถ่ายค่ะ ถ่ายออกมาสวย เห็นแล้วอยากไปเที่ยวเลยค่ะ


โดย: Pim IP: 110.49.233.163 วันที่: 28 เมษายน 2556 เวลา:12:11:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jack Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Jack Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.