แล่ปลามากุโระที่อีแก่บุคโล
ผมมีภารกิจพาคณะข้าราชการจากหน่วยงานแถวๆ วังจันทรเกษม ถนนราชดำเนินนอก กรุงสยาม ไปดูงานด้านประวัติศาสตร์ การศึกษา และวัฒนธรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น ช่วงเดือนมิถุนายน ก็ได้รำลึกถึงบรรยากาศและสถานที่ต่างๆในอดีตด้วยครับ เริ่มตั้งแต่ปราสาทโอซาก้า (Osaka Jo : โอซาก้าโจะ) อยู่ที่โอซาก้า( Osaka )ซึ่งเป็นทั้งเมืองและจังหวัด( shi/city : ken/prefecture ) สร้างสมัยโชกุนโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Shogun Toyotomi Hideyoshi ) เริ่ม ปี คศ. 1583 (พ.ศ. 2126) แต่มาเสร็จรุ่นลูก คือ โชกุนโตโยโตมิ ฮิเดโยริ (Toyotomi Hideyori) ในปี คศ. 1597 ตัวปราสาทแบ่งเป็น 8 ชั้น โอบล้อมด้วยกำแพงหินแกรนิต สร้างได้อย่างปราณีต สวยงาม ดูเด่นและสง่า เป็นเอกลักษณ์ของเมืองโอซาก้า เนื่องจากเคยมาสองสามครั้งแล้ว ก็เลยขอตัว นั่งจิบน้ำสีทอง (Kirin beer) อยู่ในร้านแถวๆนั้น และชื่นชมความงามด้านนอกของปราสาท สักพักก็มีสองสามคนจากคณะพี่ไทยมาร่วมนั่งผ่อนสมองกับน้ำฟองๆด้วยกัน พอดีโต๊ะข้างเคียง มีลุงคนนึงนั่งทานไอติมชาเขียวอยู่คนเดียว ผมก็เลยคุยกับลุง เค้าดีใจที่รู้ว่า พวกเรามาจากบางกอก เพราะลุงเคยไปกรุงเทพฯ-อยุธยาฯ มาแล้ว ตอนนี้ก็อายุแปดสิบสามแระ กำลังคุยกันถูกคอ ลุงแกลุกขึ้น แล้วบอกผมว่า " Chotou Mate' Kudazai : โชโตะ มาเตะ คุดาไซ : คอยแป๊ปนะ) " ไม่นานนัก ลุงก็เดินกลับมาพร้อมไก่ทอด (Karaage ) สี่แก้วกระดาษ และแจกพวกเราสี่คน ผมถามเท่าไรครับ ลุงบอก เอามาให้ฟรีๆ ประมาณว่า ถูกชะตากัน พวกเราก็เลย ขอบคุณ Arigatou ขอให้ลุงอายุยืนมากๆนะครับ พอได้ยินคำขอบคุณ ใบหน้าก็ระบายไปด้วยรอยยิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี และตอบกลับมาว่า " Doitashimashite . Watashiwa Thai ga sukidesu : โด้ อิตะชิมาชิเตะ วาตาชีวะ ไทยกะ สุกิเดส " (ไม่เป็นไร : ยินดีครับ ผมชอบคนไทยครับ)
จากนั้น คณะของเราก็มาถึงจังหวัดนารา (Nara ken / prefecture )อดีตเมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น รถบัสมาส่งพวกเราที่ปากทางเข้าวัดโทไดจิ หลังจากซื้อตั๋ว( ที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะมาดูอะไรที่ไหน ต้องจ่ายเงินตลอด ไม่มีของฟรีครับ ) ถ้ามาที่นี่ ราวๆ ช่วงฤดูใบไม้ล่วงกลางตุลาฯ หรือพฤศจิฯเป็นต้นไป บรรดาใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทอง ส้ม แดงและน้ำตาล ตามวาระ และตลอดทางไปสู่วัด เราจะได้เห็นคนที่มาเยี่ยมชมถ่ายรูปกับน้องกวางมากมาย(chika : ชิกะ : ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของจังหวัดนารา )เป็นระยะๆ ประชากรกวางที่นี่ เชื่อง และรู้อยู่ แต่เมื่อสิบปีก่อน ผมเห็นกวางเพศผู้ เขาโง้งท่าทางเกรียนๆ บางทีคนเข้าใกล้ก็ไล่ขวิด มาคราวนี้ไม่เจอกวางดุๆเลย สงสัยขึ้นสวรรค์กันไปหมดแล้ว ในที่สุดคณะฯก็เดินสวนฝ่่ากลุ่มนักเรียนมากมาย (นโยบายการศึกษาของญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการศึกษานอกสถานที่เป็นอย่างมาก) มาสู่วัดพุทธ Todaiji : โทไดจิ "Great Eastern Temple" นอกจากจะเป็นมรดกโลกแล้ว ก็ยังเป็นวิหารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Daibutsuden : ไดบุต์สึเด็ง : Big Buddha Hall)อีกด้วย ก่อนเข้าโบสถ์ วิหารก็ทำตามธรรมเนียมเค้าด้วยครับ โดยจะมีบ่อเล็ก พร้อมกระบวยน่ารักๆ หลายอันให้ผู้มาเยือนล้างมือก่อน บางคนก็เอาลูบหน้าด้วย น้ำเย็นเจี้ยบ ช่วยทำให้สดชื่นเชียว แล้วก็เข้าไปนมัสการพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ (บางคนเรียกพระใหญ่ : Daibutsu แต่คนละองค์กะที่คามาคุระ) ผมแอบเห็นกระเหรี่ยงของเรา อธิฐาน ขอพรกันนานมากมาย แต่โยนตังใส่จุดบริจาคแค่ 1 - 5 เยนเอง
หลังจากเต็มอิ่มกันที่จังหวัดนารา คณะเราก็นั่งบัสมุ่งตรงยาวไปสู่กรุงโตเกียว แวะช้อปปิ้งกันเพลินที่ย่านชินจูกุ (Shinjuku)ซึ่งมีถนนคนเดินและห้างสรรพสินค้ามากมาย ที่คุ้นหูคนไทยรุ่นเดอะคือห้างไดมารู (Daimaru : ไดมาหรุ) และไปเดินเล่นที่ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) มีฝนโปรยปรายเล็กน้อย แต่อากาศเย็นเฉียบ กระนั้นก็ยังได้เห็นผู้คนพลุกพล่าน โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ญี่ปุ่นที่แต่งตัวกันอย่างน่ารัก หลุดโลก สุดฤทธิ์ สุดเดช แต่อะนะ ถ้าอากาศที่กรุงเทพฯ เย็นแบบเค้า สาวๆ วัยรุ่นไทยก็คงแต่งตัวได้ไม่น้อยหน้ายุ่นหรอกครับ พวกเราเข้าพักที่ Sunshine City Prince Hotel, Ikebukuro , Tokyo เป็นทั้งโรงแรมและศูนย์การค้าสะดวกในการละลายทรัพย์ของพี่ไทยอย่างมากเลย ตอนค่ำเพื่อนชาวญี่ปุ่นมารับผมไปทานอาหาร ร้านมีชื่ออยู่ไม่ไกลโรงแรมมากนัก ก็เป็นอาหารญี่ปุ่นหลากหลาย และสาเกร้อนๆ (Osake) โดยเฉพาะมีโชว์การแล่ปลามากุโระ (Tuna) ตัวใหญ่ทีเดียว ราคาน่าจะหลักแสนบาท พอเสียงเขย่าระฆังดังกรุ้งกริ้ง คนญี่ปุ่นก็รีบลุกออกจากโต๊ะไปดูกันเต็มไปหมดด้วยความตื่นเต้น เห็นสาวญี่ปุ่นใช้มือถือถ่ายรูปกันตลอดเวลา ทว่าผมดูแล้ว ใจแป้วงัยไม่รู้เมื่อเห็นหนุ่มตวัดมีดคมกริบชำแหละปลาอย่างคล่องแคล่ว เลือดปลาเพียบเลย เพราะมันสดมากๆ แอบหดหู่อ่ะ แต่สำหรับคนญี่ปุ่นน่ะ เค้าถือว่าปลา หรือ หมึกยักษ์ และบรรดาสรรพสัตว์ เหล่านี้เนี่ยะ เป็นอาหารของเค้า ก็ เลยไม่รู้สึกสงสารหรือสลดใจแต่อย่างใด ส่วนเพื่อนเห็นอาการของผม ก็ พอเข้าใจ ถามว่า " Jack san , Daijoubu desu ka : คุณแจ๊คเป็นไรหรือเปล่า " แล้วพาผมกลับโต๊ะเลย เปลี่ยนเรื่องดีกว่า กล่าวกันว่าสมัยก่อนนี้ ออกญาฯ ยามาดะและคณะฯมาเป็นทหารในยุคอยุธยาฯ เป็นราชธานี เมื่อได้ชิมสาโทซึ่งเป็นเหล้าพื้นบ้านไทย ก็ติดใจ ตอนกลับญี่ปุ่นก็นำเหล้าสาโทไปด้วย และพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นเหล้าสาเก ลดค่าแอลกอฮอล์แต่เพิ่มมูลค่ามากมาย(ตอนนั้น ยังไม่มีกฏหมายลิขสิทธิ์) เราคุยกันหลายๆเรื่องที่เกี่ยวกับเมืองไทยจนดึก เพราะเพื่อนคนนี้เคยไปเมืองไทยหลายครั้งและติดใจหลายๆอย่าง โดยเฉพาะอาหารไทยทั้งคาวหวานและผลไม้ เค้าทึ่งที่คนไทยสามารถนำมะม่วงสุกมาทานกับข้าวเหนียวมูลกระทิ กลายเป็นของหวานแสนอร่อย รวมทั้งมังคุดที่เค้าหมายตาไว้ว่าจะต้องกลับมาชิมอีกให้ได้ และมังคุดเนี่ยะ เป็นผลไม้ไทยยอดนิยมของคนญี่ปุ่น เวลาเค้ามาเมืองไทย ผมซื้อให้ชิมทีละโล สอง สามโล เรียกว่า ถังขยะในห้องพักเต็มไปด้วยเปลือกมังคุด กินไปรำพึงไป "Oishi , Taihen Oishi , Sugoi Yasui desu : โออิชิ ไทเฮน โออิชิ สุโก้ย ยาซุย เดส : อร่อยอ่ะ อร่อยมากๆ สุดยอด ราคาถูกจัง " ก็เพราะมังคุดซึ่งส่งออกจากไทยเราน่ะ เค้าขายกันที่โตเกียว ลูก (ผล)ละร้อยบาท ถึงร้อยยี่สิบบาทเลยละครับ ขากลับเพื่อนเรียกแท็กซี่ พอจอดสนิท คนขับก็เปิดประตูหลังด้านซ้ายให้เรา เป็นการเปิด-ปิดแบบอัตโนมัติ( Auto-door ) ผมเห็นพี่โชเฟอร์แท็กซี่ในญี่ปุ่นทีไร ก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะทุกคนที่นี่จะใส่สูทและสวมถุงมือ การแต่งตัวดูเนี้ยบกว่าผมที่ใส่ชุดลำลอง สบายๆ และค่าโดยสารก็จ่ายตามมิเตอร์ เริ่มต้นที่ 650 เยน จะจ่ายเป็นเงินสด หรือรูดการ์ด( Credit Card ) ก็ได้ ( คิดง่ายๆ 100 เยน = 40 บาท ถ้านั่งระยะสั้นไม่ไกลนักก็จ่ายๆไป 280 บาท คนไทยบอกว่า พอคิดเป็นเงินไทยแล้ว ฉันเดินกลับดีกว่า แหม แค่นั่งรถเมล์ญี่ปุ่น ก็ 100 เยน แระ ) ค่าครองชีพเค้าสูงอ่ะครับ แท็กซี่ที่นี่เท่าที่ทราบเป็นรถของบริษัท คนขับก็กินเงินเดือนและมีวินัยสูง ( ไม่ได้เช่ารถมาขับอย่างพี่ไทย ) และไม่ต้องห่วงว่า พี่แท็กซี่จะเกเร หรือทำอะไรออกนอกลู่นอกทางเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เพราะรถทุกคันติด GPS ไม่ว่าอยู่ตรงไหน บริษัทเช็คได้หมด กล่าวกันว่า สมัยก่อนนี้ แท็กซี่บางคันก็ มีปัญหา ก่อคดีความเยอะแยะเหมือนกัน แต่เค้าได้พยายามพัฒนาปรับปรุงมาจนได้รับคำชมในปัจจุบันครับ อ้าว ถึงแระ โรงแรมที่พักอยู่ย่านอีเคบุคุโระ ( Ikebukoro ) แล้วครับ ทีนี้ คำว่า " อีแก่บุคโล " มาจากไหน ก็ พี่ไทยเราเป็นเซียนปรับภาษามาแต่โบราณแล้ว เพื่อให้สะดวกในการออกเสียง เช่น Raja Pattern ไทยเรียก " ราชปะแตน : ราด ชะ ปะ แตน" และTelegraph เราก็ออกเสียงว่า " ตะแล้ปแก้ป " ส่วนคำว่า Ikebukuro : อีเคบุคุ๊โระ เนี่ยะ คนไทยบอกออกเสียงย๊าก ยาก เอางี้ เรียกง่ายๆ ให้ถูกหูคนไทยล่ะกันว่า " อีแก่บุคโล " (สตรีสูงวัยแถวบุคโล อย่ามีเคืองล่ะครับ) และขอเรียนตรงๆ สำหรับคนไทยกับชาวต่างชาติทั้งหลายว่า การใช้บริการแท็กซี่ในญี่ปุ่นเนี่ยะ ถึงแม้ว่าเค้าจะมีเทคโนโลยีทันสมัย แต่โปรดจำไว้เลย คนขับแท็กซี่เค้ายินดีพูดและอ่านแต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ผมเห็นคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษเก่งๆ พอมาญี่ปุ่น ใบ้รับประทานหมด และเคยมีคนไทยมาทัวร์ญี่ปุ่น เป็นแม่กับลูกสาว แล้วพลัดหลง ต้องเรียกแท็กซี่กลับที่พัก แต่จำชื่อย่านที่โรงแรมตั้งอยู่ไม่ได้ นามบัตรโรงแรมที่เป็นภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้เอาติดมา และพูดภาษากันก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งๆที่ พี่เค้าก็พยายามตะแคงหูฟังเต็มที่ สุดท้าย ลูกสาวซึ่งเป็นเด็กมหาลัย ก็ นึกขึ้นมาได้ " แม่ แม่ พี่ไก้ด์( คนไทย ) เค้าสั่งไว้ให้บอกว่า ไปที่ ' อีแก่บุคโล ' นะแม่ " พี่แท็กซี่ที่กำลังเครียดๆอยู่ได้ยิน รีบพูดออกมาอย่างดีใจ " Hai , Hai . Wakarimashita . Ikebukuro : ไฮ ไฮ วาการิมาชิตะ : ครับ ครับ เข้าใจแล้ว อีเคบุคุ๊โระ .... " ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราจะได้ยินคนไทยเรียกขานย่านนี้ว่า "อีแก่บุคโล" กันมาโดยตลอดเลยครับ ขอบคุณ ภาพรถแท็กซี่ และภาพ Sunshine City Hotel , Ikebukuro , Tokyo จากอากู๋ครับ
Create Date : 26 เมษายน 2556 |
Last Update : 8 กรกฎาคม 2558 17:04:52 น. |
|
5 comments
|
Counter : 1858 Pageviews. |
|
|