ตามใจเล่าครับ
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
3 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
นักเรียนญี่ปุ่นบุกไทย

            ราวๆ ปลายเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งเป็นฤดูร้อน (Natsu) ของประเทศญี่ปุ่น มีปิดเทอมยาว   คณะนักเรียนมัธยมปลายจากจังหวัดเฮียวโกะ(Hyogo ken) ได้เดินทางมาร่วมโครงการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวัฒนธรรมที่สยามประเทศ   ผมในฐานะผู้อำนวยการโครงการฝ่ายไทย (ที่จริงเป็นเจนเนอรัลเบ้ อ่ะครับ) และผู้ร่วมงานเข้าไปรับข้างในท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ โดยรออยู่ตรงจุดที่ผู้โดยสารจะรับการตรวจลงตราเข้าประเทศ (visa) จาก ตม.ของไทย ซึ่งทั้งผู้บริหาร ครู และนักเรียนญี่ปุ่นในเครื่องแบบ  บางครั้งมีปัญหา เราก็รีบเคลียร์ให้ลุล่วง  แล้วพาทั้งหมดไปที่สายพานเพื่อรอรับกระเป๋าเดินทาง  และช่วงบ่ายสามโมงเนี่ยะ เครื่องลงเยอะมาก เลยต้องใช้เวลารอการตรวจลงตราค่อนข้างนาน   ขณะที่รอรับกระเป๋า ผมก็ถือโอกาสมอบพวงมาลัยดอกไม้สดที่น้องๆเค้าสั่งทำเป็นพิเศษจากร้านแถวๆปากคลองตลาดให้กับทุกคน ได้ยินเสียงนักเรียนหญิงอุทานภาษาดอกไม้  "Taihen  Kirei  Desu  ne : ไทเฮนคี่เหร่เดสเน่ : สวยมากค่ะ "

        จากนั้นพาคณะออกมาขึ้นรถบัสเพื่อไปโรงแรมที่พักอยู่เชิงสะพานกรุงธน (ซังฮี้) ซึ่งเวลานักเรียนญี่ปุ่นเรียกชิ่อทีไร จะได้ยินว่า  "รอ-แย่-รี-ว่า-โฮเตรุ :  Royal  River  Hoteru"  ผมฟังแล้วก็รู้สึกว่า น่ารักดี เพราะนักเรียนไทยเวลาไปเมืองเค้า ก็ ออกเสียงคำญี่ปุ่นเพี้ยนเหมือนกัน   และกว่าจะผ่านการจราจรแบบติดเว่อร์ของวันศุกร์ไปถึงโรงแรม   ก็ได้เวลาอาหารค่ำพอดี  น้องที่เป็นผู้จัดการโครงการคัดสรรเมนูไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น พอประจำที่ ก็เริ่มบริการตามคอร์สได้เลย  ทุกคนลงมือทานอาหารมื้อแรกในประเทศไทย นักเรียนญี่ปุ่นรุ่นนี้ บอกว่าเป็นการเดินทางมาต่างประเทศครั้งแรกอีกด้วย ผมจึงให้น้องๆทุกคนค่อนข้างดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ หลังจากเช็คอิน ก็ ทบทวน สรุปกิจกรรมและกำหนดการต่างๆที่จะจัดให้คณะเข้าใจ  เพราะเด็กญี่ปุ่นกะเด็กไทย เวลาตื่นเต้นก็มีหลงๆ ลืมๆ หลุดๆ เป็นปกติ  ต้องคอยย้ำเตือนกันวันต่อวัน  เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางจึงได้ปล่อยทั้งหมดรีบไปนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ครับ

                 เช้าวันต่อมา พาคณะไปทัศนะศึกษาตลาดน้ำ (Floating  Market) ที่ดำเนินสะดวก ราชบุรี  ลงเรือพายชมการค้าขายทั้งสองฝั่งและในคลอง โชคดีที่มาเช้าๆ การจราจรทางน้ำยังไม่ติดขัดเท่าไร และต่างคนก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย จึงผ่านไปด้วยดี หนุ่มๆสาวๆยุ่นดูตื่นเต้นที่ได้เห็นชาวต่างชาติมากมายมาเที่ยวที่นี่ ต่างก็โบกมือให้กันไปมา เรือแวะให้ขึ้นไปช้อปปิ้งตามจุดที่กำหนด มีเลี้ยงน้ำตาลสดด้วย โอท่อบของไทย เราดูว่า  ราคาไม่ถูกนัก แต่เด็กญี่ปุ่นก็ซื้อไปเยอะทีเดียว บอกว่า  " Yasui  Yasui (ถูก ถูก) , Tomodachi  ni  Omiyake  (ของฝากให้เพื่อน) "  ที่สำคัญ ได้นั่งเรือผ่านบ้านยายผึ้งแม่ของเจ้กฮวดที่เราเคยอ่านจากหนังสือเสด็จประพาสต้นของท่านรัชกาลที่ห้าด้วย   จากตลาดน้ำ เราย้อนกลับมา Rose  Garden   สามพราน  นครปฐม  ทานกลางวันที่นั่นและชมกิจกรรมเกี่ยวกับวิถีไทย ดูการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย และการแสดงช้าง ซึ่งคนดูส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติอีกเหมือนกัน  เสร็จจากนี่ ก็ตีรถยาวไปต่อที่สยามนิรมิตร เพื่อทานอาหารค่ำและชมการแสดงที่อลังการต่อไป 

            วันอาทิตย์ ฝ่ายไทยพาคณะญี่ปุ่นไปยังกรุงเก่า( พระนครศรีอยุธยา )   แวะแห่งแรก ก็ ที่หมู่บ้านญี่ปุ่น โดยมีเจ้าหน้าที่จากโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดรอเราอยู่แล้ว   คณะฯ ได้รับชมวีทีอาร์บรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น เกี่ยวกับสุวรรณภูมิ อยุธยา และความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นตั้งแต่ยามาดะ  นากามาซะ (Yamada  Nakamasa)และคณะ ในสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ เลยครับ  เราเดินชมบริเวณหมู่บ้านญี่ปุ่นจนถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผมชี้ให้พวกเค้าดูฝั่งตรงข้ามซึ่งมีทั้งหมู่บ้านอิสลาม มัสยิด  หมู่บ้านโปรตุเกสและโบสถ์พระคริสต์ แสดงถึงความรุ่งเรืองและพระบารมีของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา หลังจากทานก๋วยเตี๋ยวเรือมีชื่อของอยุธยาซึ่งเรานั่งหม่ำกันในเรือจริงๆ  น้องๆนักเรียนญี่ปุ่นแฮ้ปปี้มากเพราะได้ใช้ตะเกียบโซ้ยกันถนัดมือ ผมบอกให้ทานเต็มที่ ปรากฎว่า  สถิติสูงสุด คือ  หกชามครับ (กินเนสบุ้คไม่รับรอง)  และในตอนบ่าย ผู้แทนโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดพาคณะไปนั่งช้าง (ไม่อยากเรียกขี่ช้าง เพราะสำนวนคำว่า ขี่ช้างเนี่ยะ อาจหมายถึง ยักยอกทรัพย์  ตัวอย่างเช่น คนขับและกระเป๋าฯร่วมกันขี่ช้าง ทำให้เจ้าของรถสูญเสียรายได้ เป็นต้น) บรรดาชาวต่างชาติและญี่ปุ่นตื่นเต้นมากๆ เพราะดูโก้ มีเกียรติเหมือนได้นั่งช้างทรงชมเมืองอ่ะครับ  ส่วนผลพลอยได้ คือ เค้าจะได้กลับไปบอกต่อๆกันว่า  คนไทยไม่ได้ขี่ช้างไปทำงานอย่างที่หลายๆชาติเข้าใจผิดแล้วเน้อ   

           ก่อนสิ้นสุดโครงการ  คณะของผมได้จัดงาน Farewell Party ให้กับคณะครู - นักเรียนแลกเปลี่ยนญี่ปุ่น และครอบครัวอุปถัมภ์ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องที่โรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยานี่แหละครับ   งานเริ่มแล้ว  ประธานกล่าวเปิดงาน  มอบพวงมาลัยและของที่ระลึก ทั้งญี่ปุ่นและโฮสฯ ท่ามกลางเสียงชื่นชมในความสวยงาม ลวดลายวิลิสมาหราของพวงมาลัยไทย


          จากนั้น เอ็มซีก็เชิญชวนผู้ร่วมงานทานอาหารซึ่งเป็นบุฟเฟ่  ผมสำรวจดูมีอาหารคาวหวานมากมาย อย่างขาหมูพะโล้ เห็นคนตักแต่เนื้อติดหนังติดมัน น่าอร่อย ส่วนต้มยำกุ้งกับหมูน้ำตกนักเรียนญี่ปุ่นซดไป เคี้ยวไป ก็ซี้ดไป บางคนฉลาดใช้วิธีบรรเทารสเผ็ดด้วยขนมหวานที่มีหลากหลาย    อ้อ เค้าจัดให้ผมนั่งโต๊ะ VIP (ที่หลายๆคนแอบเรียก Very  Idiot  Person) กับ Leader ของญี่ปุ่นได้สักพัก พอฝ่ายไทยเริ่มแสดงรำไทย ผมก็ต้องขอตัวไปที่ระเบียงริมน้ำเพราะมีเพื่อนทั้งไทยและฝรั่งอีกกลุ่มนั่งเสวนาอยู่กับกองเบียร์ไทยกระป๋องเขียวๆและน้ำมังสวิรัติสีชาๆ  สักแป๊บนึงก็ย่องกลับเข้างานซึ่งกำลังโชว์ฟันดาบอยู่  เรียกว่าฟันกันไฟแลบเป็นประกาย เรียกเสียงกรี้ดกร้าดจากทั้งสาวยุ่นและสาวไทยในงานได้มากทีเดียว จากนั้น สาวๆและหนุ่มๆญี่ปุ่นในชุดยูกาตะ(Yukata) สีสันสดใส ก็ออกมาร่ายรำแบบ Japanese stye ให้พี่ไทยได้ชื่นชม เป็นการแลกเปลี่ยนกัน


           บรรยากาศที่อบอวลด้วยความสุขและสนุกสนานผ่านไปได้ระยะหนึ่ง   ก็ถึงเวลาที่ทุกคนเกลียด เพราะงานเลี้ยงต้องเลิกลา ผมบอกทุกคนว่า เวลาที่เรามีความสุขมันจะผ่านไปเร็วมาก ขอให้ร่ำลากันซะ ครับ  อีกยี่สิบนาที ต้องแยกย้ายกันกลับแล้ว เท่านั้นแหละทั้งไทยและญี่ปุ่นร้องไห้โฮ  คุณยายไทยกอดหลานๆญี่ปุ่นนอกใส้แน่น น้ำตาคลอ บอกไม่เคยเห็นเด็กญี่ปุ่นน่ารักอย่างนี้มาก่อน และปวรณาตัวขอเป็นโฮสฯ อีกทุกครั้งที่นักเรียนญี่ปุ่นมา นี่ขนาดคุณยายพูดไม่ได้ทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นนะครับ     ที่น่าตลกในบรรยากาศแสนเศร้าคือ หนุ่มสาวญี่ปุ่นหลายคนแอบไปนั่งกินอาหารคาวหวานต่ออีก กินไปก็ร้องไห้ไปครับ (ดูแล้ว  ประมาณว่าอารมณ์เศร้า แต่หิว + อร่อยอ่ะ) วัฒนธรรมไทยทั้งด้านศิลปการแสดง อาหารไทยต่างๆ และความมีน้ำใจของคนไทยเป็นเอกลักษณ์ที่ชาวต่างชาติได้เรียนรู้และหลงไหล พวกเขากลับไปเล่าสู่กัน ปากต่อปาก ใครๆก็อยากมาเมืองไทย ผมภูมิใจในฐานะที่มีโอกาสทำให้คนต่างชาติได้มีความเข้าใจและมีความรู้สึกที่ดีๆกับคนไทยและประเทศไทยของเราครับ

             บ่ายวันเสาร์ พวกผมพากลุ่มครูญี่ปุ่นมาห้างแถวย่านราชประสงค์ ทั้งหมดพร้อมใจกันซื้อผลิตภัณฑ์ไหมไทยร้านดังที่เจ้าของเผยแพร่ชื่อเสียงของไหมไทยกระฉ่อนไปทั่วโลก แต่เจ้าตัวล่องหนหายไปอย่างลึกลับจนทุกวันนี้ และกระเป๋าต่างๆของนารายาก็ถูกกวาดไปเยอะทีเดียว   ผมได้เห็นนักท่องเที่ยวหลายๆชาติที่มาหิ้วกระเป๋ายี่ห้อนี้กลับไป ทั้งใช้เองและเป็นของฝาก น่าชื่นใจผลิตภัณฑ์ของคนไทยครับ

            ขณะแวะซุปเปอร์ฯ แต่ละคนโกยอาหารไทยประเภทซองๆใส่ตระกร้ามากมาย เช่น ซองต้มยำกุ้ง ต้มกระทิไก่ แกงเขียวหวาน แกงมัสมั่น ฯลฯ  เจอเงาะลูกสวย คนขายบอกเงาะโรงเรียนค่ะ ฝ่ายญี่ปุ่นจิ้มดิกฯแป๊บนึงแล้วหันมาถามผม   ทำไมโรงเรียนมีเงาะ   ก็เลยต้องเล่าให้เค้าฟัง ประมาณว่า มีต้นเงาะขึ้นในบริเวณโรงเรียนทางภาคใต้ น่าจะแถวอำเภอบ้านนาสาร สุราษฯ พอลูกเงาะสุก คนลองชิมดู ปรากฏว่า มีรสชาติหวาน กรอบ ร่อน  อร่อยกว่าที่อื่นๆ   ก็เลยทำการขยาย เผยแพร่พันธุ์ออกไปจนเป็นที่ยอมรับของตลาดผลไม้ โดยตั้งชื่อว่า เงาะโรงเรียน (ผิดถูกประการใด ขอผู้รู้โปรดแก้ไขด้วยครับ)  พอยุ่นได้ฟังก็พยักหน้าหงึกๆ  และซื้อเงาะชิมกันอย่างเอร็ดอร่อย   จนกระทั่ง ถึงเวลาอาหารเย็นแระ ทั้งหมดบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากร่ำลาอาหารไทยก่อนกลับ ก็เลยพาเดินมาแถวสยาม   ลงตัวที่ร้าน  "Ta Ling Pling"   ในพารากอน มีชาวต่างชาตินั่งกันเยอะแยะ ร้านสะอาด บรรยากาศดี เห็นแค่ลูกฝรั่งซนๆ  เล่นง้องแง้ง ง้องแง้ง ไปตามประสาเด็กๆ ผมสั่งไก่ย่างส้มตำ ยำผักบุ้งซีฟู้ด ทอดมันปลา ต้มข่าไก่ และอะไรอีกสองอย่าง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะร้องหามาหลายวันแล้วคือ ผักบุ้งไฟแดงกะไข่เจียว และต้องสั่งสองอย่างสุดท้ายเพิ่มเติมอีกเพราะเป็นที่โปรดปราณของยุ่นมากๆ   คุณเห็นไหมล่ะครับ อาหารไทยแบบง่ายๆยังมีสเน่ห์สำหรับชาวต่างชาติเลย ถ้าเค้าได้ลองชิมสักครั้ง

               สองทุ่มตรง ครอบครัวอุปถัมภ์พานักเรียนญี่ปุ่นมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเวลาไล่เรี่ยกัน ตามมาด้วยเพื่อนๆนักเรียนไทยวัยรุ่น   ทั้งเกรียนและเด็กเนอด  หลังจากพาทั้งหมดไป check in เรียบร้อยแล้วก็ปล่อยให้แต่ละครอบครัวและผองเพื่อน พูดคุยเฮฮา ถ่ายรูปสักพัก  คุณพ่อไทยบอก เมื่อเย็น ลูกญี่ปุ่นไม่ยอมกินอะไรเลย นอกจากมังคุดเป็นกิโลๆ  ก็แน่ละครับ ที่นี่โลละสี่สิบบาท แต่ที่ญี่ปุ่นน่ะลูกละร้อยบาทขึ้นไปน่ะครับ แล้วบรรยากาศร่าเริงก็กลายเป็นเศร้าเมื่อทุกคนจะต้องเคลื่อนย้ายไปเข้าจุดตรวจหนังสือเดินทาง  จากเสียงหัวเราะกลายเป็นร้องไห้ ลูกสาวญี่ปุ่นกอดกับแม่ไทยด้วยน้ำตานองหน้า (ทีกับแม่ตัวเอง ยังไม่กอดเลย) ผมโดนรำพึงรำพรรณว่า ใจร้าย.. ให้เค้ามาเจอกัน ผูกพันกันแค่ไม่กี่วัน แล้วก็มาพรากไป...   และเสียงนักเรียนชายญี่ปุ่นร้องไห้ สะอึกสะอื้นขณะเดินตามหลังผมดังเป็นระยะๆ ทำเอาเราแอบเศร้าไปด้วย   แต่ก็นะ.. ถือว่าเป็นสีสรรส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงความสำเร็จของโครงการละกันที่เน้นการศึกษา วัฒนธรรมและมิตรภาพซึ่งพวกผมพยายามเพียรสร้างให้ได้ในเวลาอันจำกัด และจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะต้องไปต่อยอดกันเอง โดยมีคณะเราคอยดูแลและประสานงานด้านต่างประเทศให้ ผมเข้าไปส่งจนถึงจุดรอขึ้นเครื่อง เสียงทุกคนตระโกนร่ำลาผมยังดังก้องอยู่    แม้ว่าพวกเค้าจะไปแล้ว    "Jack san, Sayonara.  Mata aimasho. Arigatou Gozaimashita.   Jacksan, Aiishiteru ." (คุณแจ๊ค ลาก่อน  แล้วพบกันใหม่นะ  ขอบคุณมากๆ  พวกเรารักคุณนะ)   ก็เป็นความสุขเล็กๆกับการทำงานด้านนี้ครับ

ขอบคุณ ภาพภาพขี่ช้างอยุธยาและภาพเศียรพระจากอากู๋ครับ  




Create Date : 03 พฤษภาคม 2556
Last Update : 6 มิถุนายน 2556 13:45:54 น. 4 comments
Counter : 4027 Pageviews.

 
^^ สนุกจังค่ะ เรื่องยาวมากแต่อ่านเพลินเลย
เด็กญี่ปุ่นก็น่ารักค่ะ อ่านแล้วอยากเปนหนึ่งในผู้ร่วมงานเลย
ไม่ทราบว่าคุณ Jack Happy จะรับพิมเปนลูกทีมสักคนได้มั๊ยค่ะ ^_____^


โดย: Pim IP: 110.49.233.189 วันที่: 4 พฤษภาคม 2556 เวลา:7:11:27 น.  

 
สวัสดีค่ะ จขบ
ดีใจจังแทน จขบ ที่ได้เป็นตัวแทนเผยแผ่ วัฒนธรรม ของชาติไทยและสร้างความประทับใจให้ชาวญี่ปุ่น และเมื่อเค้ากลับไป นักเรียนญี่ปุ่นเหล่านั้นจะได้ไปบอกเรื่องราว ดีดี จากที่เค้าได้เคยเจอและสัมผัสมากับตัวเองนะค่ะ

ขอรบกวน จขบ ด้วยนะค่ะ คือ เราก็จะพาครอบครัวคน ญี่ปุ่นไปเที่ยวไทยเหมือนกัน และทางครอบครัวได้เรียกร้องอยากไปเที่ยวอยุธยา และอยากขึ้นช้างชมเมือง เหมือนที่ จขบ ได้เขียนมาให้อ่านนะค่ะ

แต่ติดตรงที่เรา ไม่รู้ว่า แหล่งเที่ยวหรือ สถานที่ ขึ้นช้างชมเมืองนั้นอยู่บริเวณไหนของอยุธยา จึงขอรบกวน จขบ ช่วยแนะนำสถานที่ดังกล่าวให้ด้วยนะค่ะ

หมายเหตุ : ตัวเราเองเคยไปเที่ยวอยุธยา 1 ครั้ง ไปไหว้พระ แต่ยังไม่เคยไปขึ้นช้างค่ะ

ต้องขอขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ


โดย: Ooy1_chan วันที่: 5 พฤษภาคม 2556 เวลา:10:30:20 น.  

 


คุณOoy1_chan วังช้าง ตั้งอยู่ที่ ริมถนนป่าโทน ข้างคุ้มขุแผน อุทยานประวัติศาสตร์ ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา โทร 089 8822 358 และ ( 035 ) 328 685 หากไปวันเดียวกลับละก็ หลังจากนั่งช้างเสร็จ อย่าลืมพาไปชมวัดมหาธาตุ ที่มีเศียรพระตรงกลางโคนต้นโพธิ ญี่ปุ่นและชาวต่างชาติชอบไปดูมาก โชคดีครับ


โดย: Jack (Jack Happy ) วันที่: 5 พฤษภาคม 2556 เวลา:16:29:07 น.  

 
ขอขอบคุณ คุณJack มากนะค่ะ สำหรับข้อมูล และยังเพิ่มข้อมูลแนะนำสถานที่เที่ยวเพิ่มอีก

อ๋อยต้องพาไปดูเศียรพระนี้ให้ได้ เพราะเคยมีคนญี่ปุ่นไปเที่ยวมาแล้ว เค้ากลับมาคุยพร้อมรูปถ่ายมาให้ดูด้วยค่ะ อ๋อยต้องอายไปเลยขนาดเป็นคนไทยแท้ๆ ยังไม่เคยไปดูเลยค่ะ

งานนี้ต้องไม่พลาดแน่ๆ ค่ะ อยากนำเสนอสิ่งที่ดีให้ต่างชาติรับรู้วัฒนธรรมของไทยเยอาะๆค่ะ

ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ



โดย: Ooy1_chan วันที่: 6 พฤษภาคม 2556 เวลา:9:59:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jack Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Jack Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.