ตามใจเล่าครับ
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
จากวัดอาซากุสะสู่หุบเขาโอวาคุดานิ

            หลังจากนั่งชมเดือน นับดาว หลับมั่ง ตื่นบ้าง บนเครื่องการบินไทยจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยามดึก จนกระทั่งราวๆ ตีสี่ครึ่ง (เวลาท้องถิ่นของญี่ปุ่น) ผมรีบลุกมาทำธุระในห้องน้ำ เพื่อล้างหน้าแปรงฟันให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ จะตื่นขึ้นมา ทำให้ต้องมีคิวเข้าห้องน้ำกันแน่นขนัด พอกลับเข้าที่นั่ง นางฟ้า (แอร์โฮสเตส : air hostess) ก็เริ่มบริการน้ำดื่ม น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล และระลอกสอง คือ อาหารเช้าก็ตามมา อาหารจานหลักที่เธอกระซิบถามผู้โดยสารว่า “จะรับอะไรดีคะ” ไม่ว่า กรุงเทพฯ – คันไซ หรือ กรุงเทพฯ – นาริตะ เท่าที่สังเกต ก็มีแค่สองรายการนี้แระที่ให้เลือก ข้าวต้มปลาแซลมอนเขละๆ กับไข่เจียวแบบฝรั่งที่พับครึ่งและสอดไส้ต่างๆ (Omelet) ส่วนอย่างอื่นๆ ที่ไม่ต้องเลือกก็มีขนมปัง ครัวซอง โยเกิร์ต ผลไม้ สลัดผัก อ้อ ก่อนจะตบท้ายด้วยบริการน้ำดื่ม ชา กาแฟ หรือ น้ำผลไม้ ที่เล่ามานี่ คือ ชั้นประหยัด (Economy class)  แต่ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงรายการอาหารก็ขออภัยนะครับ  

          ผมแอบเห็นหลายๆ คน ดูงัวเงีย งัวเงีย นั่งทานอาหารเช้าแบบตายังไม่เปิดเต็มที่ เพราะยังไม่ได้แปรงฟัน ล้างหน้าเลย นั่งย่อยอาหารอีกสักพัก เครื่องก็ลง (landing) ที่ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ (Narita International Airport ) มีคนไทยมากทีเดียว เฉพาะที่มากับผมก็สี่สิบกว่าคน ผู้โดยสารหญิงสองสามคนเก้ๆ กังอยู่ตรงทางสามแพร่ง ผมถามจะไปไหน พวกเธอบอกจะต่อเครื่องไป LA ผมเลยชี้ทางให้รีบเข้าจุดตรวจตรงผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง (transit) เพราะต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว พอทั้งหมดผ่านการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้ว รถบัสก็พาพวกเราไปที่ย่านอาซากุสะ (Asakusa) เพื่อทัศนศึกษาชมวัดอาซากุสะ( Asakusa ) หรือวัดเซ็นโซจิ (Sensouji) ที่มีโคมไฟใหญ่ๆ สีแดงอ่ะครับ เล่ากันว่านานมาแล้วสองพี่น้องตระกูลฮิโนคุมะ มาทอดแหหาปลาในแม่น้ำสุมิดะ แต่กลับได้รูปปั้นทองคำพระโพธิสัตว์หรือเทพเจ้าคันนง (Kannon Bosatsu) จึงอัญเชิญไปให้หัวหน้าหมู่บ้าน คือ ฮาจิโนะ นากาโมโตะ และต่อมาก็ได้สร้างวัดเล็กๆ เพื่อให้เทพเจ้าคันนงซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตาประดิษฐานอยู่ที่นี่ และเชื่อกันว่าท่านศักสิทธิ์มากๆ ขอพรอะไรก็ได้สมใจปรารถนา เท่านั้นยังไม่พอ ใกล้ๆ กับที่พบเทพเจ้าคันนง ได้มีมังกรทองคำเลื้อยลงมาจากสวรรค์อีก ยิ่งทำให้บรรดาโชกุนและเหล่าซามูไรต่างพากันเลื่อมใสศรัทธาวัดนี้มากมาย ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นย่านธุรกิจการค้า และการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ใครมาโตเกียวแล้วไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ ก็เหมือนไปกรุงเทพฯ แล้วไม่ได้เข้าชมวัดพระแก้วฯ น่ะครับ

           จุดเด่นของวัดอาซากุสะในสายตาของนักท่องเที่ยว ก็ คือ โคมไฟสีแดงขนาดยักษ์ ที่ติดตั้งอยู่บริเวณประตูสายฟ้าฟาด (Kaminarimon) ซึ่งเป็นจุดที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูป จนโคมแดงกลายเป็นสัญญลักษณ์ของวัดอาซากุสะไปโดยปริยาย ผมสังเกตดูว่า คนญี่ปุ่นก่อนจะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด เค้าจะไปหยิบกระบวยตักน้ำล้างมือ ล้างหน้าเป็นการทำความสะอาดก่อน ตรงด้านข้างๆ ที่วัดจัดเตรียมไว้ จากนั้นก็จุดธูปและนำไปปักในกระถางใหญ่กลางวัด แล้วเอามือโบกควันธูปใส่ตัวเพื่อเป็นศิริมงคลและจะได้โชคดีมีสุข ผมมาที่นี่ครั้งแรก เมื่อปี 2544 เพื่อนญี่ปุ่นพามาโบกควันธูป เสร็จก็กระซิบบอกว่าเค้าขอพรให้ผมได้มาที่นี่อีก ซึ่งก็ประหลาดล้ำมากจริงๆ ครับ เพราะมีเหตุที่ทำให้ผมได้กลับมาที่นี่อีกหลายครั้งทีเดียว สงสัยเพื่อนผมตอนอวยพรคงตั้งจิตใจแน่วแน่มากจึงได้สมดั่งใจปรารถนาครับ หนุ่มสาวญี่ปุ่นคู่หนึ่งมาเสี่ยงเซียมซี (Omiguji) และคงได้ใบที่โชคดี เพราะเห็นหน้าตายิ้มแย้มอย่างมีความสุข (แอบอิจฉาเล็กๆ ครับ) บรรดากลุ่มคนไทย พอไหว้พระ ขอพร ตบมือแปะ ๆ และถ่ายรูปเสร็จ ก็พากันเดินดูสินค้า ของที่ระลึกที่วางจำหน่ายมากมายบนถนนนาคามิเซะ (Nakamise Dori) ตั้งแต่ขนมอร่อยๆ ของเล่นและเครื่องประดับต่างๆ ไปจนถึงชุดยูกาตะ (Yukata) และกิโมโน (Kimono) ผมก็ได้แต่ดูๆ หยิบๆ จับๆ เท่านั้น เพราะราคาสูงจัง อ้อ ! อาซากุสะเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดของโตเกียวเลย นอกจากคนญี่ปุ่นทุกเพศทุกวัยและชาวต่างชาติจะมาเที่ยวและสักการะทุกๆ วันแล้ว ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกๆ ปี คนญี่ปุ่นจะหลั่งไหลกันมาสวดมนต์ข้ามปีที่นี่ เพื่อขอพรให้ญี่ปุ่นโชคดี ปราศจากพิบัติภัยต่างๆ และอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขครับ 

            อ้าว ท้องร้องจ๊อกๆ ได้เวลาอาหารกลางวันแระ ทั้งสี่สิบกว่าชีวิตไปฝากท้องที่ภัตตาคารแห่งนึง พวกเราได้รับการโค้งอย่างสวยงามจากผู้บริหารและพนักงานในร้าน เสียงร้องเชิญชวนเข้าร้านดังหวานแว๋ว “Irashamase : อีราชชามาเซ : ยินดีต้อนรับค่ะ” ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและนอบน้อม นุ่มนวล ทุกโต๊ะจะมีผ้าร้อนวางไว้ครบตามจำนวนคนนั่ง เมืองร้อนของไทยแจกผ้าเย็น ส่วนของเค้าเมืองหนาวก็แจกผ้าร้อน เวลาที่คุณเธอนำถาดอาหาร (Obentou) มาเสิร์ฟ ก่อนวาง ก็จะขอโทษ (Sumimasen : สุมิมาเซ็ง) ทุกครั้ง น่ารักจัง (แอบนึกครับ) พอทานเสร็จ ออกจากร้าน ก็เห็นผู้จัดการและพนักงานต่างก็รีบมาเรียงแถวรอส่งแขก ทุกคนโค้งให้พวกเรา พร้อมกับประสานเสียงว่า “Arigatou Gozaimasu : ขอบคุณค่ะ Arigatou Gozaimashita : ขอบคุณนะคะ” รถบัสเคลื่อนออกจากหน้าร้านแล้ว แต่พวกเค้าก็ยังคงโค้งจนกระทั่งรถบัสเลี้ยวลับตาไป ช่างเป็นภาพการบริการที่น่าประทับใจมากๆ ครับ 

            จากเมืองกรุง (โตเกียว) รสบัสก็พาเรามุ่งสู่ป่า( วนอุทยานแห่งชาติ ) โดยปล่อยพวกเราให้ล่องเรือในทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi) เพื่อชมธรรมชาติ นอกจากอากาศจะเย็นยะเยือกแล้ว ยังมีเมฆฝนมากระหน่ำซ้ำเติมความหนาวอีกต่างหาก คนญี่ปุ่นบอกว่า ถ้าท้องฟ้าโปร่ง เราจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจี (Mount Fuji : Fuji san) จากที่นี่ และก็อย่างที่เค้าบอกจริงๆ ครับ บางช่วงผมจึงสามารถเก็บภาพฟูจิซังได้ ลืมบอกว่า ทะเลสาบแห่งนี้เกิดมาจากลาวาและหิมะละลายของฟูจิซังและข้างเคียง หลังจากเรือได้พาชมบรรยากาศรอบๆ ทะเลสาบเสร็จแล้ว ต่อไปเราก็จะนั่งเคเบิล (Cable) ลอยฟ้า ดีจังเลย จากบกลงน้ำ และจากน้ำสู่ฟ้า ชมทัศนียภาพอันสวยงามของวนอุทยานแห่งชาติฮาโกเน่ (Hakone National Park) แต่ละเคเบิลนั่งได้ 5 – 6 คน ธรรมชาติก็สวยดีหรอก แต่สมาชิกอีกห้าคนนั่งกันด้วยความหวาดระแวงและผวาใจหายใจคว่ำ เพราะน้องปอที่นั่งยิ้มตาปรืออยู่ เธอแอบบอกว่าเป็นโรคแพ้ความสูง และเริ่มออกอาการวิงเวียนศีรษะ ท่าทางพร้อมที่จะปล่อยของออกมาโดยไม่ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าให้ทราบแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในที่สุด เราทั้งหมดรอดมาถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย (ไม่โดนอาเจียนใส่หน้าแระ) ขอบคุณน้องปอไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

           ในที่สุด พวกเราขึ้นมาอยู่บนเนินเขาแล้ว มีร้านขายของที่ระลึกอยู่สองร้าน ผู้คนมากมาย โดยเฉพาะที่ห้องน้ำสาธารณะ เราเริ่มได้กลิ่นกำมะถันและควันลอยฟุ้ง การเดินทางยังไม่จบ ในขณะที่พี่ไทยหลายๆคน จับจองที่นั่ง ซื้อโน่น หยิบนี่มาดื่มกิน แต่ความจริงแล้วยังจะต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกไกลพอสมควร เพื่อให้ถึง “หุบเขาโอวาคุดานิ : Owakudani Valley” คนญี่ปุ่นทั้งหนุ่มสาวและสูงวัยก็พากันมาขึ้นเขาเพื่อชมบ่อน้ำแร่กำมะถัน (Sulphur hot spa / well) ควันโขมง ที่ร้อนจัดจนสามารถต้มไข่ให้สุกได้ โดยจะมีเหมือนโคลนดำๆ หุ้มเปลือกไข่อีกที ต้มเสร็จร้อนๆ ขายกันบนนี้เลย แพคละ 500 เยน และแพคนึงมี 5 ฟองครับ เค้าเรียกกันว่า “ไข่ดำ” เค้ามีเกลือซองเล็กๆให้ด้วย แกะเปลือกเสร็จ ก็ชิมไป ชมบรรยากาศเผื่อคนอื่นที่ไม่ได้ขึ้นมาด้วย ไม่เลวครับ คนญี่ปุ่นเค้ามีความเชื่อว่า กินไข่ดำ 1 ฟอง จะช่วยให้อายุยืนยาวไปอีก 7 ปี จึงมีคนตั้งคำถามว่า “ถ้ากิน 5 ฟองเลยล่ะคะ” ท่ามกลางกลิ่นกัมมะถันและควันที่โชยมาตลอดเวลา เลยได้คำตอบแบบขำ ๆ ว่า “คงจะปวดและแน่นท้องเพราะกำมะถันจนต้องไปพึ่งยาธาตุตรากระต่าย(บิน)แน่ๆ” สำหรับคนที่ไม่ประสงค์หรือไม่พร้อมที่จะขึ้นมาก็รอซื้อที่ร้านข้างล่างได้ เพราะเค้าแพคเสร็จส่วนนึง ก็จะชักรอก(ที่จริงเป็นลิฟท์เลื่อนขึ้น เลื่อนลง) บริการจำหน่ายในร้านขายของที่ระลึกอีกด้วย เพียงแต่จะขาดประสบการณ์ทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและพลาดชมบรรยากาศบนหุบเขาโอวาคุดานิที่หาดูได้ยากในสามโลกเลยครับ (เว่อร์แระ)

            เรื่องไข่ดำเนี่ยะ คนญี่ปุ่นเค้าเล่าต่อๆกันมาว่า  ในสมัยโบราณนู้น ที่หมู่บ้านแห่งนึง มีชายชราป่วยหนักจนหมอก็หมดปัญญารักษาแล้ว ลูกชายเครียดมาก แต่มีคนนึงแนะนำว่า ที่หุบเขาโอวาคุดานิอันไกลปู้น อาจมียาวิเศษรักษาได้นะ  ด้วยความเป็นลูกกตัญญู ชายหนุ่มรีบออกเดินทางฝ่าอุปสรรคผ่านเทือกเขาลำเนาป่าไปจนถึงหุบเขาดังกล่าว เจอชายชรามากๆคนนึง นั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง  เอ้ย ไม่ใช่ นั่งทำอะไรอยู่ข้างบ่อน้ำร้อน ด้วยความดีใจ ก็ ตระโกนถามเสียงดัง " ยาวิเศษอยู่ที่ไหนครับ " (ก็ ที่มันกว้างนิ) ชายชรากำลังเพลินๆ ก็สะดุ้งตกใจ ห่อของในมือเลยหล่นลงไปในบ่อน้ำร้อน พอชายหนุ่มถามซ้ำๆอีก ชายชราจึงชี้มือลงไปในบ่อ ประมาณว่า " แกทำชั้นตกใจจนของหล่นลงไปน่ะ " แล้วก็เดินหนีไป  ชายหนุ่มนึกว่า คำตอบคือ ยาวิเศษอยู่ในบ่อ รีบเอาอะไรตักห่อนั้นขึ้นมา เปิดดูเป็นไข่ดำที่ต้มสุกโดยธรรมชาติ ก็รีบนำกลับไปให้ผู้เป็นบิดากิน และสามารถมีชีวิตอยู่มาได้อีกตั้งเจ็ดปีแน่ะครับ                                                   

          เพื่อนๆ สมาชิกครับ วันนี้ นอกจากจะมีความสุขและสนุกสนานกับย่านอาซากุสะ ทะเลสาบอาชิ วนอุทยานแห่งชาติฮาโกเน่ และดูการต้มไข่ดำที่หุบเขาโอวาคุดานิที่มีชื่อเสียงและมีตำนานมากมายของญี่ปุ่นแล้ว ผมยังเตรียมเอาไข่ดำกลับมาเมืองไทยเพื่อจะให้คุณพ่อของผมกินด้วย เพราะตอนนี้ ท่านมีศิริอายุได้ 92 ปีแล้ว ผมแอบคิดเล่นๆว่า ถ้าหากท่านกินไข่ดำจากหุบเขาโอวาคุดานิ 1 ฟอง คุณพ่อของผมอาจจะมีอายุไขอยู่ไปได้ถึง 99 ปีทีเดียวเชียวครับ

              เพื่อนสมาชิกครับ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 มานี่ ทางการญี่ปุ่นได้ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังในการเดินทางมาที่หุบเขาโอวาคุดานิ เนื่องจากมีการครุกกรุ่นของภูเขาไฟที่นี่ และพอเดือนมิถุนายน ก็ มีประกาศห้ามมิให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในบริเวณนี้ เพราะมีสัญญาณเตือนบ่งชี้ว่าภูเขาไฟที่นี่อาจจะประทุอย่างรุนแรงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ จึงต้องอพยพร้านค้าและแหล่งอาบน้ำแร่( ออนเซ็น )ทั้งหลายออกไปให้พ้นรัศมีของภูเขาไฟ ผมคิดว่า คงไม่มีทัวร์เข้าไปอีกนานเลย  แต่ผมว่า อย่าระเบิดเลยจะดีกว่านะครับ

           ขอบคุณภาพไข่ดำจากอากู๋ครับ




Create Date : 06 กรกฎาคม 2556
Last Update : 7 กรกฎาคม 2558 12:06:23 น. 3 comments
Counter : 2280 Pageviews.

 
สวัสดีครับ เรื่องนี้น่าตื่นเต้นมากๆ ครับ
ได้เห็นภาพหุบเขาที่มีควันเยอะขนาดนั้น เป็นภาพที่น่าสนใจผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยครับ แต่ผมมีข้อสงสัยอยากจะถามครับ
ทำไมคนญี่ปุ่นถึงได้เรียกว่าไข่ดำครับ ไข่ดำมีที่มาจากอะไรเหรอครับ และคราวก่อนต้องขอบคุณคุณแจ็คที่ช่วยตอบคำถามเรื่องภูเขาไฟฟูจีนะครับ อ่านเรื่องของคุณแจ็คแล้วได้รับความรู้หลากหลาย ชอบมากครับ

ขอบคุณครับ


โดย: Gun IP: 49.231.103.64 วันที่: 6 กรกฎาคม 2556 เวลา:22:45:50 น.  

 

เค้าต้มในบ่อน้ำร้อนกัมมะถันน่ะครับ รบกวนอ่านใหม่อีกครั้งเพราะผมได้เพิ่มเติมที่มาของตำนานไข่ดำแล้วครับ


โดย: jack (Jack Happy ) วันที่: 7 กรกฎาคม 2556 เวลา:0:02:55 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณแจ็ค

เรื่องนี่ทำให้นุชอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเค้าบ้างแล้วละค่ะ
หุบเขากำมะถันน่าสนใจมากจริงๆ แปลกดีนะค่ะทำไมถึง
ทำให้ไข่เปนสีดำได้ แล้วที่คุณแจ็คซื้อมาให้คุณพ่อทาน
อ่านแล้วอดยิ้มไม่ได้ค่ะ คุณแจ็คน่ารักจัง ประทับใจแทน
คุณพ่อมากค่ะ อย่าลืมเรื่องต่อไปนะค่ะ ยังไงก็ขอติดตาม
บล็อคคุณแจ็คตลอดค่ะ


โดย: Nush IP: 49.231.99.152 วันที่: 11 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:51:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jack Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Jack Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.