ตามใจเล่าครับ
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
19 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 
ช่วยด้วยค่ะ Passport หนูหาย

                 หลังจากนักเรียน 31 คน และครู 6 คน มาร่วมกิจกรรมด้านการศึกษาและวัฒนธรรมที่รัฐวิสคอนซิน (Wisconsin State) ครบ 3 สัปดาห์แล้ว พรุ่งนี้วันศุกร์ ก็ครบกำหนดที่ทั้งหมดจะต้องเดินทางกลับประเทศไทย โดยทุกคนต้องลงมาพร้อมที่ล๊อบบี้ตอนเช้าตีสี่ครึ่ง และทานอาหารกล่อง รถบัสมารับตีห้าครึ่งเพื่อไปสนามบิน และเครื่องบินจะขึ้นจากเมืองเมดิสัน (Madison) ตอน 7 โมงเช้า ไปยังเมืองมินนิอาโปลิส (Minneapolis) รัฐมินนิโซตา(Minnesota State) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีกัลป์ น้อง staff กับผมจะบินไปส่งที่เมืองมินนิอาโปลิสด้วย เมื่อถึงแล้ว กัลป์กับผมก็จะแยกวงไปกรีนเบย์ (Green Bay) เมืองแห่งทีมคนชนคน (อเมริกันฟุตบอล) " Green Bay Packers " เพื่อเจรจางานกับเจ้าหน้าที่และรองศาสตราจารย์ท่านนึงที่ Green Bay University ส่วนคณะก็จะบินกลับนาริตะและกรุงเทพมหานคร ตามกำหนดการที่ได้วางไว้ ขณะที่ผมกำลังแพคกระเป๋าอยู่ในห้องพัก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมรับสายทันทีและพูดออกไปว่า "Jack, speaking" ปลายสายเงียบไปสองสามอึดใจ ก็เริ่มมีเสียงอึกอักดังกลับมา "หนูดีพูดค่ะ คือว่า พี่เข็มเค้าหา passport ไม่เจอ...” ผมรีบไปที่ห้องพักของสองสาวน้อย (เป็นนักเรียน ป.5 กับ ป. 6 ครับ) แล้วค้นทุกซอกทุกมุม สามสี่ตลบ ไม่เจอแฮะ ถามครูไทยประจำกลุ่มประถมฯ ก็ไม่ได้เก็บพาสปอร์ตของสาวเข็มไว้ สุดท้ายผมเลยต้องจับน้องเข็ม และครูประจำกลุ่มฯ ใส่ Taxi ไปบ้านโฮสฯ ที่เมืองเวโรน่า ทั้ง Mom และลูกๆ พยายามช่วยกันหา แต่ก็ไร้วี่แวว สุดท้าย Mom ได้แสดงน้ำใจว่าถ้ายังกลับเมืองไทยไม่ได้ก็ให้เด็กไปอยู่กับเธอที่บ้านก่อน ยินดีต้อนรับลูกสาวไทยคนนี้เสมอ

                เฮ้อ...งานเข้าแล้ว ตอนนี้ 5 ทุ่มคืนวันพฤหัสฯ ก็ 11 โมงเช้าวันศุกร์ของไทย กัลป์กับผมต้องปรับแผนใหม่หมด กัลป์โทรแจ้งเอเจนซี่ที่กรุงเทพฯ เพื่อขอเลื่อน flight ของน้องเข็ม และยกเลิกเที่ยวบินของเราสองคนที่จะไปกรีนเบย์ พร้อมกับโทรบอกพ่อแม่เด็กไม่ต้องมารับลูกตามกำหนดเดิมเนื่องจากลูกสาวทำหนังสือเดินทางหาย และเราจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมในภายหลังว่าต้องการหลักฐานอะไรบ้างเพราะน้องเค้าเป็นผู้เยาว์ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พอตี 5:30 คณะ 36 คน ทะยอยขึ้นรถบัส เหลือแต่น้องเข็ม ยืนหน้าจ๋อยมองพี่ๆ และเพื่อนๆ ในรถบัสที่วิ่งลับตาไป หลังจากเครื่องบินขึ้น คุณ Gerhard ผู้อำนวยการโครงการก็มารับเราสามคนไปที่ออฟฟิศ ต่อโทรศัพท์ไปยังสถานกงสุลไทย ณ นครชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ ซึ่งอยู่ไกลน้อยที่สุด ผมได้รับคำแนะนำจากคุณเจ้าหน้าที่ไทยเป็นอย่างดี ให้จัดเตรียมเอกสาร ดังนี้

                  1. สำเนาหนังสือเดินทางที่หาย

                  2. รูปถ่ายขนาดทำ passport 4 รูป

                  3. หนังสือแจ้งความ passport หาย

                  4. Money order (ธนาณัติ) ราคา US$ 10 

                  5. สำเนาใบแจ้งเกิดหรือ ID Card หรือพาสปอร์ตของพ่อแม่ และที่สำคัญสุดๆ ก็คือ หนังสือให้ความยินยอมให้ลูกสาวเดินทางไปต่างประเทศได้และยินยอมให้ลูกสาวทำสัญญายินยอมชดใช้ค่าเสียหายของผู้เดินทางฯ โดยหนังสือดังกล่าวพ่อแม่ต้องไปยื่นคำร้องขอที่กรมการกงสุล หลักสี่ กรุงเทพฯ

               ผมโทรบอกพ่อของน้องเข็มในประเด็นที่ห้าโดยเฉพาะหนังสือให้ความยินยอม แต่อุปสรรคก็คือ เวลาในไทยเป็นคืนวันศุกร์และวันราชการวันแรกก็คือวันอังคาร เนื่องจากวันจันทร์เป็นวันหยุดชดเชยวันฉัตรมงคล โห...เสียงแม่เด็กสะอื้นเข้ามาในมือถือของผมเลย ก็หัวอกคนเป็นแม่อะครับ(ตอนนี้ คุณแม่กะลูกสาวอยู่คนละซีกโลกเดียวกัน) เอาละ พวกเราเริ่มปฏิบัติการพาเด็กไปร้าน Green ถ่ายรูป 4 รูป ตั้ง 20 กว่า US$ แน่ะ (แพงเว่อร์เลย) จากนั้นก็ไปที่สถานีตำรวจ Madison Police Department เพื่อแจ้งความหนังสือเดินทางของเด็กหาย เจ้าหน้าที่นำแบบฟอร์ม M.P.D. Citizen Self-reporting Form มาให้กรอกข้อมูลน้องเข็ม และเรื่องที่หนังสือเดินทางหาย แป๊บเดียวก็ได้รับเอกสารแล้ว ง่ายและไวจังเลย ต่อไปก็ซื้อธนาณัติ 10 เหรียญ ทุกอย่างที่นี่ครบแระ เหลือแต่ส่วนของพ่อแม่เด็กที่ต้องดำเนินการในเมืองไทยแล้วสแกนเข้าในอีเมลผมวันอังคารโน่น

                  คุณ Gerhard หารือกับผมว่าจะให้เด็กพักที่ไหนระหว่างโรงแรมกับบ้าน ผมตัดสินใจให้น้องเข็มไปสุดสัปดาห์ที่บ้านโฮส พอบ่ายสี่โมง หลังจากเลิกงาน Mom ก็พาลูกสาววัยเดียวกับน้องเข็มและน้องชายอีกคนมาถึง ทั้งหมดกอดกันกลมด้วยความดีใจที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกระยะนึง ดูแฮปปี้ดี คุณ Gerhard เองโล่งอกที่เรื่องคลี่คลายไปได้ระดับหนึ่ง ขอบคุณกัลป์กับผมมากมายที่บินตามมาทันเผชิญปัญหานี้พอดี (ที่จริงผมต้องขอบคุณเค้าต่างหากที่ฝ่ายเราสร้างปัญหาขึ้นมาแต่เค้าก็ยังช่วยเหลือพวกเราอย่างดีเยี่ยม) แล้ว คุณ Gerhard ก็ขอตัวกลับไป เราสองคน (เป็นอิสระชั่วคราว) ออกไปเดินย่านดาวน์ทาวน์ เจอร้านอาหารชื่อ Vientiane Palace (วังเวียงจันทน์) มีทั้งอาหารลาวและไทย อ่านตามภาษาอังกฤษที่กระจกข้างร้านครับ ต้องลองกันหน่อย สภาพในร้านสะอาดดี คนขายมาจากเวียงจันทน์รุ่นลาวขาวแตกโน่น กัลป์สั่งเป็ดพะโล้ ส่วนผมสั่งต้มยำซีฟู้ด และแพนงไก่ รสชาติอาหารใช้ได้ทีเดียวสำหรับเราสองคนที่อดหลับ อดนอน(เนื่องจากต้องทำงานทั้งเวลาอเมริกันและเวลาในไทย) โดยเฉพาะเริ่มเบื่ออาหารฝรั่ง แต่สาวใหญ่ผู้ขายก็ยังออกตัวว่าอาจไม่อร่อยแบบอาหารไทยแท้ๆ อย่างไรก็ตาม ผมถือว่าเป็นมื้อที่ดีที่สุดของเรา และสักพักอเมริกันชนก็ทะยอยมาทานหลายโต๊ะเลยครับ ตอนคิดค่าอาหาร เธอขอบคุณผมสองคนที่มาประเดิมและทำให้แขกเข้าร้านเยอะ อิ่มแระ เหนื่อยทั้งวันขอพักผ่อนก่อนครับ

               ผมกลับมาพักผ่อนที่โรงแรมริมน้ำ (Edgewater Hotel) ได้พักนึง พอค่ำๆ คุณเล็ก กับ Boyfriend ก็มารับผมไป Happy Friday ที่โรงเบียร์เมดิสัน( Madison Beer Hall ) ส่วนกัลป์ขอตัวพักผ่อนเพราะโทรมจากการอดหลับอดนอน สำหรับคุณเล็กเธอมาอยู่อเมริกาได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่อายุสิบสาม นานๆ จะได้พูดภาษาไทยบ้าง ก็ตอนที่ได้เจอคนไทยมาร่วมโครงการแลกเปลี่ยน Thailand - Wisconsin International Sunrise Program นี่แหละครับ คำไทยยากๆ อย่าไปพูดกับเธอเลย เดี๋ยวมีงง เพราะภาษาไทยของเธอไม่แข็งแรงแล้วละครับ ตรงหน้าประตูเข้าโรงเบียร์ มีผู้ชายล่ำบึ๊กคอยตรวจ ID card ถ้าอายุไม่ถึงยี่สิบปีโดนจับโยนแน่ๆ (ก็ที่นี่เค้าไม่มีบัตรประชาชนปลอมชั่วคราวแบบย่านต่างๆ ของประเทศสารขันธ์นี่ครับ) พอดูพาสปอร์ตของผมแล้วก็เชิญให้เข้าได้ อย่างว่า แค่หน้าตาก็ดูเลยวัย Teenage มานานมากแล้วด้วย ภายในร้านดูกว้างขวาง ดนตรีแบบทรีโอ ประกอบด้วยกลองชุด (Drum Kit) แบนโจ (Banjo) และแอกคอร์เดียน (Accordion) กำลังบรรเลงอย่างคึกคัก เป็นเพลงแบบพื้นเมือง และอเมริกันชนจับคู่เต้นรำกันเป็นที่สนุกสนาน ลีลาแบบในหนังไททานิคตอนที่ Jack เต้นรำน่ะครับ และบรรดาสาวเสิร์ฟแต่งตัวเหมือน Cowgirl น่ารักเชียว เธอยกถาดใส่เบียร์ตัวอย่างสักแปดแก้วเล็กๆ มาให้เราชิมทั้งเบียร์เหลืองและเบียร์ดำหลากรส ถ้าเราพอใจรสชาติไหนก็สั่ง ที่จริงถ้าคออ่อนๆ ดื่มแค่ตัวอย่างหมดก็เดินไม่เป็นแล้ว (อ้อ ....โปรดทราบ  น้ำมังสวิรัติมีโทษต่อร่างกาย ขอให้ดื่มแต่พอประมาณ ส่วนเด็กและสตรีมีครรภ์นั้น ห้ามดื่มโดยเด็ดขาดนะครับ)

                คุณเล็กสั่งเบียร์สีเหลืองแก้วธรรมดา ส่วนเพื่อนชายของเธอกับผมสั่งเบียร์ดำยี่ห้อเดียวกัน คนละหนึ่งแก้วลิตร แก้วลิตรที่นี่ทำเป็นรูปรองเท้าบูท เราสั่งกับแกล้มเป็นไก่ทอดชีส รสเค็มๆ (กินกะข้าวต้มได้เลยอ่ะ) และถั่วลิสงคั่วทั้งเปลือก (เพิ่มกิจกรรมแกะเปลือกถั่ว) โรงเบียร์นี้ เค้ามีธรรมเนียมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คือ แต่ละโต๊ะจะเวียนเทียนดื่มแก้วบูทเดียวกัน พอหมดแก้ว ก็จะเคาะโต๊ะรัวๆ และโต๊ะข้างๆ ก็จะเคาะตามไปเรื่อยๆ เหมือนเล่นเวฟเลยครับ ครึกครื้นดี แต่ลึกๆ แล้ว ผมกลับคิดถึงเมือง Green Bay เพราะตามกำหนดเดิม ผมจะได้ทานมื้อค่ำที่ร้านอาหารไทย จัดทำและดูแลโดยคนไทย ตอนนั้นปี 2552 ยังติดใจไม่หาย เข้าไปฝรั่งนั่งกันเต็มไปหมด ยังกะเล่นเก้าอี้ดนตรีถ้าไม่จองไว้ ผมจำได้ว่าสั่งแกงเนื้อใส่หน่อไม้สดมาทาน อร่อยโดนใจมากเพราะรสมือเหมือนกับคุณแม่ผมทำเลย (ตอนนี้ไปอยู่วัดได้ยี่สิบปีแล้วครับ) อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณ คุณเล็กและเพื่อนชายที่พาผมไปผ่อนคลายบรรยากาศและได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่นั่น แต่ว่าคืนนั้นผมกลับมาโรงแรมเมื่อไรก็ยังนึกไม่ออกเลยครับ

                 ผมตื่นนอนตอนเช้าตรู่ของวันเสาร์ เพราะนอนไม่หลับ ที่นี่เวลาสามทุ่มเริ่มมืด พอตีห้าก็สว่างแล้วครับ ผมมองผ่านหน้าต่างห้องพักของโรงแรมริมน้ำ(Edgewater) ก็เห็นบรรดาเป็ดลอยตัวเล่นน้ำในทะเลสาบเมนโดต้า(Lake Mendota) อย่างเพลิดเพลิน ส่วนริมฝั่งมีกระต่ายอเมริกันขนสีน้ำตาลคู่หนึ่ง (American hare) วิ่งหยอกล้อกันผ่านไป และแบดเจอร์ (Badger)ตัวใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรัฐวิสคอนซิน(Wisconsin ก็เดินดุ่มๆ ไม่สนใจใคร เหมือนจะรีบกลับที่พักให้ทันแม่บ้านตัวเองเช็คชื่อ (สงสัยแม่บ้านคงจะเข้มมากมั้ง)

                 พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมเดินทอดน่องออกจากโรงแรม สวนกับคุณป้าอเมริกันที่มาเดินเล่นยามเช้า(Morning  walk)กะน้องหมา Rottweiler ตัวใหญ่ดำปี๋ ก็ทักทายเจ้าของและเล่นกะน้องหมานิดนึง ไม่ดุแฮะ ตาแป๋วแหว๋วเชียว จากนั้นเดินลัดเลาะผ่านสนามหญ้าตรงไปยัง Wisconsin State Capital Building สร้างคล้ายๆ ที่วอชิงตันน่ะครับ ข้างในมีทั้งที่ประชุมสภา ที่สำหรับลูกขุนพิจารณาคดี ศาลตัดสิน ที่ร้องทุกข์ ฯลฯ ฝาผนังและเพดานที่เป็นรูปโดมมีศิลปะลวดลายสวยงาม ขึ้นไปบนยอดโดมเหมือนหอคอยสูงที่ชมวิวรอบๆ เมืองเมดิสัน แต่กว่าจะถึงข้างบนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็เหนื่อยหอบไปตามๆ กัน ถือเป็นการเช็คความแข็งแรงของร่างกายแต่ละคน เมื่อปีก่อนมีการประท้วงชุมนุมของพวกสหภาพแรงงาน และสมาชิกฯ ได้เข้าไปยึดชั้นล่างเป็นที่พำนักอยู่หลายวัน สงสัยเลียนแบบเรามั้ง (Thai Model) แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ห้ามปรามหรือขัดขวางอะไร และเค้าบอก เพราะว่าที่ทำการนี้ก็เป็นของประชาชนเหมือนกัน ดีจังเลยครับ

                ผมเดินจาก State Cap. ตรงไปที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เป็นแคมปัสที่ไม่ต้องมีรั้วรอบขอบชิดเหมือนที่อื่นๆ น่าจะเรียกว่าเมืองมหาวิทยาลัยก็ได้ มีหอพักมากมายริมทะเลสาบ ถ้าไม่ชอบก็มีบ้านให้นักศึกษาเช่ารวมๆ กันอยู่ เดินผ่านบางหลังเห็นร่องรอย Party เมื่อคืนวาน กระป๋องเบียร์เกลื่อนเลย พอดีถึงตึก Memorial Union ของมหาวิทยาลัย มีทั้งร้านอาหารตามสั่งและแคนทีน (Canteen : ร้านอาหารในโรงเรียน วิทยาลัยหรือ มหาวิทยาลัย) ที่ขายอาหารสำเร็จรูป ผมหยิบถาด ช้อนส้อม ฯลฯ เข้าไปเลือกอาหาร อย่างแรกคือ ข้าวราดหน้าเนื้อผัดพริกใหญ่ (Green/Red/Yellow Capsicum) มีพริกแห้งยาวๆ แบบพริกกระเหรี่ยงทอดประดับหน้ามาด้วย เผ็ดมากๆ รสจัดจ้านแต่ไม่จี้ดจ้าดเหมือนของเรา (ไม่ได้อวยกันเอง แต่ที่ตระเวนชิมพริกมาหลายชาติ พริกของเราน่ะเผ็ดแบบมีคลาสกว่าใครเลย ขอบอก) อารมณ์หิวทานจานที่สองเป็นแซลมอนทอดนิ่มๆ ห่อแป้งก็นุ่มนวลใช้ได้ อันดับสามสลัดผัก ผักหลายอย่างและสดดี ผมสนใจหอมแดงที่ใช้แทนหอมใหญ่สีขาว มันใหญ่เท่ากัน ไม่รู้จีเอ็มโอตัดต่อพันธุกรรมหรือเปล่าครับ แต่ก็ทานจนหมด ตบท้ายด้วยน้ำอัดลม Mountain Dew ที่กดจากตู้ หนึ่งแก้วพลาสติกใหญ่ๆ ชอบมาก (เมืองไทยเคยมีขายอยู่ไม่กี่ปีแล้วก็เลือนหายไป  :  อ้อ ... ตอนนี้มีขายแล้ว แต่ขวดไม่ใหญ่และกระป๋องนิดเดียว ดื่มไม่จุใจวัยรุ่นตอนปลายๆ เท่าไรครับ )

               อิ่มแระ ถึงจะไม่เลิศเท่าอาหารไทย แต่ยังงัยก็มีรสชาติกว่า ต้องใส่สูทไปนั่งโต๊ะวางท่าโก้ๆ และกินสเต็กด้วยมีดกับส้อมที่โรงแรมเยอะเลย เดินย่อยอาหารโดยสำรวจย่านดาวน์ทาวน์ไปเรื่อยๆ เห็นบูธขายอาหารกล่องเป็นระยะๆ มีบูธอาหารเม็กซิกัน อินโดนีเซีย เนปาล และพี่ไทยด้วย ผมสังเกตดูมีฝรั่งวัยต่างๆ โดยเฉพาะนักศึกษาเข้าคิวใช้บริการบูธอาหารไทยเยอะกว่าใคร ได้แต่แอบหมายตาไว้ว่าว่างๆ ก่อนกลับต้องหาโอกาสมาชิมรสอาหารไทยแบบนี้ให้ได้ครับ

                หลังจากรอเอกสารต่างๆ โดยเฉพาะหนังสือให้ความยินยอมจากคุณพ่อและคุณแม่ของน้องเข็มไปยื่นคำร้องขอที่กรมการกงสุล หลักสี่ กรุงเทพฯ แล้วสแกนแนบเมล์มาให้ผม ผมเปิดเมล์ตอนห้าทุ่ม รีบprint เอกสารต่างๆ ไว้ พอหกโมงเศษๆ ของวันรุ่งขึ้น น้องกัลป์และผมก็เดินฝ่าความหนาวจากโรงแรม Edgewater ไปยัง Memorial Union , University of Wisconsin ที่นั่นคุณ Gerhard ผู้อำนวยการโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียน ไปรับน้องเข็มจากบ้านโฮสที่เมืองเวโรน่ามารออยู่แล้ว สักพักรถบัสที่จะไปชิคาโกก็มาจอด รถออกตามกำหนดคือ 7 โมงเช้า จาก Madison, Wisconsin ไป Chicago, Illinois ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงครึ่ง (ประมาณนะครับ) เมื่อสามปีก่อน ผมนั่งเครื่องราวๆ ชั่วโมงเอง อะน่ะ ถือเป็นประสบการณ์ละกัน แต่ถนนหนทางเราทั้งสามคนก็ไม่เคยรู้จัก แถมมีการเปลี่ยนรถระหว่างเมืองต่อเมืองอีกต่างหาก ต้องตะแคงหูฟังเสียงคนขับประกาศตลอดเวลา 

                 ในที่สุด รถบัสก็พาเรามาถึงนครชิคาโก้  ราวๆ 11 โมงครึ่งเป๊ะ ผมเรียก Taxi คนขับท่าทางเป็นเม็กซิกันอเมริกัน ยื่นแผนที่ที่ตั้งของสถานกงสุลไทย ณ นครชิคาโก้และบอกให้ไปส่ง (ท้องก็ร้องเพราะหิวข้าว) คนขับซิ่งขวาซิ่งซ้าย แป๊บเดียวก็ถึงหน้าสถานกงสุลฯ เก่งจัง เราเข้าไปข้างในและขอพบเจ้าหน้าที่ไทย ก็เป็นสุภาพบุรุษที่ให้คำแนะนำผมทางโทรศัพท์นั่นเอง ได้เจอตัวเป็นๆ แล้ว รีบช่วยกรอกคำร้องให้น้องเค้าแล้วไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ อ้าวใกล้เที่ยงแล้ว ได้รับคำแนะนำจากคุณสุภาพบุรุษว่า เลยไปนิดนึงจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ชั้นสองและร้านอาหารไทยอยู่ชั้นใต้ดิน เลือกเอาละกัน แล้วบ่ายโมงเศษๆ ให้มารับเล่มหนังสือเดินทางชั่วคราว กระเหรี่ยงทั้งสามเดินตามคำบอกเล่า ก็เห็นร้านอาหารไทยชื่อ "Silver Spoon" เป็นชื่อเดียวกะร้านช้อนเงินข้างท่าเรือเทเวศน์เลยครับ เดินลงไป สภาพร้านตกแต่งดูดีและสะอาดมาก มีลูกค้าฝรั่งนั่งกันตรึมและแต่ละคนดู enjoy eating กับอาหารไทยมากๆ พวกเราสามคน ผู้ใหญ่สองเด็กหนึ่งสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ เป็นอาหารเช้าบวกกลางวัน (brunch) ทุกอย่างจานเบ้อเริ่ม เค้าบอกว่า ถ้าทำจานเล็กๆ จะดูเหมือนเศษอาหารและแม้กระทั่งชิ้นเนื้อต่างๆ ก็ต้องก้อนใหญ่ๆ ถ้าชิ้นเล็กแบบบ้านเราทำละก็ พวกฝรั่งจะเข้าใจว่าเศษเนื้อ ฝีมือและรสชาติอาหารใช้ได้ อร่อยครับ น่าปลื้มใจแทนเจ้าของร้านเพราะลูกค้าก็อเมริกันทั้งนั้นหมุนเวียนกันมาทานไม่ได้ขาด

                บ่ายโมงกว่า บอกให้คิดเงิน ผมรูดบัตรเครดิต (Credit Card) หมดไปพันสี่ร้อยบาทเองครับ เดินย้อนกลับไปที่สถานกงสุลไทยและรับเล่มพาสปอร์ตชั่วคราวของน้องเข็ม พวกเรากล่าวคำขอบคุณและอำลาเจ้าหน้าที่ไทยสุภาพบุรุษผู้อารีท่านนั้นที่กรุณาให้คำแนะนำและมีจิตบริการดียิ่ง คราวนี้ก็ว่างพอที่จะไปชอปปิ้งฆ่าเวลาในชิคาโก้ต่อละครับ เพราะกว่ารถบัสจะออกก็หกโมงเย็นโน่น

                กัลป์รีบโทรหาเอเจนซี่ที่กรุงเทพฯ ขอให้จัดเที่ยวบินสำหรับเราสามคน ดูเหมือนโชคดีที่ยังพอจะเหลือที่นั่ง โดยได้ไฟลท์ ดังนี้ เมดิสัน – มินนิอาโปลิส – นาริตะ – กรุงเทพฯ ( MSN – MSP – NRT – BKK ) กัลป์ดูเหมือนจะโล่งใจกว่าใคร เพราะเค้าเป็นห่วงแม่ที่คอยอยู่ (แม่ค่อนข้างจะติดลูกชาย เวลาลูกชายเดินทางไปต่างประเทศ ก็จะไม่ค่อยเจริญอาหารสักเท่าไร ส่วนพ่อเสียนานแล้วตั้งแต่ยังเด็กอยู่เลยครับ) จากนั้น พวกเราก็พอจะมีอารมณ์ที่จะช้อปปิ้งกันแล้ว น้องเข็มซื้อของน่ารักๆ มากมายจากร้านกิ๊ฟช็อป (Gift shop)ตามประสาสาวน้อย กัลป์บอกให้ซื้อตามสบาย เดี๋ยวจะรูดคาร์ดให้ก่อน แล้วจะไปเก็บตังค์ที่แม่ของน้องเข็มที่เมืองไทยทีหลัง หุ หุ อากาศเดือนพฤษภาคมที่ชิคาโก้ ลมพัดเย็นสบาย เค้าบอกว่าที่เมืองนี้มีลมพัดตลอดปี เลยได้ฉายาว่า “Windy City” แต่บางคนในชิคาโก้ก็นำคำว่า “วินดี้ ซิตี้” นี้มาเปรียบเปรย เสียดสีถึงนักการเมืองที่นี่แบบว่า “เป็นพวกที่พูดจาไม่อยู่กะร่องกะรอย เหมือนลมที่พัดไปก็พัดมา เชื่อถือไม่ได้ครับ”

                 อ้าว ! เกือบลืมไปว่า ไหนๆมาถึงอเมริกาแล้ว ผมก็ต้องไปดูความลับของวิคตอเรียกันหน่อย ไม่ใช่วิคตอเรีย เบคแฮ่ม นะครับ แต่เป็นร้านวิคตอเรีย'ส ซีเคร็ท ( Victoria’s Secret) ซึ่งจำหน่ายสรรพสิ่งทุกอย่างสำหรับคุณสุภาพสตรี โดยเฉพาะชุดชั้นใน เครื่องสำอางค์และเครื่องประทินโฉมต่างๆ คือ ผมรับออร์เดอร์มาจากผู้มีอำนาจสูงสุดที่บ้านสั่งซื้อบรา (Bras) ให้หลานสาวของแม่ยาย ผมยืนหายใจลึกๆ เพิ่มความมั่นใจ ก่อนจะก้าวเข้าไป ผ่านซุ้มเสื้อผ้าและชุดชั้นในต่างๆ สีสรรหลากหลาย มีทั้งสวย หวานและโทนร้อนแรง คนเต็มร้านเลย ทั้งพนักงานขายและลูกค้า เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลลดราคา แต่มีผู้ชายอยู่ในร้านแค่สองคน แถมเป็นกระเหรี่ยงอีกต่างหาก คือ น้องกัลป์กับผม และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมาซื้อสินค้าที่ไม่ได้ใช้เอง อีกทั้งไม่มีความรู้เลย หลังจากคุยกับสาวคนขายแล้ว ผมก็ค้นโพยมาเปิดดูที่จดไว้ว่า Bras : Size 75 A สาวคนขายดูแล้วงงๆ ส่วนผมน่ะงงมากกว่าเธอ เพราะพลิกดูตัวเลขที่บอกขนาดของบราแล้ว มันเป็นนิ้วอ่ะ (จดมาจากเมืองไทยที่เค้าบอกเป็นเซ็นต์ฯ ทว่ามาเจอของที่จะซื้อเป็นนิ้ว) แต่แล้วเหมือนพระแม่มารีมาโปรด เมื่อสาวคนขายใจดีบอก เดี๋ยวพยายามเทียบให้ว่า จะตรงกับ Size (ขนาด) ไหนของวิคตอเรียส์ ซีเคร็ท และก็มีน้องกัลป์มาช่วยเลือกสีและลวดลายที่น่าจะเหมาะสมกับผู้ใส่ เฮ้อ ! ในที่สุด ผมก็ซื้อได้แระ รีบเดินลิ่ว ๆ เดินออกจากร้าน แล้วฝากถุง "ความลับของวิคตอเรีย" ให้น้องเข็มถือแทนเฉยเลยครับ

          ขอบคุณรูปภาพต่าง ๆ จากอากู๋ครับ




Create Date : 19 มิถุนายน 2556
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 18:49:07 น. 1 comments
Counter : 1811 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ คุณแจ็คผู้เสียสละ ดีใจแทนเด็กๆค่ะ
เรื่องนี้ยาวมากๆ แต่ว่าได้รับความรู้เรื่องการทำพาสปอร์ตดีจังค่ะ
ถึงยาวก็อ่านเพลินค่ะ ^^ เห็นแก้วเบียร์เท่ารองเท้าบูทขนาดจริง
ตลกใจเลยค่ะ ถ้าเป็นนุชคงน๊อคไปก่อนจะหมดแก้วค่ะ แต่แปลกดีนะค่ะ
เพิ่งเคยเห็นแก้วทรงแบบนี้เปนครั้งแรกค่ะ


โดย: Nush IP: 49.231.100.47 วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:21:25:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jack Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Jack Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.