ตามใจเล่าครับ
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
สาวญี่ปุ่นกับตำนานรักบางปะอิน

เช้าตรู่วันอาทิตย์    พวกเราลงมาทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ผมเดินทักทายคณะญี่ปุ่น “ Ohayo Gozaimasu : โอไฮโย โกไซมัส  :  สวัสดีตอนเช้าครับ “ มีเสียงตอบจากทั้งครูและหนุ่มๆ สาวๆ นักเรียนญี่ปุ่น “ Ohayo Gozaimasu “ และ “ Sawasdee Ka : ซา วัด ดี ค่า “  ทั้งโค้งแบบญี่ปุ่นและพยายามไหว้ (เก้ๆ กังๆ) แบบไทย มารยาทที่ต้องปฏิบัติของคนญี่ปุ่น คือ ต้องทักทายกัน ( จะทำเป็นเนียน เดินไม่รู้ไม่ชี้แบบพี่ไทยไม่ได้ ) หลังอาหารเช้า  ทุกคนก็ไปรอที่ล๊อบบี้ วันนี้ให้ทุกคนแต่งตัวตามสบาย แต่ห้ามใส่กางเกงขาดๆ หรือสวมเสื้อไม่มีแขน เสื้อสายเดี่ยว ( โดยไม่มีแจ๊คเก็ตหรือเสื้ออื่นสวมทับ ) เพราะต้องไปเข้าเขตพระราชฐาน ไม่งั้นเจ้าหน้าที่จะจัดชุดให้ใหม่ เช่น ผ้าซิ่นต่างๆ คุณผู้อ่านคงเคยเห็นแหม่มฝรั่งสวมผ้าถุงของไทยเดินชมวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวัง ( นั่นแระครับ คุณเธออาจสวมกางขาดๆ หรือสั้นมากๆ เข้ามาเลยโดนเจ้าหน้าที่กองงานจัดให้ )

            เจ็ดโมงตรง ตามเวลานัด ทุกคนขึ้นรถบัสและเลือกที่นั่งตามใจชอบ ครูซากิ ( Saki sensei ) ซึ่งเป็นทั้งผู้ประสานงานและผู้ดูแลของฝ่ายญี่ปุ่น รีบบอกให้หัวหน้าคณะนักเรียนเช็คยอดทั้งหมด ( ทุกครั้งที่มีการขึ้นรถหรือจะออกเดินทางคนญี่ปุ่นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะต้องมีการตรวจสอบจำนวนคนตลอด ) และครูซากิเองก็เดินนับรายหัวเด็กอีกครั้งจนถึงท้ายรถเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครหายหกตกหล่น ก่อนจะส่งสัญญาณมือให้ผมว่าเรียบร้อยแล้ว ล้อจึงหมุน เราออกจากกรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดนนทบุรี มุ่งตรงไปยังกรุงเก่า เห็นนาข้าวเขียวขจีสองข้างทางมากมาย ญี่ปุ่นตื่นเต้นกับต้นข้าวบ้านเราที่มีลำต้นสูง เพราะของเค้าต้นสั้นๆ ไม่ใช่แค่ลำต้นนะครับ วิธีหุงก็ต่างกันอีก ผมเคยเอาข้าวหอมมะลิไปฝากเพื่อนที่ญี่ปุ่นให้ลองชิม แต่แม่บ้านญี่ปุ่นเคยชินกับวิธีการหุงข้าวแบบของเค้า จึงเอาข้าวหอมฯ ไปแช่น้ำไว้ครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงตามสูตรการหุงข้าวญี่ปุ่น  ปรากฎว่าข้าวหอมมะลิของผมกลายเป็น “ข้าวหอมมะเละ“ ไปเลยละครับ

ราวๆ แปดโมงครึ่งก็ถึงอำเภอบางปะอิน รถบัสเลี้ยวเข้าจอด ณ สถานที่ๆ กำหนดไว้ น้องๆ ของผม  กัลป์ เบิร์ด และดาวรีบลงรถล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเตรียมการเรื่องบัตรเข้าชมพระราชวังบางปะอิน ผมบอกสมาชิกญี่ปุ่นทั้งหมด “ Minasan , Bang Pa-in Kyu deng Desu Youu :  มินาซัง  บางปะอิน คิวเด้ง เดสโยะ  :  ทุกคน เราถึงพระราชวังบางปะอินแล้วครับ “ ต้องปลุกกันเล็กน้อยเพราะส่วนใหญ่หลับ ผมให้ทุกคนหยิบแต่กระเป๋าสตางค์ กล่องถ่ายรูป และขวดน้ำดื่ม ( ที่เราแจก ) ติดตัวไปด้วย สัมภาระอื่นทิ้งไว้บนรถ พอเข้าไปในเขตพระราชฐาน น้องๆ ก็เช่ารถกอล์ฟไว้ให้ฝ่ายไทยขับคนละคัน (เป็นรถไฟฟ้า) เพื่อบรรทุกบรรดาหนุ่มสาวยุ่นชมสถานที่ โดยจะจอดตามสถานที่ต่างๆ ที่แสดงไว้ในแผ่นพับครับ จุดแรกที่เป็นไฮไลท์เลยก็ว่าได้ คือ ศาลาริมน้ำ เพื่อชมพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ซึ่งได้รับการรังสรรค์ให้ดูสวยเด่นเป็นสง่าอยู่กลางน้ำในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง และมีการบูรณะในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผมเห็นนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและคนไทยมากมาย ต่างก็หมุนเวียนกันขึ้นบนศาลาเพื่อชื่นชมและถ่ายรูปพระที่นั่งฯ อยู่ตลอดเวลา

           นักเรียนญี่ปุ่นให้ความสนใจและแวะถ่ายรูปกับต้นไม้ต่างๆ ที่ถูกดัดแต่งให้เป็นตัวสัตว์หลายชนิด เช่น ช้าง วัว ควาย กวาง กระต่าย ฯลฯ คงเห็นเป็นของแปลก เนื่องจากที่ญี่ปุ่นไม่มีแบบนี้ อย่างว่าแระครับ เวลาที่ไปบ้านเค้า เราก็เก็บภาพต้น ไม้ใบสีสวยๆ และสิ่งต่างๆ ที่หาดูยากในไทยเหมือนกัน หลังจากแวะเข้าชมพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญแล้ว ก็ให้คณะญี่ปุ่นตรงไปยังหอวิฑูรทัศนาซึ่งภายในมีลักษณะเป็นบันไดวนขึ้นไปสามชั้น สาวๆ ม.ปลายบอก จิ๊บๆ เพราะคนญี่ปุ่นเนี่ยะได้รับการฝึกให้เดิน เดินและเดิน ทั้งไปโรงเรียนและกลับบ้านกันมาตั้งแต่ชั้นประถมฯ แล้ว โดยมีคุณแม่ ( Oka san: โอก้าซัง ) มายืนส่งที่หน้าบ้าน เจ้าหนูจะบอกลาแม่ “ Itte kimasu : อิตเตะคิมัส : จะไปละนะครับ “ และคุณแม่ก็จะอวยพรว่า “ Itte rasshai : อิตเตะราส์ชัย : โชคดีนะ “  แล้วเดินไปตามเส้นทาง โดยระหว่างทางก็ต้องแวะรับนักเรียนคนอื่น  ( เพื่อนหรือรุ่นพี่ รุ่นน้อง ) ที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน ( นักเรียนระดับประถมฯ ต้องเดินทุกคน ห้ามผู้ปกครองขับรถไปส่ง ) และหากลูกบ้านไหนช้า นักเรียนทั้งหมดก็ต้องรอ ดังนั้นทุกคนจึงต้องรักษาเวลาอย่างเคร่งครัดมาก เห็นปะว่า ญี่ปุ่นเค้าปลูกฝังวินัยเรื่องนี้มาตั้งกะเด็กๆ เลย ทั้งการตรงต่อเวลาและการทำอะไรเป็นทีม ขณะที่บ้านเราโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพฯ พ่อแม่กลัวลูกๆ ลำบาก จึงต้องขับรถไปส่งนักเรียน มาจากแสนครอบครัวก็มีรถยนต์ออกวิ่งแสนคันถนนที่ไหนจะพอล่ะ อย่างว่าละนะความปลอดภัยในสังคมและสภาพดินฟ้าอากาศมันต่างกัน ของเค้าสาวๆ ใส่กระโปรงสั้น ( เสมอหู ) มากๆ เดินถนน ดึกดื่น เที่ยงคืน สบายๆ ไม่มีอันตราย แต่ที่กรุงเทพฯ เมืองสวรรค์ของเรา ขนาดกลางวันแสกๆ แท้ๆ ก็อดีตแม่ยายของผมเองละครับ โดนเต็มๆ กลับมาจากตลาดสดที่ดินแดง ขณะเปิดประตูรั้วก็ถูกผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้ายที่แอบมาข้างหลังลงมือกระชากสร้อยคอพร้อมทั้งถีบส่งแม่เข้ารั้วบ้านไปโดยเฉียบพลันแบบไม่ทันได้เห็นหน้าคนร้ายเลย ( เพราะหันหลังให้ ) และกว่าจะหายมึนงงก็ได้ยินแค่เสียงมอเตอร์ไซด์แว้นๆ หายไปแล้ว เวรกรรมเจงๆ อ้าว เผลอแป๊ปเดียว นักเรียนญี่ปุ่นทั้งหมดขึ้นไปถึงชั้นสามแระ แล้วโบกมือให้ผมและส่งเสียงลงมา “ Jack san , Jack san “  ต่างฝ่ายต่างก็ยิงภาพใส่กันเป็นที่สนุกสนาน

            ผมขับรถพาคณะญี่ปุ่นทัศนา ชมสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมอันงดงามต่างๆ ทั้งแบบตะวันตกและแบบตะวันออกในบริเวณพระราชวังบางปะอินมาจนถึงอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า “ อนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม “   ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์หินอ่อนขึ้นเพื่อรำลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์  รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในพระครรภ์   ( เวลานั้นทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน ) เนื่องจากเรือพระประเทียบของพระองค์ประสบอุบัติเหตุล่มระหว่างเสด็จแปรพระราชฐานมาพระราชวังบางปะอิน และเพราะตามกฏมณเฑียรบาลซึ่งห้ามมิให้ผู้คนถูกเนื้อต้องตัวเจ้าฟ้า มหากษัตริย์โดยเด็ดขาด ( หากฝ่าฝืนมีโทษถึงประหารชีวิต ) ดังนั้น  จึงไม่มีใครกล้าที่จะลงไปช่วยพระองค์ท่านจนต้องสิ้นพระชนม์ในที่สุด เศร้านะครับ พอจอดรถเสร็จ   ผมก็ให้ญี่ปุ่นดูต้นลีลาวดี ( ลั่นทม ) ที่กำลังออกดอกสวยงามว่าเป็นดอกไม้แห่งความรัก ( Aishiteru no Hana  :  ไออิชิเตหรุ โน๊ะ ฮาหนะ ) นักเรียนชายรีบเก็บดอกลีลาวดีที่หล่นบนพื้นหญ้าให้สาวเสียบแซมผมและทัดหู ต่างก็ชื่นชมกันใหญ่ ผมแนะนำนักเรียนญี่ปุ่นให้ตั้งจิตอธิฐานขณะที่จะถวายการสักการะ ณ อนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม เพื่อขอพรได้อย่างหนึ่ง ( อย่างเดียวเท่านั้นนะ ) ห้ามเกิน ไม่ว่าจะขอให้ได้เข้ามหาวิทยาลัย ( Daigaku : ไดกักกุ ) หรืออยากมีแฟน ( Ko-ibitou : โคอิบิโตะ ) หรืออะไรๆ ก็ ลองดู เรื่องนี้ นักเรียนญี่ปุ่นรุ่นพี่ๆ ที่เคยมาเข้าโครงการ เมื่อกลับไปได้บอกต่อๆกัน จากรุ่นสู่รุ่น  และแทบทุกคนก็ได้สมใจนึกตามคำขอ ส่วนมากจะเป็นการเรียนต่อในระดับมหาลัย เหตุที่ได้เพราะว่าพวกนี้น่ะ เค้าเรียนเก่งอยู่แล้วเพียงแต่ตรงนี้เป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจและกำลังใจให้เค้ามีพลังและมุมานะยิ่งๆ ขึ้นอ่ะครับ

        อ้อ เกือบลืมไป คุณผู้อ่านทราบที่มาของชื่อ "บางปะอิน" ( บาง-ปะ-อิน ) หรือเปล่าเอ่ย ก็ คือ เค้าเล่ากันว่า สมเด็จพระเอกาทศรถ ( พระอนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ) เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชได้เสด็จประพาสทางชลมารค พอจะผ่านเกาะ "บ้านเลน" เรือพระที่นั่งก็โดนพายุใหญ่ล่มลง ทรงว่ายน้ำขึ้นไปบนเกาะและประทับอยู่กับชาวบ้าน ระหว่างนั้นได้พบรักกับหญิงชาวเกาะ ( ชื่ออิน ) เมื่อเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา ก็ทรงพานางกลับไปด้วยและเป็นพระสนมในเวลาต่อมา โดยมีพระราชโอรสคือพระเจ้าปราสาททอง ด้วยเหตุดังกล่าวผู้คนเลยเรียกชื่อเกาะนี้เสียใหม่ว่า " เกาะบางปะอิน " ต่อมาเมื่อพระเจ้าปราสาททองได้ขึ้นครองราชย์ จึงทรงโปรดให้สร้างวัดชุมพลนิกายารามขึ้นตรงบริเวณนิวาสสถานเดิมของพระมารดา ( อิน ) และสร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์เพื่อเป็นที่ประทับฤดูร้อนสืบมา ก็นี่แระครับ  เป็นเพราะพรหมลิขิตบันดาลชักพาจริง  ๆ จึงทำให้พระองค์ท่านประสบวาตภัยจนเรือพระที่นั่งล่ม จำเป็นต้องทรงว่ายน้ำขึ้นมา ณ สถานที่  " บาง " นี้ และได้พบ " ปะ " กับสาวบนเกาะที่ชื่อ " อิน "  อีกทั้งยังได้สร้างตำนานรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดินกับหญิงสามัญชน จนเป็นที่มาของคำว่า " บางปะอิน " และก่อนที่จะจบตำนานรัก  " บางปะอิน " ผมใคร่ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงแด่ทุกๆ ท่าน ที่ได้กรุณาแบ่งปันเรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจในการนำเสนอมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

       ขอบคุณภาพอนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม ต้นไม้ดัดและต้นดอกลีลาวดีจากอากู๋ครับ 




Create Date : 27 พฤษภาคม 2556
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2557 17:45:40 น. 4 comments
Counter : 2307 Pageviews.

 
คุณแจ็คค่ะ. ได้อ่านแล้วเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลยค่ะ

เรื่องแน่นจริงๆค่ะ


โดย: Ooy1_chan วันที่: 28 พฤษภาคม 2556 เวลา:8:29:00 น.  

 
ขอบคุณคุณแจ๊คค่ะ นุชเพิ่งขอให้อัพเรื่องใหม่เมื่อวาน ก็ได้อ่านเรื่องใหม่สมใจที่รอคอย อ่านเรื่องนี้ได้ความรู้เยอะมาก อ่านเพลินไม่มีเบื่อเลยค่ะ ขอบคุณคุณแจ็คค่ะ ที่เล่าเรื่องราวดีๆและน่าประทับใจแบบนี้ให้อ่านเสมอ สนุกมากๆค่ะ


โดย: Nush IP: 49.231.116.79 วันที่: 28 พฤษภาคม 2556 เวลา:22:39:14 น.  

 
ก่อนอื่นต้องขอบคุณคุณแจ็คที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังครับ
ผมเคยไปมาแล้วแท้ๆครับ แต่เหมือนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย
เที่ยวๆ ถ่ายรูปแล้วก็กลับ ไม่ค่อยจะสนใจอ่านอะไรกับเค้าหรอกครับ
เรื่องนี้สนุกมากครับ เห็นรูปนักเรียนญี่ปุ่นมีความสุขขนาดนั้น
ก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ (ชอบสาวๆน่ารักๆ อ่ะครับ :))


โดย: Gun IP: 49.231.113.158 วันที่: 31 พฤษภาคม 2556 เวลา:8:16:08 น.  

 
ขอชมการวางโครงเรื่อง การเล่าเรื่อง การเรียบเรียง
รายละเอียดยิบย่อยต่างๆ รวมถึงไม่มีคำผิดที่ทำให้อ่านแล้วสะดุดเลย
ขอชื่นชมการจัดวางรูปภาพ ที่ช่างเหมาะกับการเล่าในแต่ละเรื่อง
ขอชมทั้งเรื่องนี้และในทุกๆเรื่องที่เขียนค่ะคุณแจ็ค
คุณใส่ใจกับการเล่าเรื่องมากๆ ดิฉันสังเกตว่าตรงไหนที่ไม่มีรูป
คุณแจ็คก็พยายามหารูปมาประกอบเพื่อคนอ่านได้เห็นภาพชัดเจน
ขอเปนตัวแทนคนอ่านทุกท่านขอบคุณคุณแจ็คที่เล่สเรื่องราวดีๆ
แถมสอดแทรกความรู้ให้อ่านเสมอ สนุกมากค่ะ


โดย: Chom IP: 49.231.97.177 วันที่: 1 มิถุนายน 2556 เวลา:22:05:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jack Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Jack Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.