สาวญี่ปุ่นกับตำนานรักบางปะอิน
เช้าตรู่วันอาทิตย์ พวกเราลงมาทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ผมเดินทักทายคณะญี่ปุ่น Ohayo Gozaimasu : โอไฮโย โกไซมัส : สวัสดีตอนเช้าครับ มีเสียงตอบจากทั้งครูและหนุ่มๆ สาวๆ นักเรียนญี่ปุ่น Ohayo Gozaimasu และ Sawasdee Ka : ซา วัด ดี ค่า ทั้งโค้งแบบญี่ปุ่นและพยายามไหว้ (เก้ๆ กังๆ) แบบไทย มารยาทที่ต้องปฏิบัติของคนญี่ปุ่น คือ ต้องทักทายกัน ( จะทำเป็นเนียน เดินไม่รู้ไม่ชี้แบบพี่ไทยไม่ได้ ) หลังอาหารเช้า ทุกคนก็ไปรอที่ล๊อบบี้ วันนี้ให้ทุกคนแต่งตัวตามสบาย แต่ห้ามใส่กางเกงขาดๆ หรือสวมเสื้อไม่มีแขน เสื้อสายเดี่ยว ( โดยไม่มีแจ๊คเก็ตหรือเสื้ออื่นสวมทับ ) เพราะต้องไปเข้าเขตพระราชฐาน ไม่งั้นเจ้าหน้าที่จะจัดชุดให้ใหม่ เช่น ผ้าซิ่นต่างๆ คุณผู้อ่านคงเคยเห็นแหม่มฝรั่งสวมผ้าถุงของไทยเดินชมวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวัง ( นั่นแระครับ คุณเธออาจสวมกางขาดๆ หรือสั้นมากๆ เข้ามาเลยโดนเจ้าหน้าที่กองงานจัดให้ ) เจ็ดโมงตรง ตามเวลานัด ทุกคนขึ้นรถบัสและเลือกที่นั่งตามใจชอบ ครูซากิ ( Saki sensei ) ซึ่งเป็นทั้งผู้ประสานงานและผู้ดูแลของฝ่ายญี่ปุ่น รีบบอกให้หัวหน้าคณะนักเรียนเช็คยอดทั้งหมด ( ทุกครั้งที่มีการขึ้นรถหรือจะออกเดินทางคนญี่ปุ่นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะต้องมีการตรวจสอบจำนวนคนตลอด ) และครูซากิเองก็เดินนับรายหัวเด็กอีกครั้งจนถึงท้ายรถเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครหายหกตกหล่น ก่อนจะส่งสัญญาณมือให้ผมว่าเรียบร้อยแล้ว ล้อจึงหมุน เราออกจากกรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดนนทบุรี มุ่งตรงไปยังกรุงเก่า เห็นนาข้าวเขียวขจีสองข้างทางมากมาย ญี่ปุ่นตื่นเต้นกับต้นข้าวบ้านเราที่มีลำต้นสูง เพราะของเค้าต้นสั้นๆ ไม่ใช่แค่ลำต้นนะครับ วิธีหุงก็ต่างกันอีก ผมเคยเอาข้าวหอมมะลิไปฝากเพื่อนที่ญี่ปุ่นให้ลองชิม แต่แม่บ้านญี่ปุ่นเคยชินกับวิธีการหุงข้าวแบบของเค้า จึงเอาข้าวหอมฯ ไปแช่น้ำไว้ครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงตามสูตรการหุงข้าวญี่ปุ่น ปรากฎว่าข้าวหอมมะลิของผมกลายเป็น ข้าวหอมมะเละ ไปเลยละครับ ราวๆ แปดโมงครึ่งก็ถึงอำเภอบางปะอิน รถบัสเลี้ยวเข้าจอด ณ สถานที่ๆ กำหนดไว้ น้องๆ ของผม กัลป์ เบิร์ด และดาวรีบลงรถล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเตรียมการเรื่องบัตรเข้าชมพระราชวังบางปะอิน ผมบอกสมาชิกญี่ปุ่นทั้งหมด Minasan , Bang Pa-in Kyu deng Desu Youu : มินาซัง บางปะอิน คิวเด้ง เดสโยะ : ทุกคน เราถึงพระราชวังบางปะอินแล้วครับ ต้องปลุกกันเล็กน้อยเพราะส่วนใหญ่หลับ ผมให้ทุกคนหยิบแต่กระเป๋าสตางค์ กล่องถ่ายรูป และขวดน้ำดื่ม ( ที่เราแจก ) ติดตัวไปด้วย สัมภาระอื่นทิ้งไว้บนรถ พอเข้าไปในเขตพระราชฐาน น้องๆ ก็เช่ารถกอล์ฟไว้ให้ฝ่ายไทยขับคนละคัน (เป็นรถไฟฟ้า) เพื่อบรรทุกบรรดาหนุ่มสาวยุ่นชมสถานที่ โดยจะจอดตามสถานที่ต่างๆ ที่แสดงไว้ในแผ่นพับครับ จุดแรกที่เป็นไฮไลท์เลยก็ว่าได้ คือ ศาลาริมน้ำ เพื่อชมพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ซึ่งได้รับการรังสรรค์ให้ดูสวยเด่นเป็นสง่าอยู่กลางน้ำในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง และมีการบูรณะในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผมเห็นนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและคนไทยมากมาย ต่างก็หมุนเวียนกันขึ้นบนศาลาเพื่อชื่นชมและถ่ายรูปพระที่นั่งฯ อยู่ตลอดเวลา นักเรียนญี่ปุ่นให้ความสนใจและแวะถ่ายรูปกับต้นไม้ต่างๆ ที่ถูกดัดแต่งให้เป็นตัวสัตว์หลายชนิด เช่น ช้าง วัว ควาย กวาง กระต่าย ฯลฯ คงเห็นเป็นของแปลก เนื่องจากที่ญี่ปุ่นไม่มีแบบนี้ อย่างว่าแระครับ เวลาที่ไปบ้านเค้า เราก็เก็บภาพต้น ไม้ใบสีสวยๆ และสิ่งต่างๆ ที่หาดูยากในไทยเหมือนกัน หลังจากแวะเข้าชมพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญแล้ว ก็ให้คณะญี่ปุ่นตรงไปยังหอวิฑูรทัศนาซึ่งภายในมีลักษณะเป็นบันไดวนขึ้นไปสามชั้น สาวๆ ม.ปลายบอก จิ๊บๆ เพราะคนญี่ปุ่นเนี่ยะได้รับการฝึกให้เดิน เดินและเดิน ทั้งไปโรงเรียนและกลับบ้านกันมาตั้งแต่ชั้นประถมฯ แล้ว โดยมีคุณแม่ ( Oka san: โอก้าซัง ) มายืนส่งที่หน้าบ้าน เจ้าหนูจะบอกลาแม่ Itte kimasu : อิตเตะคิมัส : จะไปละนะครับ และคุณแม่ก็จะอวยพรว่า Itte rasshai : อิตเตะราส์ชัย : โชคดีนะ แล้วเดินไปตามเส้นทาง โดยระหว่างทางก็ต้องแวะรับนักเรียนคนอื่น ( เพื่อนหรือรุ่นพี่ รุ่นน้อง ) ที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน ( นักเรียนระดับประถมฯ ต้องเดินทุกคน ห้ามผู้ปกครองขับรถไปส่ง ) และหากลูกบ้านไหนช้า นักเรียนทั้งหมดก็ต้องรอ ดังนั้นทุกคนจึงต้องรักษาเวลาอย่างเคร่งครัดมาก เห็นปะว่า ญี่ปุ่นเค้าปลูกฝังวินัยเรื่องนี้มาตั้งกะเด็กๆ เลย ทั้งการตรงต่อเวลาและการทำอะไรเป็นทีม ขณะที่บ้านเราโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพฯ พ่อแม่กลัวลูกๆ ลำบาก จึงต้องขับรถไปส่งนักเรียน มาจากแสนครอบครัวก็มีรถยนต์ออกวิ่งแสนคันถนนที่ไหนจะพอล่ะ อย่างว่าละนะความปลอดภัยในสังคมและสภาพดินฟ้าอากาศมันต่างกัน ของเค้าสาวๆ ใส่กระโปรงสั้น ( เสมอหู ) มากๆ เดินถนน ดึกดื่น เที่ยงคืน สบายๆ ไม่มีอันตราย แต่ที่กรุงเทพฯ เมืองสวรรค์ของเรา ขนาดกลางวันแสกๆ แท้ๆ ก็อดีตแม่ยายของผมเองละครับ โดนเต็มๆ กลับมาจากตลาดสดที่ดินแดง ขณะเปิดประตูรั้วก็ถูกผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้ายที่แอบมาข้างหลังลงมือกระชากสร้อยคอพร้อมทั้งถีบส่งแม่เข้ารั้วบ้านไปโดยเฉียบพลันแบบไม่ทันได้เห็นหน้าคนร้ายเลย ( เพราะหันหลังให้ ) และกว่าจะหายมึนงงก็ได้ยินแค่เสียงมอเตอร์ไซด์แว้นๆ หายไปแล้ว เวรกรรมเจงๆ อ้าว เผลอแป๊ปเดียว นักเรียนญี่ปุ่นทั้งหมดขึ้นไปถึงชั้นสามแระ แล้วโบกมือให้ผมและส่งเสียงลงมา Jack san , Jack san ต่างฝ่ายต่างก็ยิงภาพใส่กันเป็นที่สนุกสนาน ผมขับรถพาคณะญี่ปุ่นทัศนา ชมสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมอันงดงามต่างๆ ทั้งแบบตะวันตกและแบบตะวันออกในบริเวณพระราชวังบางปะอินมาจนถึงอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า อนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์หินอ่อนขึ้นเพื่อรำลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในพระครรภ์ ( เวลานั้นทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน ) เนื่องจากเรือพระประเทียบของพระองค์ประสบอุบัติเหตุล่มระหว่างเสด็จแปรพระราชฐานมาพระราชวังบางปะอิน และเพราะตามกฏมณเฑียรบาลซึ่งห้ามมิให้ผู้คนถูกเนื้อต้องตัวเจ้าฟ้า มหากษัตริย์โดยเด็ดขาด ( หากฝ่าฝืนมีโทษถึงประหารชีวิต ) ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้าที่จะลงไปช่วยพระองค์ท่านจนต้องสิ้นพระชนม์ในที่สุด เศร้านะครับ พอจอดรถเสร็จ ผมก็ให้ญี่ปุ่นดูต้นลีลาวดี ( ลั่นทม ) ที่กำลังออกดอกสวยงามว่าเป็นดอกไม้แห่งความรัก ( Aishiteru no Hana : ไออิชิเตหรุ โน๊ะ ฮาหนะ ) นักเรียนชายรีบเก็บดอกลีลาวดีที่หล่นบนพื้นหญ้าให้สาวเสียบแซมผมและทัดหู ต่างก็ชื่นชมกันใหญ่ ผมแนะนำนักเรียนญี่ปุ่นให้ตั้งจิตอธิฐานขณะที่จะถวายการสักการะ ณ อนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม เพื่อขอพรได้อย่างหนึ่ง ( อย่างเดียวเท่านั้นนะ ) ห้ามเกิน ไม่ว่าจะขอให้ได้เข้ามหาวิทยาลัย ( Daigaku : ไดกักกุ ) หรืออยากมีแฟน ( Ko-ibitou : โคอิบิโตะ ) หรืออะไรๆ ก็ ลองดู เรื่องนี้ นักเรียนญี่ปุ่นรุ่นพี่ๆ ที่เคยมาเข้าโครงการ เมื่อกลับไปได้บอกต่อๆกัน จากรุ่นสู่รุ่น และแทบทุกคนก็ได้สมใจนึกตามคำขอ ส่วนมากจะเป็นการเรียนต่อในระดับมหาลัย เหตุที่ได้เพราะว่าพวกนี้น่ะ เค้าเรียนเก่งอยู่แล้วเพียงแต่ตรงนี้เป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจและกำลังใจให้เค้ามีพลังและมุมานะยิ่งๆ ขึ้นอ่ะครับ อ้อ เกือบลืมไป คุณผู้อ่านทราบที่มาของชื่อ "บางปะอิน" ( บาง-ปะ-อิน ) หรือเปล่าเอ่ย ก็ คือ เค้าเล่ากันว่า สมเด็จพระเอกาทศรถ ( พระอนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ) เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชได้เสด็จประพาสทางชลมารค พอจะผ่านเกาะ "บ้านเลน" เรือพระที่นั่งก็โดนพายุใหญ่ล่มลง ทรงว่ายน้ำขึ้นไปบนเกาะและประทับอยู่กับชาวบ้าน ระหว่างนั้นได้พบรักกับหญิงชาวเกาะ ( ชื่ออิน ) เมื่อเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา ก็ทรงพานางกลับไปด้วยและเป็นพระสนมในเวลาต่อมา โดยมีพระราชโอรสคือพระเจ้าปราสาททอง ด้วยเหตุดังกล่าวผู้คนเลยเรียกชื่อเกาะนี้เสียใหม่ว่า " เกาะบางปะอิน " ต่อมาเมื่อพระเจ้าปราสาททองได้ขึ้นครองราชย์ จึงทรงโปรดให้สร้างวัดชุมพลนิกายารามขึ้นตรงบริเวณนิวาสสถานเดิมของพระมารดา ( อิน ) และสร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์เพื่อเป็นที่ประทับฤดูร้อนสืบมา ก็นี่แระครับ เป็นเพราะพรหมลิขิตบันดาลชักพาจริง ๆ จึงทำให้พระองค์ท่านประสบวาตภัยจนเรือพระที่นั่งล่ม จำเป็นต้องทรงว่ายน้ำขึ้นมา ณ สถานที่ " บาง " นี้ และได้พบ " ปะ " กับสาวบนเกาะที่ชื่อ " อิน " อีกทั้งยังได้สร้างตำนานรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดินกับหญิงสามัญชน จนเป็นที่มาของคำว่า " บางปะอิน " และก่อนที่จะจบตำนานรัก " บางปะอิน " ผมใคร่ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงแด่ทุกๆ ท่าน ที่ได้กรุณาแบ่งปันเรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจในการนำเสนอมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ ขอบคุณภาพอนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม ต้นไม้ดัดและต้นดอกลีลาวดีจากอากู๋ครับ
Create Date : 27 พฤษภาคม 2556 |
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2557 17:45:40 น. |
|
4 comments
|
Counter : 2307 Pageviews. |
|
|
เรื่องแน่นจริงๆค่ะ