ตามใจเล่าครับ
Group Blog
 
 
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
สัมผัสแดนอาทิตย์อุทัย

 

              ผมทำงานโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนด้านการศึกษาและวัฒนธรรมกับประเทศญี่ปุ่นมาหลายปีซึ่งก็พยายามทำอย่างดีที่สุด มีเพื่อนๆญี่ปุ่นค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นที่โกเบ (Kobe) โอซาก้า (Osaka) นารา (Nara) ชิซึโอกะ (Shizuoka ) และโตเกียว  (Tokyo) พวกเค้าชักชวนให้ผมไปสัมผัสชีวิตที่โน่นบ้าง ผมคิดมากและคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้เนื่องจากมีความในใจบางอย่างแอบซ่อนอยู่     และแล้วปีสุดท้ายของการเปิดใช้งานท่าอากาศยานนานาชาติที่ดอนเมือง ผมกับคณะ จำนวน 36 คน (นักเรียน 30 คน และบุคลากรทางการศึกษา 6 คน) ก็ขึ้นเครื่องเที่ยวบิน SQ ของสิงคโปร์  ตอนเที่ยงคืนนั่งดูพระจันทร์เต็มดวง และหลับๆตื่นๆราวๆ  5ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินนานาชาติคันไซ (Kansai International Airport : KIX) ตอนเครื่องลงตื่นเต้นมากเพราะเป็นสนามบินที่เกิดจากการถมทะเลให้เป็นเกาะแล้วสร้างสนามบิน ถนน สะพานและอาคารต่างๆ คุณแอร์ประกาศเป็นภาษาอังกฤษเสร็จ ก็ตามด้วยญี่ปุ่น ได้ยินแว่วๆ "  มินาซามะ ทาไดมะ คันไซ กกไซ คูโคะ ... " ( Minasama ,  Tadaima Kansai Kokusai Kuko...) ประมาณว่า "ทุกท่าน  ขณะนี้ได้มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติคันไซแล้ว..." พอสัญญาณโอเค   พวกเราออกจากเครื่องเดินในอาคารแป๊บนึงก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปอีกอาคารเพื่อเข้ารับการตรวจลงตราเข้าประเทศ จากนั้น ลงไปรับกระเป๋าเดินทางข้างล่างและผ่านจุดตรวจศุลกากรออกไปก็พบเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาจังหวัดเฮียวโกะที่มารอรับแต่เช้ามืดระหว่างรอรถบัสมารับ ทั้งนักเรียนและครูก็หาโลเคชั่นสวยๆเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกพร้อมกับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นด้วย รถบัสพาคณะเราผ่านคันไซไปโอซาก้า (Osaka) และตรงไปโกเบ (Kobe) ซึ่งเป็นเมืองเอกของจังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo  prefecture) คือ ประเทศญี่ปุ่นเนี่ยะ แบ่งออกเป็น  47  prefectures เช่น Hyogo  prefecture (คนไทยเรียกพรีเฟ็คเจ้อร์ว่า  "จังหวัด") และภายใต้จังหวัดก็จะมีเมืองต่างๆ เช่น โกเบ (Kobe) ซานดะ (Sanda) มิกิ ( Miki)  ซาซายามะ (Sasayama) และฮิเมจิ (Himeji) เป็นต้น    ด้วยความเร็วจำกัดตามที่กฏหมายญี่ปุ่นกำหนดสำหรับรถบัส  นักเรียนและครูไทยต่างก็เลยสบายๆกับการดูชมสภาพบ้านเมืองและพากันตื่นตาตื่นใจกับโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ถนนหนทางที่ดูเป็นระเบียบ การขับรถที่มีวินัย วัฒนธรรมในการข้ามถนนและการเข้าคิวรอขึ้นรถลงเรือ แม้กระทั่งคิวในการเข้าห้องน้ำ ตลอดจนใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทั้งต้น สีทองหรือสีแดงแช๊ดเนื่องจากใกล้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ล่วง (Aki) เพื่อนสมาชิกลองนึกถึงเนื้อเพลง  Autumn leaves (are red and  gold) ในยุคซิ๊คตี้ดูก็อาจเกิดภาพพจน์ได้ครับ  

             ณ ห้องประชุมของโรงแรมในเมืองโกเบ  คุณ Kobayashi ซึ่งเป็นซีอีโอด้านการศึกษา (Superintendent of  Prefectural Board of Education) รออยู่ถ้าเทียบกับเมืองไทยก็ราวๆ อธิบดี หรือ เลขาธิการ แต่ไม่ใช่ข้าราชการอย่างของไทยเรา ซีอีโอญี่ปุ่นจะมาจากการสมัครคัดเลือกสรรหาและมีวาระสี่ปี หลังจากคุณโคบายาชิได้กล่าวต้อนรับคณะไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่มีเจ้าหน้าที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ  แล้วก็ถึงเวลา Welcome lunch ที่นักเรียนไทยรอคอย (ก็หิวแล้วอ่ะ) คนญี่ปุ่นทำทุกอย่างตามกำหนดการเป๊ะ พอบ่ายโมงตรงก็ส่งขึ้นบัสพร้อมเจ้าหน้าที่พาพวกเราไปเมืองฮิเมจิ (Himeji shi)ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของโกเบประมาณชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงพวกเราก็ได้สัมผัสกับความหนาวเย็นที่ฮิเมจิแล้ว บัสพาเราเข้าไปในโรงเรียนฮิเมจินิชิ (Hemeji Nishi Senior HighSchool ) บรรดาครอบครัวอุปถัมภ์จากโรงเรียนต่างๆ มารอรับกันพร้อมเพรียงก่อนเวลา ไม่เหมือนเมืองไทยซึ่งบางปีจนทำพิธีมอบเสร็จไปสองชั่วโมงแล้วลูกญี่ปุ่นคอยใจหายใจคว่ำแทบร้องไห้ คุณแม่ไทยเพิ่งมารับ สารภาพว่า "มัวบรรจงทำต้มยำกุ้งอยู่ค่ะ"


        ที่ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน  คุณลุงทานิกูจิ (Taniguchi) ซึ่งเป็นโฮสของผม    มองจากหน้าต่างจะเห็นปราสาทฮิเมจิ (Himeji- jo , Jo /โจะ/โยะ = ปราสาท ) ที่ยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลก บางคนเรียกชื่อว่า  " Shirasagi-jo" หรือ ปราสาทนกกระเรียนขาว (White Egret Castle) เวลากลางคืน จะมีไฟส่องไปที่ปราสาท  ดูไกลๆ จะเห็นเหมือนกระเรียนขาวกางปีกเล็กน้อย แต่สำหรับผมกลับเห็นเป็นสตรีญี่ปุ่นใส่ชุดขาวและสวมเสื้อยูกาตะ (Yukata) สีดำทับ ดูสง่าและเงียบขรึมน่าเกรงขาม  แต่ช่วงดีที่สุดจะเป็นปลายมีนาหรือต้นเมษาเพราะต้นซากุระ (Sakura / Cherry  blossom) รอบๆ ปราสาทพร้อมใจกันผลิดอกบานสะพรั่งสีชมพู สดใส และสวยหวานแหว๋วเกินกว่าจะหาคำบรรยายครับ  คืนแรก คุณลุงผอ.และครู พาครูฝรั่งและผมไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้านอาหารมีชื่อแบบญี่ปุ่น  นั่งห้อยเท้าได้สบายๆ พร้อมเครื่องทำความร้อนช่วยให้เท้าอบอุ่น  อาหารที่เจ้าภาพสั่ง ได้รับการลำเลียงจากพนักงานสาวๆมาบริการเป็นชุดๆ  ห้าคนก็ห้าชุด แต่ละจานประดิษฐ์ประดอยดูสวยงามน่ารัก เป็นทั้งอาหารตาและอาหารปาก  อ้อ!  มีที่เป็นจานกลางด้วย คือ ซาชิมิ (Sashimi-คนไทยเรียก "ปลาดิบ") ประกอบไปด้วยแซลมอน (salmon ) ทูน่า (Maguro) หมึกยักษ์ (Tako) หมึกเล็ก (Ika) หอยเชลล์ (Hotate) และ ผัดสดต่างๆ  ผมคีบทูน่าจุ่มโชยุผสมวาซาบิ  ลองชิมดู  ของเขาสดจริงๆ และกลั้วคอด้วยเหล้าสาเกร้อน( Osake ) ก็อร่อยดีครับ

              สัปดาห์ต่อมานักเรียนไทยเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพความหนาวเย็นในญี่ปุ่นได้แล้ว ผมตระเวนเยี่ยมบางโรง เจอนักเรียนหญิงของเราใส่ชุดนักเรียนของโฮส ส่วนโฮสก็ใส่ของสาวไทยเป็นการแลกเปลี่ยนกันและที่โรงเรียนฮิเมจินิชิ คุณลุงได้ให้เวลาฝ่ายไทยสิบโมงถึงเที่ยง ก็มีการนำเสนอวีซีดีเกี่ยวกับประเทศไทยสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเป็นภาษาญี่ปุ่น ตามด้วยการแสดงรำไทยของนักเรียนไทยทั้งระดับคลาสสิคและรำวงมาตรฐาน จบลงด้วยการเชิญครูและนักเรียนญี่ปุ่นร่วมรำด้วย ท้ายสุดก็ทานอาหารร่วมกันโดยฝ่ายเรามีทั้งต้มยำกุ้งรสอ่อนๆ หมูทอดกระเทียมพริกไทย ไข่เจียวหมูสับ (ขายได้ทุกงาน) และข้าวหอมมะลิร้อนๆ ที่นักเรียนขนไปจากไทย ก็อร่อยและสนุกสนานกันดี ผมบอกญี่ปุ่นว่าถ้าอยากชิมอาหารไทยรสชาติแท้ๆแบบมืออาชีพและผลไม้รสดีหลากหลายซึ่งมีตลอดปีและไม่แพงก็ต้องไปเที่ยวเมืองไทย ผมเจอมังคุดที่ญี่ปุ่น ตกใจมาก ผลละ  100 บาท / 120 บาท (แพงเว่อร์อ่ะครับ)

 

             ผมมัวแต่ยุ่งกับกิจกรรมต่างๆจนเกือบลืมไปเลยว่าที่ตัดสินใจยอมมาญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมืองฮิเมจิ ก็เพราะมีวาระแอบแฝงอยู่ในใจ  คืออยากเจอผู้หญิงคนนึงซึ่งผมเคยคบกับเค้าตอนเป็นนักเรียน ELICOS ที่ Curtin University, Western Australia และเธออยู่ที่เมืองนี้ ผมแอบขอให้ทางโรงเรียนช่วยเช็คข้อมูลก็ทราบว่า เธอได้เข้าพิธีแต่งงานกับหนุ่มญี่ปุ่นตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว  ก็นะ เหมือนอย่างที่เค้าว่า ถ้าคุณ " Lucky in game "  ก็จะต้อง  " Unlucky in  love "  มั้ง  คงต้องปล่อยให้เป็นแค่เพียงความทรงจำดีๆในอดีตละกัน   ยังงัยก็ขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่ช่วยลุ้นช่วยเชียร์เป็นอย่างมากเลยครับ

 

 

 




Create Date : 14 มีนาคม 2556
Last Update : 12 เมษายน 2556 21:30:38 น. 7 comments
Counter : 1643 Pageviews.

 
ชอบจังค่ะ อ่านแล้วเหมือนได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยเลย


โดย: koy IP: 210.246.188.229 วันที่: 14 มีนาคม 2556 เวลา:14:40:38 น.  

 
อ่านแล้วน่าสนุกจังเลยนะคะ เก่งเป็นคุณครูสังกัดสพฐเหมือนกันค่ะ แต่ปีนี้ จะลาออกไปเรียนต่อแล้วก็อยู่กับแฟนที่ญี่ปุ่นแล้ว อ่านแล้วอยากเป็นเจ้าหน้าที่ช่วยประสานงานมั่งจังเลย ^________^


โดย: เก่ง (keng_toshi ) วันที่: 14 มีนาคม 2556 เวลา:14:53:35 น.  

 
สนุกมากเลยค่ะ แล้วอัพเรื่องใหม่เร็วๆนะค่ะ


โดย: yui IP: 110.49.248.107 วันที่: 14 มีนาคม 2556 เวลา:18:47:41 น.  

 
^_________^
อ่านแล้วได้ความรู้แถมเพลิดเพลิน จะคอยติดตามเรื่อยๆคะ ขอบคุณเช่นกัน


โดย: Koy IP: 110.49.235.178 วันที่: 15 มีนาคม 2556 เวลา:18:46:57 น.  

 
ถ่้าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องทำวีซ่าใช่รึเปล่าค่ะ
แล้วการได้วีซ่ายากมั๊ยค่ะ คุณ Jack happy พอจะทราบบ้างมั๊ยค่ะ

ขอบคุณคะ


โดย: Jit IP: 58.9.4.225 วันที่: 17 มีนาคม 2556 เวลา:20:50:33 น.  

 

1. หนัสือเดินทางราชการ ( Passport F ) ไม่ต้องขอวีซ่า

2. หนังสือเดินทางส่วนบุคคล ( ปกแดงๆ หรือน้ำตาลอ่ะครับ ) ต้องขอวีซ่า ใน กทม. ก็ ที่ สีลมคอมเพล็ก นั่ง/ยืน BTS ไปลงสถานีสีลม เดินลงซ้ายมือก็เห็นตึกนี้เลย ส่วนรายละเอียดช่วยดูเว๊ปสถานทูตฯญี่ปุ่น หรือ คีย์ที่กูเกิ้ล นะครับ เท่าที่ผ่านมา ผมพานักเรียนไปทำ เอกสารครบ มีสัมภาษณ์เล็กน้อย หนึ่งสัปดาห์ก็ไปรับเล่มคืนได้แล้วครับ


โดย: Jack (Jack Happy ) วันที่: 17 มีนาคม 2556 เวลา:22:28:07 น.  

 
ขอบคุณค่ะ

ลองทำตามที่คุณ jack happy แนะนำแล้วได้ความรู้ขึ้นมาเยอะเลยค่ะ

ขอสมัครเป็นแฟนบล็อคของคุณ jack happy ด้วยคนนะค่ะ ^^


โดย: jit IP: 110.49.249.120 วันที่: 18 มีนาคม 2556 เวลา:21:20:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jack Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Jack Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.