Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 

กฏแห่งกรรม 17-21



ถ้าต้องการอ่านแบบเนื้อหาหนังสือ กฏแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ เต็มสมบูรณ์
คลิกดาวโหลดที่นี่ค่ะ

//www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=25541

ส่วนเล่มที่ 1-16 (แบบย่อ)ที่ผ่านมา


//www.bloggang.com/mainblog.php?id=imaginer&month=03-12-2009&group=5&gblog=56





เนื้อหาแบบย่อ

เล่ม 17

--ฤามีที่ให้หนีกรรม

ท่านนายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ



ยิงกระทิง

ไปล่าสัตว์ที่บ้านบ่อไทร อ.นาเฉลียง จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ.๒๕๐๖ น้องชายผมก็รถคว่ำ เสียชีวิตตรงปากทางที่เข้าบ้านบ่อไทรพอดี ทำให้ผมนึกถึงสายตาอันอาฆาตของกระทิงว่าอาจจะมาเอาชีวิตน้องชายผมก็เป็นได้

ยิงตานก
ลูกน้องผมก็ท้าผมว่าถ้ายิงแม่นจริงก็ให้ยิงเข้าตาอีแร้งให้เขาดู ผมกำลังคะนองไม่ได้คิดถึงบาป ก็ยกปืนเล็งไปที่ตาอีแร้งข้างขวา ปรากฏว่าผมยิงเข้าตาอีแร้งข้างขวาพอดี ทะลุสมองหล่นมาตาย ต่อมาเมื่อ ผมเข้าไปเที่ยวป่าที่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี กลางคืนก็เดินกันเข้าไปในป่า บังเอิญวันนั้นโชคร้าย ผงขี้เลื่อยปลิวเข้าตาข้างขวาผมพอดี รู้สึกเคืองมาก แต่อยู่ในป่าจะกลับกลางคืนก็ไม่ได้ต้องอยู่จนรุ่งเช้า ผมก็ใช้น้ำที่รับประทานล้างตาเป็นระยะๆ เพื่อลดความเคืองของตา พอเช้าผมก็รีบกลับมาโรงพยาบาล ทำการล้างตาและหยอดตาทั้งยาชาและยาแก้อักเสบ อาการก็ไม่ดีขึ้น ผมก็ให้หมอดูหลายคน ทุกคนบอกว่าไม่เป็นไรนอกจากเคืองเท่านั้น ทั้งปวดเคืองและค่อยๆ มัวขึ้นจนบอดสนิท รักษาไม่ได้ทำให้ผมระลึกถึงการยิงเข้าลูกตาของอีแร้ง ก็เป็นการรับกรรมที่ได้ไปทำเขา

ยิงลูกชะนี
เข้าไปล่าสัตว์ในป่าลำขาแข้งที่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ซึ่งไปกันเป็นประจำทุกปี ก่อนผมเข้าป่าน้องสาวผมบอกว่าอยากได้ลูกชะนีมาเลี้ยงสัก ๑ ตัว ผมก็รับคำว่าจะพยายามหามาให้
พวกพรานบอกผมว่า ถาอยากได้ลูกชะนี ต้องยิงแม่ชะนีให้ตายจึงจะได้ลูก เพราะลูกชะนีจะเกาะอยู่ที่หน้าอกของแม่ตลอดเวลา
ขณะนั้นผมไม่ได้นึกถึงบาปกรรม เพียงแต่อยากได้ลูกชะนีมาฝากน้องสาว ส่วนผมนั้นเมื่อไล่ตามชะนีไปมาหลายครั้งก็เหนื่อย เมื่อเหนื่อยมือก็สั่น พอชะนี้หยุดผมก็ยกปืนยิงแม่ชะนี ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนยิงปืนแม่น แต่ด้วยความเหนื่อย มือสั่นทำให้ผมยิงพลาดไปถูกขาขวาของลูกชะนี ขาลูกชะนีก็หักห้อยลง ผมเห็นลูกชะนีเอามือจับขาที่ห้อยลงแล้วก็ยกขึ้นพร้อมกับร้อง ผมก็ตกใจและเสียใจในการกระทำของผม ผมจึงตัดสินใจยิงลูกชะนีให้ตาย เพื่อจะได้ไม่ทรมาน พร้อมกันนั้นผมก็ส่งปืนให้พรานถือไว้ และบอกกับพรานว่าเลิกกันที ต่อไปนี้ผมจะเลิกเข้าป่ายิงสัตว์ และผมก็เลิกมาตั้งแต่วันนั้น และไม่ยอมฆ่าสัตว์อีกเลยนอกจากพวก ยุง มด และปลวก
ผมไปขุดดินปลูกต้นไม้โดยขุดด้วยจอบ ไม่ทราบว่าไปฟันดินท่าไหน รู้สึกแปล๊บที่บั้นเอว และร้าวไปทางสะโพกขวาเรื่อยไปจนถึงนิ้วก้อยเท้า หมอเอ็กซเรย์ ก็บอกผมว่า ขณะขุดดินอาจจะเอี้ยวเอวแรงไปทำให้กระดูกทับเส้น ไม่น่าจะเป็นมาก จากนั้นผมก็ได้ทาถูนวดด้วยยา และรับประทานยาแก้ปวดตลอดมา อาการก็ทรุดหนักลง พอนึกจะปวดขึ้นมาก็ปวดจากสะโพกลงไปขาทุกครั้ง อาการปวดเป็นมากจนต้องฉีดยาชา เข้าไปที่เส้นประสาทใหญ่ที่สะโพก เพื่อทำให้ประสาทชา บางครั้งทั้งฉีดและกินยาก็ไม่หายปวด นึกจะปวดขึ้นมาละก็บางครั้งต้องคลานจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง เพราะเดินไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็นึกถึงกฎแห่งกรรมตามทันในการยิงถูกขาขวาของลูกชะนี ผมจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานถึงลูกชะนีว่าขออโหสิกรรมให้ผมด้วย เพราะผมทำบาปไปด้วยความคะนองทุกครั้งที่กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร และลูกชะนีทุกครั้ง และขออโหสิกรรมทุกครั้ง มันปวด จนบางครั้งผมอยากจะกินยานอนหลับให้ตายไปเลย เพื่อจะได้ไม่ทรมานจากการปวด
ผมได้ย้ายคลินิกเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังโรงพยาบาลสิงห์บุรี และได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ต่อไปนี้จะเลิกกินเนื้อสัตว์ จะกินแต่น้ำข้าว และไวตามิลด์ขวด และผลไม้พร้อมกับกินปลาตัวเล็กๆ เท่านั้น พร้อมกันนั้นผมก็ยังอธิษฐานขออโหสิกรรมลูกชะนีตลอดเวลา ทั้งก่อนนอนและเวลากรวดน้ำ อยู่ๆ อาการปวดที่เคยปวดก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้รักษาอะไร แสดงว่าการทำบุญและขออโหสิกรรมที่ได้ขอตลอดมาได้รับการอโหสิกรรม จากเจ้ากรรมนายเวรและลูกชะนีที่ผมยิงแล้ว และผมก็พยายามสอนคนเรื่องฆ่าสัตว์ว่าอย่าทำเลย เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็มีความเจ็บปวดเมื่อถูกทำร้าย และกลัวตายกันทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่า บาปกรรมนั้นมีจริง โดยเฉพาะตัวผม กรรมตามทันตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ผมจะทำบุญ ทำทานมากก็จริง แต่ไม่สามารถลบล้างกรรมนั้นได้




--ผลของการอธิฐานจิตปฏิบัติกรรมฐาน


ดิฉันมีความสุขพร้อมทั้งฐานะการเงินการงานและครอบครัว ทั้งลูกและสามีเป็นคนดีมาก มาปี พ.ศ.๒๕๓๔ เศรษฐกิจ กิจการค้าเริ่มซบเซาขาดทุนเรื่อยมา ผลที่ตามมาคือ ความไม่สงบสุขของครอบครัว มีแต่เรื่องที่พูดกันไม่เข้าใจกันมีปากเสียงกันไม่มีใครฟังใครทุกคนมีแต่ความเครียดมีแต่ความทุกข์ใจ ความสุขไม่มีในบ้านเลย ระหองระแหงกัน ความยิ้มแย้มหาไม่พบเลย มีแต่ความเครียด ของทุกคนตัวติดฉันเองก็ต้องพึ่งยาเพราะนอนไม่หลับ มีแต่ความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา สุขภาพร่างกายและจิตใจก็โทรมไปอย่างมาก หาความสุขความสงบในจิตใจไม่ได้เลย สักนาทีเดียว ต่อมาประมาณเกือบปี ดิฉันได้พบปะพูดคุยกับคุณวลัยลักษณ์ ซึ่งเป็นญาติ เขาเคยได้รับความทุกข์มากกว่าดิฉันมาแล้ว เขาได้ไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดหลวงพ่อจรัญ ปรากฏว่า ปัจจุบันชีวิตของเขาดีขึ้น หน้าตาสดใสเปล่งปลั่งสดชื่น เพราะเขาปฏิบัติกรรมฐานเป็นประจำสม่ำเสมอกรรมฐานช่วยให้กิจการเขาดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม ดิฉันได้กราบหลวงพ่อ ความรู้สึกที่ได้รับคือ ความปีติ และกระแสแห่งความเมตตาที่ได้รับรู้ด้วยตัวเองในเวลานั้น และรู้สึกดีใจมากและมีความสบายใจ ซึ่งไม่เคยได้รับมาเป็นเวลา ๘ ปี มาแล้ว
ต่อมาได้มีโอกาสไปปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรกเป็นเวลา ๘ วัน ๗ คืน ทำให้จิตใจสดชื่น มีความสุข มีความศรัทธา ความสุขนี้มีค่ายิ่งสำหรับดิฉัน เพราะ ๘ ปีผ่านมา ความสุขขาดหายไปสำหรับดิฉัน ดิฉันได้นำการปฏิบัติกรรมฐานนี้มาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องที่บ้านของดิฉันและมีโอกาสได้ไปปฏิบัติกรรมฐาน ที่วัดอัมพวันของหลวงพ่อจรัญ
ดิฉันติดว่าทำอย่างไร จะได้พระสมเด็จได้รับจากมือหลวงพ่อขอให้ได้รับจากมือหลวงพ่อก็ได้แต่คิดระหว่างนั่งปฏิบัติกรรมฐานกำหนด ในกรรมฐานว่าอยากได้หนอ ได้ก็ดีหนอ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหนอ แล้วก็ปลงอย่าไปยึดมั่นอยากได้โน่น อยากได้นี่คิดหนอฟุ้งซ่านหนอแล้วก็ปล่อยวางไม่คิดอีกมีสติรู้หนอ
แต่อยู่ๆ คุณพานิชก็ถวายของให้หลวงพ่อและบอกว่า ให้หลวงพ่อมอบมอบให้ดิฉัน เป็นพระสมเด็จเทพนิมิตเลี่ยมทอง ดังที่ได้เล่ามาตั้งแต่ต้นว่า ไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าอยากได้อะไรอย่างไร แต่ดิฉันก็ได้อย่างที่นึก เพราะบุญที่ดิฉันไปปฏิบัติกรรมฐาน และกำหนดว่าอยากได้จากมือหลวงพ่อมาห้อยคอ แล้วก็ปลงไม่คิดอยากได้จึงได้มาเหมือนปาฏิหาริย์

ตั้งแต่ดิฉันได้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่องตลอดมา สิ่งที่ดิฉันได้รับคือ มีสติ มีความอดทนไม่โกรธง่าย รู้จักการให้อภัยไม่อาฆาต รู้จักให้รู้จักการแผ่เมตตาให้ศัตรู แทนการอาฆาต ทำให้จิตใจดิฉันเบิกบานเมื่อได้แผ่เมตตา เมื่อดิฉันรู้จักให้อภัย จิตใจก็สงบและหน้าตาร่างกายก็สดใส

ดิฉันมีสัจจะกับตัวเองปฏิบัติโดยไม่ผลัดวันเวลามีแต่จะปฏิบัติให้มากกว่าเดิม ก่อนที่ดิฉันจะมาปฏิบัติกรรมฐาน ดิฉันต้องทรมานกับการปวดเข่าปวดขา ทั้งนวดทั้งฉีดยาเป็นระยะยาว ไม่หายจนมานั่งปฏิบัติใหม่ๆ ดิฉันนั่งขัดสมาธิไม่ได้ เพราะปวดหัวเข่า ด้วยความศรัทธาในองค์หลวงพ่อก็พยายามแต่ก็นั่งไม่ได้นานนัก มาวันหนึ่งระหว่างนั่งปฏิบัติเท้าเริ่มชา ด้วยสติที่ดิฉันพอจะได้บ้างจากการปฏิบัติก็ปวดหนอๆๆๆๆ มีความรู้สึกได้ขนาดว่า เส้นเลือดมีกี่เส้น ปวดเหมือนเส้นจะแตกออกมาปวดไล่ขึ้นถึงโคนขา ใช้ความอดทนอย่างมากจนกระทั่งมีความรู้สึกว่า ความปวดกำลังแผ่กระจายซ่าๆๆๆๆ มากๆ หลังจากเหตุเกิดครั้งนั้นจนวันนี้ดิฉันไม่เคยปวดส่วนใดๆ ยิ่งปฏิบัติยิ่งเกิดความสุข ไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อ เพียงแต่ให้มีความมั่นคงของจิตใจ และความเพียรพยายามอดทน กรรมฐานปฏิบัติอย่างใจบริสุทธิ์แล้ว จะได้พบในสิ่งที่สมความปรารถนาโดยไม่คาดคิด ที่ดิฉันเล่ามานี่เป็นเพียงต้องการให้ท่านอย่าได้เคลือบแคลงสงสัยในการปฏิบัติเพียงท่านตั้งใจคิดเสมอว่าปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อจะได้ในสิ่งที่อยากได้ แล้วท่านจะได้เมื่อท่านปลง คือไม่เร่าร้อนได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างดิฉันได้ประสบด้วยตัวเองมาแล้ว



--สัญญาใจ

ได้มาปฏิบัติธรรมทีวัดอัมพวัน เป็นเวลาติดต่อกันหลายปีและหลายโอกาสด้วยกัน
สิ่งที่ดิฉันจะนำเรียนท่านผู้เจริญในธรรม ประสบการณ์ชีวิตที่ได้ข้อคิดจากการให้พรของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ดิฉันได้ชวนสามีมากราบนมัสการหลวงพ่อด้วยจิตคิดทำบุญกุศลถวายจตุปัจจัยร่วมสร้างเสนาสนะตามอัธยาศัยของหลวงพ่อ ในโอกาสคล้ายวันเกิดของดิฉันเอง ได้อธิษฐานจิตตลอดเวลาว่าขอให้ได้พบและมีโอกาสได้สนทนากันหลวงพ่อด้วย หลวงพ่อมองหน้าดิฉันสักพักหนึ่งแล้ว บอกว่าให้รอรับพรก่อนอย่าพึ่งกลับ แล้วท่านก็หันมาบอกอีกว่า ไม่นานจะได้รวยเป็นเศรษฐี ดิฉันก็ได้แต่ปลื้มใจ จึงตอบหลวงพ่อว่า ขอให้สมปรารถนา

จากวันนั้นเป็นต้นมาเวลาผ่านไป ๓ เดือน ประมาณปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ สามีของดิฉันก็ล้มป่วยลง จึงพาไปโรงพยาบาลทั้งของเอกชนและของรัฐบาล อาการทรุดหนักลงทุกวันๆ สามีเลยพูดกับดิฉันว่า เขาคงไม่หายหรอกให้คุณกลับไปอยู่กับน้องคุณที่บ้านจังหวัดยโสธรก็แล้วกัน มันคงเป็นโรคกรรมตามมา

ดิฉันเลยนึกขึ้นได้ อ้อ! ที่หลวงพ่อบอกว่าไม่นานจะได้รวยเป็นเศรษฐีนั้น ก็เพราะจะได้เงินค่าทำศพของสามีนี้เอง ดิฉันก็เลยกับสามีว่า ไม่ต้องการเงินของเขาแม้แต่บาทเดียว ถ้าเขาจะตายก็ให้มอบฉันทะทั้งหมดให้แม่และน้องๆ ของเขา
ในการเข้าพักรักษาตัว สามีก็บอกดิฉันว่า คุณบอกให้หลวงพ่อจรัญ ช่วยหน่อยเถอะดิฉันก็สวดมนต์นั่งสมาธิ อธิษฐานจิตบอกหลวงพ่อให้ช่วยลูกด้วยเถอะ สามีของลูกป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลพิษณุเวช ห้อง(จำหมายเลยไม่ได้) ชั้น ๗ จังหวัดพิษณุโลก

ช่วงประมาณตี ๓ – ๔ ดิฉันฝันไปว่าหลวงพ่อจรัญไปเยี่ยม แต่ไม่ได้เข้าไปในห้อง ผู้ที่เข้าไปในฝันก็คือ ท่านเจ้าคุณพระราชสารโมลี เจ้าอาวาสวัดนาควัชรโสภณ (วัดช้าง) อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นวัดที่เข้าไปช่วยงานของท่านตลอดมา

ในการเข้ารักษาตัวก็มีพระอาจารย์จากวัดนาควัชรโสภณ(วัดช้าง) กำแพงเพชร ไปเยี่ยมจึงถามท่านว่า รู้ได้อย่างไรว่ามาอยู่โรงพยาบาลนี้ ท่านบอกว่า มาลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยนเรศวร เลยโทรศัพท์เช็คตามโรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดพิษณุโลก ทางโรงพยาบาลพิษณุเวช เลยบอกว่ามีชื่อผู้ป่วยดังกล่าวเข้ามารักษาที่นี่ ๒ วันแล้ว ก็เป็นเรื่องแปลก กลายเป็นพระเดชพระคุณพระราชสารโมลีเข้าไปเยี่ยมแทน ก็เป็นจริงดังฝันทุกประการ

ที่นี่ค่าใช้จ่ายแพงหน่อย นั่นคือหมอแนะนำเข้ารักษาที่ โรงพยาบาลของรัฐ จึงตัดสินใจย้ายไป โรงพยาบาลพุทธชินราช เมื่อเข้าไปคืนแรก ดูเหมือนเจ้าของห้องไม่อนุญาต พอสามีของดิฉัน ขึ้นเตียงนอน เขาก็มาโยกเตียงไปมา สามีกำหนดจิตและบอกเจ้าของห้องเขาและอย่าลืมสวดอิติปิโส และแผ่เมตตาให้เขาด้วย ในคืนนั้นดิฉันและสามีต่างก็สวดมนต์บทอิติปิโสและแผ่เมตตาให้เจ้าของห้อง รวมไปถึงเจ้ากรรมนายเวรด้วย จึงได้มีเวลาได้หลับนอนบ้าง

แต่ในวันที่ ๒ อาบน้ำเสร็จเปิดประตูออกมาได้พบกับผู้หญิงนุ่งกระโปรงชุดสีเทายืนอยู่หน้าห้องน้ำ พอแต่งตัวเสร็จเลยบอกสามีว่า เจ้าของห้องเป็นผู้หญิงชื่อนี้นะ (หมายถึงชื่อที่ทางโรงพยาบาลติดไว้ที่หน้าห้องว่าเป็นผู้บริจาคสร้างห้องพิเศษห้องนี้) ถ้าหายป่วยกลับไปต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาด้วย

สามีพักรักษาอยู่โรงพยาบาลพุทธชินราช ประมาณ ๑๗ วัน เราสวดมนต์แผ่เมตตาให้ทุกวันเหตุการณ์ต่างๆ ก็ไม่เกิดขึ้น แถมยังช่วยเหลือเราเสียด้วยซ้ำไป เพราะการรักษาของหมอจะต้องให้ยาทางเส้นเลือดครั้งละ ๒๐๐ ซี.ซี. ติดต่อกันช่วงห่างกันประมาณ ๔ ชั่วโมง ในช่วงดึกบางวันก็อ่อนเพลียหลับไปน้ำยาหมดขวด เขาก็มาสะกิดให้เราตื่น เพื่อเรียกพยาบาลเปลี่ยนยาให้ เป็นต้น
ในช่วงที่รอหมอเข้ามาตรวจ พอดีมีพระอาจารย์มหาสุพิสิทธิ์ สำเภา ซึ่งอยู่วัดนาควัชรโสภณ(วัดช้าง) กำแพงเพชร เดินทางไปกับน้องชายเพื่อจะรับกลับ ก็เลยไปซื้ออาหารมาถวายเพลท่าน และถือโอกาสทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของห้องไปเลย

พอสามีหายป่วยเป็นปกติ ถึงวันครบรอบวันเกิด เลยชวนมาทำบุญที่วัดอัมพวัน ได้ถวายจตุปัจจัยแด่หลวงพ่อ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพราะดิฉันได้อธิษฐานไว้ว่า ไม่ต้องการเงินจากเขา ต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป เลยต้องมาทำบุญทำกุศลตาม “สัญญาใจ” ดังกล่าว



--ความมหัศจรรย์ของการสวดพุทธคุณ


มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับครอบครัวของข้าพเจ้าหลังจากก้าวแรก ที่ข้าพเจ้าเดินเข้ามาในวัดอัมพวัน เป็นเวลาเกือบ ๔ ปี ที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นสามีของข้าพเจ้ายังไม่ได้ย้ายมารับตำแหน่งผู้ช่วยนายสถานีลพบุรี ข้าพเจ้าและครอบครัวได้มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชมวัดอัมพวัน โดยบังเอิญแต่ไม่ได้เจอหลวงพ่อ เพียงแต่ได้เดินชมรอบๆ วัด และไปเจอร้านหนังสือเห็นรูปหลวงพ่อจรัญ และหนังสือ สวดมนต์เล่มเล็กๆ เขียนไว้ว่า “อานิสงส์ ของการสวดพระพุทธคุณ” สามีของข้าพเจ้าก็หยิบติดมือมาประมาณ ๓-๔ เล่ม หลังจากนั้นสามีของข้าพเจ้าก็นำมาเปิดอ่านและปฏิบัติตามหนังสือก่อนนอน และตอนเช้าก่อนไปทำงานทุกวัน สำหรับข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงแต่รับรู้ว่าสามีของข้าพเจ้าบ่นพึมพำอะไรทุกๆ เช้า เป็นภาษาบาลี ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจ และต่อมาก็ได้มีโอกาส ไปวัดอัมพวัน อีกหลายๆ ครั้ง แต่ไม่เคยพบหลวงพ่อ เพียงแต่ได้ไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์ ในวัดอัมพวันเท่านั้น

หลังจากที่สามีของข้าพเจ้าสวดพาหุงมหากา พร้อมด้วยอิติปิโส เท่าอายุ บวกหนึ่ง มาตลอด เช้า-เย็น ตลอดระยะเวลาเกือบ ๒ ปี อานิสงส์ ของการสวดพาหุงมหากา ก็ดลบันดาล ให้สามีของข้าพเจ้าได้เลื่อนตำแหน่ง และย้ายที่ทำงานมาเป็นผู้ช่วยนายสถานีรถไฟ ลพบุรี หลังจากนั้นอีกไม่ถึงปี มีแต่ความเจริญในหน้าที่การงานเป็นที่รัก และไว้ใจของผู้บังคับบัญชา ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับ ๗ ผ่านการพิจารณาเงินเดือน ขั้นครึ่ง และสิ่งที่ครอบครัวเราภูมิใจที่สุด คือ สามีของข้าพเจ้า ได้รับคัดเลือกให้เป็นพนักงานดีเด่น(ชมเชย) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นเพราะอานิสงส์แห่งการสวดพระพุทธคุณพาหุงมหากา และเมตตาบารมี ของหลวงพ่อจรัญโดยแน่แท้ ที่ทำให้สามีของข้าพเจ้ามีแต่ความเจริญ ในหน้าที่การงาน ทำให้ข้าพเจ้า ซึ่งไม่เคยสวดมนต์เลย ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะต้องสวดพาหุงมหากาให้ได้



--กรรมฐานกับความมหัศจรรย์ทางจิต



เพื่อความกระจ่างเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ทางจิต ข้าพเจ้าขอเล่าย้อยหลังไปในช่วงกลางปี ๒๕๔๐ ในขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังประสบกับปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก ประกอบกับทางธนาคารได้เร่งรัดหนี้สินตลอดเวลา โดยที่ ข้าพเจ้าไม่สามารถหาเงินชดใช้ได้เลย ทำให้เกิดอาการเคร่งเครียด หนทางเดียวคือ ต้องขายบ้านพร้อมที่ดินเพื่อปลดหนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครมาติดต่อขอซื้อ และเมื่อธนาคารทวงถามหนักขึ้น ก็ยิ่งรุ่มร้อนเป็นเงาตามตัว เมื่อถึงคราวคับขันอับจนปัญญาจึงต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยได้หรือไม่
ข้าพเจ้าลองนั่งสมาธิ กำหนดจิตให้เป็นหนึ่งเดียวพร้อมกับภาวนาบทพุทธคุณในใจ “อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ” กลับไปกลับมาหลายเที่ยวหลายจบ เมื่อใจจดจ่อยู่กับองค์ภาวนาทำให้สมาธิแนบแน่นิย่งขึ้นจนเวลาล่วงเลยไปโดยลำดับ และแล้วข้าพเจ้าก็ได้ประสบกับปรากฏการณ์ทางจิตเป็นครั้งแรก เริ่มจากกายที่ซ่าซ่านสั่นสะท้าน ขนลุกขนพอง และริมฝีปากที่สั่นระริก ต่อมาความรู้สึกกลับไปอยู่ท้ายทอย คล้ายกับว่าบริเวณนั้นถูกกระแทกด้วยของหนัก และถูกชอนไชด้วยของแหมลจนทะลุถึงสมองส่วนใน เจ็บแปลบและเสียวซ่านเป็นระยะ เปลือกตาที่ปิดลงเริ่มกระชับแน่น บัดนี้มีแต่ความมืดที่เงียบสนิท ขณะเดียวกันสมองก็ยังรับรู้ถึงอาการที่กำลังเปลี่ยนแปลง สติสัมปชัญญะก็ยังอยู่ครบถ้วนไม่สูญหายไปไหน ไม่นานนักบทพุทธคุณที่เป็นองค์ภาวนาในใจ ก็กลับกลายเป็นเสียงคนแก่เปล่งออกมา เสียงฟังดูกระท่อนกระแท่นแต่ก็สวดจนจบบท มาถึงตรงนี้ทุกอย่างสงบนิ่ง
หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคนข้างเคียงมาติดต่อขอซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ซึ่งข้าพเจ้าตกลงใจขายให้โดยไม่ลังเล ได้เงินจำนวนหนึ่งมาชดใช้หนี้ให้ธนาคารจนหมดสิ้น และมีเงินเหลือส่วนหนึ่งพอที่จะหาซื้อบ้านหลังใหม่ ถึงแม้จะมีขนาดเล็กลงก็ตาม

หลังจากนั้นมา ข้าพเจ้ายิ่งได้ใจเวลานั่งสมาธิคราวใด มักจะติดต่อสัมผัสทางจิตกับผู้มีพระคุณเหล่านั้นเสมอ แต่มาสำนึกได้ภายหลังว่า เป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง หากกระทำพร่ำเพรื่อหรือบ่อยครั้งเกินไปจะเป็นผลร้ายต่อตัวเองได้ เอาไว้เมื่อถึงคราวคับขันหรือจำเป็นจริง เท่านั้นจะดีกว่า จึงหยุดการกระทำดังกล่าวมาเป็นเวลานานพอสามควร และปรากฏการณ์ทางจิตที่ว่านี้ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ณ วัดอัมพวันแห่งนี้ โดยได้รับการสื่อสัมผัสทางจิตจากพระอริยะสงฆ์เจ้าถึงสองพระองค์ โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้คาดคิดหรือนึกฝันมาก่อนเลย ซึ่งอยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ

คืนนั้นข้าพเจ้าพักผ่อนอย่างเป็นสุข จนกระทั่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา จัดแจงอาบน้ำแปรงฟันจนเรียบร้อย รอฟังเสียงเคาะระฆังเพื่อร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม แต่ข้าพเจ้ายังมีใจจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เหลือบดูนาฬิกาก็แค่ตีสองกว่าๆ รู้สึกง่วงเล็กน้อยจึงเอนกายลงนอน พร้อมกับกำหนดที่หน้าท้อง พอง-หนอ ยุบ-หนอ พอสติเริ่มขาดหายก็ตามกลับมาใหม่เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งมารู้สึกตื่นตัวเต็มที่เมื่อริมฝีปากเริ่มขยับเขยื้อน ปลายลิ้นม้วนตวัดเข้าหากันเป็นวงกลม มีเสียงเล็ดลอดออกมาฟังดูหวีดหวิว พอตั้งสติได้แล้วจึงกำหนดจิตถามไป ทราบว่าเป็นเปรตตนหนึ่งอิงแอบอาศัยอยู่ที่วัดอัมพวันแห่งนี้ ต้องตกระกำลำบากอดอยากมานาน จึงรีบแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจากการปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ ให้เขาล่วงพ้นจากความทุกข์ได้ไปผุดไปเกิดเสียที และรับปากว่าอีก ๒-๓ วัน ข้างหน้าจะนำอาหารใส่บาตรอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลตามไปให้อีกครั้ง เขารับรู้และดีใจอย่างมาก จากนั้นข้าพเจ้าก็ลุกจากที่นอน เปิดประตูออกมายืนที่ระเบียงชั้นสี่พลางกวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณซึ่งมืดมิด เพื่อมองหาเขาแต่ไม่พบไม่เห็น



--กตเวทิตปูชา


เอ๊ะ! ทำไมหลวงพ่อเทศน์เหมือนรู้เรื่องของเราเลย หลวงพ่อรู้ได้ยังไง ประโยคเหล่านี้ฉันได้ ยินอยู่ตลอดเวลา และฉันก็มักจะตอบไปว่า อย่าสงสัยเลย หลวงพ่อ "รู้" ทุกอย่างนั่นแหละทำไมฉันถึงมั่นใจขนาดนั้น ก็เพราะฉันประสบด้วยตัวเองถึงความ “ รู้ ” ของหลวงพ่อ
ต่อมาฉันได้นำคณะมาปฏิบัติธรรมร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร (ทับแก้ว จ.นครปฐม ) อีก หลาวพ่อลงมาให้โอวาทตอนหนึ่งท่านพูดถึงการที่ภรรยามาปฎิบัติธรรมทำให้ สามีได้เป็นนายพล แล้วท่านชี้มาที่ฉันพร้อมกับบอกว่าเมื่อ ได้ยศตำแหน่งสูงขึ้นแล้วให้ระวังสุขภาพ ฉันก็พยายามดูแลตัวเองมาตลอดนับจากวันนั้น พอถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๔๒ ฉันก็ตรวจพบว่าตนเองเป็นมะเร็งจนได้ โชคดีที่พบแต่แรกจึงทำให้รักษาได้ ทั้งนี้ด้วยบารมีของหลวงพ่อที่แผ่เมตตาช่วยฉันไว้ เพราะสุขภาพฉันทรุดมากจากการให้ยาเคมีบำบัด ฉันได้มากราบหลวงพ่อที่กุฏิ ด้วยความอยากให้หลวงพ่อพูดถึงสุขภาพ (ที่กำลังย่ำแย่จากการให้เคมีบำบัด) ว่าจะหายหรือไม่เพียงใด พอขาดความคิดของฉัน หลวงพ่อหับขวับมาทางฉัน และบอกว่าเคยมีคนที่ป่วยเป็นหูน้ำหนวกหนองไหลเยิ้มมานานหลายปีมาหาหลวงพ่อ ท่านแนะให้ สวดพาหุงมหากาฯ เขาก็หายได้ และมีตัวอย่างคนที่ป่วยและหายด้วยการสวดมนต์นี้อีก ๒ - ๓ ราย นั่นก็คือ คำตอบที่ฉันได้รับ และแน่ละฉันก็ต้องกลับมาสวดมนต์ตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ


หาก "จิต" ของเรามีความรักเคารพและศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อจะรับการสื่อสารนั้นได้แน่นอน เพราะหลวงพ่อเคยสอนว่า ถ้าจิตของคนมีกระแสคลื่นเดียวกันก็รับกันได้เหมือนเราเปิดทีวีช่องใคก็จะรับข่าวสารทางช่องนั้นได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเปิดช่องเดียวกันหรือไม่ เท่านั้น




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2554
33 comments
Last Update : 31 พฤษภาคม 2560 17:10:04 น.
Counter : 5010 Pageviews.

 

เล่ม 18

--เราได้อะไรจากกรรมฐาน


นับตั้งแต่เริ่มเข้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน เวลาที่ยาวนานถึง ๗ วัน สำหรับคนที่ไม่เคยทนปัญหาใดๆเลย แถมมีแต่ความเจ้าอารมณ์เป็นเจ้าเรือนนั้น บอกตรงๆว่าเป็นความทรมานอย่างเหลือเกิน ร่ำๆจะหิ้วกระเป๋ากลับตั้งแต่วันที่สองแล้ว ไหนจะแปลกที่และต้องนอนกับคนแปลกหน้า ทำให้นอนไม่หลับ ไหนจะต้องนอนกับพื้นกระดารนที่กระด้าง ปราศจากฟูกนิ่มที่เคยนอน แล้วยังต้องรีบตื่นตี ๒ เพื่อเข้าห้องน้ำก่อนคนอื่น ล้วนแต่ทำให้เกิดความท้อถอยทั้งสิ้น หากไม่คิดสักนิดว่าต้องเป็นคนเสียสัจจะ ฉันก็คงเลิกล้มความคิดที่จะอยู่ให้ครบ ๗ วัน และคงไม่มีวัน
นี้ วันที่ฉันโชคดีได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ผู้ซึ่งเมตตาช่วยต่ออายุฉันได้มีชีวิตยืนยาวเพื่อตอบแทนบุญคุณหลวงพ่อ และรับใช้พระพุทธศาสนาจนทุกวันนี้
ก่อนจะพูดว่าฉันได้อะไรจากกรรมฐาน คงต้องเท้าความถึงภูมิหลังกันสักนิด ฉันเป็นลูกทหาร เกิดและเติบโตในค่ายทหาร ถูกปลูกฝังในเรื่องระเบียบวินัยมาตั้งแต่เป็นเด็ก ทำงานในห้องผ่าตัดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ๑ ปี จึงย้ายมาอยู่ที่ค่ายภาณุรังษีราชบุรี การทำงานมักจะอยู่ในตำแหน่งที่ต้องอาศัยการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา ฉันจึงต้องมีความมั่นใจสูงมาก จากบุคลิกที่ถูกหล่อหลอมมาให้มีความมั่นใจในตัวเองสูงขนาดนี้ เมื่อต้องทำหน้าที่ผู้อำนวยการถึง ๒ สมัย ก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจตัวเองสูงขึ้น จนเกือบเรียกว่าเผด็จการเลยทีเดียว
แม้ว่าฉันจะเป็นคนเจ้าระเบียบและเข้มงวดมาก จนกลายเป็นคนดุในสายตาคนอื่น แต่คนที่รู้จักฉันลึกซึ้งจะรู้ว่าแท้จริงฉันเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร ฉันอยากให้ทุกคนมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ มีระเบียบวินัย รู้จักเห็นอกเห็นใจกัน โดยที่ฉันไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไช เมื่อไรที่ฉันต้องตำหนิหรือลงโทษใครสักคน ฉันจะรู้สึกไม่สบายใจมาก
วาระที่ต้องใช้หนี้กรรม มีการส่งแพทย์มาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ฉันเป็นหัวหน้าแผนกที่อาวุโสสูงมาก เป็นรองก็เพียงผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่ฉันถูกตำหนิต่อหน้าที่ประชุมทุกวัน และเรื่องที่ถูกตำหนิมิใช่ความบกพร่องในเรื่องของงานเลย เป็นเพียงการพูดจากระทบกระแทก ฉันก็รู้สึกว่า เพราะสิ่งที่เรียกว่า “กรรม” นั่นเองคือตัวกำหนด เริ่มท้อว่าเมื่อไรจะหมดกรรมเสียที จนกระทั่งได้นำคณะมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นในชีวิตของฉัน นับตั้งแต่ ยศ ตำแหน่ง หน้าที่การงาน บุคคลในครอบครัว รวมถึงสภาวะจิตใจ และอารมณ์ของฉัน
เรื่องของยศและตำแหน่งการงาน ตัวฉันและสามีได้รับยศพระราชทานสูงขึ้นในปลายปี ๒๕๔๑ หลังจากที่ไม่เคยมีการขยับเขยื้อนนับสิบปี ฉันได้ย้ายที่ทำงานไปยังหน่วยใหม่ที่มีความสุขทั้งกายและใจ ได้ทำงานที่ฉันรัก โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเขม่น ไม่มีการอิจฉาริษยา และฉันมีโอกาสได้ ๒ ขั้น
ในส่วนของอารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการฝึกปฏิบัติ วันแรกที่ฉันได้ฝึกนั่งสมาธิ แค่เพียงยกขาขวาขึ้นวางทับขาซ้าย ฉันก็ปวดแทบขาดใจแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปฉันเริ่มอดทนได้มากขึ้น ความเจ็บปวดทรมานยังคงอยู่ แต่จิตใจที่ดิ้นรนกระวนกระวายกลับน้อยลง ความสงบและเบาสบายเริ่มเข้าแทนที่ ยิ่งปฏิบัติต่อเนื่องกัน ฉันเริ่มมองเห็นตัวเองมากขึ้น ฉันมองเห็นกรรมที่เคยทำจากการเบียดเบียนสัตว์อื่น แล้วฉันต้องมารับกรรมโดยถูกผู้อื่นเบียดเบียนบ้าง ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นเอง ฉันเริ่มใช้สติที่ฝึกมาให้เกิดประโยชน์ พยายามหาเหตุผลในเรื่องต่างๆและพยายามไม่หงุดหงิด อดทน และอภัยในความผิดพลาดของคนอื่นได้มากขึ้น

ด้านสุขภาพนั้น ฉันได้รับผลกระทบที่เลวร้ายจากการสะสมความเครียดในการทำงานมานานนับสิบปีความคับข้องใจที่เกิดจากความบีบคั้นของผู้บังคับบัญชาที่หาเรื่องตำหนิรายวันและผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไร้ระเบียบวินัย ทำให้ป่วยเป็นมะเร็งที่ไต จนต้องตัดทิ้งไปข้างหนึ่ง และถูกตัดเนื้อปอดส่วนที่เป็นมะเร็งออกอีกเล็กน้อย โชคดีที่ฉันได้ฝึกกรรมฐานจากวัดอัมพวันมาล่วงหน้า ๒ ปี จึงทำให้ฉัน “ปลง” ทำใจได้เร็วกว่าปกติ

ฉันใช้การเดินจงกรม การนั่งกรรมฐาน เป็นเครื่องมือของจิตมาควบคุมกาย ให้ต่อสู้กับความอ่อนเพลียจากการใช้ยาเคมีบำบัดต่อสู้กับอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว และที่สำคัญต่อสู้กับความกลัวตาย ที่แฝงอยู่ในจิตใจของฉันตลอดเวลา
ยามใดที่จิตตกและเกิดความกลัวขึ้นมา คำพูดที่หลวงพ่อปลอบฉันให้สวดมนต์ แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลและนั่งกรรมฐานนั้น ก้องอยู่ในหู ฉันจะเกิดความแข็งแกร่งขึ้นในจิตใจ จนเอาชนะความกลัวนั้นได้

ฉันได้พบสัจธรรมอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดที่เรากลัวจนถึงที่สุดเราจะเลิกกลัวทันที การทำกรรมฐานก็เช่นกัน หลวงพ่อบอกว่าเมื่อใดก็ตามที่เวทนามันถึงที่สุด เราสามารถผ่านห้วงเวลานั้นมาได้ เราก็จะอยู่เหนือเวทนา คืออดทน
เวลานี้สุขภาพฉันดีขึ้นมาก เรียกได้ว่าหายแล้ว แต่ต้องไม่ประมาท ฉันต้องดูแลภาวะร่างกายและจิตใจให้สมดุล ต้องไม่เครียด ไม่สะสมความโกรธข้ามวัน ที่จำเป็นที่สุด คือต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อย่ามัวคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว และกังวลกับอนาคตเพราะยังมาไม่ถึง หลวงพ่อใช้คำว่า “อย่าจับให้มั่นคั้นให้ตาย” แน่ละมันเป็นเพียงแค่เงา เราจะไขว่ขว้ามันได้อย่างไร
สำหรับคนรอบข้าง อันประกอบด้วย แม่ น้อง สามี และหลานๆ ก็ได้รับอนิสงส์จากการปฏิบัติของฉันโดยทั่วหน้า ทุกคนจะวู่วามน้อยลง ใส่ใจที่จะสวดมนต์ไหว้พระและทำบุญสุนทาน จากการที่เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของฉัน ทั้งสุขภาพและอารมณ์ ทำให้เขาเกิดความศรัทธาต่อการปฏิบัติกรรมฐานและองค์หลวงพ่อ ที่เห็นชัดเจนคือแม่ที่อารมณ์ดีขึ้น ปล่อยวางปัญหาต่างๆได้มาก ฉันภูมิใจมาก เพราะหลวงพ่อสอนว่า การตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ที่ได้อานิสงส์สูงสุด คือการชักจูงให้ท่านเข้าหาธรรมะ อย่างน้อยฉันก็ได้ตอบแทนคุณของพ่อ-แม่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากส่งเสียเลี้ยงดูตามปกติ
เมื่อก่อนฉันคิดว่าอะไรดีและถูกต้อง ฉันก็จะพูดและทำทันที เมื่อผ่านการปฏิบัติมานานหลายปี ฉันรู้จักไตร่ตรองและรอช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนจึงจะพูดหรือทำ และถ้าคำพูดนั้นฉันรู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อจิตใจทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด ฉันจะไม่พูดเลย บอกตรงๆว่าฉันกลัวบาป ลำพังพยายามละความชั่วสร้างความดี ยังรับผลความเป็นทุกข์ขนาดนี้ ถ้ายังขืนสร้างแต่ความชั่วจะมีอะไรหรือ
ทุกวันนี้ฉันไถ่โทษให้กับตัวเอง ด้วยการทำบุญสร้างความดีตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ทำงานหนักเพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินที่ได้อยู่อาศัย ให้งานทำจนมีกินมีใช้ไม่อดอยาก และตอบแทนบุญคุณของพุทธศาสนาที่มีคำสอนขององค์พระศาสดา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทำให้ใจฉันไม่ต้องว้าเหว่เดียวดาย ฉันพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าแม้จุดหมายปลายทางจะมองไม่เห็น ฉันก็เชื่อแน่ว่าได้ก้าวมาถูกทางแล้ว
ตลอดระยะเวลา ๖ ปี ที่ผ่านมา ฉันได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อมากมาย จนเกินกว่าจะบรรยายได้หมด
และคงมิใช่เพียงฉันคนเดียวที่ได้รับ ลูกศิษย์ทุกคนก็รู้ดีว่าต่างก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อทั้งสิ้น ต่างกันแต่รูปแบบเท่านั้น นั่นย่อมแล้วแต่กรรมของแต่ละคนที่มีร่วมกับหลวงพ่อในต่างชาติต่างภพ ฉันเคยภูมิใจว่าฉันเก่ง ฉันดี ที่ได้มีโอกาสทำงานให้หลวงพ่อ ที่ศูนย์เวฬุวัน ฉันก็ยังนึกว่าหลวงพ่อไว้ใจให้มาช่วยทำงาน แท้ที่จริงหลวงพ่อกรุณาชี่ทางให้ฉันได้มาชดใช้หนี้ “กรรม” ต่างหาก ลำพังความรู้ที่ฉันมี ไม่เพียงพอที่จะเห็นกรรมของตัวเองได้ ฉะนั้นที่ฉันเดินทางมาไกลถึงขอนแก่นทุกวันนี้ ก็เพื่อจะได้ร่นระยะทางแห่งการใช้หนี้กรรมให้เร็วขึ้น ไม่เช่นนั้นคงจะยาวนานไปอีกไม่รู้จะกี่ชาติภพ
ความเกี่ยวข้องที่ฉันมีต่อหลวงพ่อและกัลยาณมิตรทั้งหลายที่ได้มาร่วมสุขร่วมทุกข์ในภารกิจที่รับใช้หลวงพ่อนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของหนี้ “กรรม” ที่เคยทำร่วมกันมา เรามาพบกันเพื่อใช้หนี้ หมดหนี้เราก็ต้องจากกัน เหมือนที่หลวงพ่อเคยพูดเสมอว่า “เราพบกันเพื่อรอเวลาจาก”



--เหตุการณ์ในต่างแดน

ข้าพเจ้าอยู่ประเทศฝรั่งเศสกับสามีชาวสวิส บ้านอยู่ห่างจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประสบเหตุน้ำท่วมเมื่อวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2546 ดิฉันเป็นช่างตัดเสื้อและเคยมีร้านผ้าไหมเพื่อนคนไทยของดิฉันจะไปงานแต่งงาน ดิฉันรับปากจะตัดชุดให้ลูกสาวทั้งสองของเธอฟรี เย็นวันนั้นข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ให้เพื่อนและลูกมาลองชุด เขาก็มาตามนัด วันนั้นเป็นวันที่มีอากาศดีมากและมี่คิดว่าจะมีพายุฝน แต่มีลมพัดแรง ลูกเห็บตก เพียงไม่กี่นาที น้ำไม่ทราบหลากมาจากไหน เพียงไม่กี่นาทีน้ำท่วม ดิฉันลงไปเก็บของที่ห้องใต้ดินซึ่งเป็นห้องทำงานเย็บผ้า ดิฉันได้ปิดประตูทุกห้อง น้ำได้เข้ามาแล้ว ไม่ถึง 10 นาที ดิฉันเห็นน้ำซึมเข้ามาในประตู ดิฉันพยายามเปิดประตู แต่เปิดไม่ออกเพราะแรงของน้ำดันไว้ เพื่อนและดิฉันช่วยกันดันประตูออกได้ประมาณคืบกว่า ๆ สามารถตะแคงตัวออกมาได้ น้ำท่วมสูงกว่า 1.20 เมตร โชคดีที่ได้เพื่อนช่วย และต้องขอบคุณกรรมฐานที่ทำให้มีสติ ไม่ตกใจ รีบปิดสวิทซ์ไฟเพราะระดับน้ำเกือบถึงสวิทซ์ไฟแล้ว ไม่อย่างนั้นดิฉันและเพื่อนคงตาย

หลังจากนั้นดิฉันวิ่งขึ้นชั้นบน เข้าห้องพระกล่าวคำว่า หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ไม่ขาดคำฝนก็หยุดตกเหมือนปาฏิหาริย์ ดิฉันเชื่อว่าเป็นบารมีของหลวงพ่อช่วยชีวิตดิฉันและเพื่อน

ในหมู่บ้านที่ดิฉันอยู่มีทั้งหมด 500 หลังคาเรือน โชคดีไม่มีใครเสียชีวิต บ้านของดิฉันชั้นล่างน้ำท่วม 2 วัน รถยนต์เสียไป 1 คัน และของใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เสียหาย สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญเท่ากับดิฉันและเพื่อนรอดชีวิตมาได้ คำที่หลวงพ่อจรัญพูดไว้ว่า ผู้ให้คือผู้รับ เป็นจริงเสมอ

หลังจากเหตุอุทกภัยผ่านไป 3 วัน ดิฉันได้นิมิตเห็นพระอริยะและเสด็จแม่กวนอิม ได้มาโปรดและยกมือประทานพรให้ดิฉัน ท่านนุ่งห่มชุสีขาว มีรัศมีรอบตัว แสงประกายเหมือนสีรุ้ง ดิฉันได้กล่าวคำว่า “อหัง วันทา มิ”

ดิฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมาเกือบ 10 ปี และไม่เคยทิ้งกรรมฐาน ชีวิตของดิฉันดีขึ้นทุกวันนี้เพราะพระเดชกระคุณหลวงพ่อได้เมตตาอย่างหาที่เปรียบมิได้ ลูกขอกราบบูชาเหนือเศียรเกล้า อหัง วันทา มิ





--แสงธรรมนำชีวิตรุ่งเรือง

ข้าพเจ้าอายุ 38 ปี เป็นเจ้าของโรงงานเย็บกางเกงยีนส์ยี่ห้อมหายีนส์ ขายทั้งปลีกและส่ง ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ กำลังจะเริ่มขยายกิจการเพิ่มสาขาและโรงงาน ก่อนจะมาพบแสงธรรมนำชีวิตจากหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็เป็นเด็กมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หาเงินได้แค่วันละไม่กี่บาท เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามีรายได้ถึง 400,000 บาท ภายในวันเดียว

ตอนเด็กข้าพเจ้าลำบากมาก พ่อแม่มีลูก 8 คน ข้าพเจ้าต้องช่วยพ่อแม่ทำนาตั้งแต่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เมื่ออายุ 14-15 ปี เห็นคนอื่นเขามีอาหารดีๆรับประทาน มีเสื้อผ้าใหม่ๆใส่ นึกถึงตัวเองแล้วน้ำตาไหลเพราะไม่เคยมีเสื้อผ้าใหม่ใส่เลย มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ผิดกับลูกป้าน้าอา เขาค้าขายฐานะดีมีรถใช้ เมื่อข้าพเจ้าว่างจากการทำนาก็จะไปช่วยเขาชำแหละกล้วยบ้าง นำกล้วยไข่ล่องไปขายถึงสิงห์บุรี อ่างทอง และกรุงเทพฯ เขาก็ซื้อบุหรี่ให้สูบ ซื้อเหล้าให้ดื่ม ค่าแรงได้บ้างไม่ได้บ้าง ใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ไม่มีแก่นสารอะไร แต่ด้วยยังหวังความก้าวหน้า จึงไปสมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนที่จังหวัดกำแพงเพชร ยังไม่ทันสอบเทียบชั้นมัธยมศึกษาก็ต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงิน แล้วตามแม่ไปอยู่กับป้าที่แม่สอด ข้าพเจ้ากับเพื่อนช่วยป้าเผาถ่าน ซึ่งเป็นงานที่เสี่ยงมาก ต้องใช้ความอดทนสูง ข้าพเจ้าเคยพลาดตกลงไปในเตาครั้งหนึ่ง จึงตัดสินใจออกจากบ้านป้า ขณะนั้นมีญาติคือลูกป้าเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า เขากำลังขาดคนพอดีจึงไปอยู่กับเขา แต่เพราะความรู้น้อยและยังอ่อนประสบการณ์ เขาจึงไม่ไว้ใจให้เป็นคนขาย แต่เขามีมอเตอร์ไซค์อยู่หลายคันจึงให้ข้าพเจ้าขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ใช้เวลาปีกว่าจึงชำนาญทางในกรุงเทพฯ พอย่างเข้าปีที่สอง หัวหน้าวินเขาไม่พอใจว่าข้าพเจ้าเป็นคนต่างจังหวัดมาแย่งอาชีพเขา เขาคอยหาเรื่องอยู่บ่อยๆ ข้าพเจ้าไม่อยากมีเรื่องกับใคร จึงบอกเถ้าแก่ลูกป้าว่าขอกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ไปทำนาอย่างเดิม

ข้าพเจ้าเข้ากรุงเทพฯอีกครั้ง พอดีช่วงนั้นโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของลูกป้ากำลังขายดีมาก เขาเลยให้ข้าพเจ้าขายกางเกงยีนส์ ให้ค่าแรงวันละ 50 บาท ขายตั้งแต่เช้าถึงตีสอง ลำบากมาก จนเขาไว้ใจให้ข้าพเจ้าขายโดยให้เปอร์เซ็นต์ ข้าพเจ้าจึงเริ่มขายเป็น ตระเวนขายเรื่อยๆไปทุกจังหวัด ขายอยู่หลายปีไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยก็กลับต่งาจังหวัดอีก มีเงินเหลือไปนิดหน่อย พอเงินหมดก็กลับมาขายอีก ทำเช่นนี้อยู่หลายปี ตอนนั้นข้าพเจ้าเริ่มสวดมนต์บ้างแล้วแต่ยังไม่ถูกต้อง ป้าสอนให้สวดชินบัญชร พอพบหลวงพ่อ ท่านสอนว่าจะสวดคาถาอะไรก็ได้ แต่อย่าข้ามพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

ข้าพเจ้าไปทำงานขายผ้าอยู่กับน้องสาวแท้ๆ ซึ่งเคยเป็นช่างตัดผ้าในโรงงานมาก่อน แล้วแยกมาทำกิจการส่วนตัวอยู่ที่จังหวัดนครสววรค์ ทำอยู่หลายปีก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา พอกินพอใช้ไปวันๆ

ข้าพเจ้าได้รู้จักหลวงพ่อเมื่อปี 2534 และได้ทราบคำสอนของท่านจากหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อ ซึ่งถ้านำมาปฏิบัติแล้วจะสามารถแก้กรรมได้ ข้าพเจ้าจึงเริ่มสวดมนต์บทอิติปิโส และพาหุงมหากา พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ตามที่หลวงพ่อสอนให้สวดทุกวัน แล้วเริ่มมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน สวดมนต์ทุกเช้าค่ำ เริ่มมีสติปัญญาขึ้นมาเรื่อยๆ แก้ปัญหาชีวิตได้ พึ่งตนเองได้ สอนตัวเองได้ จากนั้นชีวิตของข้าพเจ้าก็เริ่มดีขึ้น จากที่ใจร้อนก็ใจเย็นลง ตอนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ภรรยากับข้าพเจ้าพูดดีกันก็ไม่กี่คำ เดี๋ยวก็ด่าทะเลาะกัน หาความสุขไม่ได้เลย พอเข้าไปกราบหลวงพ่อท่านมองหน้าภรรยาผม แล้วก็สอนว่า สามีภรรยาอย่าทะเลาะกัน เดี๋ยวเงินหนีหมด ภรรยาข้าพเจ้าตกใจ หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร ทำอะไรผิดหลวงพ่อรู้หมดทุกเรื่อง

หลวงพ่อให้คำกลอนสอนว่า พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก เขาร้ายมาอย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมาจงเอาความดีไปแก้ไข คนตระหนี่ให้ของที่ต้องการ คนพูดเหลวไหลเอาความจริงใจไปสนทนา ทานสูงสุดคือการให้อภัยกัน ใจเย็นเหมือนน้ำแข็งจะลอยเหนือน้ำได้ ใจร้อนเหมือนไฟเผาบ้านเรือนไหม้หมด คนใจร้อนหายใจสั้น จะทำอะไรเสียหมด ขาดเหตุผล

ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้ากับภรรยาก็ไม่ทะเลาะกันอีกเลย คิดถึงคำหลวงพ่อที่ว่า เรารักเขา เขาก็รักเรา เราเกลียดเขา เขาก็เกลียดเรา เราอยากให้เขาเมตตาเรา เราต้องมีเมตตาเขาก่อน อยากให้เขาช่วยเรา เราต้องช่วยเขาก่อน

วิธี หลวงพ่อสอนว่าเหมือนปลูกมะม่วง ไม่ใช่ปลูกแล้วจะได้กินผลเลย ต้องรอเวลา


ข้าพเจ้ากลับจากวัดแล้วก็ทำเป็นกิจวัตรทุกวัน วันไหนเวลาน้อยก็เดินจงกรม 30 นาที นั่งสมาธิ 30 นาที ข้อสำคัญเดินนั่งต้องให้เวลาเท่ากันจึงจะได้ผล จากนั้นมา ชีวิตของข้าพเจ้าก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ ข้าพเจ้าผ่อนรถปิคอัพได้คันหนึ่ง ทำให้สามารถมาวัดอัมพวันได้บ่อยขึ้นและพาแม่พี่น้องมาปฏิบัติธรรม น้องชายที่กินเหล้าเที่ยวเตร่ก็มาบวชเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ พอสึกไปแล้วกลับเป็นคนดี ตอนนี้ทำงานเป็นผู้จัดการมีลูกน้องเป็นร้อยคน พี่ชายข้าพเจ้าที่เคยผ่อนส่งรถหลายคันแต่ถูกยึดหมด ข้าพเจ้านำคำสอนหลวงพ่อไปแนะนำให้เขาฟังบ่อยๆว่า คนเราจะทำบุญให้ได้ต้องละบาป ถ้าละความชั่วไม่ได้ รวยไม่ได้ ดีไม่ได้ จนกระทั่งเขาเชื่อและมาปฏิบัติธรรม 3 วันบ้าง 7 วันบ้าง สองสามครั้ง กลับไปแล้วดีขึ้นกว่าเดิมมาก ผ่อนส่งรถไม่ถูกยึดเหมือนแต่ก่อน
ต่อมาข้าพเจ้าก็ซื้อบ้าน เป็นบ้านไม้สักทองสองชั้น ทั้งๆที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี กิจการของข้าพเจ้าไม่ตก
ปี 45-46 ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ รถเละหมดแต่ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรเลย รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์

การได้ฟังเทศน์จากหลวงพ่อบ่อยๆ เป็นผลดีต่อชีวิตมาก ข้าพเจ้าเลิกดื่มเหล้า เลิกเที่ยว แต่ยังคงเล่นหวยอยู่ พอมาถึงวัดหลวงพ่อก็เทศน์เรื่องหวยพอดี เหมือนท่านทราบ ข้าพเจ้าจึงเลิกเล่นหวยตั้งแต่บัดนั้นมา

สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นลูกจ้างขายผ้า ขายได้เท่าไรก็ไม่รวยสักที ได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันจึงระลึกได้ว่าเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ข้าพเจ้าเคยขโมยเงินญาติคนหนึ่งประมาณ 300-400 บาท ข้าพเจ้าจึงนำเงินไปคืนจำนวน 1,500 บาท โดยที่เขาไม่ทราบมาก่อนเลย ท่านเจ้าของเงินท่านก็อโหสิกรรมให้ ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไปขายของที่ไหนของไม่หายอีกเลย ขายดีมาเรื่อยๆ

เวลามาปฏิบัติที่วัดอัมพวัน ข้าพเจ้าจะล้างชามกับล้างห้องน้ำเป็นประจำ ถ้ามีเวลาว่างก็กวาดลานวัด หน้าโบสถ์บ้าง หน้าศาลหลวงพ่อโตบ้าง เพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน เมื่ออยู่ครบ 7 วันแล้ว ข้าพเจ้าจะชวนผู้ปฏิบัติทั้งชายและหญิงขัดห้องน้ำห้องส้วม เคยชวนได้ถึง 17 คน ช่วยกันล้างทั้งวัดประมาณ 300 ห้อง

คุณแม่ใหญ่ท่านแนะนำข้าพเจ้าว่า ถ้าปฏิบัติกรรมฐานเป็นประจำแล้ว วันไหนไม่ปฏิบัติจะเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ถึงเวลาแล้วต้องนั่งสมาธิ นั่นแหละจึงจะได้ผล ดังนั้นควรจะปฏิบัติให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะไปขายหรือส่งของดึกขนาดไหน ข้าพเจ้ากลับมาก็ต้องเข้าห้องพระก่อน เพื่อปฏิบัติธรรมเจริญกุศลและภาวนาต่อเนื่องเสมอต้นเสมอปลาย

หลวงพ่อเคยอสอนว่า อุปสรรคในการปฏิบัติมีอยู่ 2 อย่างคือ
1. ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ผลจึงเลิกเสีย
2. ปฏิบัติธรรมแล้วร่ำรวยเจริญก้าวหน้าแล้วไม่มีเวลาปฏิบัติต่อเนื่อง เลิกไปเลย
หลวงพ่อเคยเตือนลูกศิษย์ของท่านเสมอว่า ถ้าปฏิบัติไม่ต่อเนื่องลุ่มๆดอนๆ ไม่เสมอต้นเสมอปลาย

หลวงพ่อบอกว่า ให้หมั่นจำหมั่นจด สิ่งใดให้งด ให้หมั่นจดหมั่นจำ เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ไม่เรียนหรือจะรู้ ไม่ดูหรือจะเห็น ไม่ทำหรือจะเป็น จะย่ำแย่จนแก่ตาย เมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่เคยจดเลย ขายได้เท่าไรก็ไม่จด รายจ่ายเท่าไรก็ไม่รู้ ขาดทุนหรือกำไรเราก็ไม่รู้

เมื่อ พ.ศ.2541-2542 ปีนั้นตรงกับงานนเรศวรมหาราชพอดี ข้าพเจ้าฝันไปว่าหลวงพ่อบอกว่า “ถ้าหลวงพ่อไม่ขอยมทูตหรือยมบาลไว้ ปิยวัฒน์ตายแน่” พอวันรุ่งขึ้นผมไปวัดอัมพวันไปเจอแม่ใหญ่ แม่สุ่ม ทองยิ่ง บอกข้าพเจ้าว่าปี 45-46 ให้มานั่งกรรมฐานเพราะดวงไม่ดี

พ.ศ.2546 ข้าพเจ้าพาลูกน้องไปขายในงานพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ พอหมดงานข้าพเจ้าก็กลับบ้านประมาณตี 4 ตี 5 ข้าพเจ้าให้หลานซึ่งเป็นลูกของพี่ชายขับรถกลับ เขาหลับในรถข้าพเจ้าพุ่งลงข้างทางในเขตจังหวัดพิษณุโลก รถพลิกคว่ำหลายตลบ กางเกงที่บรรทุกมาตกกระจายเกลื่อนกลาดไปทั่วข้างถนน ข้าพเจ้าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ นึกถึงคำที่หลวงพ่อบอกในนิมิตว่า “ถ้าหลวงพ่อไม่ขอยมบาลไว้ ปิยวัฒน์ ตายแน่” รถข้าพเจ้าใช้ไม่ได้เลยต้องขายเป็นเศษเหล็กไป แต่คนไม่เป็นอะไรเลย นอกจากถลอกเลือดออก ไม่กี่วันก็หาย ข้าพเจ้าได้สอนให้ลูกน้องสวดมนต์กันทุกคน

นี่เป็นเรื่องราวชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อยืนยันผลการปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำของหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าศรัทธา เคารพสูงสุด

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:35:44 น.  

 

--กรรมฐานคือเทียนส่องนำทางให้พ้นทุกข์


ดิฉันศรัทธาและปฏิบัติตมาแนวทางของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายรวมถึงคุณพ่อคุณแม่ได้แนะนำและนำให้ปฏิบัติ เริ่มจาการหัดใส่บาตร เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม ตอนแรกก็เป็นการถูกบังคับแกมเต็มใจ
ปฏิบัติบ้าง ตามประสาเด็กๆที่ต้องทำเพื่อไม่ให้โดนดุ นานเข้ากลับกลายซึมซับเข้าสู่จิตใจกลายเป็นพฤติกรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่องโยมิต้องมีใครมาคอยเคี่ยวเข็ญให้ทำ

ดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมจริงจังมากขึ้นเมื่ออายุประมาณ ๑๕ ปี โดยไปถือศีลและปฏิบัติธรรมที่วัด และแต่ละครั้งก็ชอบที่จะ
บำเพ็ญบุญอยู่ที่โรงครัว เพราะรู้สึกเป็นสุขอย่างมากที่จะทำให้ผู้มาถือศีลปฏิบัติธรรมได้เกิดความสะดวกสบายในการกินอยู่ เห็น
ชุดขาวก็จะเป็นสุขเหลือเกิน ได้ยินเสียงสวดมนต์ก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้น ดิฉันไม่เคยทิ้งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลย บางช่วงตั้ง
ใจว่าจะให้ตัวเองได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน และถือเป็นการทดสอบฝึกความอดทนของกายและใจด้วย ดังนั้นหากมีเวลาไม่ว่าเป็นการไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่างจังหวัดที่ทุรกันดาร ไปทอดกฐินหรือผ้าป่าตามจังหวัดต่างๆ หรือแนวปฏิบัติใดที่เป็นแนวของ
พระพุทธองค์ดิฉันปฏิบัติหมด โดยไม่ได้ยึดติดแนวใดเลย แต่จะนำหลักของแต่ละแนวมาปฏิบัติและยึดถือเพื่อมุ่งควบคุพฤติกรรม
ของตัวเองให้อยู่ในกรอบธรรมให้มากที่สุดเท่านั้น

ขณะนี้ดิฉันอายุ ๓๐ ปีแล้ว ระหว่างอายุ ๑๕ ปีถึง ๒๐ ปีที่ผ่านมานี้ มีมรสุมชีวิตมากมายเหลือเกินเข้ามาให้ขบคิดแก้ไขและหาทางออกให้กับตัวเอง ครอบครัว รวมถึงคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา ทุกข์มีมากกว่าสุข เพราะทุกๆวันเต็มไปด้าวคำว่าต้องอดทนเมื่อมองย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ก็อดภาคภูมิใจในความอดทนของตัวเองไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็รู้สึกขอบใจตัวเองที่นำพาตนเข้าสู่การสร้างสมบุญอย่างจริงจัง สร้างความอดทนให้กับกายและจิตอยู่ตลอดขณะปฏิบัติธรรม จึงทำให้คำว่าอดทนนั้นมี
ประโยชน์เหลือเกินเมื่อประสบทุกข์

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวดิฉันส่วนใหญ่มาจากปัญหาเรื่องเงินและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในการตัดสินใจของผู้เป็น
พ่อและแม่ในการลงทุนประกอบอาชีพ ผลที่ได้รับก็คือกลายเป็นภาระหนี้ผูกพันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นหนี้ ๑ รายก็เพิ่มเป็น ๒ ราย ๓ ราย และต่อๆไปมากขึ้นทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จิตใจเกิดความหวาดระแวงเมื่อถูกทวงเงิน เกิดความทุกข์ใจเศร้าใจอย่างหนัก ส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ลง ครอบครัวขาดความอบอุ่น มีแต่ความเครียดอยู่ตลอดเวลา ทะเลาะกันเป็นระยะๆ บ้านมิต่างอะไรกับไฟเลย และไหนจะปัญหาภาระการผ่อนชำระธนาคารที่มีค่างวดสูงจนธนาคารกำลังจะยึดบ้าน ผนวกกับภาระเรื่องการเรียนของน้องชายซึ่งอยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะกำลังจะจบปริญญาตรีซึ่งต้องใช้เงินเพิ่มในการทำวิทยานิพนธ์

ช่วงเวลานี้พี่สาวและน้องชายต่างออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับเพื่อนเพื่อไปให้พ้นจากปัญหา เหลือดิฉันคนเดียวที่ต้องรับรู้
และแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง นอกจากนั้นดิฉันยังถูกหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานไม่เข้าใจ พยายามที่จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นตลอด
เวลา โดยกดดันดิฉันทุกเรื่องที่จะทำได้ ไหนจะปัญหาสุขภาพอีกที่ป่วยโดยไม่มีสาเหตุอยู่หลายครั้ง ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดที่
ดิฉันประสบอยู่ก็เป็นได้ ทุกปัญหาวิ่งเข้ามาในเวลาเดียวกันหมดเลย ทำให้สงสัยว่าคนทำดีต้องประสบอะไรเช่นนี้ด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อทั้งทางโลกและทางธรรม

ดิฉันต้องทำงาน ๗ วัน ไม่มีวันหยุดเลย เพื่อหาเงินมาผ่อนหนี้สินให้พ่อและแม่ ส่งธนาคารและส่งน้องเรียน จนกระทั่งมันทุกข์ที่สุด นั่นคือหาทางออกไม่ได้แล้ว แก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ปลงตกแล้ว คิดอยู่ในใจว่าบ้านจะถูกยึดก็ให้ยึดไปพ่อแม่จะถูกเจ้าหนี้แจ้งตำรวจจับหรือน้องจะเรียนไม่จบหรือตนเองจะถูกให้ออกจากงาน ก็ต้องปล่อยไป จะป่วยจนตายไปเลยก็ต้องปล่อยตาม
นั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นทำให้ดิฉันกลายเป็นคนนิ่งสงบ ความเงียบเข้ามมาแทนที่ความสบสันและน้ำตา จนงงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
เมื่อจิตนิ่งอยู่ได้สักพักก็ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าเมื่อทุกข์จนถึงที่สุดจนชินกับความทุกข์นั้นแล้ว จิตก็สงบนิ่งไปเองอาจเป็นเพราะทุกข์จนเกิดการปล่อยวางไปโดยไม่ตั้งใจกระมัง จึงพิจารณาได้ว่าการปล่อยวางนี่เองที่นำมาซึ่งความสงบของจิต ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในช่วงที่ทุกข์หนักนั้นกลับทำให้ดิฉันสุขใจมากกว่าทุกข์ใจ เมื่อเทียบกับทุกข์ครั้งที่ผ่านมาทำให้เกิดกำลังใจที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาใหญ่อีกครั้งค่อยๆแก้ไขปัญหาไปเรื่อยๆเท่าที่จะทำได้

ประมาณปลายปี ๒๕๔๔ ดิฉันมีโอกาสได้ไปถือบวชที่วัดอัมพวันตามคำชักชวนของเพื่อน ซึ่งได้อ่านประวัติของหลวงพ่อและวัดอัมพวันทางอินเตอร์เน็ท แล้วเกิดความศรัทธาอยากไปกราบหลวงพ่อและอยากได้ถือบวช ดิฉันได้ถือบวชอยู่ที่นั่น ๓ วัน รู้สึกศรัทธาหลวงพ่อและแนวปฏิบัติกรรมฐานอย่างมาก หลังจากเสร็จสิ้นการบวชดิฉันได้นำแนวกรรมฐานมาปฏิบัติต่อที่บ้านอย่างต่อเนื่องมากบ้างน้อยบ้างตามความสามารถของสภาพกายและใจในขณะนั้น ด้วยคิดว่าเราย่อมช่วยเหลือตัวเราเอง
ก่อนไม่ว่าจะทางธรรมหรือทางโลก หลายครั้งรู้สึกท้อต่อการปฏิบัติแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดปฏิบัติ ไม่ว่าจะเหนื่อยงานหรือท้อแท้กับปัญหาขนาดไหนก็จะปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ทำให้ดิฉันเริ่มมีสติมากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน มีทางออกในการแก้ไขปัญหาให้กับตัวเองมากขึ้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะรู้จักเรียงลำดับปัญหาที่สำคัญมากไปจนถึงสำคัญน้อยจาก นั้นก็จะนำเอาทุก
ปัญหามาคิดหาทางออก ซึ่งบางปัญหาจะมีทางออกให้เลือกมากกว่า ๑ ทาง เมื่อได้ทางออกแล้วก็จะใจเย็นมากข้นในการแก้ไขโดย
ไม่คาดหวังมากนัก นั่นคือหากแก้ไขได้ก็ดีไป หากแก้ไขไม่ได้ก็จะไม่ฟูมฟาย จะค่อยๆหาทางออกไปเรื่อยๆจนกว่าจะแก้ไขได้

ทุกวันนี้ดิฉันไม่ละทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานเลย ในช่วงนี้จะเน้นที่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วย นั่นคือการนำ
สติเข้ามาควบคุม กาย วาจา ใจ คือตามดูตามรู้เพื่อให้จิตละเอียดมากขึ้น และเพื่อไม่ให้เกิดการสร้างอกุศลกรรมขึ้นอีก รู้สึกใจเย็น
ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปล่อยวางสุขและทุกข์ได้มากขึ้น รู้จักบริจาคทานมากขึ้น มีความรักความเมตตาให้กับคนรอบข้าง รู้จักให้
อภัยมากขึ้น และทำให้รู้จักมีความเกรงใจทุกคนมากขึ้น

มีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดิฉันได้คำตอบว่าทำไมเราจึงหมดเงินอยู่ตลอดทั้งที่ใช้เงินอย่างประหยัด
และอยู่อย่างเพียงพอ หมดไปกับหนี้สินและภาระที่ตัวเรามิได้สร้างขึ้นมาเลย จนนับครั้งไม่ถ้วน คำตอบที่ได้ก็คือ สมัยที่ยังเรียน
หนังสือมีผู้ชายที่อายุมากแล้วคนหนึ่งมาติดพันฉัน แต่ดิฉันไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย จึงไปปรึษาเพื่อนๆช่วยกันคิดแผนแกล้งลุงคน
นั้นให้หมดเงินจะได้หลาบจำไม่กล้ามายุ่งอีก โดยขอเงินไปเลี้ยงเพื่อนๆ ลุงบอกว่าไม่มีเงินเพราะเงินเดือนยังไม่ออก มีแต่เงินจาก
ซองกฐิน แม้ใจก็รู้สึกกลัวบาปอยู่บ้าง เพื่อนของดิฉันรับซองกฐินไปแกะดึงเงินออกมาจนหมดทุกซอง ดิฉันยังกำชับให้ลุงคนนั้น
เอาเงินเดือนของลุงใส่คืนในซองด้วย จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงได้ย้อนขึ้นมาปรากฏในความทรงจำอีก ที่สำคัญมาปรากฏในขณะปฏิบัติกรรฐานด้วยนี่สิ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเงินและภาระที่แบกรับที่ผ่านมา น่าจะมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากผลกรรมของเหตุการณ์
ดังกล่าวนี้ด้วยชีวิตของเพื่อน ๒ คนที่ฉีกซองและยุในวันนั้นก็ย่ำแย่ไม่แตกต่างจากดิฉันเลย เพื่อนคนหนึ่งถึงขนาดกิจการที่บ้านเกือบล่มสลาย บ้านถูกยึด แล้วครอบครัวก็แตกแยก เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้ดิฉันกลัวบาปมากขึ้น ทุกวันนี้ดิฉันบริจาคเงินมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือคน และทำบุญให้กับวัดและสถานปฏิบัตืธรรมต่างๆ ไม่ว่าใครชวนทำบุญอะไรหากมีปัจจัยพอก็จะรีบทำเลยทันที พร้อมกับบอกตัวเองอยู่เสมอว่าจะนำเหตุการณ์ครั้งนี้ไปสิอให้คนอื่น ๆ ได้ทราบ เพื่อให้เกิดความละอายและเกรงกลัวต่อผลกรรม

ยังมีอืกเรื่องที่ทำให้ดิฉันมุ่งมั้นมากขึ้นที่จะสร้างแต่คุณงามความดี เพื่อชดใช้บาปที่ได้สร้างไว้ นั่นคือในงานเผาศพของ
ยายที่ดิฉันรักมาก ดิฉันโกรธพระรูปหนึ่งที่เคลื่อนศพคุณยายขึ้นเมรุโดยไม่รอดิฉัน ดิรู้สึกโกรธเสียใจที่สุด นั่งจ้องหน้าพระรูปนั้นแบบโกรธจัด ทำให้ดิฉันทราบคำตอบที่ว่า ทุกวันนี้ดิฉันไม่ได้ทำร้ายใครเลย ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง
แต่ดิฉันต้องประสบเคราะห์กรรมด้วยการถูกรังเกียจจากคนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา บางคนไม่ชอบหน้าดิฉันเอามากๆทั้งที่ไม่เคยพูด
คุยกันเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าดิฉันจะทำอะไรก็จะถูกกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลาทั้งจากหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน และคนในองค์กร

สองเรื่องที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นกรรมที่ต้องชดใช้เพราะสร้างไว้อย่างหนัก ต้องชดใช้คืนด้วยความเต็มใจ และถือเป็นแบบฝึกหัดให้กับตัวเอง ในการใช้สติเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไม่คิดโทษโชคชะตาฟ้าดิน จะมองทุกเรื่องให้เป็นแง่บวก
ที่สำคัญไม่ลืมที่จะเร่งสร้างบุญให้มากขึ้น เพื่อเป็นเส้นใยที่แข็งแกร่งนำพาชีวิตให้ได้ไปเกิดในร่มพระพุทธศาสนาอีกครั้ง คิดเพียง
เท่านี้ก็มีกำลังใจที่จะมีชีวิตสร้างความเพียรอย่างถึงพร้อมทั้งทางโลกและทางธรรม

อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นกรรมดีนั่นคือ ความกตัญที่มีต่อพ่อและแม่ สำหรับฉันไม่ว่าท่านจะมีปัญหาเรื่องหนี้สินหรือเรื่อง
ใดๆขึ้นมาก็ตาม ดิฉันก็จะหาทางช่วยเหลือท่านอย่างถึงที่สุด ผลบุญที่ดิฉันได้รับในทุกวันนี้ก็คือ ทุกๆปัญหาที่เข้ามาดิฉันก็จะมีทาง
ออกในการแก้ไขทั้งสิ้น บางครั้งอยู่เฉยๆก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออยู่ตลอด ไม่มีคำว่าตกอับเลยสักครั้ง

ในปัจจุบันก็ยังมีปัญหาและความทุกข์เข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ แต่ทว่าไม่ทุกข์ใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะดิฉันรู้จักปล่อยวางเป็น คิดหาทางแก้ไขเป็น และมองทุกอย่างในแง่บวกมากขึ้น ส่งผลให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคนั้นๆ ได้อย่างแข็งแรง

ความสุขใจที่เกิดขึ้น ความปล่อยวางที่เกิดขึ้น และความเพียรที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้ดิฉันมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสมแต่ความดีตลอดไป และหากมีโอกาสก็จะแนะนำและนำพาคนรอบข้างได้สร้างสมความดีอย่างต่อเนื่องมากขึ้น

กรรมฐานเปรียบเสมือนแสงเทียนที่จะนำส่องเส้นทางการดำเนินชีวิตของเราให้ก้าวไปสู่ที่ดีที่งามทั้งทางโลกและทางธรรม
เพราะการปฏิบัติกรรมฐาน ก็คือการฝึกสร้างสตินั่นเอง คนที่มีสติไม่ว่าจะคิดจะพูดหรือจะทำสิ่งใดก็จะเป็นไปด้วยความถูกความควรไม่เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ที่สำคัญบุญบารมีที่ได้จากการปฏิบัติกรรมฐานนั้นมีคุณค่าอนันต์ที่จะทำให้เราเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมมากขึ้น

ขอบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวง จงได้เป็นพลวบัจจัยน้อมถวายแด่พระคุณหลวงพ่อจรัญด้วยเทอญ



--กรรมฐานคือแก่นของชีวิต

ปัจจุบันข้าพเจ้าอายุ ๓๒ ปี มีอาชีพรับราชการสนใจพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก รู้สึกมีความสุขและสนุกที่ได้อ่านหนังสือ
ธรรมะ เมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้อาจารย์ประจำชั้นสนใจปฏิบัติธรรม ท่านได้สอนการทำสมาธิอย่างง่ายๆและสอนแผ่เมตตา ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีอาจารย์สอนกรรมฐานอย่างจริงจัง ได้แต่ฝึกนั่งสมาธิจากการแนะนำของครู และจาก
การอ่านแล้วมาหัดเอง ต่อมาเมื่อเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย มีอาจารย์ที่สอนวิชาพุทธศาสนาให้หัดทำสมาธิ (สมถกรรมฐาน)ใน
ชั่วโมงวิชาพระพุทธศาสนา
ต่อมาแม่ของข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือที่ลงคำสอนของหลวงพ่อและรู้สึกศรัทธาท่านเพราะท่านกล่าวถึงเรื่องกฎแห่งกรรม และอยากไปกราบท่าน ภายหลังข้าพเจ้า
ก็ได้ปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันรู้สึกซาบซึ้งในเมตตาบารมีของหลวงพ่อที่ท่านมีต่อทุกคน โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทุก
คนเข้าพบท่านได้ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอีกหลายครั้ง

ข้าพเจ้าเห็นว่าการอ่าน ฟัง และสนทนาธรรมะมากๆ ช่วยเพิ่มปัญญาก็จริง แต่ก็ต้องปฏิบัติกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน
๔ ด้วย เพื่อให้เราได้รู้แจ้งเห็นจริง ให้เกิดปัญญาผุดขึ้นในตัวเอง ดังที่หลวงพ่อจรัญท่านได้กล่าวไว้ และจะสามารถใช้แก้ปัญหา
ชีวิตได้


--กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน

ข้าพเจ้าอายุ ๓๑ ปี กำลังศึกษาต่อระดับปริญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักวัดอัมพวัน และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญมาก่อน แต่เป็นคนที่สวดมนต์ไหว้พระอยู่แล้ว แม้จะไม่สม่ำเสมอเท่าใด อยากจะฝึกนั่งสมาธิมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาศ จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ระหว่างอายุ ๒๕ – ๒๗ ปี ข้าพเจ้าปฏิบัติงานในตำแหน่งนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ มีผู้ป่วยมาขอบคุณที่ได้ช่วยทำกายภาพบำบัดเขาจนดีขึ้น และไดมอบหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า ที่หน้าปกมีรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ข้าพเจ้ารับหนังสือนั้นมาแล้วไม่ได้สนใจจะหยิบอ่าน

หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้รู้จักและคบหากับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งภาพหลังทราบว่าเขาเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก จนมีผลต่ออารมณ์และจิตใจ รวมทั้งสมาธิในการปฏิบัติงานเป็นนักกายภาพบำบัดด้วย ไม่ทราบว่าจะจัดการกับจิตใจอย่างไรให้ดีขึ้น ก็ได้แต่อาศัยการสวดมนต์ไหว้พระเป็นที่พึ่งทางใจ มีผู้แนะนำให้สวดมนต์บทพาหุงฯด้วยจะได้พ้นจากเรื่องทุกข์ใจ พยายามสวดมนต์มาสักระยะหนึ่ง รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้น ปัญหาก็เริ่มคลี่คลายไป แต่จิตใจยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าใดนัก

ปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้าพเจ้าสอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดลได้ จึงหันมาใส่ใจกับการศึษา ทำให้จิตใจดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าหากอยู่คนเดียวก็มักจะคิดย้อนไปถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาอีก ทำให้ยังคงเสียใจอยู่ และคิดว่าทำไมต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย ข้าพเจ้ากลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน วู่วาม คิดจะทำอะไรอยากจะทำสิ่งใด ต้องให้ได้เดี๋ยวนั้น บางครั้งทำไปเลยโดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเองมาก เวลามีเรื่องราวอะไรมากระทบจะวิตกกังวลเศร้าโศกอยู่นานหลาย ๆ วัน

ต่อมา ข้าพเจ้าประสบปัญหาการคบกับเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง ความที่จิตใจของตนเองยังไม่ได้รับการแก้ไข ยังเป็นคนหงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจตัวเอง มีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยก็โวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต ทำให้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยมาก คุณแม่เตือนก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง จะดื้อเงียบ ช่วงนั้นข้าพเจ้าไม่สบายใจมากร้อนรนกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิในการเรียน ร้องไห้เสียใจบ่อย ๆ และนึกถึงคุณพ่อที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้วเป็นอันมาก จึงต้องการที่จะบวชปฏิบัติธรรมอุทิศบุญกุศลให้ท่าน และเพื่อจิตใจของตัวเองสงบด้วย

เพื่อนพาข้าพเจ้าไปบวชเนกขัมมะปฏิบัติ ถือศิล ๘ นุ่งขาวห่มขาว ที่วัดแห่หนึ่งเป็นเวลา ๓ วัน ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองเพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดปกติมาใส่ชุดขาวเท่านั้น ไม่ได้ความสงบของจิตใจเท่าใด พอกลับบ้านไปอารมณ์และจิตใจก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไข จนกระทั่ง เพื่อนรุ่นพี่ืที่ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเดียวกันกับข้าพเจ้า ได้ชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๓ วัน (ศุกร์ – เสาร์ - อาทิตย์) ข้าพเจ้าได้วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง ทำให้ข้าพเจ้าสามารถกำราบจิตใจของตนเองที่สับสนวุ่นวายไม่สงบสุขและเศร้าหมองลงได้มาก

แม้ได้อยู่ปฏิบัติเพียงแค่ ๓ วัน แต่ข้าพเจ้าถือว่าได้พบสิ่งมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในขณะปฏิบัติกรรมฐานนั้น ต้องประสบกับทุกขเวทนาตลอดทั้ง ๓ วัน เช่น เวลาเดินจงกรมก็มีอาการปวดหัวไหล่ เวลานั่งสมาธิก็ปวดขามาก มิหนำซ้ำยังมีความฟุ้งซ่านด้วย แต่ข้าพเจ้ากับรู้สึกว่าทุกขเวทนาและความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอาจารย์ที่มาสอนข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจสภาวะจิตใจของตนเองมากขึ้นว่า จิตที่มีความทุกข์และความร้อนกระวนกระวายนั้นเพราะเราคิดเราปรุงแต่และยึดมั่นถือมั่น ต่อเมื่อเราหยุดคิดหยุดปรุงแต่ปล่อยวาง จิตนั่นจะสงบนิ่ง และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจ ทั้งนี้จะต้องมีสมาธิมาคอยควบคุมจิตของเราด้วย

กลับไปบ้านข้าพเจ้าสบายใจขึ้นมาก มีสมาธิและมีสติในการเผชิญปัญหาและแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น สามารถให้อภัยคนที่ตนเองเสียใจได้ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนมีความโกรธและเกลียดเขามาก

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้จิตตก ตัวอย่างเช่น พูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเพื่อนได้พูดขัดขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่พอใจถึงกับตวาดเพื่อนเสียงดัง เพื่อนคนนั้นพูดว่า “เธอไปปฏิบัติธรรมยังไงกัน ทำไมถึงยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ” ช้าพเจ้าได้สติก็ขอโทษเพื่อนเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งเริ่มต้นตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเป็นอะไรนี่ ทำไมตัวเรายังเป็นแบบนี้อยู่ ไม่เห็นดีขึ้นเลย เวลามีเรื่องราวที่ไม่สบายใจเข้ามายังตามรู้ไม่ทันสภาวะอารมณ์ของตนเอง ทำให้ยิ่งหดหู่ใจเพิ่มขึ้น

จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ไปรับการอบรมปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น ทำให้ได้ข้อคิด และวิธีถูกต้องมากขึ้น มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้จนถึงทุกวันนี้ และนึกถึงเสมอเวลาปฏิบัติกรรมฐานคือ “อย่าไปมองคนอื่น ให้มองตัวเราเองเท่านั้น” การกระทำและเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตนั้น เป็นเพราะตัวข้าพเจ้าประมาท ขาดสติในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ให้รอบครอบ แก้ปัญหาไม่ถูกจุด ทำให้ตังเองเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าการปฏิบัติกรรมฐานนั้น เราต้องมีสติรู้ตัวตลอดเวลา เมื่อใดที่เราขาดสติกิเลสต่าง ๆ จะเข้ามาในจิตใจทันที บางครั้งเพียงชั่วพริบเดียว กิเลสทั้ง ๓ ตัวคือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็เข้ามาในจิตใจเราเรียบร้อย โดยไม่รู้ตัว

ในระหว่างปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวันนั้น ข้าพเ้จ้าได้พบคุณอนงค์ โททำ เป็นชาวนา มาจากจังหวัดมหาสารคาม นำลูกชายอายุประมาณ ๑๐ ปีไปปฏิบัติธรรมด้วย เธอเคยไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์เวฬุวันแล้ว ๒ ครั้ง และเมื่อกลับไปบ้านก็นำเอากรรมฐานไปปฏิบัติต่อ เธอจะตื่นแต่เช้ามืดสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม และนั่งสมาธิเสมอ ขณะที่เดินไปยังที่นาก็กำหนดเดินจงกรมไป หรือเวลาปลูกข้าวก็กำหนด ปลูกข้าวหนอ...ปลูกข้าวหนอ...ไปด้วย เธอบอกว่าได้ผลดีมาก ทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา

ข้พเจ้าประทับใจในตัวคุณอนงค์มาก และคิดว่าตัวข้าพเจ้าเองได้รับวิธีการปฏิบัติกรรมฐานอย่างถูกต้องมาจากวัดอัมพวันแล้ว แต่พอกลับไปบ้านก็ไม่ปฏิบัติให้ต่อเนื่องทำให้จิตตกอีก พี่อนงค์มีภาระต้องทำนา ทำขนมขาย ทำงานบ้าน ดูแลครอบครัว แต่ก็ยังมีความพากเพียรในการปฏิบัติกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ ข้าพเจ้านึกถึงประโยคที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อกล่าวว่า “เวลาเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ทุกคนได้รับเสมอหน้ากัน ไม่มีใครได้เปรียบเทียบหรือเสียเปรียบกัน” ทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจว่า ต่อไปนี้จะพยายามปฏิบัติกรรมฐานให้สม่ำเสมอเป็นประจำ

หลังจากที่ปฏิบัติกรรมฐานสม่ำเสมอ และพยายามกำหนดสติตามรู้ให้ทันปัจจุบัน แม้เวลานั่งรถเมล์ กินข้าว ทำงาน ทำให้มีสติและสมาธิในการทำงานดีขึ้น มีความสบายใจ เห็นถึงคุณค่ามหาศาลของการปฏิบัติกรรมฐาน

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:37:46 น.  

 

--กรรมฐานช่วยคุณแม่ได้

ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมโครงการนำนักเรียนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ตั้งแต่รุ่นที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ จนถึง
ปัจจุบันเป็นรุ่นที่ ๒๑ (๓๐ พฤศจิกายน– ๔ ธันวาคม ๒๕๔๖) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ภูมิพลอดุลยเดช

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ คุณแม่ของข้าพเจ้าป่วยหนัก เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๑ เดือนเต็มๆ
ตอนนั้นคุณแม่อายุ ๖๗ ปี วันหนึ่งคุณแม่เล่าว่าฝันเห็นผู้ชาย ๔ คน จะพยายามมาเอาตัวท่านไปท่านบอกว่า “รอลูกสาวก่อน เดี๋ยว
ลุกสาวจะมา ”

หมอบอกว่าอาการของคุณแม่ไม่ค่อยดีนักให้เตรียมใจเพราะโอกาสมีแค่ ๕๐% แต่ต่อมาอีกประมาณ ๔ วันอาการดีขึ้นบ้าง หมอแนะนำให้กลับบ้านและซื้อเครื่องช่วยหายใจเวลาหอบและขาดอากาศ
ข้าพเจ้านอนเฝ้าท่าน เวลาท่านนอนจะทรมานกระสับกระส่าย พอท่านหลับ
ข้าพเจ้าจะสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแทนท่าน

หลังจากคุณแม่นอนหลับสนิทจนรุ่งเช้า ท่านอยากถวายสังฆทานเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ข้าพเจ้า
ไปทำสังฆทานให้ท่านที่วัดใหม่สิริกมลาวาส กรุงเทพฯ หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่ใส่บาตรตอนเช้า
สวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทศน์ปัจจุบันคุณแม่แข็งแรงเดินทางไปไหนมาไหนคล่อง



--กรรมฐานช่วยพัฒนาจิต

ข้าพเจ้ามีอาชีพขายเสื้อผ้าอยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ข้าพเจ้าเริ่มอ่านหนังสือกฎแห่กรรมเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๖ จนกระทั่งปลายเดือนมิถุนายน จึงได้ไปวัดอัมพวันกับพี่ช่อลดาเป็นครั้งแรก

เมื่อได้ไปปฎิบัติข้าพเจ้าก็ตั้งใจปฎิบัติ และเมื่อกลับบ้านข้าพเจ้าก็ปฏิบัติต่อ ปลายเดือนกันยายน ข้าเจ้าได้ไปวัดอีกครั้งหนึ่ง การปฏิบัติของข้าพเจ้าก็พัฒนาดีขึ้น เมื่อจิตใจเป็นสมาธิก็เกิดปัญญา สิ่งที่เข้าพเจ้าได้จากการนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่เห็นได้ชัดคือ ใจเย็น ไม่ค่อยหงุดหงิด สุขุมรอบคอบ ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีเหตุผล หงุดหงิดง่าย ชอบเถียงพ่อแม่ พ่อแม่ของข้าเจ้าก็มีความสุขที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะกราบเท้าพ่อแม่ ทุกครั้งที่กลับจากวัด ส่วนเพื่อนที่ไม่ได้พูดกันมาหลายปีเวลาเจอข้าพเจ้าเขาก็ยิ้มให้และโทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า กิจการก็ดีขึ้น การเงินก็ไม่ติดขัด ข้าพเจ้าได้นำสิ่งที่เรียนรู้จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาใช้ในชีวิตประจำวันและเล่าให้คนในครอบครัวและคนที่รู้จักฟัง การปฏิบัติวิสัสนากรรมฐานช่วยให้พบตัวตนที่แท้จริงของเรา สามารถแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง มีสติรู้อยู่ตลอดเวลา อาการปวดหัวของข้าพเจ้าก็หายไปครอบครัวก็อยู่เย็นเป็นสุข

ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานและปฏิบัติตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทำให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างมีความสุข และประสบความสำเร็จแน่นอน


--กรรมฐานสร้างชีวิตใหม่

ชีวิตคู่มีปัญหา ดิฉันจึงต้องพึ่งหมอดู ไม่ว่าหมอดูที่ไหนแม่นดิฉันก็จะกระเสือกกระสนดั้นด้นไปดูให้ได้ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลถูกหรือแพงจะดูหมด เรียกว่าบ้าหมอดูเลยที่เดียว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดิฉันดีขึ้นเลยมีแต่เสียเงินเสียเวลา ความทุกข์ที่เกิดจากสามีเจ้าชู้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย กลับยิ่งมีมากขึ้น


เมื่อลูกชายคนแรกมีอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่อยากรู้อยากลอง เขาก็เริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวเป็นนักเลง ชกต่อยกับคนอื่นจนเลยเถิดไปติดยา ในช่วงนี้ดิฉันได้ประสบกับมรสุมชีวิตหนักที่สุด มากกว่าปัญหาเรื่องความเจ้าชู้ของสามี เราหย่าร้างกัน ดิฉันได้เลี้ยงลูกทั้งสอง ดิฉันต้องรับภาระแก้ปัญาแต่เพียงผู้เดียวด้วยความสมัครใจของดิฉันเอง ลูกชายเริ่มนำของในบ้านไปขาย อะไรแลกเป็นเงินได้เป็นเอาหมด เพื่อจะได้เสพยา ดิฉันก็พยายามซื้อของคืน ลูกไปเป็นหนี้สินที่ตรงไหนก็ตามใช้หนี้ให้ ปัญหาก็ไม่ได้จบสิ้นกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น ดิฉันไม่ทราบจะพึ่งใครได้ จนดิฉันไปได้หนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อมาจากเพื่อนครูคนหนึ่ง เขาไม่ได้อธิบายอะไร บอกเพียงว่าลองสวดมนต์ดูซิ

ดิฉันก็เริ่มสวดมนต์ด้วยความศรัทธาเพราะหวังว่าช่วยลูกของดิฉันได้ ดิฉันเป็นคาธอลิก แต่ในยามที่ดิฉันมีทุกข์อย่างนี้ อะไรก็ได้ที่คิดว่าเป็นหนทางช่วยลูกดิฉันจะทำหมด ดิฉันสวดมนต์ของหลวงพ่อโดยไม่ทราบว่าต้องมีการแผ่เมตตาอย่างไรเวลาผ่านไปได้ 3 เดือนเต็ม ๆ ผลก็ยังไม่เห็น ดิฉันไปตักบาตรทุกวัน เหตุการณ์ก็ไม่ดีขึ้นมาเลย

เมื่อดิฉันเริ่มไม่มีเงินที่จะให้ลูกชาย เขาก็หันจากเป็นผู้เสพมาเป็นผู้ส่งของเสียเอง จนในที่สุดก็ถูกตำรวจจับ ต้องไปเสียค่าปรับในชั้นศาล เป็นครั้งแรกที่ต้องเห็นลูกชายถูกใส่กุญแจมือ และนั่งท้ายรถกระบะตำรวจเพื่อไปศาล หัวใจของแม่แทบแตกสลาย น้ำตาไหล ในสมองคิดว่าจะช่วยลูกอย่างไร เมื่อได้ไปเสียค่าปรับที่ศาลก็กลับมาบ้าน ดิฉันคิดว่าลุกคงจะเข็ดขยาด แต่ลูกกลับไปมั่วสุมหนักกว่าเก่า ดิฉันได้พยายามบอกเขาว่า ไม่มีเงินจะไปเสียค่าปรับอีกนะ เขาเข้าออกจากทัณฑสถาน 5 ครั้ง บางครั้งอยู่ 1 เดือนก็ไปเสียค่าปรับออกมา ในที่สุดเมื่อหมดเงินก็ต้องปล่อยให้อยู่เช่นนั้น แต่ในใจมีแต่ความเศร้าหมอง คิดหาทางช่วยเหลือลูก

วันเวลาผ่านไป ชีวิตของดิฉันมีแต่ความทุกข์ ดิฉันเหมือนตกอยู่ในนรก ใจหดหู่ ตั้งแต่แต่งงานจนถึงระยะลูกติดยามานี้ เป็นระยะเวลาหาความสุขในชีวิตไม่ได้

จนกระทั่ง ได้คำชักชวนจากเพื่อนรักคือ คุณดวงกมล ยิ่งวรากุล ว่าไปวัดเถอะชีวิตจะได้ดีขึ้น จึงตัดสินใจไปวัดอัมพวัน ตอนนั้นดิฉันคิดว่าพระที่วัดนี้คงดูหมดแม่น และมีญาณพิเศษช่วยปัดเป่าทุกข์สุขของชาวบ้านที่ไปหาได้ ดิฉันเคยบ้าหมอดู จึงยิ่งมีความมุ่งมั่นที่จะไปพบหลวงพ่อ

หลวงพ่อพูดกับเพื่อนที่กราบเรียนหลวงพ่อเรื่องสามีไปติดผู้หญิงว่า “สามีที่ดีต้องอยู่กับเรา สามีไม่ก็ไม่อยู่กับเรา ก็ปล่อยเขาไป คนไม่ดีจะเอามาทำไม ทำกรรมฐานซิ สามีคนดีก็จะกลับมา” และหลวงพ่อก็หันมามองดิฉันและพูดว่า “ลูกที่ติดยาก็จะดี” ดิฉันแปลกใจมากว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไรว่าดิฉันมีปัญหาเรื่องลูก

ครั้งนั้นดิฉันเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติกรรมฐาน 9 วัน ด้วยใจที่มุ่งมั่นมาก ได้ปิดวาจา เพียรพยายามทำตามเวลาที่ทางวัดกำหนดทุกอย่าง ช่วงพักเราก็จะนำหนังสือของหลวงพ่อขึ้นมาอ่าน ได้รับความรู้ความเข้าใจอย่างมาก วันสุดท้ายดิฉันได้พูดกับเพื่อนว่า “ใช่เลย ส่งที่ดิฉันเคยพยายามเรียนรู้ เป็นสิ่งที่ดิฉันค้นหามานาน เป็นบุญของดิฉันที่ได้มาพบมาเจอ ไม่ต้องพึ่งหมอดู เจ้าเข้าทรง แต่พึ่งตนเองและเห็นผลด้วย”

เมื่อกลับมาจากวัดอัมพวัน ดิฉันก็มาปฏิบัติที่บ้านตลอด3 เดือน ช่วงนี้ลูกชายเพยามากขึ้น ไม่หลับไม่นอนเป็นอาทิตย์ ไม่กินข้าวกินปลา ซูบผอม อิดโรย หน้าดำหมองคล้ำ หากวันไหนนอนก็จะนอน 2 วัน 2 คืน หงุดหงิด หาเรื่องทะเลาะกับน้องกับแม่แทบทุกวัน บางครั้งก็หนีตำรวจหัวซุกหัวซุน ดิฉันเริ่มลังเลว่ากรรมฐานจะช่วยได้หรือ คุณพาณิชย์ก็จะเตือนสติดิฉันว่า “ยิ่งปฏิบัติมาก กรรมก็จะเข้ามาเร็ว จะได้ใช้กรรมได้ไว จะได้หมดกรรมเร็ว แล้วอย่าไปสร้างกรรมใหม่อีก”
ในช่วงเดือนมิถุนายน รัฐบาลทำสงครามกับยาเสพติด มีการกวาดล้างเอาจริงเอาจัง ลูกชายดิฉันก็ไม่สามารถหายามาเสพได้ จึงหันมาดมกาวแทน จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2546 ลูกชายเลิกทุกอย่าง เลิกเอง และให้ดิฉันช่วยหางานให้ทำ ดิฉันสุขใจ ภูมิใจ ดิฉันเริ่มมีรอยยิ้ม ดิฉันเห็นว่ากรรมฐานสามารถใช้กรรมได้จริง ตามคำที่หลวงพ่อกล่าวครั้งแรกที่ดิฉันได้เข้าไปพบ

ดิฉันขอกราบเท้าหลวงพ่อที่ทำให้ดิฉันได้เห็นกรรมและการใช้หนี้กรรม ดิฉันจะไม่ละทิ้งของดีสิ่งนี้แน่นอน


--กรรมที่ต้องชดใช้

เมื่อครั้งที่บิดาของดิฉันป่วยหนัก ดิฉันได้มีโอกาสสวดมนต์บทพาหุงมหากา ดิฉันได้รับบทสวดมนต์เป็นลายมือของญาติผู้ป่วยที่ไปรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอ่างทอง เมื่อบิดาเสียชีวิตได้ไม่นาน สามีของดิฉันก็เสียชีวิตอีกคนหนึ่งระยะเวลาห่างกันเพียง ๑ ปี ตลอดเวลาที่บุคคลทั้งสองป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดิฉันดูแลปรนนิบัติอย่างดี พร้อมกันนั้นก็สวดมนต์ไปเรื่อยๆเท่าที่โอกาสจะอำนวย สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงบางครั้งก็สวดคาถาชินบัญชรบ้าง

หลังจากทำศพสามีแล้ว ตัวดิฉันเองก็แทบจะป่วยตายไปด้วย แต่เมื่อมีลูกต้องดูแลอีก ๒ คน ดิฉันจึงต้องหางานพิเศษทำ ดิฉันไปธุรกิจขายตรงกับบริษัทแห่งหนึ่ง ดิฉันทำมาค้าขึ้นได้ใช้หนี้สิน ซื้อรถยนต์ป้ายแดง ซื้อบ้าน และมีโอกาสไปต่างประเทศหลายประเทศ เที่ยวเมืองไทยเกือบทั่ว ได้ไปเป็นนักจัดรายการวิทยุหลายสถานี จนมีคนรู้จักดิฉันมากมาย ดิฉันเชื่อว่าเกิดจากอานิสงส์ของการทำความดี และสวดมนต์ไหว้พระ ใส่บาตรเกือบทุกวัน ยิ่งให้ยิ่งได้

ต่อมาดิฉันได้มีโอกาสเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน หลังจากที่กลับมาอยู่บ้านได้ประมาณเดือนเศษๆก็ประสบอุบัติเหตุ น้ำมันร้อนๆในกระทะที่ทอดปลาอยู่หกราดมือและแขนทั้ง ๒ข้าง อาการปวดแสบปวดร้อนนั้นสุดที่จะบรรยายได้ มันทรมานมาก ดิฉันปฐมพยาบาลตัวเองแล้วพันผ้าไว้เพราะร้อนและปวดมาก ดิฉันข้นไปห้องพระ อาราธนาพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ขอบารมีจากท่านขอให้แผ่เมตตาช่วยดิฉันด้วย สวดมนต์ก็ผิดๆถูกๆ เปิดหนังสือสวดมนต์ใหม่ สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สวดคาถาชินบัญชร อาราธนาหลวงพ่อโต ช่วยอีก ก็ยังปวดและร้อนเหลือเกิน อธิฐานจิตขอคาถาดับพิษไฟจากหลวงพ่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องพระ เมื่อเปิดหนังสือคู่มือชาวพุทธของหลวงพ่อที่แจก ก็พบคาถาดับพิษไข้ แต่ดิฉันขอดับพิษไฟ คือบทที่ว่า “อมอัคคี คงคานัง ระงับดับหาย สวาหะ” ดิฉันก็ว่าไปเป่าไปเรื่อยๆ ประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ ดิฉันสบายขึ้น และคืนนั้นนอนหลับสนิท อาจจะเป็นเพราะกำลังใจส่วนหนึ่ง และความมีสมาธิมากขึ้น และมาหยุดคิดว่ากรรมนี้เราต้องใช้เขาแล้วนะ เพราะว่าสมัยสาวๆทำกับข้าวเสร็จเคยสาดน้ำร้อนถูกสุนัขใต้ถุนบ้านบ่อยๆ เขาก็คงเจ็บปวดแบบนี้เหมือนกัน ดิฉันคิดถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญว่า ท่านเองบวชเรียนมีบุญบารมีขนาดนี้ ท่านยังต้องใช้กรรมเลย ก็แล้วเราล่ะเป็นใครถึงจะหนีกรรมพ้น ก็เลยไม่ทุกข์ทรมานและกระวนกระวายเกินไป

เมื่อรักษาแผลน้ำมันลวกแล้ว ประมาณเดือนเศษๆ ดิฉันก็ฝันเห็นหลวงพ่อจรัญ พอตื่นขึ้นก็มาคิดว่า ทำไมเราเห็นหลวงพ่อนะ ท่านมาเพื่อจะบอกอะไรหรือว่าให้เราดีใจที่ได้ชดใช้หนี้กรรมไปส่วนหนึ่งแล้ว เราน่าจะไปวัดอัมพวันอีก อย่างน้อยก็จะได้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรบ้าง ไม่รู้ว่าเราทำอะไรไว้ และเขาจะมาทวงเราเมื่อไรอีก จะช้าหรือเร็วไม่ทราบได้ ต้องไปสะสมบุญไว้ก่อน

คราวนี้ตั้งใจเต็มที่ ไม่พูดกับใคร ปฏิบัติจริงๆ ได้ศีล ๘ พร้อมกับกินเจ และก็ดีเกินคาดจริงๆ จิตใจสงบ และมีสมาธิมากกว่าที่ผ่านมา

กลับจากวัดได้ประมาณสัปดาห์เศษๆ ดิฉันก็เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่อีกจนได้ รถชนกัน ดิฉันกระเด็นตกจากรถสลบอยู่กลางถนน และสลบไปนานเป็นชั่วโมง เมื่อดิฉันรู้สึกตัวพยาบาลได้ใส่ท่อยางปัสสาวะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังคิดว่าเราโชคดีที่หมดสติไป เพราะตอนนั้นถ้ารู้สึกตัว คงจะเจ็บปวดมาก เนื่องจากว่าดิฉันกระดูกซี่โครงหลังซี่ที่ ๒-๓-๔ หัก และกระดูกสันหลังข้อที่ ๗ ยุบตัว กระดูกไหปลาร้าหักและหลุด ในท้องก็นิ่มไปหมด ส่วนที่ศีรษะก็เป็นก้อน บวมปูดขึ้นมา เกรงจะมีอาการเลือดคั่งในสมอง ต้องเตรียมผ่าตัดฉุกเฉิน งดน้ำงดอาหาร คืนนั้นดิฉันขยับตัวไม่ได้เลย ทรมานมาก แต่ก็คิดว่าเราต้องใช้กรรมอีกแล้ว ก็เริ่มสวดมนต์อีก บทพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ส่วนบทพาหุงมหากาจำไม่ได้ สวดไปหลับๆตื่นๆเพราะฤทธิ์ยาด้วย อาการที่หมอกลัวจะไม่มีเลย เหลืออยู่อย่างเดียวคืออาการทางสมอง ต้องรอ ๒๔ ชั่วโมงก่อน แขนขาไม่ชา ขยับได้ตามปรกติ ระหว่างนั้นดิฉันมาทบทวนดูว่า ก่อนที่จะหมดสติไปนั้นดิฉันเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ท่านนั่งสมาธิอยู่ ใจยังคิดอยู่ว่าเรามาวัดอัมพวันกันหรือไงนะ แต่ก็จำได้เลือนรางเต็มที่
สิ่งที่เกิดนี้เป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้ ดิฉันคงต้องชดใช้กรรมด้วย เพราะเมื่อ ๒ ปี ที่แล้วดิฉันได้ขับรถชนรถกระบะคันหนึ่งตกถนน มีคนเจ็บ ๔ คน เจ็บไม่มากนัก แต่ ๑ ใน ๔ คนนั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งไหปลาร้าหัก แต่เขาไม่ได้นอนโรงพยาบาล เพราะไม่หนักมากอะไร ส่วนดิฉันคงต้องใช้เขาทั้งต้นทั้งดอก ต้องผ่าตัดไหปลาร้าใช้เหล็กเชื่อม

ดิฉันสวดมนต์เสมอพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แม้แต่เวลาเข้าห้องผ่าตัดก็สวดในใจตลอดเวลา ดิฉันไม่เจ็บปวดไม่กระวนกระวายมากมายเพราะคิดว่าเราใช้กรรม ยิ่งใช้เร็วก็หมดเร็วเหมือนที่ใช้หนี้เขา
อุบัติเหตุครั้งนี้ นอกจากเจ็บตัวแล้ว ดิฉันยังต้องสูญเสียเงินในกระเป๋าหลายพันบาท และโทรศัพท์มือถืออีก ๑ เครื่อง แต่ดิฉันปลงตกว่า เราคงเคยไปเอาเงินใครเขามาแล้วเขามาเอาคืน

มีคนถามดิฉันหลายคนว่า ทำไมไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว จึงมีแต่เรื่องเจ็บตัว เสียเงินเสียทอง ทำไมบุญไม่ช่วยล่ะ ดิฉันคิดว่าจริงๆแล้ว บุญน่ะช่วยเราคือ ใช้ให้เราใช้หนี้กรรมเขาให้ไวขึ้น จะได้หมดเร็วๆ เหมือนเราเป็นหนี้เขาอยู่ ถ้าไม่ใช้เก็บไว้นานๆก็มีดอกเยอะแยะ เมื่อเราค้าขายได้กำไรมาก็รีบใช้หนี้เขาไป เหมือนเรามาสร้างบุญสร้างกุศล คงจะช่วยให้เราหมดหนี้กรรมไวขึ้น จะได้สบาย ทำอะไรก็จะดีไปทุกอย่าง และถ้าไม่ได้มาปฏิบัติธรรมเราอาจจะพบกับอะไรที่มันหนักหนากว่านี้ก็ได้ ใครจะรู้ ทำหนักให้เป็นเบา จากเรื่องใหญ่ก็เล็กลง



--การปฏิบัติธรรมนำทางสู่ชีวิตที่ดีขึ้น
ครอบครัวของดิฉันเป็นครอบครัวใหญ่ มีอาชีพทำนา อยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร ดิฉันเป็นคนสุดท้อง มีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ตอนท้องดิฉันคุณแม่อายุสี่สิบกว่าแล้ว พอโตรู้ความบ้างดิฉันก็ได้รับรู้ถึงปัญหาที่ทางบ้านประสบ โดยเฉพาะปัญหาทางเศษฐกิจ พวกพี่ ๆ ต้องแยกย้ายกันออกไปทำงานนอกบ้าน เราอยู่กันอย่างประหยัด มีอยู่ครั้งหนึ่งอาหารที่หาได้มีเพียงปลาตัวเล็ก ๆ หัวโต ๆ ๑ ตัว คุณพ่อกินหัวปลาให้ดิฉันกินตัวปลา ผักก็กินแต่ก้านเก็บยอดไว้ให้ดิฉันกิน คิดทีไรก็น้ำตาไหลทุกที

พอดิฉันเรียนมัธยม ทางบ้านก็เลิกทำนาเพราะคุณพ่อคุณแก่มากแล้วไม่มีแรงทำนา จึงหันมาค้าขายแทน ตอนนั้นดิฉันยังไม่รู้จักการสวดมนต์ไหว้พระ อย่ามากก็แค่กราบพระก่อนนอน ไปทำบุญวันพระและใส่บาตร แต่จะเป็นที่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมมาก เพราะคุณพ่อมักจะเล่านิทานเรื่องนรกสวรรค์ให้ฟังอยู่เสมอ ๆ จะสอนเรื่องกรรมดีกรรรมชั่วไปพร้อม ๆ กับเล่าเรื่องกฎแห่กรรมไปด้วย ว่าทำอย่างไรถึงจะได้ไปสวรรค์ และทำอย่างไรถึงต้องไปตกนรก ทำให้ดิฉันเชื่อเรื่องนรกสวรรค์มาก แต่ก็ยังไม่ได้สนใจไหว้พระสวดมนต์ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เพียงแค่มีความกลัวต่อบาป

จนคุณแม่ปวยเป็นโรคหอบหืด ต้องฉีดยาเกือบทุกวัน จนต้องพามารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ดิฉันไม่ค่อยสบายใจ เห็นว่าปีนี้คุณแม่เป็นมากเหลือเกิน จึงนึกอยากสวดมนต์ขึ้นมา ซึ่งไม่เคยสวดมาก่อน แต่ชอบอ่านหนังสือธรรมะอยู่แล้ว ที่บ้านมีหนังสือสวดมนต์อยู่บ้าง จึงเริ่มสวดมนต์ตั้งแต่วันนั้น และก็ได้แผ่เมตตาให้กรรมนายเวรของแม่ด้วย พอได้สวดมนต์แล้วรู้สึกสบายใจขึ้น จิตใจดีขึ้น จากนั้นก็สวดมนต์ทุกวัน ช่วเช้าก่อนทำงาน ช่วงกลางวันหลังกินข้าว และก่อนนอน

วันหนึ่งเล่นอิเตอร์เน็ตแล้วเข้าในเว็บ (Web) ของวัดอัมพวัน ได้เข้าไปอ่านสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม รู้สึกอยากไปวัดอัมพวันมาก และได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับกรรมฐานช่วยแม่ได้ ทำให้ดิฉันมุ่งมั่นที่จะปฏิบัตธรรมที่วัดนี้มากทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักวัดนี้มาก่อน แต่ด้วยจิตศรัทธาและอยากช่วยแม่จึงได้ชวนเพื่อนที่ทำงานไปด้วย พอได้ปฏิบัติก็ตั้งจิตอธิษฐานว่าการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ขอให้คุณแม่หายจากโรคหอบหืด

ตั้งแต่ได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันครั้งนั้น ดิฉันก็ตั้งใจปฏิบัติเรื่อยมา สวดมนต์เป็นประจำทุกวัน แต่นั่งสมาธินั้นไม่ได้ทำทุกวัน ดิฉันรู้จักใช้เหตุผลใช้สติและปัญญาในการดำเนินชีวิตมากขึ้น และลดความใจร้อนลงมาได้

ช่วงวันเกิดของดิฉัน หลังจากกลับจากวัด ดิฉันก็ได้ตั้งจิตว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปดิฉันจะปฏิบัติธรรม สวดมนต์ เดินจงกรม และนั่งสมาธิทุกวัน และดิฉันก็ทำได้จริง ๆ ผลการปฏิบัติที่ได้รับนั้นคุ้มค่าเหลือเกิน จิตใจของดิฉันนิ่งขึ้น ว่างขึ้น รู้จักปล่อยวางกับปัญหารอบด้านมากขึ้น ปัญหาทางเศรษฐกิจก็ค่อยดีขึ้น ดิฉันและพี่ ๆ บางคนช่วยกันหาเงินสร้างบ้านให้คุณแม่คุณพ่อได้อยู่ ดิฉันมีความสำเร็จในหน้าที่การงาน การศึกษา มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ทุกใจเหมือนที่ผ่านมา พบแต่กัลยาณมิตรชี้นำทางที่ดีงาม ชักชวนกันทำแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล




--การปฏิบัติธรรมมีผลจริงไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว

การที่คนเราจะมีโอกาสมาปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐานนั้นยากมาก มีน้อยคนนักที่จะมีโอกาสเช่นนี้เพราะผ้ที่จะปฏิบัติธรรมได้นั้นต้องมีความพร้อมทั้งร่ายกาย (ต้องสมบูรณ์แข็งแรง) จิตใจ (มีสุขภาพจิตไม่เป็นปัญหาต่อการปฏิบัติธรรม) และต้องมีกัลยาณมิตรชี้แนะสนับสนุน ดิฉันเป็นจิตแพทยท์ และเป็นอาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์สาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงพอ มีสุขภาพจิตปกติ และมียอดกัลยาณมิตร คือสามีของดิฉัน ที่คอยชักชวนสนับสนุนให้ดิฉันไปปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลานานมาก
หลวงพ่อท่านเคยกล่าวว่า อาชีพที่บุญและเป็นอาชีพที่น่าสนันสนุนมี ๒ อย่างคือ อาชีพแพทย์และครูบาอาจารย์ ดังนั้นการที่ดิฉันเป็นแพทย์และอาจารย์แพทย์ จึงได้เป็นรวมทั้ง ๒ อย่าง

ดิฉันคิดว่าดิฉันเองเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม เป็นจิตแพทย์ที่คอยแนะนำวิเคราะห์จิตใจของคนอื่น และอาจจะหลงตัวเองว่าเก่งแล้ว ดีแล้ว ซึ่งอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นที่จะต้องปฏิบัติธรรมพัฒนาจิตใจ-ปัญญาของตัวเอง

แต่หลังจากได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ดิฉันจึงเกิดปัญญารู้ว่าสิ่งที่ดิฉันเคยคิดมาก่อนนั้นผิดพลาดอย่างมหันต์ หากดิฉันยังติดอยู่กับสิ่งแหล่านี้ว่าเป็นความสุขความดีแล้วละก็ วันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งต้องมีวันนั้นแน่นอน ดิฉันจะต้องเจ็บปวดสาหัส

จะเห็นได้ว่าผู้มีปัญญานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีความรู้ความสามารถทางโลกสูง หรือมีฐานะร่ำรวยอะไร ในทางกลับกันคนที่มีความรู้ความสามารถสูงบางคนยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยทางปัญญาก็มีอยู่มากมาย



ในระหว่างการปฏิบัติธรรมมีอยู่บ่อยครั้ง(ร่วมสิบครั้ง) ที่ดิฉันรู้สึกว่า ประสบการณ์บางอย่างดิฉันเคยรู้จักค้นเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Déja vu คือภาวะที่เกิดความรู้สึกค้นเคยเหมือนว่าสิ่งนั้นเคยเกิดกับตนเองมาก่อนแล้ว ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์และหลวงพ่อท่านเคยกล่าวว่า ดิฉันเคยทำและมีประสบการณ์การปฏิบัติธรรมมาก่อนในอดีตชาติแล้ว หลังจากครบกำหนดเวลาประมาณ ๗ วันของการปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธิกสมาคมฯ ดิฉันก็กลับมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานต่อที่บ้านอย่างต่อเนื่องทุกวัน วันละหลายชั่วโมง (เฉลี่ย ๓-๔ชั่วโมง) ดิฉันรู้สึกเหมือนว่าอยู่ในห้วงทางธรรม และการปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับดิฉัน มีเวลาว่างก็ปฏิบัติธรรม ได้เกิดมีสภาวะธรรมที่อัศจรรย์เกิดขึ้นกับดิฉันหลายอย่าง และหลังจากปฏิบัติธรรมที่บ้านในวันที่ ๗ ก็เกิดสภาวธรรมที่อัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของดิฉัน ดิฉันได้เล่าสภาวธรรมต่างๆให้ท่านอาจารย์ทองคำ ศรีโยธิน ทราบท่านบอกว่า “อย่างนี้ต้องไปกราบหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน(เท่านั้น)” จากนั้นท่านอาจารย์ทองคำและภริยาของท่านอาจารย์ได้พาดิฉันพร้อมสามีของดิฉันมากราบหลวงพ่อที่วัดอัมพวันโดยค่อนข้างรีบด่วน เมื่อมาถึงวัดก็มีลูกศิษย์วัดมาแจ้งว่าหลวงพ่อท่านให้เขามารอรับพวกเรา ท่านอาจารย์ทองคำจึงพูดขึ้นว่า หลวงพ่อท่านมีสิ่งอัศจรรย์ที่รู้ว่าพวกเราจะมาถึงเมื่อไร จึงสั่งให้คนมารอรับ

เมื่อพวกเราได้พบและกราบนมัสการหลวงพ่อแล้วหลวงพ่อได้สอบอารมณ์ดิฉัน ซึ่งดิฉันก็เล่าสภาวธรรมที่เกิดขึ้นให้ท่านทราบ(ดิฉันคิดว่าหลวงพ่อท่านทราบได้เอง และได้ก่อนที่ดิฉันจะเล่าสภาวธรรมของดิฉันให้ท่านทราบ) เมื่อดิฉันเล่าเสร็จหลวงพ่อ
ท่านก็กล่าวกับพวกเราด้วยความยินดีว่า “ปฏิบัติได้ดีนี่ และนี่ไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อนด้วย ทุกอย่างเป็นไปตามคัมภีร์เป๊ะเลย”


หลังจากที่ดิฉันได้ปฎิบัติธรรมแล้วระยะหนึ่ง ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับดิฉัน เมื่อสามีดิฉันได้ตรวจพบโดยบังเอิญด้วยคอมพิวเตอร์แม่เหล็ก (MRI) พบว่ามีโพรงในกระดูกขา-แขน ทั้ง ๔ ข้าง เมื่อได้รับการผ่าตัดเอาชิ้นกระดูกไปตรวจทางพยาธิวิทยา แพทย์ทางพยาธิวิทยาบอกว่ามีเซลล์อ่อนมากกว่าปกติ สงสัยว่าอาจจะเป็นมะเร็งดิฉันเองได้รับทราบจากแพทย์ทางโลหิตวิทยาที่มาดูแลสามีดิฉัน ขณะนั้นสามีของดิฉันยังไม่ทราบทำให้ดิฉันได้เห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เห็นตัวทุกข์แล้วจริงๆ
แต่ถ้าเรามีวิชาของพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็จะสามารถมองหรือทำความทุกข์ให้เป็นทุกขัง (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)ได้ กล่าวคือ รู้เท่าทันความทุกข์ รู้จักความทุกข์ตามความเป็นจริงแห่งเหตุปัจจัย ถ้าจะอุปมาเหมือนคนเฝ้าประตูบ้าน ถ้ารู้เท่าทัน รู้จักคนเข้า-ออกประตูว่าเป็นใคร เป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ และเมื่อสามีดิฉันได้รับการตรวจอย่างละเอียดโดยการเจาะไขกระดูกไปตรวจ ผลปรากฏว่าปกติดี สมดังที่หลวงพ่อท่านเคยบอกกับสามีดิฉันเรื่องโพรงในกระดูกว่า “ไม่เป็นไร”
ดิฉันคิดว่าผู้ปฏิบัติธรรมนั้นควรจะสามารถนำธรรมะของพระพุทธองค์มาใช้ในการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาณขั้นพื้นฐาน อย่างน้อย ๒ สภาวะ คือ เมื่อตัวเราเอง หรือคนที่เรารักจะต้องจากไป ซึ่งเวลานั้นต้องมีมาแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราควรเตรียมใจพร้อมที่จะยอบรับและสามารถจัดการสิ่งต่างๆตามเหตุปัจจัยของมันได้อย่างเหมาะสม มีสติ และดำเนินชีวิตของตนเองด้วยความไม่ประมาทถึงสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงนี้

ผลของการปฏิบัติธรรมของดิฉันนั้น ทำให้ดิฉันมีความสงบสุข มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ดิฉันมีชีพจรที่ช้าลงมาก โดยวัดล่าสุดขณะพัก กึ่งนั่ง-กึ่งนอน ได้ประมาณ ๕๘ ครั้ง/นาที การหายใจก็ละเอียดเบา และจำนวนครั้งลดลงมาก ก่อนการปฏิบัติธรรมดิฉันเป็นคนหลับยากและตื่นง่าย อาจเป็นเพราะเหตุให้ดิฉันรู้สึกเหนื่อยเพลีย แต่หลังจากการปกิบัติธรรมช่วงต้น ดิฉันเพียงแค่จับพอง-ยุบ ไม่กี่ครั้ง ดิฉันก็วูบหลับไปได้สบาย แม้บางคืนดิฉันเกิดมีทุกขเวทนา เช่น ปวดศรีษะไมเกรน ซึ่งคืนหนึ่งมีอากาศร้อนจัด ดิฉันรู้สึกปวดศรีษะมากจนรู้สึกคลื่นไส้จะอาเจียนดิฉันก็กำหนดจิตอธิษฐานขอให้คุณพระค้มครองให้หลับสบาย ไม่มีอาการปวดทรมานตลอดคืนจนกระทั่งตื่นเช้า

ในด้านการปกิบัติงานนั้น ดิฉันได้รับมอบหมายให้ทำงานที่ดิฉันคิดว่ายากและคงต้องใช้เวลานานจึงจะทำได้สำเร็จ ดิฉันได้นั่งสมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจจะทำสมาธิเพื่อจะมาทำงาน แต่เป็นการทำสมาธิช่วงสั้นๆในเวลาว่าง แล้วดิฉันก็ลองเอางานชิ้นนั้นมาลองทำดู ปรากฏว่าดิฉันสามารถทำงานชิ้นนั้นได้เสร็จอย่างง่ายดาย รวดเร็ว (ใช้เวลาประมาณ ๑๕-๓๐ นาที่เท่านั้น) ได้อย่างน่าอัศจรรย์ และผลงานนั้นดิฉันคิดว่าดีมาก

ที่กล่าวมานี้เป็นตัวอย่างของผลแห่งการปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นผลจริง ไม่มีข้อสงสัยใดๆ มีบางคนเคยกล่าวอย่างท้อใจกับการปฏิบัติธรรมว่าทำไมไม่เห็นผล ดิฉันคิดว่าการปฏิบัติมีผลจริงเสมอ และมีผลทั้งนั้น แต่จะมีผลแค่ไหน ระดับไหน จนเกิดเป็นผลสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่าง ดิฉันขออนุญ่ติเปรียบเทียบการปฏิบัติธรรมเหมือนกับการต้มน้ำในกาน้ำให้น้ำเดือดระเหยไปจนหมดนั้นต้องอาศัย

๑.อุณหภูมิความร้อนต้องสูงพอ คือ อย่างน้อยต้องถึงจุดเดือดของน้ำ
๒.ต้องนำกาไปตั้งบนเตา
๓.ต้องต่อเนื่อง ไม่ใช่ยกขึ้นยกลงๆ
๔.ต้องนานพอ

ฉะนั้นเมื่อใครปกิบัติธรรมแล้วท้อใจว่าไม่เป็นผลนั้น ก็ต้องดูว่าอุณหภูมิความร้อนสูงเพียงพอหรือยัง (บารมีที่สั่งสมมา) ถ้ายังไม่พอก็ต้องเพียรพยายามสั่งสมความดีความเพียรต่อไป จนในที่สุดอุณหภูมิความร้อนสูงขึ้นพอ ได้ปฏิบัติถูกต้องถูกทางหรือไม่ ต่อเนื่องหรือไม่ และนานพอแล้วหรือยัง

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:39:05 น.  

 

--ของดีจากหลวงพ่อ

เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ดิฉันได้เข้าวัดอัมพวันแบบไม่ได้ตั้งใจ เวลาเขาปฏิบัติธรรมกัน ดิฉันก็นั่งพิงเสาศาลาหลับ แต่พอมาเจอปัญหาทุกข์ใจในครอบครัวก็เลยตั้งใจมาวัดเพื่อปฏิบัติธรรม

คืนแรกเริ่มเดินจงกรม 1 ชั่งโมง นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง ไม่มีเวลาพัก กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืน วันที่ 2 รับประทานเช้าเสร็จไม่ได้ออกนอกห้องไปไหน เพราะมีแม่ครัวเอากับข้าวมาส่งหน้าห้อง ดิฉันจึงเก็บอารมณ์กรรมฐานต่อเนื่อง เดิน 1 ชั่วโมง นั่ง 1 ชั่วโมง เดิน 1 ชั่วโมงครึ่ง นั่ง 1 ชั่วโมงครึ่ง สลับกันไป ขาดิฉันเริ่มสั่น เข่าแทบทรุด ตอนลุกยืนต้องเกาะกำแพงข้างฝา มีช่วงหนึ่งตอนบ่าย เดินจงกรม 2 ชั่วโมง นั่ง 2 ชั่วโมง ตอนนั่งสมาธิดิฉันหายใจไม่ออก ท้องมันแน่น ไม่พอง ไม่ยุบ รู้แต่ว่ามันจุกแน่นหายใจไม่ออก คิดอย่างเดียวว่าต้องตายแน่ๆ ถ้าอาการเป็นอย่างนี้ และแล้วดิฉันก็เห็นหลวงพ่อลอยมากลางอากาศ เป็นภาพใสๆ หลวงพ่อตะโกนบอกดิฉันว่า หายใจลึกๆ หายใจเข้ายาวๆ ดิฉันจึงสูดเอาลมหายใจเข้าไปเต็มที่ แล้วกำหนดรู้หนอ อาการแน่นก็ดีขึ้น
ระหว่างการปฏิบัติธรรมดิฉันจะคิดถึงแต่ความตายตลอดเวลา ตอนเวทนาเกิดนั้น มันปวดมาก กำหนดยังไงก็ไม่หายจึงร้องไห้ แล้วพูดในใจกับตัวเองว่า ทีเวลาไปทำบาป สร้างความชั่วมากมาย ทำไมทำได้ง่าย แต่การสร้างความดีคือทำกรรมฐานทำไมทนเวทนาแค่นี้ไม่ได้ รู้สึกเสียใจ จึงคิดว่าชาตินี้คงทำกรรมฐานไม่ขึ้นแน่ๆ และแล้วเสียงหลวงพ่อก็ดังก้องผุดขึ้นมาในใจอีกว่า ยากแท้เพราะเราไม่เคยทำ ง่ายแท้เพราะเราเคยทำ หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครเป็นคนกลึง ดิฉันจึงเกิดสติปัญญาขึ้นมาทันทีเลยว่าชาตินี้ต้องทำได้แน่ๆถ้ามีความเพียร ตอนแรกจะแพ้ใจตัวเองตลอดเวลา ใกล้จะแผ่เมตตาทนเวทนาไม่ได้ ต้องยกขาลงทุกที แต่ตอนนี้ไม่คิดอีกแล้ว ตายให้มันตาย ร่างกายสังขารมันไม่มีอะไรดีเลย ระหว่างนั่งปวดมากๆ จึงกำหนดปวดหนอรู้หนอสลับกันไป จึงแยกเวทนาออก จิตไม่เข้าไปยึด จึงไม่ปวด ตอนนั้นรู้ว่าร่างกายถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกตรงขาไม่ปวด ช่วงที่ 2 ท้องยุบหนอ พองหนอ ช่วงที่ 3 ลิ้นปี่ รู้หนอ รู้หนอ สลับกันไปกับยุบหนอพองหนอ พอสติเผลอจิตก็จะเข้าไปเกาะที่ตรงขา เวทนาก็เกิดอีก สติจึงเข้าไปควบคุมจิตกลับมาที่ลิ้นปี่อีก จึงกำหนอรู้หนอ รู้หนอ แล้วกลับมาพองหนอ ยุบหนอ หมดเวลานั่งจึงกำหนดลุกขึ้น เดินจงกรมต่อเป็นช่วงที่ 2 เดิน 1 ชั่วโมง นั่ง 1 ชั่วโมง ดิฉันก็แยกเวทนาออกอีกเป็นครั้งที่ 2 จิตมันเร็วมาก ตัวสติต้องควบคุมจิตตลอดเวลา พอแยกเวทนาออกปัญญาก็เกิด

พอตกบ่ายดิฉันออกไปเดินจงกรมหน้าห้อง คราวนี้ยุงกัดเกิดความรำคาญ จึงเดินเข้ามาปฏิบัติในห้อง นั่งลำคอตั้งตรง หายใจสะดวก ตอนนั้นดิฉันคิดในใจว่าปวดจะตายอยู่แล้ว แยกเวทนาไม่ออก จิตมันเข้าไปยึดเวทนาเต็มๆ พอ 5 โมงเย็นก็ปฏิบัติอีก เดิน 1 ชั่วโมง นั่ง 1 ชั่วโมง นั่งตัวตรงๆ ใบหน้าตรง ไม่แหงนและไม่ก้มหน้าจนเกินไป ความรู้สึกหายใจเต็มท้อง จับยุบหนอพองหนอชัดมาก และลมหายใจเย็นที่ท้องมาก รู้สึกมีความสุขอยู่กับลมหายใจ ยุบหนอพองหนอเป็นจังหวะชัดขึ้น จึงไม่เบื่อที่จะปฏิบัติต่อ เวทนาก็ไม่เกิดขึ้นง่าย รู้แต่ว่าความคิดมันผุด เมื่อดิฉันได้ลมหายใจแล้ว จึงเกิดความสุข มีพลังในการปฏิบัติ กว่าเวทนาจะมาเยือนก็หมดเวลา จึงแผ่เมตตาและกำหนดนอนหนอๆ หลับไปไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็เริ่มปฏิบัติใหม่กลางดึก ประมาณตีหนึ่งกว่าๆ ดิฉันทำได้แล้ว รู้สึกว่าสู้ไม่ถ้อย ถึงแม้จะนอนน้อยแต่มีพลังในการปฏิบัติ เดิน 1 ชั่วโมง นั่ง 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วนอนกำหนดช้าๆ นอนหนอๆ เหมือนคนใกล้จะตาย เพราะเหนื่อยและล้ามาก ใจคิดว่านอนก็ดีเหมือนกัน แต่อาการที่เกิดขึ้นมันเร็วมาก ปลายเท้าแข็งทื่อเหมือนซากศพ หลังกระตุกท้องโบ๋เป็นหลุมกว้างใหญ่ ตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น ดิฉันจึงกำหนดรู้หนอ จึงเกิดปัญญาว่า นี่แหละเราได้นอนหนอแล้ว พอถึงตอนเช้าก็แผ่เมตตา

การปฏิบัติธรรมระหว่าง 7 ปีที่แล้ว ดิฉันเดินหลงทางบ้าง หวั่นไหวกับสิ่งที่มากระทบบ้าง พอกลับถึงบ้านคืนแรกก็ลงมือปฏิบัติอีก เดินชั่วโมงครึ่ง นั่งชั่วโมงครึ่ง ปวดแทบตาย ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้าย ทำไมถึงยากขึ้นทั้งที่ฝึกฝนมาแล้วอย่างดี ได้โทรศัพท์ถามพี่พาณิชย์ จึงทราบว่าพอขึ้นสูงก็ยากอย่างนี้แหละ ให้ตั้งสัจจะไว้ก่อน ดิฉันจึงตั้งสัจจะว่าจะปฏิบัติทุกวัน และขอให้ปฏิบัติธรรมโดยสะดวก คำอธิษฐานเริ่มขลังและทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดิฉันเริ่มคิดถึงเพื่อนๆที่ผัดวันประกันพรุ่ง หลวงพ่อบอกว่าเวลามีเหมือนกันทุกๆคน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้เวลาเป็น บางคนทำงานโลกนี้จนลืมงานโลกหน้า ตัวดิฉันเองทำงานรับผิดชอบครอบครัวมากมาย แต่ก็ชนะใจตนเองได้เพราะความเพียร



--ความตั้งใจ

ดิฉันมีอาชีพค้าขายอยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ครอบครัวดิฉันไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันได้ไปปฏิบัติกรรมฐาน ช่วงนั้นเป็นปีที่เศรษกิจตกต่ำ การค้าก็ไม่ค่อยดี มีหนี้สินมากมายดิฉันต้องรับผิดชอบคนเดียวทุกอย่าง
เงินแทบไม่มีติดตัว ไม่มีทุนที่จะซื้อของมาขายไม่มีใครที่จะช่วยเหลือ

จนได้มาอ่านหนังสือกฎแห่งกรรม ทำให้ดิฉันมีความหวังและกำลังใจมากขึ้น เกิดศรัทธาอยากจะไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันให้ได้ เพื่อว่าอะไรต่อมิอะไรจะได้ดีขึ้น

หลังจากนั้นไม่กี่วันคงจะเป็นบุญของดิฉันที่ได้รู้จักพี่พาณิชย์ สมาบุตร จึงได้ไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันครั้งแรก

หลังจากกลับมาจากปฏิบัติ ดิฉันก็ปฏิบัติที่บ้านอย่างต่อเนื่อง จิตใจดีขึ้นได้คิดได้ปลงอะไรหลายๆอย่าง มีความสุขขึ้น
ค้าขายดี จนกระทั่งดิฉันมีอาการเจ็บท้องตั้งแต่ท้องน้อยด้านซ้ายร้าวลงไปถึงทวารหนัก ตอนแรกก็ไม่เจ็บมาก และนานๆ จะเจ็บสักครั้ง แต่ในช่วงหลังๆ มานี้จะเจ็บบ่อยขึ้นและเจ็บมากขึ้น ทำให้หยุดขายของบ่อยๆ

จนถึงวันปฏิบัติธรรมในโครงการ “มุทิตาสักการะรุ่นที่ ๔ “เพื่อถวายหลวงพ่อในวันครบรอบวันเกิดของท่าน ซึ่งดิฉันได้สมัครไว้ก่อนแล้ว จึงตัดสินใจไปทั้งๆที่อาการเจ็บในท้องมากจนแทบทนไม่ได้

เมื่อพยายามปฏิบัติและทำได้บ้างก็เกิดการเปลี่ยนแปลง หลังจากถ่ายท้องมากจนน่าตกใจแล้ว ไม่มีอาการอ่อนเพลียแต่อย่างใด
ตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลา ๒ เดือนกว่า ดิฉันไม่มีอาการเจ็บท้องอีกเลย



--ความอัศจรรย์แห่งกรรมฐาน

เรื่องราวของดิฉันเป็นเรื่องจริงที่มีความอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อต่อหลายเรื่องที่เกิดขึ้นมาในช่วงระหว่างที่ดิฉันได้มาปฏิบัติพระกรรมฐานที่วัดอัมพวัน
เดิมทีดิฉันไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำว่า “กรรมฐานคืออะไร” ยังไม่เคยแม้แต่จะคิดเข้าวัด ฟังธรรม ถือศีล ลูกน้องขอลางานไปงานไปวัด ๗ วัน ดิฉันยังมองเป็นเรื่องตลก ไม่จำเป็น
ก่อนหน้านี้มีเรื่องแปลกมากที่ดิฉันฝันว่าตัวเองอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว นั่งอยู่หน้าประตูโบสถ์วัดไหนไม่รู้ และฝันเห็นเหตุการณ์ที่สามีขอหย่าและทะเลาะกัน ดิฉันเล่าเรื่องความฝันนี้ให้สามีฟัง เขาหัวเราะและบอกว่า “ เป็นไปไม่ได้ ”
พอเวลาผ่านไประยะหลังเราสองคนทะเลาะกันบ่อย ความคิดเห็นไม่ตรงกัน ต่างคนต่างเก็บสิ่งที่ไม่พอใจจนทนไม่ไหว เราไม่เคยคิดแก้ไขที่ต้นเหตุ เพราะเราหามันไม่เจอ
จนเมื่อ ดิฉันตกหลังคาโรงงานลงมาข้อมือหักกระดูกแตกละเอียด และขาซ้ายบาดเจ็บ ช้ำอย่างรุนแรง เนื่องจากคุณอาผู้ชายที่ดิฉันชวนขึ้นไปซ่อมหลังคาตกลงมาเป็นเพื่อนดิฉันอีกคน โดยเขานั่งทับอยู่บนขาซ้ายดิฉัน ดิฉันน่าจะขาหักด้วยซ้ำแต่ไม่หัก เป็นเรื่องแปลก ที่ก่อนตกหลังคา ๑ สัปดาห์ได้มีมูลนิธิทหารผ่านศึกขดรับบริจาคทำขาเทียมให้ทหาร ดิฉันตั้งใจทำไป ๑ ข้าง เป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท ลูกน้องยังพูดแซวดิฉันว่า “คนพวกนี้มาพูดแค่คำสองคำ พี่บุศก็ให้เขาไปตั้ง ๒,๐๐๐ บาท เอาไปทำจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” ดิฉันบอกเขาว่า “ไม่เป็นไร เราตั้งใจทำบุญแล้ว เงินนี้เขาจะเอาไปทำจริงหรือไม่พี่ไม่สน”
ดิฉันตกลงมาในท่าที่บาดเจ็บน้อยที่สุด คุณหมอยังบอกว่าโชคดีมากที่ไม่พิการ หรืออัมพาต หลังจากนั้น ๑ เดือน ดิฉันทะเลาะกับสามีเพราะหงุดหงิดกับสภาพสังขารตัวเอง มองเขาไม่มีคุณค่า ไม่เข้าใจดิฉัน เลยท้าเขาหย่า สุดท้ายโดนเขาบังคับหย่า ตอนนั้นรู้เลยว่าความทุกข์เป็นอย่างไร จะอยู่อย่างไรโดยไม่มีเขา
ดิฉันเสียใจมาก ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้เกิดขึ้น เพราะยึดมั่น ถือมั่นและเชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป จนดิฉันได้รับการแนะนำจากคุณเก๋(เทพธิดาพยากรณ์) เธอแนะนำดิฉันให้ไปพบหลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวันว่าท่านช่วยดิฉันได้
ดิฉันได้พบและเล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟัง ท่านบอกว่า “เอาหนังสือสวดมนต์ไปสวด มีลูกด้วยกันไม่ต้องหย่า” แล้วท่านก็ไปโบสถ์ ดิฉันงงอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนบอกว่าหลวงพ่อตอบแล้ว ดิฉันถามกลับ “แค่นี้หรือ” ทุกคนตอบว่า “ใช่” ดิฉันก็ยังงงอยู่ จนท่านพระครูสังฆรักษ์บอกว่า “อยากรู้ไหมว่าทำกรรมอะไรไว้ ก็ให้มาปฏิบัติกรรมฐานสิ”
แล้วดิฉันก็ตัดสินใจไปทดลองดู ๓ วัน รู้สึกทรมานมากอึดอัดหายใจไม่ออกอยากกรีดร้องออกมา ครบ ๓ วันรีบกลับบ้านทันที เมื่อเจอหน้าสามีก็ขอร้องเขาให้กลับมาดีกันใหม่ เขาก็ไม่ยอม จนทะเลาะกันอีก
เมื่อพี่พาณิชย์โทรศัพท์มาหาและชวนไปวัด ๗ วัน เรื่องราวการเริ่มปฏิบัติกรรมฐานของดิฉันจึงเริ่มขึ้น
จากการปฏิบัติเดือนแรกรู้ว่าสามีจะเอาคืน เพราะเห็นแววตาเขา เราคงทำให้เขาช้ำใจมาก กดดันเขามาตลอดโดยไม่รู้ตัว จากคนรักกัน เคยพูดกันดีๆ ก็ห่างเหินพูดจาไม่ไพเราะ ไม่สนใจความรู้สึกคนที่รับฟัง
เดือนที่สอง เป็นเดือนแห่งการชดใช้ ใช้หนี้ทุกคน ระลึกได้ขณะนั่งกรรมฐาน เช่น เรื่องชุดของน้องสาว จู่ๆพี่พาณิชย์ก็บอกว่า
“บุศตัดชุดให้น้องสักชุดสิ” ตัวดิฉันยังรู้สึกเสียดายเงินเพราะราคาแพง แต่สุดท้ายก็ตัดใจตัดให้น้อง ๑ ชุด กลับบ้านยังรู้สึกเสียดาย คืนต่อมานั่งกรรมฐานเห็นเลยว่าตอนเด็กเคยไปแย่งเสื้อที่คุณแม่ส่งมาให้จากญี่ปุ่นจากน้องคนนี้ เห็นน้องเสียใจน้ำตาไหล พอออกจากกรรมฐาน โทร.หาพี่พาณิชย์ บอกว่า “รู้แล้ว ชุดนี้ต้องให้น้อง จะแพงเท่าไหร่ก็ต้องให้คืนเขาไป”
เรื่องข้อมือหัก นั่งกรรมฐานต่อมารู้ว่าตัวเองต้องตกหลังคาลงมาข้อมือหักเพราะตอนเด็กเคยก่อวีรกรรมดื้อ เถียงอาม่า จนเขาโมโห เอามือจะฟาดตัว แต่ดิฉันหลบทัน มือของอาม่าไปถูกหัวบันไดแทน บวมปูดเลย ต้องพอกยาที่มือเป็นเดือน
เรื่องงานที่อัศจรรย์ ดิฉันได้รับงานสินค้าเพื่อส่งเสริมการขายของบริษัทต่างๆจากลูกค้ามาทำ จำนวน ๘ ล้านชิ้น ระหว่างดำเนินการไปได้ ๒ เดือน ลงทุนไปหลายแสนบาทปรากฏว่าลูกค้าขอลดจำนวนลงเหลือแค่ ๒ แสนชิ้น ดิฉันตกใจมาก คิดว่าอย่างนี้ไม่ทำดีกว่า จึงปรึกษาพี่พาณิชย์และได้ให้คำแนะนำว่า ๒ แสนชิ้นก็ให้ทำไป ดิฉันบอกว่ามีแคนเสียสติเท่านั้นที่จะทำ เพราะมันจะขาดทุนมาก พี่พาณิชย์บอกว่า “เชื่อหลวงพ่อไหม ทำไป เราไม่เสียสัจจะ แล้วจะพบสิ่งอัศจรรย์” ดิฉันจึงตอบตกลงทำให้ลูกค้า ปรากฏว่าระหว่างที่ทำงานชิ้นนี้ ลูกค้าได้เพิ่มจำนวนการสั่งสินค้าเป็น ๘ ล้านชิ้น และเพิ่มมาเรื่อยๆจนถึง ๗ ครั้ง จนยอดสั่งซื้อสูงถึง ๓๖.๙ ล้านชิ้น
เดือนที่สาม เดินจงกรม ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมง ดิฉันเห็นภาพงู ๒ ตัวขดกัน ตอนแรกไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร สักครู่หนึ่งก็นึกได้ว่า สามีเคยขับรถทับงูเห่าตอนไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์โดยไม่ได้เจตนาเป็นงูเห่าขนาดใหญ่มากยาวประมาณ ๒ เมตร กำลังเลื้อยข้ามถนนในขณะที่รถวิ่งผ่านด้วยความเร็ว จึงขออโหสิกรรม เนื่องจากนึกได้ถึงเรื่องที่สามีบ่นว่าปวดหลังโดยไม่รู้สาเหตุอยู่บ่อยๆบางครั้งปวดมากจนต้องไปหาหมอ
พระกรรมฐานขัดเกลานิสัยดิฉันเสียใหม่ ให้ชีวิตใหม่ดิฉันอย่างน่าอัศจรรย์ ครั้งแรกที่มาวัดอัมพวันพบหลวงพ่อ ดิฉันดูแก่ อ้วน น่าเกลียดมาก อมทุกข์ เมื่อปฏิบัติพระกรรมฐาน เริ่มตั้งแต่ขัดเดินจงกรม ๒ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๒ ชั่วโมง บุคลิกภาพของดิฉันเริ่มเปลี่ยนแปลง จากที่เคยนั่งหลังโกง ยืนหลังค่อม มุมปากตก เวลาเดินหัวจะไปก่อนตัว เปลี่ยนมาเป็นนั่งหลังตรง ยืน-เดินตรง ดิฉันดูดีขึ้น ทั้งรูปร่างหน้าตา
“อดทนเป็นคุณสมบัติของนักสู้” หลวงพ่อพูดอยู่เสมอ สอนให้ดิฉันหัดอดทนให้มาก ถ้าอดทนได้ขนาด ๖ ชั่วโมงไม่พูดกับใคร ทนเจ็บปวดได้ เมื่อเราออกไปใช้ชีวิตประจำวัน เจอเหตุการณ์ต่างๆที่มากระทบใจ เราก็ใช้ความอดทนนี้มาสร้างสติเตือนใจตนเองได้
ช่วงแรกที่มาวัดอัมพวัน ถือศีล ๗ วัน ทุกครั้งเมื่อกลับถึงบ้านสอบตกทุกครั้ง เจอสามีเป็นต้องทะเลาะกัน หนักขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ จากเดิมที่แทบจะไม่เคยตีกัน ชนะใจตัวเองไม่ได้เลย ซึ่งจริงอย่างที่หลวงพ่อสอน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับดิฉัน “ทำความดีนั้นทำยาก และเมื่อยิ่งทำดี กรรมก็จะตามมาให้ชดใช้เร็วขึ้น”
ทุกอย่างที่เกิดกับดิฉัน เพราะดิฉันมีศรัทธา หลวงพ่อสอนเสมอ “มองคนอื่นให้ดี ถ้ามองเขาไม่ดี ตัวเรานั้นแหละไม่ดี” ตอนแรกดิฉันไม่สามารถทำได้ มองสามีว่าเขาผิดตลอด เราดี เราถูก สิ่งนี้มักจะเกิดกับหลายๆคน จะเรียกว่าทิฐิก็คงใช่ พระกรรมฐานขัดเกลาทิฐิจนราบเรียบ แม้แต่ให้กราบเท้าขอขมาสามีด้วยธูปเทียนแพดิฉันก็ทำ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกราบเท้าใคร
ปัจจุบันนี้ ครอบครัวดิฉันกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา สามีกลับมาเป็นคนดีที่รักครอบครัว และมองเห็นสิ่งเปลี่ยนแปลงในตัวดิฉัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยพูดกับดิฉันว่า “ดิฉันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้”
เขาศรัทธาในหลวงพ่อจรัญ ที่สามารถเปลี่ยนภรรยาของเขาได้ หลวงพ่อท่านเจียระไนดิฉันใหม่ ให้รู้จักอดทนอดกลั้น พูดให้น้อยฟังให้มาก กินน้อยนอนน้อย ปฏิบัติให้มาก มองคนอื่นให้ดี พูดดี ทำดี คิดดี ขว้างอะไรไปได้อย่างนั้นกลับ ยิ่งให้ยิ่งได้
ประสบการณ์ที่ผ่านมามีคุณค่ามากมาย เงินล้านไม่สามารถซื้อความสงบในใจได้


--คุณค่าของสติ

ข้าพเจ้าอายุ 50 ปี อยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ได้มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2541 และได้มาวัดทุกครั้งที่กลับมาประเทศไทยเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2545 ข้าพเจ้าป่วย ท้องเสียและอาเจียนอย่างหนัก จนต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แพทย์ได้ฉีดยาให้ข้าพเจ้า แพทย์ได้ฉีดยาให้ข้าพเจ้า หลังจากฉีดยาได้ไม่นานข้าเจ้าเกิดอาการแพ้ยา มีอาการพูดไม่ออก หายใจติดขัดไปหมด ลิ้นแข็งและจุกปาก ช่วงคอและหัวใจรู้สึกว่าร้อนไปหมด ตัวแข็งไปครึ่งตัว ข้าพเจ้ารู้แต่เพียงว่าข้าพเจ้าต้องตายแน่ ข้าพเจ้าได้อธิษฐานจิตว่าถ้าตายก็ขอให้อย่าได้ทรมานเลย พอสิ้นคำอธิษฐานปรากฏว่า ได้ยินเสียงหลวงพ่อจรัญดังขึ้นมาอย่างชัดเจนว่า “สติอยู่ที่ไหน มีสติอยู่ทำไม่ใช้” ประโยค

นี้ทำให้ข้าพเจ้าคว้าเหยือกน้ำที่อยู่ข้างเตียงนอนยกขึ้นดื่มไปหนึ่งเหยือก แล้วใช้ภาษาใบ้ขอน้ำอีกสองเหยือกจากเพื่อนดื่มจนหมดโดยไม่รู้ว่าข้าพเจ้าดื่มเข้าไปได้อย่าไร ทั้งที่ลิ้นก็แข็งและจุกปากโดยไม่มีน้ำเปียกตัวเลย สักครู่หนึ่งข้าพเจ้าเกิดอาการกระดุก สั่นไปทั้งตัว เพื่อนและพยาบาลไม่กล้าแตะตัวข้าพเจ้า คิดว่าข้าพเจ้าต้องตายแน่ หลังจากนั้นอาการดีขึ้น มีการขับถ่ายปัสสาวะและพูดให้ช่วยได้

ข้าพเจ้ารอดตายมาได้ด้วยปฏิหาริย์จริง ๆ สติช่วยให้ข้าพเจ้ารอดชีวิตมาวัดอัมพวันได้อีก ได้ไปปฏิบัติกรรมฐาน ได้สร้างหนังสือสวดมนต์ถวายหลวงพ่อ ด้วยความระลึกถึงคำสอบของหลวงพ่อว่า “เราพูดอยู่เสมอถึงคำว่าสติปัญญา เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง แต่สตินั้นแท้จริงแล้วเรานำเอามาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าแก่ชีวิตและจำเป็นแก่ชีวิตอย่าเหลือที่จะประมาณได้...”



 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:41:13 น.  

 

--นิมิตแก้กรรม

ตั้งแต่เด็กจนถึงอายุ ๑๕ ปี ผมอยู่จังหวัดแพร่ พ่อแม่ยากจนต้องหาเช้ากินค่ำ เด็กบ้านนอกส่วนมากจะชอบยิงนกและสัตว์ต่าง ๆ มาเป็นอาหาร พอผมจบ ป.๖ พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสียให้เรียนก็ให้ไปเลี้ยงควาย ทุกวันที่ไปเลี้ยงควายจะมีหนังสติ๊กคู่กาย เจอนกยิงนก เจอหนูยิงหนู แม้กระทั่งไก่ หมา วัว ควาย ยิงหมด โดยไม่คิดว่าสัตว์ทั้งหลายจะเจ็บปวดและรักชีวิตเหมือนคนเราเหมือนกัน เมื่ออายุได้ประมาณ ๑๕ ปี ผมได้ไปล่าหมูกับชาวบ้าน ผมไม่ใช่มือปืนแค่เป็นตัวส่งเสียงไล่ให้หมูวิ่งออกมาให้มือปืนยิง และก็ได้ผล หมูถูกยิงแล้วก็วิ่งไปตายไกลเกือบหนึ่งกิโลเมตร
จากนั้นผมมาอยู่กรุงเทพฯกับพี่สาว มาทำงานทำเครื่องประดับ เริ่มจากเป็นลูกน้องมาเป็นเถ้าแก่ในปัจจุบัน ผมเป็นคนชอบทำบุญ เช่นถวายสังฆทานทุกเดือน พิมพ์หนังสือสวดมนต์แจก ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ฯลฯ

ปี ๒๕๔๖ ผมได้ไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ในวันที่สองหลังจากรับศีล ๘ ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างจริงจัง ตามที่ครูศิษยาสอนให้ปฏิบัติแบบยุบหนอ-พองหนอตามวิธีของหลวงพ่อจรัญ โดยหากมีเวทนาเกิดขึ้นตรงไหน ผมก็จับเวทนาตรงนั้น แล้วก็เอาจิตไปจับบริกรรมว่ารู้หนอ รู้หนอ เรื่อยๆ ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงขึ้นจนผมควบคุมไม่ได้ แต่ใจรู้สึกอยู่ที่ลิ้นปี่เสมอว่ารู้หนอ เจ็บหนอ พอรู้หนอเจ็บหนอไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกมันก็จี๊ดขึ้นสมอง อาการนี้เป็นเพราะเราได้ทำอะไรกับสัตว์ตัวใดมา มันจะรู้โดยอัตโนมัต ไม่ว่าจะเป็นหนู นก หมา ไก่ หรือควาย ผมได้ใช้กรรมรวมไปถึงกบ เขียด ปลา และสัตว์เล็ก ๆ ทั้งหลายด้วย สำหระควายนั้นผมไม่ได้ฆ่า เพียงแต่ยิงหนังสติ๊กใส่เท่านั้น ส่วนหมูนั้นผมต้องชดใช้กรรมนานมาก

ผมขอขอบพระคุณหลวงพ่อ ตลอดจนถึงแม่ใหญ่ครูศิษยา และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ทำให้ผมสำนึกถึงผลกรรมของการกระทำในอดีตของผม



--บันทึกกรรมฐาน

ในการปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรก ข้าพเจ้าได้ประสบกับเรื่องราวที่แปลกไม่น่าเชื่อ เช้าวันหนึ่งหลังจากปฏิบัติกรรมฐานในช่วงแรกตั้งแต่เวลา ๐๔.๐๐ น. – ๐๖.๐๐ น. ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนเพียจึงไปนอนพักที่ห้อง ข้าพเจ้านอนกำหนดสติจับที่ท้อง กำหนดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรู้สึกถึงความเงียบสงบและเย็นอย่างน่าประหลาด ข้าพเจ้าไม่ได้หลับเพราะหูยังแว่วเสียงคนกวาดลานวัดอยู่ แล้วข้าพเจ้าก็มองเห็นตัวเองนอนอยู่ในชุดของผู้ปฏิบัติธรรมในท่าเดิมและห้องเดิม เลือบมองไปทางซ้ายมือก็เห็นแม่ของข้าพเจ้านั่งชันเข่าข้างหนึ่ง มีผ้าห่มสีขาวคลุมตั้งแต่ไหลลงมา แม่มีอาการหนาวสั่น จิตบอกว่าแม่ไม่สบาย เมื่อข้าพเจ้าหันหน้ามามองตรง ๆ ก็เห็นหน้าของทวดกำลังก้มมองข้าพเจ้าในระยะใกล้ ๆ ห่างประมาณ ๒ คืบ ใบหน้าใหญ่มาก ประมาณ ๗ – ๘ เท่าของใบหน้าเดิม ข้าพเจ้ามองเห็นได้ชัดเจน มีปุยเมฆเป็นเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ลอยผ่านใบหน้าของทวด มีผ้าขาวบางคลุมศีรษะและปล่อยชายลงมาข้างบ่า หน้าของทวดที่ก้มมองข้าพเจ้านั้นอิมเอิบเป็นสีชมพู ยิ้มละมัยอย่างเมตตา ข้าพเจ้่ดีใจจนบอกไม่ถูฏ ผวาลูกขึ้นนั่งพับเพียบจับมือทั้งสองทวดมากุมไว้แล้วละล่ำละลักพูดขอร้องทวดเป็นภาษาปักษ์ใต้ว่า “ทวด ช่วยบาวแอบกัน ช่วยบ่าวแอบกันนะ” เพราะขณะนั้นจิตของข้าพเจ้าจดจ่ออยู่กับน้าชายที่กำลังป่วยหนัก ทวดเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของข้าพเจ้า ลุกขึ้นยืนหันหลังกลับ ข้าพเจ้ามองตามร่างของทวด ซึ่งสวมเสื้อสีขาวแขนกระบอก และมีผ้าสไบเฉียงพาดไหล่ นุ่งโจงกระเบนสีเม็ดมะปราง แต่ทวดเดินหลังตรงไม่งงงุ้มและไม่ได้ถือไม้เท้าเหมือนที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อตอนเด็ก ๆ ทวดเดินห่างออกไปราว ๓ -๔ ก้าวแล้วหันหน้ามาพูกภาษาปักษ์ใต้กับข้าพเจ้าว่า ”ก็มันทำตัวมันเอ ง” แล้วค่อย ๆ เดินหายไป

ข้าพเจ้าเคยสงสัยว่าข้าพเจ้าจึงนิมิตเห็นทวดทั้งที่ข้าพเจ้าไม่เคยฝันเห็นทวดเลยตลอดระยะเวลาเกือบ ๒๐ ปีที่ทวดตายไป (ันบถึง พ.ศ. ๒๕๓๑ ซึ่งข้าพเจ้ามาปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรก) นอกจากเป็นเพราะขณะเจริญวิปัสนากรรมฐานจิตของเราสะอาด สงบ จึงรับได้ อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นอานิสงส์จากการอุทิศส่วนกุศล
เมื่อข้าพเจ้านำเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ใหญ่ฟัง แม่ใหญ่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ท่านเป็นเทพแล้ว ท่านลงมาบอกขณะนี้จิตเราสะอาด สงบ จึงรับได้”
ขณะมีชีวิตอยู่ทวดเป็นคนดีมีเมตตา ใจบุญสุนทาน อยู่ในศีลในธรรม ไปวัดทุกวันพระ รักษาศีล 5 เป็นนิตย์ สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำทุกวัน ตลอดช่วงอายุ 103 ปีของทวด ท่าน น้าทำตัวของน้าเองไม่มีใครช่วยได้ นั่นคือน้าตาย ถ้าท่านไม่มาบอก ข้าพเจ้าก็คงไม่ทราบเรื่องนี้ ญาติทางกรุงเทพฯ ไม่ได้บอกข้าพเจ้า เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าข้าพเจ้ามาวัดอัมพวัน
ขณะที่เราเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น จิตของเราสะอาด สงบ จึงรับหรือสื่อสารได้ เป็นการสื่อสารโดยทางจิต จิตรับรู้และเข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้ภาษาพูด จะเกิดขึ้นได้ในขณะที่เราสำรวมจิตจนดิ่งลึกเข้าสู่สมาธิ

มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานที่พระอุโบสถ ข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่ทางด้านขวามือของพระประธาน ก็เกิดนิมิตเห็นตัวเองยืนอยู่ข้างโบสถ์ และมีผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเรียกท่านว่าป้าเลียบ สวมชุดกรรมฐานกำลังกุมมือของข้าพเจ้าเขย่าด้วยอาการดีอกดีใจ พร้อมทั้งพูดว่า “ป้าเลียบมาหายานะนี่” ข้าพเจ้าเก็บความสงสัยไว้ว่าทำไมเราจึงเห็นป้าเลียบ ภายหลังจึงได้ทราบว่าท่านเสียชีวิตแล้ว
ป้าเลียบเป็นญาติของข้าพเจ้าเหมือนกัน เมื่อข้าพเจ้าอุทิศส่วนกุศลให้ป้าเลียบท่านก็ได้รับ ท่านจึงไปหาข้าพเจ้าและคงไปร่วมปฏิบัติธรรมด้วย เพราะขณะที่มีชีวิตอยู่ท่านเป็นคนมีจิตใจดีงาม ถือศีลและไปวัดฟังธรรมสม่ำเสมอ นั่นแสดงว่า คนที่จิตใจดี จิตเป็นกุศล ตายไปแล้วก็จะไปอยู่ในที่ดีเหมือนทวดของข้าพเจ้าและป้าเลียบ
เมื่อเดือนมกราคม 2542 แม่ของข้าพเจ้าป่วยหนัก เพราะเส้นเลือดฝอยในสมองแตก
เดือนเมษายน 2542 ข้าพเจ้าไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน เพื่อช่วยให้แม่หายป่วย ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อให้ผลบุญผลกุศลจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะส่งผลให้แม่ของข้าพเจ้าหายป่วยและเดินได้ตามปกติ
เชื่อว่าผลบุญจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานช่วยแม่ได้ แม่มีอาการดีขึ้นมาก กินได้ นอนหลับตามสภาพของคนแก่ เพียงแต่เดินไม่ได้เท่านั้น
ปัจจุบันนี้แม่มีอายุได้ 93 ปี ที่แม่อายุยืนคงเป็นเพราะกุศลผลบุญที่แม่ได้สั่งสมด้วยตัวของแม่ และบุญกุศลที่ลูกๆร่วมกันสร้างให้แม่ เช่นทำบุญทอดผ้าป่า ซึ่งต่างพร้อมใจกันให้แม่เป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างพระอุโบสถ สร้างเมรุ แล้วลูกหลานยังรวมเงินกันซื้อหนังสือพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย รวมทั้งตู้พระไตรปิฎก ถวายวัดในนามของแม่ นอกจากนี้บุญกุศลจากการที่ลูกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็คงทำให้แม่มีความสุขและมีอายุยืนด้วย
ปี พ.ศ.2543-2545 ข้าพเจ้าไม่สามารถไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันได้ เพราะหัวเข่าซ้ายและนิ้วเท้าขวาอักเสบเรื้อรัง เวลาเดินจะบวมและปวดมาก หมอห้ามนั่งขัดสมาธิ ต้องนั่งห้อยขาสวดมนต์อยู่บนเตียง สวดอิติปิโสพาหุงมหากา สวดคาถาชินบัญชรและยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ข้าพเจ้าต้องทนทรมานจากอาการปวดหัวเข่าและนิ้วเท้าอยู่หลายปี
ท้ายที่สุดสรุปว่าข้าพเจ้าต้องเข้ารับการผ่าตัด
ก่อนเข้าผ่าตัด ช้าพเจ้าได้รับนิมิตว่าให้ไปปฏิบัติกรรมฐาน ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าไปวัดก็เป็นการสร้างกุศลให้แม่ ให้ตัวเอง และทำจิตใจให้เข้มแข็ง อดทนไม่กลัวการผ่าตัด จึงไปวัดอัมพวันเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน เตรียมพร้อมทางด้านจิตใจและบำรุงร่างกายให้แข็งแรงเพื่อรับการผ่าตัด
ข้าพเจ้าฟื้นตัวเร็ว ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนหรือเวียนศรีษะเลย นี่คือผลจากการทำกรรมฐาน
ข้าพเจ้าแข็งแรงดีเหมือนไม่ใช่คนป่วย เพราะการทำสมาธิทำให้ไม่เสียเลือดมาก จึงไม่ต้องให้เลือด
กรรมฐานทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งอดทนไม่กลัวต่อความเจ็บปวดใดๆ การที่เรานั่งสมาธิมาเป็นเวลานาน เราจะผ่านภาวะที่เกิดความเจ็บปวดทรมานเหมือนดังร่างกายจะแตกสลาย เพราะฉนั้นความเจ็บปวดอื่นใดคงไม่เท่าความเจ็บปวดนี้อีกแล้ว กรรมฐานทำให้เราทนได้ จากปวดมากจะเป็นปวดน้อย จากปวดน้อยจะไม่ปวดเลย
เราทำกรรมอะไรไว้จึงต้องถูกผ่าตัด ที่จำได้ไม่ลืมเลยก็คือการฆ่าปู เป็นการทำด้วยความจำใจ มีคนใช้ให้ทำ ใช้มีดปักฉึกเข้าที่ท้องของมัน ด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมันสลัดเชือกขาดผึง จนขาทุกขาของมันหลุดออกจากตัวมัน สั่นริกๆอยู่บนพื้น จึงแผ่ส่วนกุศลให้กับปู ปลาและสัตว์อื่นๆ ที่ข้าพเจ้าเคยทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บหรือตายทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
เวลาเดินจงกรมท่านแนะนำให้เดินให้เท้าสัมผัสดินจึงจะดี
ชีวิตของหลวงพ่อมีแต่การให้ ให้วัตถุสิ่งของ ให้ความรู้ ให้ธรรมะ ให้โอกาสแก่ผู้คนทั่วทุกสารทิศได้ปฏิบัติธรรม และใช้ธรรมะแก้ไขปัญหาให้พ้นจากความทุกข์ พระภิกษุสามเณรในวัดอัมพวันมีกิริยามารยาทที่งดงาม รักษาศีลอย่างเคร่งครัด สวดมนต์และเจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่เสมอจึงมีหน้าตาเปล่งปลั่งอย่างผู้ทรงศีล และเป็นที่น่าประหลาดใจว่าถึงแม้มีคนเข้ามาอยู่ในวัดนี้หลายพันคน แต่วัดกลับเงียบสงบปราศจากสรรพสำเนียงใดๆ
แม่ใหญ่(อุบาสิกาสุ่ม ทองยิ่ง) ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อ แม่ใหญ่บอกว่าพวกเราทุกคนที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่เป็นคนกรุงเก่ามาเกิด ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ข้าพเจ้าจะตั้งใจอดทนพากเพียรพยายามสะสมหน่วยกิจแห่งความดีนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และขอตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้ได้เกิดใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและใต้ร่มบวรพระพุทธศาสนาทุกชาติไป


--ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม

ชีวิตของดิฉันตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่ความสุขสบาย ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลังจากจบการศึกษาไม่นาน ก็ได้แต่งงานกับสามีซึ่งมีฐานะและพื้นฐานทางครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน คุณพ่อของสามีมีกิจการค้าส่วนตัว เมื่อเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวสามี คุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของสามีดีต่อดิฉันมาก สามีก็ช่วยกิจการค้าของคุณพ่อ
ชีวิตสมรสของดิฉันราบรื่น ขณะที่มีลูกสาว ๓ คนที่น่ารัก (ลูกชายคนเล็กเกิดภายหลังวิกฤตการณ์ของครอบครัว) สามีเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ ไปไหนมาไหนจะไปทั้งครอบครัว วันหยุดส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวสวนสนุก แต่ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมารวยหรือจน ต้องมาใช้กรรมที่ทำไว้ทั้งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดิฉันก็เช่นเดียวกัน หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันเป็นทุกข์อยู่หลายปีเกิดขึ้นหลังจากแต่งงานประมาณ ๑๐ ปี สามีไปเข้าหุ้นทำการค้ากับเพื่อนๆ ตัวเขาไม่ได้เข้าไปบริหารแต่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท ทำไปได้ไม่นานก็เกิดขาดทุน ไม่มีใครเข้าไปรับผิดชอบ สามีดิฉันซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จึงต้องเข้าไปสะสางหนี้สินทั้งหลาย
ชีวิตของดิฉันแปรเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพราะสามีต้องไปทำงานที่บริษัทใหม่ หน้าที่การงานที่เขาเคยรับผิดชอบอยู่ที่กิจการของคุณพ่อก็ต้องโอนให้ดิฉันดูแลแทนทั้งหมด ตอนกลางวันดิฉันต้องดูแลร้าน มีปัญหาเกี่ยวกับการค้าก็ต้องหาทางแก้ไขเอง เพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ตอนกลางคืนก็ต้องดูแลลูกสาว ๓ คน และลุกชายคนเล็กซึ่งยังเล็กอยู่
เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก เมื่อสามีดิฉันเข้าไปสะสางปัญหาต่างๆมากมายในบริษัทใหม่ ความเครียดกับงานก็เพิ่มมากขึ้น เขาเริ่มดื่มเหล้าเพื่อให้หลับในตอนกลางคืน จนกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกวัน เริ่มขาดสติและมีอารมณ์แปรปรวนเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เขาไปงานสังคมและกลับบ้านดึก โรคปวดหลังที่เคยเป็นมาก่อนก็รุมเร้าดิฉันหนักขึ้น ถึงกลับเดินไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาล ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะหาย ดิฉันได้แต่ทุกข์กายทุกข์ใจอยู่คนเดียว ทุกครั้งที่กลุ้มใจมากๆก็จะเข้าห้องพระ จุดธูปอธิฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดิฉัน แม้จะสวดมนต์บทชินบัญชรคาถา เพื่อให้คลายทุกข์ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เนื่องจากดิฉันไม่ทราบวิธีการสวดมนต์ที่ถูกต้อง
อยู่มาวันหนึ่งพีสาวโทรศัพท์มาเล่าว่า ตั้งแต่ลูกๆเขาไปเรียนเมืองนอก เขาว่างมาก จึงหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มหนึ่งที่ได้จากงานศพของคนรู้จัก มาสวดทุกเย็นหลังเลิกงาน เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง จิตใจแจ่มใสขึ้น ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็หยิบหนังสือสวดมนต์ที่ได้รับจากงานศพเดียวกันมาสวดบ้าง (เป็นบทสวดมนต์เดียวกับที่หลวงพ่อจรัญแนะนำให้สวด)
แต่อย่างที่เขาพูดว่า เมื่อใดมีทุกข์เมื่อนั้นก็จะพบธรรมะ เมื่อความทุกข์เพิ่มทวีคูณ ดิฉันก็พยายามหาทางขจัดทุกข์ให้เร็วที่สุด จากที่เคยสวดบทง่ายๆและไม่เคยแผ่บทเมตตา ในช่วงแรกๆก็ได้เริ่มสวดบทพาหุง
มหากา บทพุทธคุณ (อายุของตัวเองบวกหนึ่งจบ) พร้อมทั้งอโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง อานิสงฆ์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันมีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้นและคลายจากความทุกข์ความกังวลเกี่ยวกับสามีลงมาก แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ อานิสงฆ์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันได้พบวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนกับธรรมะจัดสรรให้
หลังจากได้สวดมนต์ไม่นาน พี่สาวของดิฉันก็ได้นำหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม มาให้อ่าน มีหลายอย่างในหนังสือเล่มนั้นที่เป็นพลังผลักดันให้ดิฉันใฝ่หาความรู้ทางธรรมะมากขึ้น ความศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญจากหนังสือเล่มดังกล่าว ทำให้พี่สาวและดิฉันขับรถไปที่วัดอัมพวัน

แต่ก่อนมักจะโทษว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่นทำมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสามีติดเหล้า จะโทษว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่หลังจากได้สวดมนต์ปฏิบัติธรรม และฟังธรรมจากหลวงพ่อทำให้ดิฉันอยู่กับตัวเองมากขึ้น กลับมองปัญหาที่เกิดขึ้นว่า คงเป็นกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้ชาติที่แล้ว จึงต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้ ฉะนั้นเราควรอดทนใช้กรรมที่เราทำไว้ในอดีตอย่างมีสติ และไม่ควรเพิ่มกรรมใหม่ที่ไม่ดีในปัจจุบัน ดิฉันได้เริ่มต้นโดยขออโหสิกรรมจากสามี และอโหสิกรรมให้เขาเช่นกัน หลังจากที่ดิฉันปรับปรุงแก้ไขตัวเองไม่นาน สามีของดิฉันก็ค่อยๆลดการดื่มเหล้าลง จนถึงขณะนี้เขาเลิกดื่มแล้วและกลับมาเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ และเป็นสามีที่ดีของดิฉัน

ยังทำให้ดิฉันได้ระลึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับผีเสื้อเมื่อ ๓๐
ปีที่แล้ว ดิฉันได้จับผีเสื้อมา ๔ ตัว และให้เพื่อนคนหนึ่งฉีดยากลางหลังทุกตัวเพื่อสต๊าฟไว้ส่งครูในวิชาชีวะ แต่หลังจากนั้นไม่นาน
ดิฉันก็ฝันเห็นผีเสื้อยักษ์ตัวใหญ่บินเข้ามาหาดิฉันเพื่อจะมาทำร้าย จนดิฉันตกใจตื่น โดยไม่ทราบว่านี่คือความอาฆาตแค้นที่ผีเสื้อจนกลายเป็นกรรมที่ดิฉันต้องชดใช้นานถึง ๑๐ ปี กับอาการปวดหลัง ที่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทุกครั้งที่ปวดหลังดิฉันจะเดินไม่ได้ จะนั่งจะนอนก็ทรมานไปหมด กว่าจะดีขึ้นก็ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ จนกระทั่งได้มานั่งกรรมฐาน จึงระลึกได้ว่า ที่ปวดหลังมาเป็นเวลา ๑๐ ปีนั้นเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่ทำไว้กับผีเสื้อ ดิฉันจึงขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้กับผีเสื้อเหล่านั้น หลังจากนั่งกรรมฐานติดต่อกันเป็นเวลาหลานเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ยอมอโหสิให้กับดิฉัน เพราะอาการปวดหลังของดิฉันได้หายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ตอนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการขออโหสิกรรมโดยการเจริญกรรมฐาน
ให้อภัยและอโหสิกรรมผู้อื่น เรื่องในอดีตอย่าไปรื้อฟื้น ขอให้ตั้งสติเพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันการที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็โดยการเจริญกรรมฐานเท่านั้น จากประสบการณ์ชีวิตของดิฉันเอง การที่จะได้ของดีมักจะมีอุปสรรค ขอให้อดทน เริ่มจาก
สวดมนต์ อโหสิกรรม และแผ่เมตตาทุกวัน แล้วธรรมะก็จะจัดสรรเป็นขั้นเป็นตอนให้ได้มีโอกาสเจริญกรรมฐานในที่สุด ถึงแม้
ต้องต่อสู้กับตัวเองและใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อทำให้เป็นกิจวัตร แต่พอทำได้แล้วจะรู้สึกไม่ยากเลย และจะพบแต่สิ่งดีๆที่รู้ได้เฉพาะตนจริงๆ



--ผมเป็นคนดีได้ด้วยเมตตาจากหลวงพ่อ

ผมอายุ 19 ปี เป็นลูกที่เกเรที่สุดในบรรดาลูก 3 คนของพ่อแม่ ผมไปโรงเรียนทุกวันแต่ไม่เข้าห้องเรียน ผมรักเพื่อนมาก เชื่อเพื่อนมาก เพื่อนยกพวกตีกันที่ไหนต้องมีผมอยู่ด้วยเสมอ ครูฝ่ายปกครองเชิญแม่ผมไปพบบ่อยมาก แม่เป็นทุกข์เพราะเป็นห่วงผมมาก กลัวผมจะติดยาเสพติด จึงไปกราบขอความเมตตาจากหลวงพ่อด้วยความเคารพและศรัทธาอย่างยิ่ง หลวงพ่อเมตตาแนะนำให้แม่สวดพาหุงมหากาและปฏิบัติกรรมฐาน แผ่เมตตาให้กับผม แม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อทุกประการ จากที่ผมเกเรไม่เรียนหนังสือ ผมก็กลับเข้าเรียนหนังสือใหม่ในโรงเรียนแห่งใหม่จนปัจจุบันผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว แม่ดีใจมาก มีความสุข ผมก็ดีใจที่เห็นแม่มีความสุข ผมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อดังนี้

ประมาณเดือนกันยายนปี พ.ศ.2545 ผมได้ย้ายออกจากบ้านน้ำมาเช่าหอพักอยู่คนเดียว วันย้ายเข้าหอพักแม่ได้นำให้ผมสวดมนต์บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ บนเตียงในหอพักแห่งนั้น แล้วแม่ก็เดินทางกลับบ้านที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ต่อมาแม่ได้นำรูปหลวงพ่อมาให้ผมติดผนังห้องนอนเพื่อไว้กราบบูชาก่อนนอน และแม่ได้บอกกับรูปหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อเจ้าขาฝากดูแลลูกชายด้วยนะเจ้าคะ” หลังจากแม่กลับบ้านไปแล้ว ผมก็นำรูปหลวงพ่อไปติดไว้ที่หัวนอน ต่อมาคืนหนึ่งผมนอนหลับและฝันว่า มีผู้ชายคนหนึ่งมาบอกผมว่า “ น้อง ๆ เอารูปพระออกได้ไหม พี่เข้าห้องไม่ได้ พี่ไม่ทำอะไรน้องหรอก” ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอสว่าง ผมก็แกะรูปหลวงพ่อออกย้ายไปติดไว้ในตู้เสื้อผ้า คืนนั้นเขาก็เข้าฝันผมอีกว่า “ขอบใจนะน้อง พี่เดินเข้าห้องได้แล้ว” เพื่อนผมหลายคนก็พบอะไรแปลก ๆ ในห้องผมเสมอ ผมก็กลัวนะครับแต่ผมก็มั่นใจในองค์หลวงพ่อ ทำให้ผมอยู่ห้องนั้นได้อย่างมีความสุข จนผมสอบเสร็จเรียนจบ ปัจจุบันผมคืนห้องพักไปแล้ว ย้ายกลับไปอยู่บ้านที่อำเภอหัวหิน

ผมต้องกราบขอบพระคุณแม่ที่ทำเพื่อลูกได้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกเป็นคนดี และกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่เมตตาชี้ทางสว่างให้แม่และผม ทำให้ผมกลับใจมาเป็นลุกที่ดีของแม่ เป็นคนดีของสังคม ด้วยอานิสงส์ของการสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา และปฏิบัติกรรมฐานแผ่เมตตาเป็นประจำนั่นเอง

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:41:40 น.  

 

--พรหลวงพ่อ

ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมา ๑๐ กว่าปี ชีวิตและธุรกิจของผมรุ่งเรืองอยู่เรื่อยๆ ไม่มีปัญหาและอุปสรรคใดๆ เลย ผมโชคดีมากที่ได้มีโอกาสมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญ

จากหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปกิบัติ เล่มที่ ๗ ตอนพรหลวงพ่อ ผมได้เขียนไว้ตอนท้ายว่า ผมกำลังจะเปิดร้านอาหารที่ ABU-DHABI เป็นร้านอาหารไทยร้านแรก ผมได้เปิดจริงและธุรกิจยุ่งมาก ปัญหาที่เกิดคือภรรยาผมไม่ชอบคนพื้นที่ที่นั้นเลย
จึงตัดสินใจเลิกทำ ผมต้องทำใจเพราะจะต้องสูญเงินลงทุนไปล้านกว่าบาทแน่นอน ผมกลับจาก ABU-DHABI แวะกรุงเทพฯ และ
ขับรถจากกรุงเทพฯ ไปกราบหลวงพ่อ (ทุกครั้งที่มากรุงเทพฯ จะต้องมากราบหลวงพ่อ) เล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านไม่ได้พูด
หรือตอบแม้แต่คำเดียว ผมเห็นท่านได้แต่ยิ้ม ผมมีความรู้สึกทันทีว่าเงินล้านกว่าบาทคงไม่สูญ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้คืนกลับมา จนกระทั่ง ๒ อาทิตย์ผ่านไป ผมก็ได้รับโทรศัพท์จาก Simon หุ้นส่วนที่ ABU-DHABI ถ้าจะขายจะหาคนมาซื้อให้
หลังจากนั้นอีก๑ อาทิตย์ Simon โทรศัพท์กลับมาใหม่ บอกผมว่าจะซื้อไว้เองแต่มีข้อแม้คือ ผมจะต้องเขียนสูตรอาหารให้เขาใหม่
เพราะเล่มเก่าที่ผมขียนไว้ได้หายไปแล้ว ผมจึงตอบตกลง แล้วผมก็ได้เงินคืนมาอย่างไม่นึกไม่ฝัน

บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคดี แต่ผมคิดว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่หลวงพ่อมีจิตแผ่เมตตาช่วยเหลือผม ทำให้
ผมไม่ต้องสูญเงินล้าน

เดือน พ.ค. ๒๕๔๔ ผมนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ทุกครั้งที่จิตสงบเกิดนิมิตเห็นเจ้าแม่กวนอิมจนเกิดความกลัว จึงได้ไปเรียน
ถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไรให้ทำต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อเกิดนิมิตเจ้าแม่กวนอิมอีกครั้ง ผมจึงได้รับปากกับเจ้าแม่ว่า นับตั้งแต่นี้ผมจะทานอาหารเจตลอดชีวิต


--พาหุงกับประสิทธิผล


มีเรื่องปาฏิหาริย์เกิดชึ้นกับข้าพเจ้า คือข้าพเจ้าได้ส่งผลงานเพื่อขอกำหนดตำแหน่งแต่งตั้งเป็นอาจารย์ ๓ ระดับ ๘ ก่อนลงจากรถก๊สำรวจความเรียบร้อยภายในรถบังเอิญเหลือบไปเห็นหนังสือสวดมนต์เล่มสีเหลืองมีรูปหลวงพ่อจรัญ และอานิสงส์ของการสวด
พระจิตก็คิดถึงมารดาซึ่งบอกมานานแล้วว่า “สวดพาหุงมหากาให้ได้นะดีนะ” วันนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มสวดอยู่ในรถ พอจบก็กราบ 3 ครั้ง แล้วลงจากรถไปสอนตามปกติ

ข้าพเจ้าปฏิบัติอย่างนี้ทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน จนเริ่มท่องสวดพาหุงได้โดยไม่เปิดตำรา และระยะเวลาเพียง 3 เดือน คำสั่งแต่งตั้งอาจารย์ 3 ระดับ 8 ก็มาถึงโรงเรียน ข้าพเจ้าคาดไม่ถึง มี่ต้องแก้ไขแม้แต่นิดเดียว แสดงว่าผลงานทางวิชาการของข้าพเจ้าต้องชนะใจกรรมการทั้ง 3 ท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ส่งผลงานทางวิชาการเพื่อเลื่อนตำแหน่งเป็นอาจารย์ 3 ระดับ 8 ใช้เวลานานเป็นปี จะถูกส่งกลับมาแก้ไขแล้วแก้ไขอีก บางคนแก้แล้วก็ยังไม่ผ่านสิ้นเปลืองเงินเป็นจำนวนมาก
ในด้านชีวิตส่วนตัวมีความสุขกายสบายใจ นอนหลับง่าย ถ้าฝันความฝันมักจะเป็นจริงเสมอ เป็นอานิสงส์จากการสวดพุทธคุณพาหุงมหากา ทั้งตอนเวลา 05.30 น. ตอนเวลา 19.00 น. และขณะขับรถไปโรงเรียน ครั้งละ 3 จบ แล้วก็แผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลาย



--สำเร็จได้ด้วยใจศรัทธา

“หลวงพ่อเจ้าขา…แผ่เมตตาให้ลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ...” เป็นประโยคที่ข้าพเจ้ามักใช้อยู่ในใจเป็นประจำ เมื่อน้อมระลึกนึกถึงหลวงพ่อ

ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมที่ทำให้ข้าพเจ้าระลึกวิบากกรรรมได้ในขณะเดินจงกรมและนั่งสมาธิ มีดังต่อไปนี้

๑.ข้าพเจ้าเจ็บปวดทรมานที่ขาทั้งสองมากจนแทบจะแตกออกเป็นสิ่งๆ ทำให้นึกได้ว่าเมื่อสมัยเด็กๆอยู่บ้านนอก ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆพากันไปงัดก้อนดินที่แตกหลังวัด จะมีกบตัวเล็กๆซุกอยู่กระโดออกมามากมาย จับได้ก็หักขาใส่ข้องเกือบเต็ม แล้วเอาไปทำอะไรก็จำไม่ได้ รู้แต่ว่าสนุกมาก ใครหากบได้มากก็ถือว่าเก่ง หลังการปฏิบัติทุกครั้ง ข้าพเจ้าจึงขออโหสิกรรมกบ และตั้งใจว่าไม่ขอกินกบตลอดชีวิต แม้เวลานี้ความเจ็บปวดก็ยังมีอยู่

๒.ขณะเดินจงกรม เมื่อข้าพเจ้าจะเหยียบหนอที่พื้นปวดฝ่าเท้าทั้ง ๒ เท้า อย่างมาก แทบจะเอาเท้าวางบนพื้นไม่ได้ ปวดถึงกระดูกฝ่าเท้า ทรมานมาก ก็คิดหนอ คิดหนอ ทำให้ระลึกได้ว่าตอนเด็กๆข้าพเจ้าเป็นลูกคนสุดท้องไว้ผมจุกด้วย ซุกซนมาก ได้เด็ดหนามของไม้ป่าชนิดหนึ่ง มีหนามยาวประมาณ ๑-๒ นิ้ว เอามาปักตามทางเดินที่เป็นดินทรายแล้วกลบไว้ เมื่อแม่ค้าหาบขายของจากตลาดเหยียบเข้าก็เจ็บปวดร้องโอดโอย ด่าสาปแช่ง ข้าพเจ้าและเพื่อนก็หัวเราะชอบใจอย่างสนุกสนาน เมื่อข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์นั้น ได้ขออโหสิกรรม ทำให้หายปวดฝ่าเท้า และเดินจงกรมได้ต่อไป

๓.ข้าพเจ้าปวดต้นแขนซ้ายเป็นอย่างมาก คนอื่นเมื่อเขาเจ็บปวดจะเกิดอาการร้อน แต่แขนซ้ายของข้าพเจ้าเวลาปวดหรือชาจะปวดแบบเย็นยะเยือก เหมือนแขนถูกแช่อยู่ในช่องแช่แข็งในตู้เย็น ระลึกได้ว่า แม่ของข้าพเจ้าชอบทานน้ำพริกแมงดา เมื่อข้าพเจ้าซื้อมาก็ไม่กล้าฆ่า แต่เอาไปแช่ไว้ในตู้เย็น ๑-๒ อาทิตย์ให้ตาย แต่ก็ไม่ตายเอามาคั่วใส่กระทะเป็นๆจนกว่ามันจะตาย แล้วก็เอาไปตำน้ำพริก ข้าพเจ้าก็ขออโหสิกรรมแมงดา ขอให้ข้าพเจ้าหายจากอาการปวดเย็นที่แขนด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะไม่ทำอีก

๔.ข้าพเจ้าเดินจงกรม ข้าพเจ้ามีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณใบหน้า คอ และลำตัวส่วนบน เหมือนมีเข็มมาทิ่มแทงเป็นร้อยๆพันๆเล่ม ทรมานและเป็นอุปสรรคมาก ต้องเอาผ้าสไบลูบใบหน้าตลอดเวลา ถามพี่ๆก็ไม่มีใครเป็นทำให้ระลึกได้ว่าตอนทำกับข้าว ได้ปลามาแล้วข้าพเจ้าไม่กล้าฆ่าปลา เป็นปลาเล็กปลาน้อยก็เทลงกระทะร้อนๆเสียงดังฉ่า ปลาต้องตายทั้งเป็น และเมื่อทำปลาช่อนแป๊ะซะก็ทำปลาแต่ไม่ตายสนิท ใส่ลงในน้ำซุปร้อนๆเดือดๆ ปลาก็ดิ้นจนน้ำร้อนกระเซ็น ครั้งหนึ่งได้กุ้งฝอยสดๆมาทำกุ้งเต้นก็ตำพริกสดซอยหอมบีบมะนาวน้ำปลาคลุกเคล้ากัน กุ้งก็กระโดไปมา มันคงทรมานและปวดแสบปวดร้อนมาก ข้าพเจ้าก็ขออโหสิกรรมปลา กุ้ง และสัตว์ทั้งหลาย จะไม่ทำอีกตลอดชีวิต



๕.ข้าพเจ้าเลี้ยงแมวอยู่หลายตัว เมื่อมีขึ้นเกือบ ๑o ตัว แมวก็ทำความรำคาญ กระโดถูกระถางต้นไม้ล้มระเนระนาด คิดว่าควรแบ่งเอาไปไว้บ้านพี่สาวที่สุรินทร์บ้าง เพราะเป็นบ้านขายของ มีปลาทูให้กิน สะดวกสบายกว้างขวาง ก็ช่วยกันกับสามีจับแมวใส่กระสอบปุ๋ยมัดไว้ใส่หลังรถ ไม่เฉลียวใจเลยว่าอากาศร้อน ไม่ได้เปิดกระสอบให้แมวหายใจ มันก็ดิ้นขลุกขลักตลอดเวลา เมื่อไปถึงสุรินทร์เปิดกระสอบออก ข้าพเจ้าแทบช็อค! สภาพของแมวแต่ละตัวที่ขาดอากาศหายใจมีเหงื่อท่วมตัว อาเจียนและอุจจาระปัสสาวะเปียกหมด ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะช่วยเหลืออย่างไร ในที่สุดแมวก็ตายหมด ข้าพเจ้าร้องไห้ทุกข์ใจสงสารแมวมาก ขณะนอนอยู่ที่วัดฝันเห็นแมวคอขาดกระเด็นมาต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงขออโหสิกรรมต่อแมว

ในการปฏิบัติธรรมระหว่างที่กำลังทำผลงานอยู่ ข้าพเจ้าตั้งจิตแน่วแน่ต่อหลวงพ่อว่า ขอให้มีสติปัญญาเขียนงานด้วยดี ไม่มีอุปสรรคขัดข้อใดๆ ในที่สุดผลงานของข้าพเจ้าก็ผ่านด้วยดี

เมื่อได้ทราบว่าหลวงพ่อท่านจำวัดน้อยมาก ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย ท่านช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากมาโดยตลอด ทำให้ข้าพเจ้าได้แบบอย่างจากท่านและมีกำลังใจมีความขยันในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น



--หนทางพิสุทธิ์สู่ทางสายเอก

ข้าพเจ้าอายุ ๓๘ ปี เป็นชาวจังหวัดชัยภูมิ แต่เข้ามาเรียนหนังสือและทำงานในกรุงเทพฯ หลังจากเรียนหนังสือจบระดับปริญญาโท สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร จากประเทศออสเตรเลีย ก็ได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนเรื่อยมา เมื่อข้าพเจ้าไม่เคยศรัทธาในพระพุทธศาสนาเลย เพราะมีความเชื่อว่าศาสนามีไว้เพียงเพื่อสอนคนให้อยู่ในวินัยและประพฤติถูกต้องอยู่ในสังคมเท่านั้น ถ้าเราไม่ทำอะไรขัดต่อวินัยและความถูกต้องของสังคมแล้วก็ไม่ความจำเป็นที่จะต้องมีศาสนา ประกอบกับครอบครัวเป็นคนจีน ที่บ้านมีแต่ไหว้เจ้า จนกระทั่งคุณพ่อเสียชีวิตลง คุณแม่ต้องแบกภาระที่หนักมากแทนคุณพ่อ ต้องเลี้ยงดูลูกๆถึง ๕ คน และดูแลกิจการค้าขายทางบ้าน คุณแม่ก็เริ่มหันหน้าเข้าหาธรรมะโดยใส่บาตรทุกเช้า สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน อ่านหนังสือธรรมะ

ข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก แต่ยกเว้นหนังสือธรรมะเพราะไม่ศรัทธาตั้งแต่ต้น เมื่อกลับไปบ้านที่ชัยภูมิก็หาหนังสือมาอ่าน พบว่าที่บ้านมีแต่หนังสือธรรมะอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นให้อ่านบันเทิงใจได้เลย ด้วยความที่อยากอ่านหนังสือจึงหยิบมาอ่านอย่างเสียไม่ได้ น่าแปลกมากเล่มแรกที่ข้าพเจ้าหยิบอ่าน หนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ ของหลวงพ่อจรัญ เล่ม ๑-๒ เหมือนเป็นการชักนำให้ข้าพเจ้าได้มาปฏิบัติกรรมฐานกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ยิ่งอ่านก็ยิ่งน่าสนใจจึงอ่านจนหมดเล่ม

ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับชีวิตมากมาย แต่ไม่เคยหาคำตอบให้กับตัวเองได้เลย ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ หนังสือสองเล่มนี้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่ข้าพเจ้าสงสัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ความเคลือบแคลงในพระพุทธศาสนาจึงค่อยๆลดลง พร้อมกับศรัทธาที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญด้วย คืนหนึ่งคุณแม่ชวนไปใส่บาตรตอนเช้าที่วัดแถวบ้าน ข้าพเจ้าก็ไป ภาพการถวายอาหารพระ พระสวดให้พร หลังจากฉันอาหารเสร็จแล้วท่านก็เทศน์นิดหน่อย ภาพเหล่านั้นประทับใจข้าพเจ้ามาก เกิดความศรัทธาและความปีติ เมื่อกลับมากรุงเทพฯ จึงขวนขวายหาหนังสือธรรมะมาอ่านเอง พร้อมกับลองหัดนั่งสมาธิดูเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอน

มีอยู่ช่วงหนึ่งข้าพเจ้าลองนั่งสมาธิอยู่ที่บ้านทุกวันในเวลาเดียวกันคือช่วงสี่ทุ่ม แต่เพียงแค่ ๑๕ นาที่เท่านั้น หลังจากปฏิบัติติดต่อกัน จนกระทั่งวันที่ ๗ ของการนั่งสมาธิ ช่วงประมาณสองทุ่ม สุนัขหลายตัวก็ส่งเสียงหอนอย่างผิดปกติ คิดว่าวันนี้จะไม่นั่งสมาธิ เมื่อคิดจบสุนัขก็หยุดหอน ข้าพเจ้าก็ลืมไปเลย พอได้เวลาสี่ทุ่มจึงปฏิบัติเหมือนเช่นเคย เมื่อนั่งได้ ๕ นาทีเท่านั้น สุนัขก็ส่งเสียงหอนอีกขานรับกันเป็นทอดๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมเล็กกรีดร้องแทรกขึ้นมา เป็นเสียงที่โหยหวนมาก ยาวนานไม่ขาดระยะเหมือนไม่หายใจ จำได้ว่ามีประมาณ ๔-๕ เสียง สัญชาติญาณบอกทันทีว่านี่เสียงเปรตร้อง เสียงนั้นโหยหวนจนเข้าไปถึงกระดูก ข้าพเจ้ากลัวจับใจจึงเลิกนั่งสมาธิกลางครัน ล้มตัวลงนอนเลย ตอนนั้นยังแผ่เมตตาไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่เป็น ถ้าข้าพเจ้าต้องตาย ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นเปรตเลย เพราะดูเหมือนเขาจะทรมานมาก ข้าพเจ้าไม่อยากมีทุกข์อย่างนั้น ก็เลยคิดต่อว่า ถ้าไม่อยากเป็นอย่างนั้น อะไรที่จะช่วยให้เราไม่ไปอยู่ในภพภูมิแห่งความทุกข์ ก็ถามตัวเองต่อไปว่า แล้วอะไรที่ทำให้เธอเห็นเขา คำตอบก็คือเพราะเธอนั่งสมาธิ เธอจึงเห็น เพราะฉะนั้นการนั่งสมาธิต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่แน่ๆ เธอควรฝึกตามเส้นทางนี้แหละจะทำให้เธอพ้นทุกข์ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้านั่งสมาธิอีกเพราะกลัวเจอเปรต และยังไม่มีครูสอนจึงเลิกนั่งสมาธิไปประมาณ ๖ เดือน

วันหนึ่งปรารภกับคุณแม่ว่าอยากฝึกนั่งสมาธิ แต่ไม่รู้จะไปฝึกที่ไหน คุณแม่จึงแนะนำให้มานั่งที่วัดอัมพวัน มาปฏิบัติครั้งแรกทรมานมาก ด้วยความที่เป็นคนใจร้อน พอต้องมาทำอะไรช้าๆ กำหนดสติและต้องอยู่ระเบียบวินัย จึงแทบจะทนไม่ได้ แต่ก็อยู่จนครบ ๗ วัน ไม่ได้อะไรเลย จำได้ว่าวันที่กลับบ้านข้าพเจ้าดีใจที่สุด คิดว่าจะไม่กลับมาปฏิบัติอีกแล้ว ก่อนกลับก็ซื้อหนังสือสัตว์โลกต้องย่อมเป็นไปตามกรรม ของอาจารย์ สุจิตรา อ่อนค้อม มาอ่าน อ่านเพียงแค่ ๒ วันเท่านั้น ข้าพเจ้าก็กลับมาวัดอัมพวันใหม่ พร้อมกับขอหลวงพ่อบวชชีเลยทีเดียว แต่ท่านไม่อนุญาต
เมื่อเคลียร์งานได้ก็มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันอีก เป็นเวลา ๑๙ วัน ระหว่างปฏิบัติเกิดเวทนาหนักมาก นั่งกรรมฐานทีไรร้องไห้เกือบทุกรอบ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ นั่งครบตามกำหนดเวลาทุกครั้ง จนข้าพเจ้ากลัวทุกครั้งที่จะเริ่มปฏิบัติ แต่ถึงกลัวก็ปฏิบัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อย่าเลิกจนวันที่ ๗ ของการปฏิบัติ ข้าพเจ้าปวดขามากเช่นเคย หนนี้ปวดหนักจนร้องไห้มากกว่าทุกครั้ง ปวดจนถึงขีดสุด ข้าพเจ้าก็บอกกับตัวเองว่าตายเป็นตาย ให้มันตายไปเลย พอคิดได้ดังนั้นความปวดก็ดับวูบลงพร้อมกับอาการที่ตา หู และกายไม่สัมผัส เหมือนเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ทันใดนั้นก็ปรากฏภาพนิมิตเป็นเวิ้งทะเลใหญ่ ด้วยความสนใจ ข้าพเจ้าจึงจ้องมองโดยลืมกำหนดเห็นหนอ ภาพนิมิตนั้นจึงเลือนหายไป พร้อมกับรู้สึกตัวกลับมาอีกครั้ง เห็นภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปชัดเจน ตั้งแต่วันนั้นจนปฏิบัติครบ ๑๙วัน
ข้าพเจ้าก็ไม่เกิดเวทนาที่ขาอีกเลย เมื่อสงบจากเวทนา จึงหันมากำหนดพอง-ยุบมากขึ้น กำหนดสติให้ละเอียดยิ่งขึ้น

ขณะเดินจงกรมในวันที่สิบกว่า ข้าพเจ้าเกิดคิดถึงคุณพ่อที่เสียชีวิต ระลึกถึงบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่ ข้าพเจ้าหวนนึกถึงคำของหลวงพ่อว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจะเป็นผู้ที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณ

ช่วงแรกๆของการเข้าปฏิบัติกรรมฐาน มารก็เริ่มผจญ นึกถึงคำหลวงพ่ออีกว่า ยิ่งทำความดี มารก็ยิ่งผจญ มารมาทดสอบ มารมาเป็นครู พอเริ่มสร้างความดีคือเริ่มปฏิบัติกรรมฐาน เรื่องราวที่ก่อให้เกิดความทุกข์ก็ประดังเข้ามาหลายเรื่องพร้อมๆกัน แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหญ่โตที่ข้าพเจ้าไม่เคยประสบมาก่อน ทั้งการงาน การเงิน ปัญหาครอบครัวพี่น้อง จนข้าพเจ้าเครียดมาก ตั้งสติไม่ได้กำหนดไม่ทัน รู้สึกหมดแรง ไม่อยากทำความดี ไม่อยากทำกรรมฐานอีกต่อไป จึงมากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านมองมาที่ข้าพเจ้าพร้อมกับเอ่ยว่า “ จำไว้นะ ศุภรัตน์ เมื่อเรายังไม่มีความดี ยังไม่มีบุญนั้น เจ้ากรรมนายเวรยังทวงเราไม่ได้ เพราะเราไม้มีอะไรจะให้ แต่เมื่อเราสร้างความดี ปฏิบัติกรรมฐานนั้นก็เปรียบเสมือนค้าขายจนมีเงินแล้ว เจ้ากรรมนายเวรเปรียบเสมือนเจ้าหนี้ เมื่อรู้ว่าเรามีเงินก็จะทวงเงินเรา เมื่อเป็นหนี้ก็ต้องใช้เขาไป เราต้องผ่านจุดนี้ให้ได้เสียก่อน เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว ชีวิตของเราก็จะดีขึ้น ไม่มีอะไรรั้งไว้อยู่ได้ เปรียบเหมือนเส้นกราฟที่ลากผ่านจุดต้นก่อน แล้วค่อยๆพุ่งสูงขึ้น แต่คนส่วนใหญ่นั้นจะหยุดสร้างความดี หยุดปฏิบัติกรรมฐานกันที่จุดนี้ ชีวิตเลยไม่ไปถึงไหนกัน ”

ข้าพเจ้าได้ฟังคำเฉลยจากหลวงพ่อแล้วโดยที่ยังไม่ได้ถามท่าน หลวงพ่อท่านหยั่งรู้ ช่วยสอนธรรมครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญแก่ข้าพเจ้าอีกครั้ง ความเอิบอิ่มใจและกำลังใจที่เติมจนเต็ม ช่วยให้ข้าพเจ้าไม่ท้อถอยต่อการสร้างความดีจนถึงทุกวันนี้
เมื่อเราเกิดมาขาตินี้ ได้เกิดเป็นคน ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีศรัทธาในการปฏิบัติ ได้มีครูบาอาจารย์ดี สั่งสอนถูกต้องตามเส้นทางที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงชี้แนะไว้ จึงโอกาสอันดีที่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แก้ปัญหาชีวิตของตน และสร้างบารมีให้ชีวิตสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

มีอยู่ช่วงหนึ่งข้าพเจ้าทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานและการสวดมนต์ไปด้วยสาเหตุหลายๆอย่าง ขี้เกียจบ้าง สนุกสนานเฮฮาบ้าง ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย นิสัยไม่ดี เช่น ขี้โมโห ใจร้อน เห็นแก่ตัว มีทิฐิมานะสูง ก็เลยกลับมาเหมือนเดิม เจออะไรในชีวิตก็ลืมกำหนด ลืมการปฏิบัติแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ เอาความรู้ทางโลกมาแก้ปัญหาทางโลกแบบผิดๆถูกๆ ก็เลยไปกันใหญ่ ไม่มีสติปัญญามองเห็นปัญหาและการแก้ปัญหา จนกระทั่งวันหนึ่งไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก ท่านชี้มาที่ข้าพเจ้าและบอกว่า “ ถ้าเราไม่ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อยกชีวิตเราให้ดีขึ้นละก็ ชีวิตก็จะไปตามยถากรรมเหมือนที่มันเป็นอยู่นี้แหละ ” ข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐาน ทำให้การแผ่เมตตาของหลวงพ่อไม่เป็นผล เพราะการที่จะให้หลวงพ่อช่วยเหลืออะไรนั้นตัวเราควรช่วยเหลือตัวเองเสียก่อน ก่อนที่จะไปพึ่งพาผู้อื่น หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่า เราต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้เสียก่อน ต่อไปจึงช่วยเหลือครอบครัว หลังจากนั้นช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ การช่วยเหลือตัวเองก็ถือว่าเป็นการสร้างความดีให้กับตัวเอง ข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติธรรมก็เหมือนคลื่นวิทยุสองคลื่นจูนไม่ตรงกัน หลวงพ่อแผ่เมตตาไปให้จึงสะท้อนกลับ เพราะการทำกรรมฐานไม่ต่อเนื่องไม่สม่ำเสมอก็เปรียบเหมือนกับไม่ได้ทำเลย แก้ปัญหาชีวิตก็ไม่ได้ ชีวิตก็ไปตามยถากรรมเหมือนเดิม เมื่อช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ แล้วจะไปช่วยใครได้ จึงอยากฝากทุกท่านว่าอย่าได้ทิ้งกรรมฐานเหมือนที่ข้าพเจ้าทำ


ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรม ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น เป็นเวลา ๗ วัน มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงวันที่ ๔ ของการปฏิบัติ ข้าพเจ้ากำหนดสติได้ดีมาก เกิดปัญญาสอนว่า กายนั้นอยู่ส่วนกาย จิตนั้นอยู่ส่วนจิต จิตอิ่มเอิบมากจึงแผ่เมตตาไปจนไพศาล เมื่อออกจากการปฏิบัติ กำหนดสติรู้ในอริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ดีมาก เช้ามืดวันถัดมา ข้าพเจ้ากำลังเดินจงกรมอยู่ เกิดปวดท้องมาก ปวดจนตัวงอไปหมดจึงลงนอนพัก ซึ่งตอนนั้นทุกคนออกไปปฏิบัติกันหมด เหลือข้าพเจ้าคนเดียว พอกำลังเคลิ้มๆก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งผมยาวประบ่า นุ่งขาวห่มขาวมายืนอยู่ข้างๆพร้อมกับพาข้าพเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น สถานที่ที่ไปนั้นดูเป็นเมืองที่แปลกมาก ผู้คนขวักไขว่ แต่ไม่มีใครพูดจากันเลย ข้าพเจ้าก็เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งพบชายสูงอายุท่านหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปหา ชายสูงอายุท่านนั้นก็พูดกับข้าพเจ้าด้วยประโยคสั้นๆ แต่ข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำจนบัดนี้ว่า หนูหมั่นสร้างความดีนะ อย่าทิ้ง ข้าพเจ้ารับปาก สักครู่ไม่ทราบใครยื่นชามข้าวต้มให้ บอกให้ข้าพเจ้ารับประทาน ข้าพเจ้าจึงรับประทานจนหมด รสชาติหอมอร่อยมากทั้งๆที่เป็นเพียงข้าวต้มเปล่าๆ เมล็ดข้าวก็ดูแปลก เมื่อข้าพเจ้าทานหมดก็มีคนชี้บอกทางให้เดินข้ามสะพานกลับ เมื่อข้ามสะพานพันก็รู้สึกตัวเพราะมีคนเข้ามาในห้อง เอายามาให้ แต่ตอนนั้นหายปวดท้องแล้ว

ข้าพเจ้ารู้สึกถึงวาสนาในทางปฏิบัติธรรมของตนเองว่าคงมาในเส้นทางนี้ เพราะได้พบครูบาอาจารย์ที่เป็นเอกเป็นเลิศ นอกจากนี้ท่านอยู่ในภพภูมิอื่นก็ยังอุตส่าห์มากระตุ้นเตือนให้ข้าพเจ้าอย่าทิ้งการปฏิบัติธรรมอีก จึงบอกตัวเองว่า ต่อไปนี้จะไม่ทิ้งกรรมฐานอีก เพราะโอกาสมีมาโดยพร้อมมูลในชาติภพนี้แล้ว

เมื่อข้าพเจ้าปรารภว่าอยากบรรลุธรรมในชาตินี้ ที่พาณิชย์แนะนำว่าจะต้องปฏิบัติทุกวัน เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ถ้าเป็นคนโสดเดิน ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมง ได้จะเป็นการดีและสัมฤทธิ์ผลอย่างที่ต้องการแน่ ข้าพเจ้าจึงนำไปปฏิบัติ และไปเข้าโครงการ ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ข้าพเจ้าเดิน ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมงได้ แต่ด้วยเวทนาที่มากที่สุดในชีวิต

การเดินจงกรมนั้นสำคัญมาก เพราะถ้าสติและสมาธิจากการเดินจงกรมดีแล้ว เวลานั่งสติและสมาธิก็จะดีและต่อเนื่องด้วย หลวงพ่อจึงให้เดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิ หลังจากการปฏิบัติกรรมฐานทุกครั้งข้าพเจ้าจะมีอาการหนาว มือเท้าเย็น ที่พาณิชย์บอกให้ไปอาบน้ำจึงจะหายหนาว และว่าปฏิบัติกรรมฐานถูกวิธี มือจะเย็นเสมอ

ในระหว่างการปฏิบัติได้เกิดปัญญาขึ้นมากมาย และได้พิจารณาธรรมอย่างเช่น
“เพราะจิตนี้มีกายเป็นข้อต่อรอง ในการทำให้เกิดกิเลสต่างๆนานา กายเป็นทางเข้าออกของกิเลสโดยทางอายตนะภายในทั้ง ๖ กายนี้ชักนำจิตให้เศร้าหมอง จิตก็ชักนำกายให้เศร้าหมอง ต่างฝ่ายต่างรวมหัวกันทำความไม่ดี แต่ถ้าเราสามารถควบคุมจิตไม่ให้วิ่งเข้าสู่กิเลสต่างได้ จิตก็จะดีและชักนำกายให้ดีด้วย เพราะฉะนั้นต้องหมั่นฝึกจิตด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔” และ

“ในระหว่างกำหนดสตินั้น ทุกๆลมหายใจเข้าออกนั้นเป็นบุญ เรากำลังสร้างความดีททเรามิได้ทำความชั่วเลย ศีล ๕ มีครบถ้วน มิได้ทีกิเลสโลภ โกรธ หลง ในระหว่างนั้น ดังนั้นถ้ายิ่งเจริญสติมากเท่าใดก็ยิ่งสร้างความดีมากเท่านั้น เพราะเหตุนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญจึงสอนให้เราเจริญสติตลอดเวลา ทุกวินาที เป็นเครื่องปิดกั้นความชั่ว เพื่อชีวิตนี้จะได้มีความดีตลอดทั้งชีวิต เป็นมงคลแก่ตนเองทั้งทางโลกและทางธรรม”

การปฏิบัติธรรมได้เปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้าดีขึ้น เช่นมีความกตัญญูรู้คุณผู้มีพระคุณ ใจเย็นขึ้น การเรียนหนังสือของข้าพเจ้าราบรื่น มีแต่เพื่อนที่ดีไปมาหาสู่ ครอบครัวมีความสุขมากขึ้นและค้าขายดี คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรง จนกล่าวได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตดีขึ้นทั้งหมดจนเห็นได้ชัด ยิ่งปฏิบัติธรรมมากเท่าไร ก็ยิ่งพบความมหัศจรรย์แห่งพระธรรมมากขึ้นเท่านั้น ข้าพเจ้ามีความแน่วแน่ในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ความทุกข์ลดน้อยลงไปจากจิตใจ จริงๆแล้วความทุกข์ไม่ได้หายไปไหน แต่หลวงสอนให้กำหนดเอาสติรู้แล้วหาเหตุจากทุกข์นั้น สุดท้ายก็พบว่า ทุกข์มันก็เป็นเช่นนั้นเอง นิสัยที่ไม่ดีของข้าพเจ้า เช่น ความใจร้อน ขี้โมโห เห็นแก่ตัว ลดลงจนคนรอบข้างสังเกตเห็นได้

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:44:33 น.  

 

--หนทางพิสุทธิ์สู่ทางสายเอก


ข้าพเจ้าอายุ ๓๘ ปี เป็นชาวจังหวัดชัยภูมิ แต่เข้ามาเรียนหนังสือและทำงานในกรุงเทพฯ หลังจากเรียนหนังสือจบระดับปริญญาโท สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร จากประเทศออสเตรเลีย ก็ได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนเรื่อยมา เมื่อข้าพเจ้าไม่เคยศรัทธาในพระพุทธศาสนาเลย เพราะมีความเชื่อว่าศาสนามีไว้เพียงเพื่อสอนคนให้อยู่ในวินัยและประพฤติถูกต้องอยู่ในสังคมเท่านั้น ถ้าเราไม่ทำอะไรขัดต่อวินัยและความถูกต้องของสังคมแล้วก็ไม่ความจำเป็นที่จะต้องมีศาสนา ประกอบกับครอบครัวเป็นคนจีน ที่บ้านมีแต่ไหว้เจ้า จนกระทั่งคุณพ่อเสียชีวิตลง คุณแม่ต้องแบกภาระที่หนักมากแทนคุณพ่อ ต้องเลี้ยงดูลูกๆถึง ๕ คน และดูแลกิจการค้าขายทางบ้าน คุณแม่ก็เริ่มหันหน้าเข้าหาธรรมะโดยใส่บาตรทุกเช้า สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน อ่านหนังสือธรรมะ

ข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก แต่ยกเว้นหนังสือธรรมะเพราะไม่ศรัทธาตั้งแต่ต้น เมื่อกลับไปบ้านที่ชัยภูมิก็หาหนังสือมาอ่าน พบว่าที่บ้านมีแต่หนังสือธรรมะอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นให้อ่านบันเทิงใจได้เลย ด้วยความที่อยากอ่านหนังสือจึงหยิบมาอ่านอย่างเสียไม่ได้ น่าแปลกมากเล่มแรกที่ข้าพเจ้าหยิบอ่าน หนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ ของหลวงพ่อจรัญ เล่ม ๑-๒ เหมือนเป็นการชักนำให้ข้าพเจ้าได้มาปฏิบัติกรรมฐานกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ยิ่งอ่านก็ยิ่งน่าสนใจจึงอ่านจนหมดเล่ม

ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับชีวิตมากมาย แต่ไม่เคยหาคำตอบให้กับตัวเองได้เลย ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ หนังสือสองเล่มนี้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่ข้าพเจ้าสงสัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ความเคลือบแคลงในพระพุทธศาสนาจึงค่อยๆลดลง พร้อมกับศรัทธาที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญด้วย คืนหนึ่งคุณแม่ชวนไปใส่บาตรตอนเช้าที่วัดแถวบ้าน ข้าพเจ้าก็ไป ภาพการถวายอาหารพระ พระสวดให้พร หลังจากฉันอาหารเสร็จแล้วท่านก็เทศน์นิดหน่อย ภาพเหล่านั้นประทับใจข้าพเจ้ามาก เกิดความศรัทธาและความปีติ เมื่อกลับมากรุงเทพฯ จึงขวนขวายหาหนังสือธรรมะมาอ่านเอง พร้อมกับลองหัดนั่งสมาธิดูเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอน

มีอยู่ช่วงหนึ่งข้าพเจ้าลองนั่งสมาธิอยู่ที่บ้านทุกวันในเวลาเดียวกันคือช่วงสี่ทุ่ม แต่เพียงแค่ ๑๕ นาที่เท่านั้น หลังจากปฏิบัติติดต่อกัน จนกระทั่งวันที่ ๗ ของการนั่งสมาธิ ช่วงประมาณสองทุ่ม สุนัขหลายตัวก็ส่งเสียงหอนอย่างผิดปกติ คิดว่าวันนี้จะไม่นั่งสมาธิ เมื่อคิดจบสุนัขก็หยุดหอน ข้าพเจ้าก็ลืมไปเลย พอได้เวลาสี่ทุ่มจึงปฏิบัติเหมือนเช่นเคย เมื่อนั่งได้ ๕ นาทีเท่านั้น สุนัขก็ส่งเสียงหอนอีกขานรับกันเป็นทอดๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมเล็กกรีดร้องแทรกขึ้นมา เป็นเสียงที่โหยหวนมาก ยาวนานไม่ขาดระยะเหมือนไม่หายใจ จำได้ว่ามีประมาณ ๔-๕ เสียง สัญชาติญาณบอกทันทีว่านี่เสียงเปรตร้อง เสียงนั้นโหยหวนจนเข้าไปถึงกระดูก ข้าพเจ้ากลัวจับใจจึงเลิกนั่งสมาธิกลางครัน ล้มตัวลงนอนเลย ตอนนั้นยังแผ่เมตตาไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่เป็น ถ้าข้าพเจ้าต้องตาย ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นเปรตเลย เพราะดูเหมือนเขาจะทรมานมาก ข้าพเจ้าไม่อยากมีทุกข์อย่างนั้น ก็เลยคิดต่อว่า ถ้าไม่อยากเป็นอย่างนั้น อะไรที่จะช่วยให้เราไม่ไปอยู่ในภพภูมิแห่งความทุกข์ ก็ถามตัวเองต่อไปว่า แล้วอะไรที่ทำให้เธอเห็นเขา คำตอบก็คือเพราะเธอนั่งสมาธิ เธอจึงเห็น เพราะฉะนั้นการนั่งสมาธิต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่แน่ๆ เธอควรฝึกตามเส้นทางนี้แหละจะทำให้เธอพ้นทุกข์ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้านั่งสมาธิอีกเพราะกลัวเจอเปรต และยังไม่มีครูสอนจึงเลิกนั่งสมาธิไปประมาณ ๖ เดือน

วันหนึ่งปรารภกับคุณแม่ว่าอยากฝึกนั่งสมาธิ แต่ไม่รู้จะไปฝึกที่ไหน คุณแม่จึงแนะนำให้มานั่งที่วัดอัมพวัน มาปฏิบัติครั้งแรกทรมานมาก ด้วยความที่เป็นคนใจร้อน พอต้องมาทำอะไรช้าๆ กำหนดสติและต้องอยู่ระเบียบวินัย จึงแทบจะทนไม่ได้ แต่ก็อยู่จนครบ ๗ วัน ไม่ได้อะไรเลย จำได้ว่าวันที่กลับบ้านข้าพเจ้าดีใจที่สุด คิดว่าจะไม่กลับมาปฏิบัติอีกแล้ว ก่อนกลับก็ซื้อหนังสือสัตว์โลกต้องย่อมเป็นไปตามกรรม ของอาจารย์ สุจิตรา อ่อนค้อม มาอ่าน อ่านเพียงแค่ ๒ วันเท่านั้น ข้าพเจ้าก็กลับมาวัดอัมพวันใหม่ พร้อมกับขอหลวงพ่อบวชชีเลยทีเดียว แต่ท่านไม่อนุญาต
เมื่อเคลียร์งานได้ก็มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันอีก เป็นเวลา ๑๙ วัน ระหว่างปฏิบัติเกิดเวทนาหนักมาก นั่งกรรมฐานทีไรร้องไห้เกือบทุกรอบ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ นั่งครบตามกำหนดเวลาทุกครั้ง จนข้าพเจ้ากลัวทุกครั้งที่จะเริ่มปฏิบัติ แต่ถึงกลัวก็ปฏิบัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อย่าเลิกจนวันที่ ๗ ของการปฏิบัติ ข้าพเจ้าปวดขามากเช่นเคย หนนี้ปวดหนักจนร้องไห้มากกว่าทุกครั้ง ปวดจนถึงขีดสุด ข้าพเจ้าก็บอกกับตัวเองว่าตายเป็นตาย ให้มันตายไปเลย พอคิดได้ดังนั้นความปวดก็ดับวูบลงพร้อมกับอาการที่ตา หู และกายไม่สัมผัส เหมือนเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ทันใดนั้นก็ปรากฏภาพนิมิตเป็นเวิ้งทะเลใหญ่ ด้วยความสนใจ ข้าพเจ้าจึงจ้องมองโดยลืมกำหนดเห็นหนอ ภาพนิมิตนั้นจึงเลือนหายไป พร้อมกับรู้สึกตัวกลับมาอีกครั้ง เห็นภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปชัดเจน ตั้งแต่วันนั้นจนปฏิบัติครบ ๑๙วัน
ข้าพเจ้าก็ไม่เกิดเวทนาที่ขาอีกเลย เมื่อสงบจากเวทนา จึงหันมากำหนดพอง-ยุบมากขึ้น กำหนดสติให้ละเอียดยิ่งขึ้น

ขณะเดินจงกรมในวันที่สิบกว่า ข้าพเจ้าเกิดคิดถึงคุณพ่อที่เสียชีวิต ระลึกถึงบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่ ข้าพเจ้าหวนนึกถึงคำของหลวงพ่อว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจะเป็นผู้ที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณ

ช่วงแรกๆของการเข้าปฏิบัติกรรมฐาน มารก็เริ่มผจญ นึกถึงคำหลวงพ่ออีกว่า ยิ่งทำความดี มารก็ยิ่งผจญ มารมาทดสอบ มารมาเป็นครู พอเริ่มสร้างความดีคือเริ่มปฏิบัติกรรมฐาน เรื่องราวที่ก่อให้เกิดความทุกข์ก็ประดังเข้ามาหลายเรื่องพร้อมๆกัน แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหญ่โตที่ข้าพเจ้าไม่เคยประสบมาก่อน ทั้งการงาน การเงิน ปัญหาครอบครัวพี่น้อง จนข้าพเจ้าเครียดมาก ตั้งสติไม่ได้กำหนดไม่ทัน รู้สึกหมดแรง ไม่อยากทำความดี ไม่อยากทำกรรมฐานอีกต่อไป จึงมากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านมองมาที่ข้าพเจ้าพร้อมกับเอ่ยว่า “ จำไว้นะ ศุภรัตน์ เมื่อเรายังไม่มีความดี ยังไม่มีบุญนั้น เจ้ากรรมนายเวรยังทวงเราไม่ได้ เพราะเราไม้มีอะไรจะให้ แต่เมื่อเราสร้างความดี ปฏิบัติกรรมฐานนั้นก็เปรียบเสมือนค้าขายจนมีเงินแล้ว เจ้ากรรมนายเวรเปรียบเสมือนเจ้าหนี้ เมื่อรู้ว่าเรามีเงินก็จะทวงเงินเรา เมื่อเป็นหนี้ก็ต้องใช้เขาไป เราต้องผ่านจุดนี้ให้ได้เสียก่อน เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว ชีวิตของเราก็จะดีขึ้น ไม่มีอะไรรั้งไว้อยู่ได้ เปรียบเหมือนเส้นกราฟที่ลากผ่านจุดต้นก่อน แล้วค่อยๆพุ่งสูงขึ้น แต่คนส่วนใหญ่นั้นจะหยุดสร้างความดี หยุดปฏิบัติกรรมฐานกันที่จุดนี้ ชีวิตเลยไม่ไปถึงไหนกัน ”

ข้าพเจ้าได้ฟังคำเฉลยจากหลวงพ่อแล้วโดยที่ยังไม่ได้ถามท่าน หลวงพ่อท่านหยั่งรู้ ช่วยสอนธรรมครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญแก่ข้าพเจ้าอีกครั้ง ความเอิบอิ่มใจและกำลังใจที่เติมจนเต็ม ช่วยให้ข้าพเจ้าไม่ท้อถอยต่อการสร้างความดีจนถึงทุกวันนี้
เมื่อเราเกิดมาขาตินี้ ได้เกิดเป็นคน ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีศรัทธาในการปฏิบัติ ได้มีครูบาอาจารย์ดี สั่งสอนถูกต้องตามเส้นทางที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงชี้แนะไว้ จึงโอกาสอันดีที่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แก้ปัญหาชีวิตของตน และสร้างบารมีให้ชีวิตสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

มีอยู่ช่วงหนึ่งข้าพเจ้าทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานและการสวดมนต์ไปด้วยสาเหตุหลายๆอย่าง ขี้เกียจบ้าง สนุกสนานเฮฮาบ้าง ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย นิสัยไม่ดี เช่น ขี้โมโห ใจร้อน เห็นแก่ตัว มีทิฐิมานะสูง ก็เลยกลับมาเหมือนเดิม เจออะไรในชีวิตก็ลืมกำหนด ลืมการปฏิบัติแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ เอาความรู้ทางโลกมาแก้ปัญหาทางโลกแบบผิดๆถูกๆ ก็เลยไปกันใหญ่ ไม่มีสติปัญญามองเห็นปัญหาและการแก้ปัญหา จนกระทั่งวันหนึ่งไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก ท่านชี้มาที่ข้าพเจ้าและบอกว่า “ ถ้าเราไม่ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อยกชีวิตเราให้ดีขึ้นละก็ ชีวิตก็จะไปตามยถากรรมเหมือนที่มันเป็นอยู่นี้แหละ ” ข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐาน ทำให้การแผ่เมตตาของหลวงพ่อไม่เป็นผล เพราะการที่จะให้หลวงพ่อช่วยเหลืออะไรนั้นตัวเราควรช่วยเหลือตัวเองเสียก่อน ก่อนที่จะไปพึ่งพาผู้อื่น หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่า เราต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้เสียก่อน ต่อไปจึงช่วยเหลือครอบครัว หลังจากนั้นช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ การช่วยเหลือตัวเองก็ถือว่าเป็นการสร้างความดีให้กับตัวเอง ข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติธรรมก็เหมือนคลื่นวิทยุสองคลื่นจูนไม่ตรงกัน หลวงพ่อแผ่เมตตาไปให้จึงสะท้อนกลับ เพราะการทำกรรมฐานไม่ต่อเนื่องไม่สม่ำเสมอก็เปรียบเหมือนกับไม่ได้ทำเลย แก้ปัญหาชีวิตก็ไม่ได้ ชีวิตก็ไปตามยถากรรมเหมือนเดิม เมื่อช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ แล้วจะไปช่วยใครได้ จึงอยากฝากทุกท่านว่าอย่าได้ทิ้งกรรมฐานเหมือนที่ข้าพเจ้าทำ


ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรม ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น เป็นเวลา ๗ วัน มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงวันที่ ๔ ของการปฏิบัติ ข้าพเจ้ากำหนดสติได้ดีมาก เกิดปัญญาสอนว่า กายนั้นอยู่ส่วนกาย จิตนั้นอยู่ส่วนจิต จิตอิ่มเอิบมากจึงแผ่เมตตาไปจนไพศาล เมื่อออกจากการปฏิบัติ กำหนดสติรู้ในอริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ดีมาก เช้ามืดวันถัดมา ข้าพเจ้ากำลังเดินจงกรมอยู่ เกิดปวดท้องมาก ปวดจนตัวงอไปหมดจึงลงนอนพัก ซึ่งตอนนั้นทุกคนออกไปปฏิบัติกันหมด เหลือข้าพเจ้าคนเดียว พอกำลังเคลิ้มๆก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งผมยาวประบ่า นุ่งขาวห่มขาวมายืนอยู่ข้างๆพร้อมกับพาข้าพเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น สถานที่ที่ไปนั้นดูเป็นเมืองที่แปลกมาก ผู้คนขวักไขว่ แต่ไม่มีใครพูดจากันเลย ข้าพเจ้าก็เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งพบชายสูงอายุท่านหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปหา ชายสูงอายุท่านนั้นก็พูดกับข้าพเจ้าด้วยประโยคสั้นๆ แต่ข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำจนบัดนี้ว่า หนูหมั่นสร้างความดีนะ อย่าทิ้ง ข้าพเจ้ารับปาก สักครู่ไม่ทราบใครยื่นชามข้าวต้มให้ บอกให้ข้าพเจ้ารับประทาน ข้าพเจ้าจึงรับประทานจนหมด รสชาติหอมอร่อยมากทั้งๆที่เป็นเพียงข้าวต้มเปล่าๆ เมล็ดข้าวก็ดูแปลก เมื่อข้าพเจ้าทานหมดก็มีคนชี้บอกทางให้เดินข้ามสะพานกลับ เมื่อข้ามสะพานพันก็รู้สึกตัวเพราะมีคนเข้ามาในห้อง เอายามาให้ แต่ตอนนั้นหายปวดท้องแล้ว

ข้าพเจ้ารู้สึกถึงวาสนาในทางปฏิบัติธรรมของตนเองว่าคงมาในเส้นทางนี้ เพราะได้พบครูบาอาจารย์ที่เป็นเอกเป็นเลิศ นอกจากนี้ท่านอยู่ในภพภูมิอื่นก็ยังอุตส่าห์มากระตุ้นเตือนให้ข้าพเจ้าอย่าทิ้งการปฏิบัติธรรมอีก จึงบอกตัวเองว่า ต่อไปนี้จะไม่ทิ้งกรรมฐานอีก เพราะโอกาสมีมาโดยพร้อมมูลในชาติภพนี้แล้ว

เมื่อข้าพเจ้าปรารภว่าอยากบรรลุธรรมในชาตินี้ ที่พาณิชย์แนะนำว่าจะต้องปฏิบัติทุกวัน เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ถ้าเป็นคนโสดเดิน ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมง ได้จะเป็นการดีและสัมฤทธิ์ผลอย่างที่ต้องการแน่ ข้าพเจ้าจึงนำไปปฏิบัติ และไปเข้าโครงการ ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ข้าพเจ้าเดิน ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมงได้ แต่ด้วยเวทนาที่มากที่สุดในชีวิต

การเดินจงกรมนั้นสำคัญมาก เพราะถ้าสติและสมาธิจากการเดินจงกรมดีแล้ว เวลานั่งสติและสมาธิก็จะดีและต่อเนื่องด้วย หลวงพ่อจึงให้เดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิ หลังจากการปฏิบัติกรรมฐานทุกครั้งข้าพเจ้าจะมีอาการหนาว มือเท้าเย็น ที่พาณิชย์บอกให้ไปอาบน้ำจึงจะหายหนาว และว่าปฏิบัติกรรมฐานถูกวิธี มือจะเย็นเสมอ

ในระหว่างการปฏิบัติได้เกิดปัญญาขึ้นมากมาย และได้พิจารณาธรรมอย่างเช่น
“เพราะจิตนี้มีกายเป็นข้อต่อรอง ในการทำให้เกิดกิเลสต่างๆนานา กายเป็นทางเข้าออกของกิเลสโดยทางอายตนะภายในทั้ง ๖ กายนี้ชักนำจิตให้เศร้าหมอง จิตก็ชักนำกายให้เศร้าหมอง ต่างฝ่ายต่างรวมหัวกันทำความไม่ดี แต่ถ้าเราสามารถควบคุมจิตไม่ให้วิ่งเข้าสู่กิเลสต่างได้ จิตก็จะดีและชักนำกายให้ดีด้วย เพราะฉะนั้นต้องหมั่นฝึกจิตด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔” และ

“ในระหว่างกำหนดสตินั้น ทุกๆลมหายใจเข้าออกนั้นเป็นบุญ เรากำลังสร้างความดีททเรามิได้ทำความชั่วเลย ศีล ๕ มีครบถ้วน มิได้ทีกิเลสโลภ โกรธ หลง ในระหว่างนั้น ดังนั้นถ้ายิ่งเจริญสติมากเท่าใดก็ยิ่งสร้างความดีมากเท่านั้น เพราะเหตุนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญจึงสอนให้เราเจริญสติตลอดเวลา ทุกวินาที เป็นเครื่องปิดกั้นความชั่ว เพื่อชีวิตนี้จะได้มีความดีตลอดทั้งชีวิต เป็นมงคลแก่ตนเองทั้งทางโลกและทางธรรม”

การปฏิบัติธรรมได้เปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้าดีขึ้น เช่นมีความกตัญญูรู้คุณผู้มีพระคุณ ใจเย็นขึ้น การเรียนหนังสือของข้าพเจ้าราบรื่น มีแต่เพื่อนที่ดีไปมาหาสู่ ครอบครัวมีความสุขมากขึ้นและค้าขายดี คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรง จนกล่าวได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตดีขึ้นทั้งหมดจนเห็นได้ชัด ยิ่งปฏิบัติธรรมมากเท่าไร ก็ยิ่งพบความมหัศจรรย์แห่งพระธรรมมากขึ้นเท่านั้น ข้าพเจ้ามีความแน่วแน่ในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ความทุกข์ลดน้อยลงไปจากจิตใจ จริงๆแล้วความทุกข์ไม่ได้หายไปไหน แต่หลวงสอนให้กำหนดเอาสติรู้แล้วหาเหตุจากทุกข์นั้น สุดท้ายก็พบว่า ทุกข์มันก็เป็นเช่นนั้นเอง นิสัยที่ไม่ดีของข้าพเจ้า เช่น ความใจร้อน ขี้โมโห เห็นแก่ตัว ลดลงจนคนรอบข้างสังเกตเห็นได้


--หลวงพ่อเปรียบเสมือนบิดา

ไม่ทราบมีอะไรมาดลใจให้ดิฉันตอบตกลงไปวัดอัมพวันกับลูกสาวที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยหอการค้าในครั้งนั้นครูเขาพานักศึกษาไปปล่อยปลาดุกที่ท่าน้ำ
ดิฉันได้แม่ครูพันธุ์ทิพย์สอนให้ปฏิบัติ ให้มีสติรู้ตามการหายใจเข้าออก วันหนึ่งดิฉันได้เห็นแม่ของดิฉัน ซึ่งตายไปตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ เห็นใบหน้าของแม่ยิ้มก็ดีใจ อิ่มเอิบ

หลังจากนั้นดิฉันก็ให้สัจจะในใจว่า จะขอไปวัดเดือนละ ๑ ครั้ง เริ่มตั้งแต่ครั้งละ ๓ วัน ต่อมาครั้งละ ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ดิฉันมีความสุขดิฉันจะช่วยทำงานทุกอย่างที่จะช่วยแบ่งเบาได้ เช่น ซักผ้าผู้ไปปฏิบัติธรรม ช่วยโรงทานทำอาหาร และช่วยจัดที่พัก
ดิฉันได้พบหลวงพ่อในชาตินี้ คือชาติใหม่ของดิฉันหลังจากเจออุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ที่ดิฉันนั่งไปชนกับรถ ๑o ล้อ แล้วฟื้นมา ส่งลูกเรียนจบมหาวิทยาลัย มีงานทำ เลื่อนตำแหน่งงานแล้วส่งเงินให้ดิฉันใช้ สามีก็ปลดเกษียณรับเงินบำนาญ และให้เงินดิฉันใช้ เมื่อก่อนไม่เคยให้เลย ดิฉันมีความสุขมาก ดิฉันอยากบอกให้เพื่อนและน้องมีเมตตาต่อกัน ให้เหมือนที่หลวงพ่อของเราทั้งหลายได้ทำให้ดูเป็นแบบอย่างที่หายากแล้ว



--อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมอุทิศกุศลถึงพ่อแม่ได้
ทุกครั้งหลังออกจากกรรมฐานกลับบ้าน มักพบว่าพ่อมาหาที่บ้าน
นั้นไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา มันเป็นความไม่ปกติ เพราะธรรมดาพ่อไม่เคยมาหาข้าเจ้าเลย แต่ในช่วงที่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมนั้นท่านมาบ่อย และมักจะมาตรงกับวันที่ข้าพเจ้าออกจากกรรมฐาน การทำกรรมฐานสามารถแผ่กุศลให้พ่อได้ พ่อจึงมาหาเรา

การปฏิบัติธรรมมีผลต่อหน้าที่การงาน
ข้าพเจ้าไปรับราชการที่จังหวัดขอนแก่น ปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ ถ้าไม่ทำกรรมฐานก็สวดมนต์ และใส่บาตรบ่อยมาก (อยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ใส่บาตร) ในช่วงนั้นมีการให้เขียนผลงานเพื่อเลื่อนตำแหน่ง ด้วยกุศลกรรม (ทาน ศีล และภาวนา) ข้าพเจ้าจึงคิดหัวข้ออก ใช้เวลาไม่นานก็สำเร็จ และเป็นผลงานที่กรรมการและผู้บังคับบัญชาขณะนั้นชอบเนื้อหา ทำให้ข้าพเจ้าได้ตำแหน่งสูงขึ้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นผลจากการที่ข้าพเจ้ามีทาน ศีล ภาวนา ครบในขณะนั้น

การปฏิบัติธรรมทำให้เรียนหนังสือได้ดี
ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเรียนต่อปริญญาโท แต่ตอนเรียนปริญญาตรีได้คะแนนเฉลี่ยไม่ดี ต้องได้การรับรองจากผู้บังคับบัญชาจึงจะสมัครสอบได้ ได้เรียนปริญญาโทที่คณะสถิติประยุกต์ สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ ผลการเรียนข้าพเจ้าได้เกรดเฉลี่ยประมาณ 3.5

การปฏิบัติธรรมทำให้ศัตรูกลับเป็นมิตร
ตลอดเวลาประมาณ 40 กว่าปีที่มีชีวิตอยู่ ได้สร้างมิตรให้เป็นศัตรู ไม่เว้นแม้แต่ญาติพี่น้อง บางครั้งก็ต้องมาเกลียดกันเป็นศัตรูกัน หลังจากได้มาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อ ความคิดแ ละพฤติกรรมก็เปลี่ยนศัตรูก็เริ่มเป็นมิตร ยิ่งนานวันก็ยิ่งมองความดีของคนอื่น ๆ มากขึ้น ผลมันเกิดที่ใจเรา มันเป็นสุข อิ่มเอิบใจ ข้าพเจ้าไม่เกลียดใครอีกเลย จะมีโกรธบ้าง แต่ความพยาบาทจากการโกรธน้อยลงและมักอภัยให้เสมอ และคงเลิกคิดว่าใครเป็นศัตรูกับเราเสียที หลังจากหลงตกนรกมานาน

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:45:33 น.  

 

เล่ม 20

--๓ วัน ที่มีค่าที่สุดในชีวิต

เพื่อนสนิทจากจังหวัดชัยภูมิเป็นผู้ชักชวนบอกว่าทุกอย่างจัดให้ฟรี ดิฉันชอบมาก ในวันสุดท้ายเป็นวันลาศีล ดิฉันได้ฟังเทศน์จากหลวงพ่อจรัญด้วย แต่ ดิฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านสอนเรื่องกฎแห่งกรรมเท่าใดนัก และคิดในใจว่าอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด แต่มีคำเทศน์ที่ติดหูดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้คือ หลวงพ่อได้สอนให้ทุกคนสวดมนต์ทุกวัน “สวดมนต์หน่อยได้ไหม วันละ ๕ นาทีก็พอ” ดิฉันรู้สึกเหนื่อยและอึดอัดมาก แต่เวลาจะกลับบ้านรู้สึกดีมาก ๆ และอยากมาปฏิบัติธรรม ๗ วันอีกด้วยกลับมาบ้านดิฉันได้สวดมนต์พาหุงและทำกรรมฐานอยู่ได้ ๒-๓ วันแรก ก็เลิกไป เพราะคิดว่าไม่มีเวลาและน่าเบื่อ จะสวดมนต์ทีไรเป็นต้องง่วงทุกที ทำให้ดิฉันห่างเหินไปเลย
อีก ๒ ปีต่อมา ดิฉันมีความเครียดเรื่องงานและเรื่องชู้สาว ไม่สบายใจและ
อยากสวดมนต์ก่อนนอน จึงหยิบหนังสือสวดมนต์พาหุงของวัดอัมพวันมาสวดก่อนนอนทุกวันได้ประมาณ ๑ เดือน จึงมาปฏิบัติธรรมที่วัดอีก ดิฉันได้กลับมาเริ่มเรียนกรรมฐานใหม่อีกครั้ง ดิฉันได้ซื้อหนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม ๑๘ ไปอ่าน ดิฉันวางแทบไม่ลงเลย หนังสือเล่มนี้ทำให้ดิฉันมีความตั้งใจในการปฏิญาณตัวที่จะสวดมนต์พาหุง ไหว้พระปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน และไปวัดเดือนละครั้งเป็นเวลา ๑ ปี หลังจากนั้นใน การไปวัดแต่ละครั้งของดิฉัน มีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองทีละเล็กละน้อย (ทางที่ดี) จนดิฉันสังเกตได้ เช่นการสวดพาหุง ดิฉันสวดทุกวัน ๆ ละ ๑๐๘ จบ การเพิ่มปฏิบัติธรรมเป็นเช้า-เย็น เดิน-นั่ง ๔๕ นาที – ๑ ชั่วโมง วันพระไม่ทานอาการเย็นหลังบ่ายโมง หรือกินเจ ดิฉันชอบอ่านหนังสือกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อจรัญมาก ซื้อเก็บไว้

อ่านหลายเล่ม พร้อมทั้งซื้อเทป ซีดี ไปเปิดให้แม่และน้องฟัง และดิฉันได้กราบขอ อโหสิกรรมด้วยดอกไม้ธูปเทียนแพกับคุณแม่ด้วย ดิฉันได้เล่าเรื่องของวัดอัมพวันและ ประวัติหลวงพ่อจรัญให้ญาติพี่น้องฟัง พร้อมทั้งได้แจกหนังสือสวดมนต์และพยายามชักชวนให้สวดมนต์พาหุงและมาปฏิบัติธรรม แต่แม่ของข้าพเจ้าบอกว่างมงาย ดิฉันรู้สึกเสียใจมาก แต่ก็ไม่เป็นไร คิดว่าสักวันหนึ่งแม่กับน้องคงไปปฏิบัติธรรมเอง ดิฉันได้ไปปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๗-๙ วันในวันปีใหม่และวันสงกรานต์ ในทั้งสองช่วงดังกล่าวมีผู้คนมากัน ๑,๗๐๐ กว่า แต่ดิฉันก็ไม่รู้สึกอึดอัดหรือลำบากแต่อย่างใดเลย
ในวันสุดท้ายก่อนกลับบ้านดิฉันตั้งใจจะทำให้ได้ ในช่วงเช้าแม่ชีพันธ์ทิพย์ได้บอกให้คนที่ทำได้ ๑ ชั่วโมงครึ่ง ในใจคิดว่าหักดิบต้องตายแน่ ๆ ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานจิตกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอาคารคามวาสีว่า จะไม่ลืมตาและเปลี่ยนท่าจนกว่าจะหมดเวลา เพราะเป็นวันสุดท้ายจะกลับบ้านแล้วยังทำไม่ได้เลย ปวดตั้งแต่โคนขาและหัวเข่าได้เริ่มขึ้นจากค่อย ๆ ชาและหายไป และทวีความเจ็บปวดมากที่สุดใน ๑๕ นาทีสุดท้าย ดิฉันรู้สึกว่าตัวงอมาก หน้าผากเกือบติดกับพื้น ไม่มีแขนขา การกำหนดสับสน ตีกันไปหมด ปวดหนอ เจ็บหนอ และจะตายอยู่แล้วหนอ ตายหนอ เหงื่อที่ผุดบนใบหน้าได้ไหลย้อยมารวมกันที่คางและหยดมาที่ฝ่ามือแต่ละหยด ร้อน อยากจะถอดเสือออก ดิฉันรู้ในตอนนั้นเองว่าคนที่ใกล้จะตายเป็นอย่างไร ดิฉันปวดหัวเข่ามาก เหมือนมันถูกจับบิดหมุนเป็นวงกลมให้ขาดเป็นท่อน เหมือนกับดิฉันพยายามเด็ดขาจักจั่น จิ้งหรีดทิ้ง แล้วเอามันไปแช่น้ำเพื่อทอดกินเป็นร้อยตัว

ดิฉันได้ขออโหสิกรรมสัตว์เหล่านั้นและทุกคนทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ดิฉันได้ล่วงเกินไป ขออย่าได้จองเวรจองกรรมกันต่อไปเลย ขอให้ผ่านพ้นเวลาแห่งความทรมานนี้ไปด้วยเถิด พร้อมทั้งนึกถึงหลวงพ่อจรัญด้วย เพราะคิดว่า
ตัวเองเป็นลมไปแล้ว อยู่ดี ๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงท่านหนึ่งพูดขึ้นเต็มแก้วหูว่า รู้หนอ... รู้หนอ... ได้ประมาณ ๓-๔ ครั้ง ดิฉันปฏิบัติตามทันทีโดยไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น น้ำเสียงของผู้หญิงท่านนั้นเป็นน้ำเสียงที่ใสกังวาน มีจังหวะการพูดที่ชัดจนเต็มแก้วหู ดิฉันกำหนดรู้หนอ...ยาว ๆ เหมือนกับเสียงนั้นบอกต่อไป ไม่มีอาการของความเจ็บปวดแต่อย่างใด จนได้ยินเสียงกริ่งหมดเวลาดังขึ้นถึงกับโล่งไปหมด ดีใจมาก ดิฉันคิดถึงแม่มากที่สุดและภูมิใจมากที่ตนเองทำได้ ตอนอุทิศส่วนกุศลให้มารดาบิดา น้ำตาดิฉันได้ไหลเป็นทางยาวอย่างไม่รู้ตัว รู้ตอนนั้นเลยว่าพ่อแม่รักเรามากที่สุด รวมทั้งประมวลความคิดนึกถึงหลวงพ่อจรัญตั้งแต่มาวัดครั้งแรกจนถึง
ขณะนี้ด้วยว่า ท่านทำได้อย่างไร ท่านไม่ใช่พระสงฆ์ธรรมดาเลย ดิฉันน้ำตาไหล ซึ้งใจในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้อย่างเป็นที่สุด

การปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงความคิด มุมมอง จิตใจ และพฤติกรรมของดิฉันในหลายด้าน โดยเฉพาะความซาบซึ้งใจที่มีต่อพุทธศาสนาอย่างบรรยายไม่ถูก เมื่อเทียบกับก่อนปฏิบัติธรรม เป็นคนเข้าใจคนได้ง่ายขึ้น ไม่เคียดแค้นเก็บความโกรธไว้ในใจเหมือนเมื่อก่อน อยากจะทำบุญมากขึ้น นึกถึงผู้มีพระคุณมากขึ้น เห็นคนที่เดือดร้อนทางทีวี ดิฉันก็พยายามส่งหนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อจรัญไปให้ตามที่อยู่ในหน้าจอ พร้อมทั้งเขียน
อธิบายให้ด้วยไปวัดไหนหรือสถานที่แห่งใด ดิฉันจะสวดมนต์พาหุงให้ที่แห่งนั้น

ดิฉันเป็นภูมิแพ้ และไม่สบายขณะมาปฏิบัติธรรมวันแม่ น้ำมูกดิฉันไหลไม่หยุดขณะสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ จนไม่ต้องใช้กระดาษชำระเพราะกลัวเป็นไซนัส เป็นที่น่าสงสัยว่าน้ำมูกได้ไหลเปื้อนเสื้อผ้าตลอดระหว่างสวดมนต์และทำกรรมฐานทั้งที่บ้านและที่วัด แต่เวลาปกติจะไม่มี ดิฉันคิดได้ในตอนนั้นเองว่า เมื่อตอนเด็กดิฉันจะชอบล่อน้ำโพรงจิ้งหรีดให้ออกมา เพื่อจับตัวเป็น ๆ ไปเล่นตามประสาเด็ก มันคงสำลักน้ำ และราดน้ำฆ่ามดแดง ดิฉันขออโหสิกรรมกับมันทุกครั้งเป็นเวลา ๖ เดือน น้ำมูกค่อย ๆ หายไป และขณะนี้สุขภาพแข็งแรงดี ไม่เป็นภูมิแพ้แล้ว ไม่ต้องกินยาแก้แพ้เลย

ปีใหม่ปี ๔๙ ดิฉันได้มาปฏิบัติธรรม ๙ วัน ดิฉันจะปวดหนึบที่ขาตลอดก่อนแผ่เมตตา ดิฉันสงสัยมากเพราะไม่เคยเป็นมาก่อน ในวันที่ ๕ ช่วยตีสาม ดิฉันปวดปีกมดลูกมากเหมือนกับถูกมันบีบ แต่เข้าห้องน้ำก็หาย ช่วงบ่ายดิฉันปวดขามากขึ้นและได้กำหนดปวดจนหมดเวลา ดิฉันขออโหสิกรรมแผ่เมตตาให้แมลงทับหลายสิบตัวที่ดิฉันเคยรีดไข่มันออกมาเล่นเมื่อตอนเด็ก ๆ และเด็ดปีกมันมาติดกะติ๊บข้าวเหนียว ตอนเปลี่ยนท่านั่งเพื่ออุทิศส่วนกุศล ดิฉันรู้สึกปัสสาวะราดเหมือนมีประจำเดือน แต่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเดินกลับที่พักมีพี่คนหนึ่งเข้ามาทักดิฉันว่ากระโปรงเปื้อนสี คล้ายน้ำมันเหลืองเป็นวงสีน้ำตาลที่ขอบ สีเหลืองนวลตรงกลาง ไม่มีกลิ่นดิฉันได้นำกระโปรงไปซักด้วยสบู่รอยเปื้อนหายไป แต่เมื่อนำไปตากแห้งกระโปรงดิฉันมีรอยดำเป็นคราบเห็นชัดมาก พอกลับบ้านดิฉันเอาไปให้ร้านซักรีดซักทำความสะอาด ใช้ไฮเตอร์เยอะมาก แต่กลับยิ่งเป็นสีดำไปเลย ดิฉันงงมาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ดิฉันคิดว่ามันคงเป็นก้อนซีสต์หรือสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ที่ปีกมดลูก ได้ออกมาในระหว่างที่แผ่เมตตา รอยเปื้อนจะคล้ายกับของเหลวที่ดิฉันรีดไข่แมลงทับออกมา ตั้งแต่นั้นมาดิฉันไม่มีอาการปวดปีกมดลูกก่อนมีประจำเดือนเลย

ในการฟังเทศน์ของหลวงพ่อในวันที่ตรงกับวันพระ ดิฉันจะตั้งใจฟังมาก ผิดกับ ครั้งแรกที่มาวัด ในคำเทศน์ของท่านได้ตอบคำถามที่ดิฉันสงสัยในการปฏิบัติธรรมไว้ ด้วย เช่น การหยุดหนอและกลับหนอ ดิฉันจำไม่ได้ในขณะนั้น ดิฉันก็ถามหลวงพ่อ ออกไปในใจว่า ทำอย่างไรคะ แล้วดิฉันก็ได้คำตอบจากการฟังเทศน์ของท่าน รวมถึง การขออโหสิกรรมก่อนแผ่เมตตา และออกชื่อคนคนนั้นออกไปด้วย ดิฉันรู้สึกได้ถึงความสบายใจที่ได้ออกชื่อคนที่ดิฉันเกลียดออกไปให้มีความสุขเจริญรุ่งเรือง ทำใจอยู่นาน มันยากจริง ๆ ที่จะพูดอย่างนี้ หลวงพ่อเหลือบมองมาที่ดิฉัน และได้พูดถึงการแผ่เมตตาที่หน้าผาก ตาที่สาม ให้ลูกหลานเรียนเก่ง (ดิฉันทำผิดเพราะแผ่ที่ลิ้นปี่มาตลอด ๑ ปี)



--กรรมจัดสรร

กรรม คือ การกระทำ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว เป็นบุญหรือเป็นบาป ผู้กระทำจะต้อง
ได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน จะช้าหรือเร็ว จะหนักหรือเบา เท่านั้นเอง
เรื่องราวที่
ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับครอบครัวของเรา บางเรื่องก็ไม่สามารถบอกกล่าวให้ฟังได้ เพราะจะเป็นการกระทบกระเทือนคนอื่น
เรื่องที่ ๑ ใช้กรรมปลาดุกยักษ์
ลูกชายดิฉันเคยมาบวชสามเณรภาคฤดูร้อนที่วัดอัมพวัน ก่อนจะมาที่วัดได้จัด
ให้มีการบายศรีสู่ขวัญ นำปลาดุกยักษ์ที่เลี้ยงไว้ในบ่อมาทำเป็นอาหารเลี้ยงแขก ผู้ที่ฆ่าปลาดุกยักษ์จำนวนมากมายนั้นก็คือ ลูกชายดิฉันนั่นเอง ลูกบอกว่าจะปวดศีรษะอย่างรุนแรงเมื่อปฏิบัติธรรม มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาออกฝึกงาน ได้เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงแขนหัก เกิดอาการเลือดคั่งในสมอง ต้องผ่าตัดสมองอย่างเร่งด่วน หากช้าไปก็จะไม่ทันการ ดิฉันได้ขอเมตตาบารมีให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้โปรดแผ่เมตตาให้เขาปลอดภัย ส่วนดิฉันนั่งสวดมนต์ภาวนาให้
เขาปลอดภัยเช่นเดียวกัน โดยนั่งรอที่หน้าห้องผ่าตัด แพทย์ใช้เวลาในการผ่าตัดนานมาก เมื่อนายแพทย์ออกมาพบดิฉันได้บอกดิฉันว่า มันเหมือนเกิดปาฏิหาริย์ เพราะเนื้อสมองไม่มีเลือดแม้นิดเดียว ดิฉันน้ำตาร่วงเพราะทราบดีว่า ได้รับเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จนกระทั่งทุกวันนี้อาการทุกอย่างปกติ ประกอบสัมมาอาชีพ มีครอบครัวที่อบอุ่น
เรื่องที่ ๒ ใช้กรรมหมู
อาชีพหลักของพวกเรา คือ รับราชการครู ส่วนอาชีพเสริมคือ เลี้ยงหมูแม่พันธุ์



ไว้ ๑ ตัว ชื่อแม่ทองคำ ออกลูกครั้งละ ๗ – ๑๓ ตัว ลูกของแม่ทองคำทำรายได้เสริมให้พวกเราเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่แม่ทองคำออกลูกมา สามีของดิฉันจะใช้กรรไกรตัดเล็บอันใหญ่ ๆ ไปตัดฟันของลูกหมูทุกตัวและทุก ๆ ครั้งด้วย โดยบอกว่าช่วยไม่ให้เต้านมแม่มันอักเสบแล้วเขาก็เกิดอาการปวดฟัน เสียวฟัน หนักเข้าก็ชาที่ลิ้น ปวดศีรษะอย่างรุนแรงไปรักษาเกือบทุกโรงพยาบาล อาการต่าง ๆ ก็ไม่ดีขึ้น ถอนฟันเกือบหมดทั้งปากก็ไม่หาย จนต้องผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลศิริราช อาการจึงหาย หลังผ่าตัดสมองแล้ว พวกเรามาปฏิบัติธรรมถวายหลวงพ่อในเดือนสิงหาคม เขาบอกว่าที่แท้ที่เขาเจ็บป่วยนั้น เพราะทำกรรมกับลูกหมูไว้ จึงต้องใช้กรรมเป็นเวลาถึง ๕ ปี
เรื่องที่ ๓ ใช้กรรมงู
สมัยเด็ก ๆ ครูบอกว่า ”งูจะเลื้อยไปได้ด้วยกระดูกสันหลังและซี่โครง” ด้วย
ความอยากรู้ ดิฉันก็กดหัวงูไว้ ใช้มืออีกข้างบีบกระดูกซี่โครงหักหมดทั้งตัว มันเคลื่อนไหวไม่ได้จริง ๆ จนมันตายอยู่ที่ตรงนั้น เป็นอาหารของอีกาในที่สุด
ดิฉันต้องผ่ากระดูกทับเส้นประสาทที่หลังเป็นครั้งที่ ๑ ในปี
๒๕๔๔ ผ่าที่หลังเป็นครั้งที่ ๒ เพราะอาการต่าง ๆ ไม่ดีขึ้น ในครั้งนี้แพทย์บอกว่ากระดูกหลังทรุด ต้องใส่เหล็กไว้ ดูในฟิล์มมีการขันน็อตไว้ ๔ ตัว อาการต่าง ๆ หลังผ่าตัดครั้งที่ ๒ ก็ไม่ดีขึ้นเลย ดิฉันทรมาน ทนเจ็บปวดที่หลัง ชาที่ขา ดิฉันขออโหสิกรรมงู เจ้ากรรมนายเวร อุทิศส่วนกุศลผลบุญ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น รับประทานยาจนปากเน่าเปื่อย ตระเวณรักษาไปทั่วทุกโรงพยาบาล ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ การผ่าตัดครั้งที่ ๓ จะเริ่มขึ้นใน ๒๕๔๙ โดยนายแพทย์ทศศาสตร์ หาญรุ่งโรจน์ แห่งศิริราชพยาบาล โดยแพทย์วินิจฉัยว่าน๊อต ๔ ตัวนั่นแหละที่ไปทับเส้นประสาท


จะผ่านำเอาน็อตที่หลังออก ดิฉันมั่นใจว่าคราวนี้ต้องหายเป็นปกติอย่างแน่นอน ดิฉันปฏิบัติธรรมเคร่งมาก แผ่เมตตาให้คุณหมอ เหนืออื่นใดก็คือเชื่อในเมตตาบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นเวลา ๒๐ ปี ในการใช้กรรมกับงู
เรื่องที่ ๔ ใช้กรรมแมว
คุณยายรักแมว เลี้ยงไว้จำนวนมากทีเดียว ดิฉันเป็นเด็กเกลียดแมวที่สุด แกล้ง
ตีมันเป็นประจำ เมื่อโตขึ้นก็แยกจากแมว ปัจจุบันนี้ที่บ้านของดิฉันมีแมวมาจากทั่วสารทิศมาอาศัยอยู่ ออกลูกเต็มไปหมด บางตัวออกลูกได้ ๓ วัน แม่ก็ถูกรถทับตายต้องคอยป้อนนมลูก ๆ ของมันจนเติบใหญ่ รักใคร่สงสารมัน มันตาย มันเจ็บป่วยนำไปรักษา น้ำตาร่วงเพราะรักเพราะสงสาร จับไปทำหมันกรรมก็ตามมาในบัดดล เพราะอยู่ ๆ ก็เป็นฝีที่ช่องคลอดก้อนขนาดใหญ่ จนตกใจคิดว่าเป็นเนื้องอก แพทย์บอกเป็นฝี พอผ่าเสร็จ อุดผ้ากอสไว้ เหมือนทำหมันแมวเลย กรรมตามทันเร็วจริง ๆ ความรักที่มีแต่กันไม่ว่าจะเป็นคนกับสัตว์ ก็ช่วยชีวิตเราได้ แมวช่วยให้รอดพ้นจากฟ้าผ่า แต่ก่อนนั้นดิฉันมีนิสัยดุดัน ชอบสาบานให้ฟ้าผ่า วันนั้นเป็นวันพระ ลงจากห้องพระเห็นก้อนเมฆดำทะมึนเคลื่อนมาที่บ้าน มองแล้วขนลุกซู่ สติบอกว่า “ให้ระวัง” ดิฉันรู้ทันทีเลยว่าเขามาตามคำสาบาน ขณะนั้นเวลา ประมาณ ๗ โมงเช้า สามีออกไปทำงานแล้ว ดิฉันอยู่บ้านกับแมวนึกกลัว ก็เลยนั่ง
สวดอิติปิโสอยู่หน้าจอโทรทัศน์ (แต่ไม่ได้เปิดทีวี) สวดได้ประมาณ ๗ จบ แมวทำแจกันหล่น จึงลุกขึ้นเดินไปเก็บแจกัน ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นที่บ้านควันมืดทั้งบ้านเลย เดชะบุญที่สติยังพอมี ดิฉันกำหนด “ตกใจหนอ ตกใจหนอ” อยู่หลายครั้ง สายฟ้านี้มันช่างรุนแรงจริง ตู้ไหม้เกรียม ปลั๊กไฟกระเด็นไปไกลทีเดียว ส่วนดิฉันรอดได้แบบปาฏิหาริย์


ดิฉันกับสามีเดินทางจากยโสธรจะมุ่งหน้าไปสิงห์บุรีเพื่อไปที่วัดอัมพวัน เวลาประมาณ ๔ ทุ่ม เมื่อไปถึงด่านเก็บเงินปากช่อง ตอนนั้นดิฉันเป็นคนขับรถ ได้ขับไปชนรถน้ำมันที่จอดอยู่ข้างถนน รถเละทั้งคัน งัดออกอยู่ตั้งนาน เสียงคนถามว่าตายกี่ศพ เมื่อออกมาได้ดิฉันไม่มีแผลแม้แต่นิดเดียว แม้แต่รอยถลอกก็ไม่มี ส่วนสามีมีรอยบาดแผลจากเข็มขัดนิรภัย คลาดแคล้ว ปลอดภัย เพราะเข็มกลัดหลวงพ่อที่พี่ตะลุ่มจัดทำมามอบให้คณะปฏิบัติธรรม ดิฉันจะกลัดติดตัวประจำ พร้อมทั้งห้อยคอด้วยเหรียญหลวงพ่อนับเป็นบุญที่รอดตายมาได้ ด้วยบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างแท้จริง
เรื่องที่ ๕ ซื้อบ้าน
ลูกชายได้มายึดอาชีพทำมาหากินที่กรุงเทพฯ เช่าบ้านอยู่ ดิฉันก็ไม่เคยใส่ใจนัก
เมื่อมีหลานคนแรกความใส่ใจก็เกิดขึ้น อธิษฐานขอให้ลูกได้มีบ้านที่กรุงเทพฯ ได้บ้านถูกใจหลังหนึ่งราคาพอประมาณ สภาพดีมาก วางเงินจำนวนหนึ่ง และขอเข้าอยู่ในบ้าน นัดทำสัญญาจ่ายเงินกัน ดิฉันเข้าปฏิบัติธรรมที่วัด อธิษฐานขอให้เจ้าหน้าที่ธนาคารที่ขอกู้ซื้อบ้านไว้มีความสุข และอนุมัตเงินกู้ให้แก่ลูกชายด้วยเถิด สวดมนต์ภาวนา อธิษฐานขอเรื่องบ้านอยู่ตลอดเวลา เมื่อธนาคารแจ้งว่าไม่ผ่านการอนุมัติพวกเราแทบช็อค เพราะใกล้จะถึงวันสัญญาจ่ายเงินแล้ว เราต้องย้ายออกจากบ้านไปต้องเสียเงินที่จ่ายล่วงหน้า เป็นทุกข์มาก
ดิฉันตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคุณนิรันดร์ที่วัดอัมพวัน เล่าเรื่องธนาคารไม่อนุมัติเงินซื้อบ้านให้แก่ลูกชาย คุณนิรันดร์ให้คำแนะนำพร้อมทั้งหมายเลขโทรสาร ดิฉันแฟกซ์โฉนด พร้อมรายละเอียดต่าง ๆ ถึงหลวงพ่อ ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่อยากรบกวนพระเดชพระคุณหลวงพ่อเลยแม้แต่นิด เหตุเพราะสุดปัญญาแล้ว อยู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหนาที่ธนาคารให้ไปเขียนอุทธรณ์เรื่องบ้าน

ธนาคารก็อนุมัติเงินกู้ซื้อบ้าน ซึ่งเป็นบ้านแห่งบุญที่พวกเราได้พักพิงอยู่ในขณะนี้อย่างมีความสุข



--กรรมที่ต้องชดใช้

ดิฉันจะขอเล่าเรื่องกฎแห่งกรรมของตัวเอง ครั้งแรกก็มีเวทนาหนัก ไม่มีความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติ ขณะที่นั่งปฏิบัติอยู่ก็มีเวทนา พองหนอ-ยุบหนอ อยู่ก็มีเวทนาตรงขาที่
นั่งขัดสมาธิอยู่ปวดมากจนสั่นตีกับพื้นเสียงดัง คุมสติไม่อยู่ ปรากฏเห็นปลาช่อนตัวขนาดครึ่งกิโลกรัม ที่ตัวเราเองเคยเอามาทำกับข้าว ตัวแรกชายตามามองดิฉันที่กำลังนั่งสั่นอยู่ ใช้หางตามองแบบสมน้ำหน้า ดิฉันเองก็มองเพลิน ปลาก็ลอยมาเรื่อย ๆ เล็กลง ๆ จนกระทั่งหายไป อาการสั่นก็หยุดลง เมื่อปฏิบัติรอบอื่นก็มีเวทนามาก แต่ดิฉันก็อดทนโดยไม่เข้าใจเท่าไหร่ปฏิบัติทุกครั้งก็มีเวทนาหนักตลอด แต่ดิฉันก็อดทนให้ครบเวลาไม่เปลี่ยนท่าจนครบ ๗ วัน พอไปปฏิบัติอีกหลายครั้ง ขณะปฏิบัติอยู่ก็มีอาการปวดท้องอยากถ่ายหนัก ก็ออกมาเข้าห้องน้ำ นั่งถ่ายอุจจาระก็ออกมาปวดแต่เบ่งก็ไม่ออก คาอยู่
อย่างนั้น พอยืนขึ้นมาก็หายปวด แต่พอนั่งก็ปวดอีกแต่ไม่ออก ดิฉันก็กำหนดปวดหนอๆ เพราะปวดมากแต่ถ่ายไม่ออก ขณะที่กำหนดอยู่นั้น หลับตาอยู่ มองเห็นสุนัขที่ ตลาดมายืนถ่ายอยู่หน้าร้าน ตัวดิฉันเองโมโห จึงเอาไม้ขว้างไป สุนัขก็หนีไปโดยอุจจาระคาอยู่ มองเห็นอย่างนั้น ดิฉันก็ยังปวดถ่ายอยู่ จึงออกมากินน้ำมนต์ของหลวงพ่อ ๒ อึก ก็ยังปวดอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมง จึงถ่ายออกมาเป็นก้อนแข็ง คิดว่าคงก้นระบมเพราะอุจจาระก้อนแข็งมาก แต่ก็ไม่ระบม ดิฉันเพลียมาก เพราะกว่าจะถ่ายออกก็หมดเวลาปฏิบัติรอบนั้น อีกหลายรอบที่ปฏิบัติเวทนานี้ก็ยังมีอยู่ไม่เว้นสักรอบ แต่ดิฉันก็อดทนจนครบ ๗ วัน

หลัง ๆ มาน้อยครั้งที่ไม่มีเวทนาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเข้าปฏิบัติ หัวใจรู้สึกเศร้ามากและเวทนาหนักขึ้นตลอด ใจเศร้ามากจนร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ก็เกิดภาพแม่ดิฉันกำลังล้างหน้าน้ำมูกน้ำตาไหลออกมาเหมือนที่เรากำลังเศร้าอยู่ ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเวรกรรมที่ทำให้แม่เศร้าร้องไห้ มันเป็นกรรมที่เราไม่รู้ว่ากรรมนี้มันติดตัวเรา ดิฉันไปปฏิบัติที่วัดหลวงพ่ออีกหลายครั้ง แต่เวทนานี้ไม่หาย ยังตามติดตัวอยู่ อยู่บ้านปวดอุจจาระเข้าห้องน้ำแต่ก็ไม่ออกอีก ปวดก็ไม่ออก พอยืนขึ้นมากลับหายปวด แต่อุจจาระก็ค้างอยู่ทรมานมาก นั่งยอง ๆ ก็ไม่ออกจนเมื่อย ต้องเอามือมาท้าวที่หัวส้วม ท่าทางเหมือนสุนัขตัวนั้น เหมือนกรรมที่ติดตัวอยู่ต้องใช้หนี้เขา นี่เป็นกฎแห่งกรรมที่มองเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ต้องใช้หนี้เขาการปฏิบัติที่เวทนาสุด ๆ ก็คงเพราะเป็นกรรมเก่าสมัยเป็นวัยรุ่นไปเที่ยวกับ
ญาติที่หาดทรายหน้าอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ เห็นปูอยู่ใต้หิน ด้วยความคะนองก็เอามือไปกดก้ามมันไว้กับหิน จนปูสละก้ามวิ่งโขยกเขยกไป ดิฉันคิดว่าเราไม่ได้ตั้งใจทำเขา แต่ก็ต้องใช้หนี้เขา ต่อมาดิฉันป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ แขนขาข้างขวาอ่อนแรงเดินโขยกเขยกเหมือนปูตัวนั้น ก็รักษาไปจนเวลานี้เกือบเป็นปกติแล้ว หลวงพ่อเทศน์ตลอดว่ามีกรรมก็ต้องใช้หนี้ ดิฉันก็กำลังใช้หนี้ปูตัวนั้นจนกว่าเขาจะอโหสิกรรมให้ก็คงหายเป็นปกติ เวลานี้ยังเดินไม่ได้สมบูรณ์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ดิฉันปฏิบัติกรรมฐานและขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกวัน นี่แหละกฎแห่งกรรม ถ้าดิฉันไม่แข็งใจอดทนกับเวทนา ก็คงจะพิการมากกว่านี้ ด้วยบุญของกรรมฐานที่ทำให้ดิฉันพอช่วยตัวเองได้ ไม่ต้องพิการเป็นอัมพาต มีหนี้ก็ต้องใช้ให้เขาไม่มีการเว้นได้ เวลานี้ดิฉันก็ใช้หนี้เวรกรรมที่ติดตัวอยู่
อดทนกับเวทนาและตั้งสติให้ได้ แต่ดิฉันตั้งไม่ได้จึงทรมานมาก และกรรมที่ทำให้แม่เสียใจ ร้องไห้เป็นกรรมหนักมาก จึงทำให้ดิฉันมีเวทนามากทุกครั้งที่ปฏิบัติ

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:47:44 น.  

 

--กรรมมีจริง ตามสนองจริง

ผมเป็นเด็กบ้านนอก ด้วยฐานะที่ยากจน ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อชั้นสูง ๆ หลวงพ่อวัดบางลี่เจริญธรรม ท่านเห็นเป็นเด็กไม่มีโอกาส ท่านก็ขอจากแม่ แม่ก็ให้ ท่านเอามาบรรพชาเป็น สามเณร จนท่านเป็นเจ้าภาพอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุ ท่านก็หวังว่า จะสืบทอดเจตนาท่านทุกอย่าง แต่ผมก็ทำให้หลวงพ่อท่านผิดหวัง เมื่อความคิดของตัวเองเปลี่ยนแปลง ผมได้ทำหนังสือขึ้นเองโดยที่หลวงพ่อไม่รู้ เรียกว่า“ปลอมเอกสาร” เพื่อเข้าออกและย้ายวัดได้สะดวกตามต้องการ หลวงพ่อท่านเสียใจมากเหตุที่เรียกว่า “กรรม” นั้นได้ผ่านมา เป็นเวลา ๓๐ปี กรรมนั้นก็เริ่มส่งผล เมื่อผมลาสิกขาบทออกมาประกอบอาชีพก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ จนเศรษฐกิจก็ตกต่ำ ในขณะนั้นก็ผ่อนรถปิคอัพ ๑ คัน เพื่อประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างเล็ก ๆ ก็ไม่มีเงินผ่อนเป็นเวลาหลายงวด ก็เปลี่ยนอาชีพไปค้าขายบ้างเพื่อความอยู่รอด โดยใช้รถคันนี้เป็นพาหนะ ทะเบียนรถขาด ก็ทำทะเบียน “ปลอม” ทั้งป้ายวงกลมและป้ายหน้า-หลัง เพื่อสะดวกในการใช้หลีกเลี่ยงการจัดกุมของเจ้าหน้าที่บ้านของผมอยู่ในกรุงเทพฯ ย่านลาดพร้าว ต้องเดินทางค้าขายไปทั่วสารทิศ
ซึ่งก็มีด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจนับไม่ถ้วนแต่ก็ไม่เคยถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเรื่องป้ายปลอมเลย แม้แต่สงสัยก็ไม่มี แต่พอถึงเวลาที่ “กรรม” ที่ทำไว้ในอดีตจะตามมาถึง เรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น ได้นำรถไปจอดที่ห้างโลตัส เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เข้าไปจ่ายของใช้ประจำวันเสร็จออกมาที่รถ ก็มีผู้ชายอายุประมาณ ๒๘-๓๐ มานั่งท้ายรถ แล้วแสดงบัตรว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งข้อหาว่าผมใช้ทะเบียนปลอม แล้วเอาไฟฉายส่องป้ายทะเบียนซึ่งที่นั้นแสงสว่างก็ไม่พอที่จะมองเห็น แต่ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะ “กรรม” ที่ทำไว้ในอดีตตามมาถึงแล้ว ผมเองก็ไม่เชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงหรือเปล่า จึงไปหาน้องชายของเพื่อนที่เป็นทนาย เพื่อมาช่วยไกล่เกลี่ย แทนที่เรื่องจะ
เรียบร้อยด้วยดี แต่กลับถึงเจ้าหน้าที่ท้องทีเอารถมาเพื่อยกรถไปสถานีตำรวจ เรื่องก็ถึงศาลเป็นเวลาเกือบ ๒ ปี ศาลตัดสินให้รอลงอาญา กรรมตามสนองโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ สาเหตุที่รู้ว่ากรรมตามส่งผล เหมือนว่ามีอะไรมาดลใจให้ต้องรู้ เราหมดที่พึ่งแล้ว เรากำลังทุกข์มาก ด้วยบารมีของหลวงพ่อจรัญ ท่านได้แผ่เมตตาปรารถนาให้ทุกคนพ้นทุกข์ แผ่เมตตาถึงทุก ๆ คนที่มีทุกข์ รวมถึงตัวผมด้วย ทำให้ผมได้เข้าวัด วันแรกที่เดินเข้าวัดมีความรู้สึกชุ่มเย็นและสบายใจมาก เหมือนว่าทุกข์ที่เรามีอยู่นั้นจะหมดไป พอเข้ามาจริง ๆ แล้วก็ได้พบว่า หลวงพ่อท่านเป็นผู้ให้จริง ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ท่านมีเมตตากับทุก ๆ คน ท่านให้ทุกอย่าง เรื่องอาหาร
ที่อยู่ ที่พัก น้ำ ไฟ ตลอดชุดที่ปฏิบัติธรรมท่านก็ให้ ท่านไม่เรียกร้อง ไม่บอกบุญ จะมี หรือไม่ บริจาคหรือไม่ ตั้งแต่เข้าวัดอัมพวันมาย่างเข้าปีที่ ๙ ท่านเพียงแต่ขอให้เข้ามาปฏัติธรรมเจริญกรรมฐาน เพื่อจะได้รู้ธรรมและพ้นทุกข์ได้
ผมเข้ามปฏิบัติธรรม ๗ วัน ปฏิบัติตามระเบียบที่ทางวัดจัดไว้ ก็เริ่มปฏิบัติได้
พอเข้าวันที่ ๔ เวลาตี ๔ ก็ลงทำวัตรเช้า แต่พอนั่งได้ประมาณ ๕-๑๐ นาที ก็มีความรู้สึกลึก ๆที่ออกมาจากจิตใต้สำนึก ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่ไม่อาจฝืนได้ มีความเสียใจมากและน้ำตาไหลออกมาโดยไม่หยุด สะอื้นตลอดเวลา ๔๕ นาที กำหนดอะไรไม่ได้เลย จิตใต้สำนึกรู้ว่าในครั้งอดีต เราเคยทำให้หลวงพ่อผู้มีพระคุณแก่เรามาก ต้องมาผิดหวังและเสียใจในการกระทำของเรา ด้วยการระลึกในขณะนั้น ก็อยากไปกราบขออโหสิกรรมกับท่านที่ได้กระทำไว้ในอดีตเมื่อ ๓๐ ปีโดยเร็ว แต่ก็ยังไปไม่ได้เพราะอยู่ยังไม่ครบ ๗ วัน เมื่อครบแล้วก็ขอลากลับ รีบจัดเทียนแพ เครื่องสักการะไปขออโหสิกรรม จัดอาหารหวานคาว ผ้าไตร ถวายสังฆทาน ถวายแด่หลวงพ่อผู้มีพระคุณ
อานิสงส์การสวดอิติปิโส พาหุงมหากา
นับจากที่ได้ปฏิบัติธรรมแล้วก็อธิษฐานว่า ในพรรษาจะสวดอิติปิโส พาหุงมหา
กา ตลอด ๓ เดือน ต่อด้วยการเจริญกรรมฐาน ๓๐ นาที ออกพรรษาแล้วจะปฏิบัติเฉพาะวันสำคัญ และวันโกนวันพระเท่านั้น ปฏิบัติมาเป็นเวลา ๗ ปีแล้ว อานิสงส์ที่ได้รับคือชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีความสุขกายสบายใจ มีความยึดมั่น มีกำลังใจที่ดี มีที่ยึดเหนี่ยว ไม่หวั่นไหว มีสติ จะรู้เหตุล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิด เกิดแล้วแก้ปัญหาได้ทัน กลัวบาปอกุศลทั้งปวง สิ่งที่ไม่ดีในอดีตขอหยุดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เริ่มกระทำความดีปฏิบัติธรรม ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ให้ความทุกข์เดือดร้อนกับผู้อื่น ยึดมั่นในคำสอน ยึดมั่นในการปฏิบัติ มีความสุขความสบาย ทรัพย์สินเงินทองจะได้มาไม่ขาดและได้มาโดยสุจริต




--ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ณ วัดอัมพวัน

เมื่อเกิดวิกฤตกับชีวิต ทางออกที่ดีที่สุดอยู่ในธรรมของพระพุทธศาสนา
ประโยคนี้ใช้ได้กับผู้เขียน ๑๔ ปีที่แล้ว ถูกผู้บังคับบัญชาที่ “ข้ามห้วย” มาบีบบังคับด้วยวิธีละมุน จนต้องลาออกจากตำแหน่งรองก่อนที่จะถูกปลด การตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการเต็มสติกำลังกลายเป็นการ “ล้ำเส้น” วิกฤตนี้เกิดขึ้นเพราะความสุดโต่งของตนเอง ด้วยความกรุณาของกัลยาณมิตรท่านหนึ่งที่แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ผู้เขียนทำตามโดยไม่รีรอ ผลหรือ? ภาษาวัยรุ่นปัจจุบันคงเป็น “โอ พระเจ้า จอร็จ ช่างยอดมาก”
รู้กรรม
หลังจากปฏิบัติตามกระบวนการวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางพระธรรม
สิงหบุราจารย์ “พ่อใหญ่” ของพวกเรา ผ่านความเจ็บปวดที่สุดแล้ว คำถามแรกที่อธิษฐานถามในขณะปฏิบัติธรรมคือ ทำไม? คำตอบคือ ผู้เขียนเคยกระทำกับเขาก่อนในชาติที่แล้ว ชาติไหนก็ไม่ทราบ ด้วยวัยน้อย นิด หนูน้อยคนหนึ่งต้องบีบนวดขาของเจ้านาง ด้วยความเกียจคร้าน หรือ ด้วยเหตุใดไม่ทราบแน่ชัด จึงหักนิ้วเท้าของเจ้านางเข้าให้ อีกภาพในนิมิตคือ เผาเสาเรือนต้นหนึ่งของเรือนเจ้านางด้วยคบไฟอันเล็ก ๆ เสาไม่ไหม้ดอก เพราะไฟมอบดับไปเอง หนูน้อยถูกทำโทษหรือไม่ ไม่ปรากฏภาพ นี่คือผลของกรรมอันนั้น
สิ่งที่ผู้เขียนได้รับในชาตินี้ช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับกรรมที่กระทำในอดีต เจ้า
นางในชาตินี้ก็กรุณาผู้เขียน เคยได้รับเหรียญเจ้าแม่กวนอิมเหรียญแรกในชีวิต




ของ ผู้เขียนจากท่าน (และทำให้มีเหรียญและรูปเคารพของเจ้าแม่กวนอิมเพิ่มขึ้นอีกในกาลต่อมา ด้วยการแสวงหาของตนเอง) เคยโทรศัพท์ถามข่าวคราวที่ผู้เขียนเจ็บด้วยอุบัติเหตุ และผู้เขียนก็ยังรับราชการโดยสงบ ณ ที่เดิมจนเกษียณอายุ แม้จะมีสายตาคนภายนอกมองผู้เขียนในฐานะคนถูกปลดจากตำแหน่งก็ตามผลแห่งการ “ถูกปลด” ผู้เขียนได้ให้เวลาเต็มที่กับการทำผลงานทางวิชาการจนทำสำเร็จ ซึ่งก็เกือบเป็นเวลาไล่เลี่ยกับที่เจ้านางผู้นั้นได้ตำแหน่งทางวิชาการเดียวกันปัจจุบัน ข้าราชการเกษียณคนนี้ได้รับเชิญให้ทำงานบางอย่างของราชการตลอดมา และเจ้านางดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง ที่ไม่ใช่ที่ที่ผู้เขียนได้รับเชิญ แข่งเรือนั้นแข่งได้ แข่งบุญวาสนานั้นอย่าหวัง ผู้เขียนไม่ได้คิดแข่งเลย ชาติก่อนเป็นลูกน้อง ชาตินี้ยังเคยเป็นลูกน้องอยู่ระยะหนึ่ง แต่ผู้เขียนได้แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้แล้วหากท่านผู้รู้ที่ได้อ่านข้อเขียนนี้จะกรุณาบอกเล่าให้ทราบวิธีการใด ๆ ที่จะทำให้เจ้านางหยุดตามผู้เขียนอีกต่อไป ก็จะเป็นพระคุณยิ่ง

อีกหลายปีต่อมา วิกฤติชีวิตเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยความหลงผิด เชื่อคนลวงโลกในรูปของนักสะเดาะเคราะห์ ที่เสียคือเงินจำนวนไม่น้อย โชคดีที่มีกัลยาณมิตรอีกท่านหนึ่งที่ช่วยจัดการดึงผู้เขียนขึ้นมาจากหล่มโคลนโสโครก นิมิตระหว่างปฏิบัติธรรมบอกว่า ในชาติหนึ่งเคยเป็นมิตรคุ้นเคยร่วมทำการค้า แต่เกิดผิดใจกันด้วยเรื่องผลประโยชน์ กรรมตามทันผู้เขียนในชาตินี้ บวกด้วยเล่ห์กลที่อวดอ้างว่า มีอิทธิปาฏิหาริย์ ผู้เขียนแผ่เมตตาให้แล้วเช่นกัน ในช่วงหนึ่งของการเดินจงกรม รู้สึกว่ายืนหนอไม่ใช่ตัวเอง แต่ตัวงอเป็นกุ้ง ได้เรียนถามอาจารย์แม่ชีซูง้อ ตอนที่ท่านยังไม่กลับไปประเทศสิงคโปร์ ท่านบอกว่าเป็น




กรรมเก่า ผู้เขียนระลึกรู้ได้ทันทีว่าช่วงหนึ่งในชาตินี้รับประทานกุ้งเผาเป็นจำนวนมาก เพราะเคยร่วมต้อนรับแขกต่างประเทศด้วยกุ้งเผาอยุธยา กุ้งเป็น ๆ ถูกเผา แม้จะไม่ได้เห็นขณะย่าง แต่ก็ร่วมรับประทาน และเลิกรับประทานกุ้ง ไปหลายสิบปี กราบขอบพระคุณสูงสุด ท่านสอนว่า ปฏิบัติธรรมรู้กรรม แก้กรรมได้ เป็นความจริงแท้
ทำดีได้ดี
ทำดีในที่นี้คือการปฏิบัติธรรม ณ วัดอัมพวัน
ตอนที่ทำผลงานวิชาการ ขณะปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน กราบเรียนในใจบอก
“พ่อใหญ่” ถึงเรื่องนี้ ขอให้ทำได้สำเร็จ ได้รับตำแหน่งทางวิชาการ เมื่อ “พ่อใหญ่” แสดงพระธรรมเทศนา ในวันต่อมา ท่านกล่าว ตอนหนึ่งว่า “รศ.อะไรนั่นน่ะไม่รู้จัก...”ลูกได้ตำแหน่งนั้นจริง ๆ ค่ะ เมื่อเจ็บปวดขณะนั่งสมาธิ นึกถึง “พ่อใหญ่” แม้ไม่หายเจ็บแต่ท่านกล่าวใน
ระหว่างแสดงธรรมว่า พวกเราแม่ขาวนั้นร้องเรียกท่านว่าปวด ๆ ตลอดเวลา “พ่อใหญ่” ทราบ ได้ให้เคล็ดลับไปสู่ความสำเร็จในหนังสือระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมไว้ข้อหนึ่งว่า “...มีจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
- แม้ว่าจะปวดเมื่อยจนตายก็ยอม
- แม้ว่าจะขาดใจตายก็ยอม
- ธรรมวิเศษอยู่เลยความตายไปนิดเดียว
- ยังไม่มีใครตายไปเพราะการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน”


คุณพ่อถึงแก่กรรมเมื่อ ๓ ปีที่แล้ว อธิษฐานจิตถามว่าพ่ออยู่ที่ไหน จากนิมิตเห็นใครคนหนึ่งกำลังว่ายวนอยู่ในธารน้ำดำมืด ป่าใหญ่ครึ้มบดบัง
แสงแดด หลังพักช่วงก่อนอาหารกลางวัน เรียนถามท่านผู้ควบคุมดูแลการปฏิบัติธรรมถึงเรื่องนี้ ท่านแนะนำว่าเรามาปฏิบัติธรรมสามารถช่วยได้ เมื่อปฏิบัติธรรมอีกในตอนบ่าย กราบเรียนในใจขอ “พ่อใหญ่” ให้ช่วยคุณพ่อด้วย ในนิมิตเห็นผู้คนมามายนำเรือนำรถไปรับใครคนนั้นขึ้นมาได้ มีพระอยู่ด้วย ๑ รูป ที่ทราบว่าเป็นพระเพราะนุ่งห่มสบงจีวรสีเหลือง แบบพระสงฆ์วัดอัมพวัน และมีผู้หญิงแต่งชุดปฏิบัติ ธรรมสีขาว ๑ คน คงเป็นผู้เขียนกระมัง ช่วงค่ำเห็นแต่บ้านหรือวัง หรือปราสาทสี เหลืองทองอร่ามงดงามในนิมิต ไม่มีธารน้ำขุ่นคลั่ก ไม่มีป่าใหญ่มืดทะมึนอีกต่อไป
เคยเรียนให้ท่านผู้ควบคุมดูแลการปฏิบัติธรรมทราบพร้อมกับถามว่า ผลการ
ปฏิบัติธรรมปรากฏรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ท่านรับว่าใช่แล้วผู้ปฏิบัติธรรมจึงไม่สามารถกระทำความชั่วได้เลย เพราะผลจากกรรมชั่วจะปรากฏเร็วกว่าผลจากกรรมดีเสียอีกกระมัง
บุญบารมีและเมตตาธรรมของ “พ่อใหญ่” คุ้มครองเราทุกคนให้พ้นภัย
เมื่อรู้สึกร้อนแม้อยู่ในอาคาร จิตรำลึกถึง “พ่อใหญ่” ลมเย็นจะรำเพยมา มาได้
อย่างไร ก็เดินจงกรมและหรือนั่งสมาธิอยู่ไกลหน้าต่างออกอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะบารมีของท่านต้นเดือนมีนาคม ๒๕๔๙ ผู้เขียนมีเวลาไปปฏิบัติธรรม ณ วัดอัมพวัน ช่วงปลายสัปดาห์ ที่ข้อพับแขนขวามีแผลพุพองที่ไม่ได้
ปิดพลาสเตอร์ยา ขณะปฏิบัติธรรมที่ลานดิน มีแมลงวันตอมแผล

ไม่สามารถปัดได้ ได้แต่ขยุกขยิก จึงกราบเรียน “พ่อใหญ่” ในใจว่า หลวงพ่อเจ้าขา แมลงวันตอนแผลลูกเหลือเกิน ท่านผู้อ่านเชื่อไหมคะ ไม่มีแมลงวันมาตอมแผลอีกเลย จนถึงเวลาแผ่เมตตา ซึ่งประมาณเวลาได้ว่ากว่าครึ่งชั่วโมง
ทั้ง ๆ ที่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นมีถังขยะตั้งอยู่
กลับจากวัดอัมพวันครั้งหลังสุด ขณะเลี้ยวรถเข้าประตูบ้าน คนเปิดประตูให้เห็นตะขาบขนาดใหญ่เลื้อยมาจากอีกฟากซอยมุ่งเข้าประตูบ้านเหมือนกัน แต่เมื่อผู้เขียนลงจากรถ ตะขาบก็เปลี่ยนทิศทางเลื้อยไปทางอื่น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันแผ่เมตตาให้นี่ก็อีกอานิสงส์หนึ่งของการปฏิบัติธรรมเป็นแน่แท้

คุณแม่ของข้าพเจ้าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ผ่าตัดเมื่อ ๔ ปีที่แล้ว ต้องถ่ายอุจจาระทางหน้าท้องใส่ถุง ผู้เขียนนำบทสวดพาหุงมหากา ซึ่งคุณแม่สวดมนต์เก่งอยู่แล้ว ปรากฏว่าท่านมีสุขภาพดี เมื่อไปหาแพทย์ที่ทำการผ่าตัด แพทย์ก็สบายใจ เพราะไม่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น คุณแม่แจ่มใส
ผิวพรรณดี ท่านชวนผู้ที่มาเยี่ยมเยือนให้ท่องอิติปิโสเท่าอายุบวกหนึ่งเหมือนท่านด้วย ช่วงวิกฤตการเมืองต้นปี ๒๕๔๙ ผู้เขียนได้ปฏิบัติธรรมและสวดมนต์อยู่ที่บ้านพร้อมกับอธิษฐานจิตขอให้ “พ่อใหญ่” ช่วยด้วย แล้ว ๔ มีนาคม ๒๕๔๙ วิกฤตก็คลี่คลายเมตตาธรรมของ “พ่อใหญ่” พระธรรมสิงหบุราจารย์ แผ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด...__



 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:49:30 น.  

 

--ผลของการปฏิบัติธรรม

ตั้งแต่เด็กพ่อ แม่ของข้าพเจ้าชอบสวดมนต์ ทุกวันตอนเย็นพ่อของข้าพเจ้าสวดมนต์ก่อน พอสวดเสร็จแม่ก็สวดมนต์ต่อ ข้าพเจ้าฟังพ่อกับแม่สวดมนต์ทุกวัน จนข้าพเจ้าเริ่มสวดคลอ เสียงของพ่อกับแม่ที่สวดได้ ตอนนั้นข้าพเจ้าบูชาเจ้าแม่กวนอิมมาก แม่ก็เลยมาบอกข้าพเจ้าว่า ถ้าสวดมนต์บทว่า นะโมกวงซีอิมผ่อสัก จนครบ ๑๐,๐๐๐ จบ จะได้เจอเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่กวนอิมจะมาที่บ้าน ข้าพเจ้าอยากเจอเจ้าแม่มาก ก็เลยสวดทั้งวัน เดินสวด นั่งสวดยืนสวด นอนสวด จนจิตนิ่งเป็นสมถกรรมฐาน โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว สวดตั้งแต่เช้าจนถึง
เย็น ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้เจอเจ้าแม่กวนอิม ก็เลยหยุดสวดแล้วก็ไม่สวดอีกเลยเพราะเป็นเด็กขี้เกียจ พออยู่มาอีกสักพัก แม่ก็หัดให้ข้าพเจ้าสวดมนต์ บทที่แม่ให้สวดนั้นก็คือ บทสวดตามที่หลวงพ่อจรัญพิมพ์ไว้ในหนังสือแนวทางชีวิตรุ่งเรือง ก็คือสวดบูชาพระและ สวดบทพาหุงมหากา แต่เพิ่มคาถาชินบัญชรเข้าไปด้วย ข้าพเจ้าก็สวดบ้างไม่สวดบ้าง ตามภาษาเด็ก แต่ก็สวดมาเรื่อย ๆ และถ้าวันไหนตรงกับวันหยุดที่ย่าไปทัวร์บุญตามที่ต่าง ๆ ย่าก็จะมาชวนข้าพเจ้าไปด้วย ย่าชอบไปทำบุญสร้างโบสถ์ ฝังลูกนิมิต ข้าพเจ้าก็เลยได้มีโอกาสไปทำบุญกับย่าบ่อย ปีละประมาณ ๒-๓ ครั้งเมื่อตอนเป็นเด็กประมาณ ๙ ขวบ ข้าพเจ้าเป็นคนที่ซุกซนมาก ชอบทำบาปมาก ๆ พ่อแม่พูดอะไรห้ามอะไรก็ไม่ฟัง เวลาวันธรรมดาข้าพเจ้าไปโรงเรียน กลับมาตอนเย็นก็จะไปเที่ยวเตร่
กลับมาก็ดูทีวี ไม่เคยช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านเลย เอาแต่หาเรื่องทะเลาะกับน้อง เถียงพ่อแม่ตลอดเวลา วันหยุดพี่ป้อมก็มาชวนไปเที่ยวป่า ในป่าชายเลนจะมีน้ำขึ้นน้ำลง เวลาน้ำลงเราจะไปหาหอยกัน พร้อมกับมีเพื่อนของพี่ป้อมชื่อว่าจุยไปด้วย เราจะไปพร้อมกัน ๔ คน เวลาหาหอยเสร็จเราก็จะเอาไปไว้ที่บ้าน
ในสี่คนที่ไปข้าพเจ้าจะเป็นคนที่หาหอยได้น้อยที่สุด เพราะหาไม่ค่อยเก่ง ข้าพเจ้ายังน้อยใจอีกว่าเราหาได้น้อยจัง (แต่ตอนนี้ กลับเสียใจอีกว่าเราไม่น่าจะไปทำลายชีวิตเขาเลย) แล้วก็เอาไปให้แม่หรือพี่ผัดทั้งเป็นบางครั้งต้มทั้งเป็น จนกว่ามันจะเปิดปาก แล้วถ้าวันไหนไม่หาหอย ข้าพเจ้ากับพี่ป้อมและเพื่อน เขาก็จะไปตกปลากัน เวลาตกปลาก็เหมือนกัน ข้าพเจ้าจะตกปลาไม่เคยได้เลย แต่มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าตกปลาได้เยอะกว่าคนอื่น แต่คนอื่นตกไม่ได้เลย รีบเอากลับบ้าน พอเอากลับไปให้พี่สาวทำ เขากลับเอาปลาไปให้เป็ดกิน เพราะปลาที่ตกได้ที่บ้านไม่กิน ในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร (แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมากที่ไปฆ่าชีวิตเขา) บางวันข้าพเจ้ากับพี่ป้อมขี้เกียจไปในป่าที่ไกล ๆ ก็จะไปเอาไซ ไปจับปูดำหลังบ้าน ข้าพเจ้าก็เหมือนเดิม ได้น้อยกว่าเขา
บางครั้งข้าพเจ้าจะเอาปูใส่ในหม้อน้ำแล้วปิดฝาต้ม ปูก็จะดิ้นในน้ำร้อนจนตาย แล้วรอจนตัวปูเหลือง แสดงว่าสุกแล้วเอามากินได้ บางครั้งไม่ได้ต้มปู ข้าพเจ้าก็จับมันมาหงายท้องบนเขียง แล้วเอามีดเสียบที่หน้าอกมันจนกว่ามันจะตายก่อนเอาไปผัดบางครั้งแม่ก็ทำเองหรือพี่ทำถ้าข้าพเจ้าขี้เกียจ แล้วมีบางครั้งที่ข้าพเจ้านึกสนุก จับปูตัวเล็กมาหักขาหมด เหลือแต่ก้ามปู แล้วให้มันเดินด้วยก้ามจนตาย ในตอนเด็กข้าพเจ้ายังนึกสนุก ยังไม่รู้ว่าบาปเป็นอย่างไร บุญเป็นอย่างไร (แต่มาถึงตอนนี้ เมื่อข้าพเจ้านึกถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าเคยกระทำมา ช้าพเจ้าจะรู้สึกเสียใจมากจนน้ำตาตกในทุกครั้ง) แต่ถึงแม้ข้าพเจ้าจะเที่ยวเตร่ไปทำบาปอย่างไร ข้าพเจ้าก็ยังสวดมนต์ก่อนนอนอยู่บ้างถึงจะไม่ทุกวันก็ยังสวด และชอบสวดมนต์มาตั้งแต่เด็ก

เมื่อข้าพเจ้าเริ่มเข้ามัธยมต้น ข้าพเจ้าก็เจอเพื่อนใหม่ที่ร้ายกว่าเดิม คือชวนเที่ยว หนีเรียน หาเรื่องทะเลาะกับคนอื่นทั่วไป ว่าครูบาอาจารย์ หนีออกจากบ้านไปเที่ยว ทำให้แม่ต้องเสียใจตลอดเวลา ที่เป็นอย่างนั้นเพราะตามเพื่อน คบเพื่อนไม่ดีฉะนั้นขอฝากพ่อแม่ทุกคนว่าหากรักลูก ขอให้ท่านดูแลลูกของท่านอย่างใกล้ชิด อย่าด่าลูก อย่าว่าลูก ปลูกฝังให้เขาสวดมนต์ตั้งแต่เด็ก อย่าให้ลูกห่างจากแม่มาก จะทำให้เขาเสียคนได้ง่าย แล้วพ่อแม่จะเสียใจภายหลัง พ่อแม่สำคัญที่สุด ต้องเป็นเพื่อนกับลูก ลูกสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง อย่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับลูก อย่าใช้อารมณ์กับลูกต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกเสมอ เพราะตรงนี้ข้าพเจ้าได้ประสบการณ์มาเอง

ข้าพเจ้าเริ่มใช้กรรมที่ทำกับปูตอนอายุ ๑๐ ขวบ งานกินเจที่พังงา
เวลาพ่อแม่กินเจก็กินกับเขาด้วย ส่วนพี่ป้อมไม่เคยกิน ในปีที่เขาถือศีลกินเจกันนั้น พี่ป้อมจะต้องถูกรถชนทุกครั้ง บางครั้งขาหัก บางครั้งแขนหัก แต่กรรมเมื่อทำแล้วต้องชดใช้ ตอนกินเจปี ๒๕๓๙ วันสุดท้ายของานกินเจที่ศาลเจ้า เราจะนั่งดูหนังกลางแปลงกัน ตอนเที่ยงคืนข้าพเจ้าจะกลับบ้านพร้อมกับพ่อแม่เป็นประจำ แต่วันนั้นเผอิญตอนที่ข้าพเจ้าจะกลับเจอพี่ป้อมที่ศาลเจ้าพอดี พี่ป้อมมาชวนข้าพเจ้าให้ซ้อนท้ายรถเขากลับบ้าน พ่อกับแม่ก็บอกให้ข้าพเจ้าไปนั่งรถเป็นเพื่อนกับพี่ป้อม เพราะพี่เขามาคนเดียว แต่ไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นอะไรคืนนั้น ไม่อยากนั่งรถไปกับพี่ป้อมเลย บอกแม่ว่าไม่อยากไปกับพี่เขา อยากไปกับพ่อแม่ แต่พ่อกลับบังคับให้ไปกับพี่เขาเสียอีก พอนั่งไปถึงระหว่างทาง ข้าพเจ้าก็ตกใจเพราะได้ยินเสียงดังโครม รถของพี่ป้อมก็เสียหลักล้มลงไป ทำให้ตัวข้าพเจ้านอนกลิ้งสลบอยู่ที่ถนน ส่วนพี่ป้อมนั้นขาข้างซ้ายหัก แล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกว่ามีคนมายกรถขึ้น แล้วพาข้าพเจ้าไปส่งโรงพยาบาล หมอบอกพ่อกับแม่ว่า เส้นเอ็นบริเวณข้อเท้าพลิก และมีแผลถลอกตามตัว พอกลับบ้านข้าพเจ้าต้องทรมานเดินกะเผลกอยู่ประมาณ ๑ อาทิตย์ เหมือนปูที่ข้าพเจ้าหักขามัน มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น หากข้าพเจ้าไม่สวดมนต์ไหว้ พระและไปทำบุญกับย่าเป็นประจำ ข้าพเจ้าก็คงจะต้องขาหักเหมือนพี่ป้อมแน่นอน
เพราะบุญช่วย เมื่อถึงเวลาใช้เขา เราก็มีบุญให้เขาก็เลยไม่ต้องเจ็บหนัก แต่ถ้าหากในครั้งนั้นข้าพเจ้าไม่เคยทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร

เมื่อข้าพเจ้าเรียนจบ ข้าพเจ้าก็ได้เข้ากรุงเทพฯ ได้เข้าทำงานบริษัทขายตรงบริษัทหนึ่ง ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่ใจบุญ ชอบทำบุญ ต่างกับเพื่อนที่ข้าพเจ้าเคยคบที่พาเที่ยวเตร่กินเหล้าเมายา ในตอนแรกที่ข้าพเจ้าได้เจอพี่คนนั้น ข้าพเจ้าก็คิดว่าเขาบ้า พูดแต่เรื่องธรรมะ เวลาเจอพี่เขาก็จะรู้สึกไม่อยากคุยด้วย เพราะขี้เกียจฟังเรื่องพระ แต่พอคบกับพี่เขาไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๑ เดือน ก็เริ่มสนใจเรื่องธรรมะมากขึ้น เพราะว่าพี่เขาจะเล่าเรื่องของประวัติพระศาสดาให้ฟังประจำจนรู้สึกว่าชอบ ข้าพเจ้าก็เริ่มศึกษาธรรมะมาเรื่อย ๆ แล้วเริ่มไปหาวิธีปฏิบัติกรรมฐานมาปฏิบัติ ข้าพเจ้าก็นึกถึงตอนเด็ก ที่แม่ให้อ่านหนังสือของหลวงพ่อจรัญ เรื่องกฎแห่งกรรม ข้าพเจ้าก็รู้สึกกลัวบาปเหมือนกัน แต่ก็เฉยเพราะตอนนั้นยังเด็กอยู่

แล้ววันหนึ่งข้าพเจ้าได้ไปดูงานมหกรรมหนังสือที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ได้เจอบูธหนังสือธรรมะ เห็นซีดีธรรมะของหลวงพ่อจรัญ เรื่องการฝึกจิตก็เลยซื้อมาฟัง เพื่อจะฝึกปฏิบัติที่บ้าน ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงบ้านเวลาประมาณตอนเย็น เมื่อข้าพเจ้าอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกมาเตรียมตัวจะฟัง เมื่อเปิดซีดีของหลวงพ่อฟัง ตอนแรกข้าพเจ้านึกว่าท่านจะเทศน์เหมือนที่วัดอื่น ๆ บอกวิธีปฏิบัติเหมือนที่ตอนเด็กเคยฟังเทศน์ แต่พอฟังแล้วข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาไหล เพราะในซีดีที่หลวงพ่อเทศน์นั้นตรงกับการกระทำของข้าพเจ้าทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็เริ่มปฏิบัติธรรมตามวิธีที่หลวงพ่อเทศน์ในซีดีตลอดมา
ในตอนแรกที่ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติกรรมฐานที่บ้านคนเดียว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าปฏิบัติ
ยากมาก เพราะข้าพเจ้าจะถนัดกับการภาวนาคำว่าพุทโธมากกว่า แต่ก็ยังพยายาม ต่อไปเรื่อย ๆ ทำไปสักประมาณ ๑ อาทิตย์ก็เริ่มพองหนอ ยุบหนอได้ และเมื่อปฏิบัติ ไปเรื่อย ๆ ข้าพเจ้าก็เริ่มมีอาการเจ็บที่บริเวณหน้าอก เหมือนมีอะไรมาแทงเป็นระยะ ๆ ข้าพเจ้าก็กำหนดไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๓-๔ วันก็ระลึกได้ว่า เมื่อตอนเด็กข้าพเจ้าได้ไปจับปูดำแล้วนำมันมาฆ่า โดยการที่จับมันหงายท้องแล้วเอามีดแทงที่หน้าอกมันจนตาย เมื่อข้าพเจ้าระลึกได้มันทำให้ข้าพเจ้าเสียใจ น้ำตาไหล เพราะรู้สึกผิดและสำนึกในบาปของตัวเองที่ทำ
ขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้กับเขา ข้าพเจ้าเจ็บที่หน้าอก ประมาณ ๗ วัน อาการเจ็บก็ค่อย ๆ หายไป พอข้าพเจ้าปฏิบัติมาสักประมาณ ๑ เดือน ก็เริ่มรู้เรื่องกฎแห่งกรรม หลาย ๆ อย่างมันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผิดในกรรมที่ข้าพเจ้าทำไว้เมื่อตอนเด็กเป็นอย่างมาก แต่ก็แก้ไขสิ่งที่ทำมาไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เลยสวดมนต์และปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อส่งผลบุญให้กับพวกเขา พอปฏิบัติมาประมาณเดือนกว่า ๆ ข้าพเจ้าก็มีอาการปวดขาที่หัวเข่าซ้ายมาก เวลานั่งสมาธิข้าพเจ้าทนปวดนั่งไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๑ เดือนก็ยังปวดอยู่ แล้ววันที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอีกครั้ง ในครั้งนั้นข้าพเจ้าก็พยายามที่จะนั่งจนหายปวด แต่เกิดเห็นภาพนิมิตปรากฏขึ้นตอนนั่งสมาธิว่า เมื่อชาติก่อนข้าพเจ้าเคยไปทุบตีดาบสผู้หนึ่งจนขาซ้ายของเขาหัก ต้องใช้ไม่เท้าค้ำจึงจะเดินได้ เมื่อระลึกได้อย่างนั้นข้าพเจ้าจึงยอมรับกรรมทั้งหมดที่ข้าพเจ้ากระทำ โดยที่ไม่มีคำปฏิเสธใด ๆ มีแต่ความเศร้าใจในบาปของตัวเอง ข้าพเจ้าก็นั่งไปเรื่อย ๆ จนหมดเวลาที่ข้าพเจ้าตั้งไว้

เมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติ ธรรมไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๒-๓ เดือน ก็ได้ไปเที่ยวกับพี่คนที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เมื่อข้าพเจ้าไปไหน มักจะกำหนดเห็นหนอเป็นประจำ เมื่อเห็นหน้าพี่เขาตอนจะกลับบ้าน ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงเล็ก ๆ บอกว่า ให้เตือนเขาด้วยว่าให้พาแม่ไปทำบุญบริจาคขาเทียม เพราะเขากำลังจะมีอุบัติเหตุเรื่องขา ข้าพเจ้าก็เตือนพี่เขา พี่เขาก็เชื่อแล้วรีบพาแม่เขาไปทำบุญในวันรุ่งขึ้น เพราะพี่เขาเป็นคนปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แล้วพี่เขาก็เล่าให้ฟังว่า พอดีพี่เขากับครอบครัวจะไปเที่ยวงานแสงสีเสียงที่จังหวัดกาญจนบุรี พอดีเห็นข้าพเจ้าเตือนก็เลยรีบพาแม่ไปทำบุญ แล้ววันต่อมาพี่เขาก็ไปเที่ยวที่เมืองกาญจนบุรีกับครอบครัวเขาประมาณ ๒ วัน เขาก็กลับมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หากข้าพเจ้าไม่เตือนเขาก็คงไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนที่เขาจะออกจากบ้านไปกาญจนบุรีนั้นเขาไม่เอารถไปเพราะกลัวอุบัติเหตุ ก็เลยเรียกรถแท็กซี่ ตอนที่คนใช้ขึ้นไปนั่งที่ประตูซ้ายนั้น ขาซ้ายของคนใช้ยังไม่ได้ขึ้นมาอยู่ในรถเรียบร้อย แท็กซี่มันก็กระชากรถออกไปโดยที่ขาของคนใช้ยังไม่ยกขึ้นมาวางในรถเลยแล้วต้องบอกให้หยุดแท็กซี่จึงจะหยุด พี่เขาบอกว่า หากไม่ได้ไปทำบุญก่อนไป ถ้าแม่พี่เขายังนั่งริมประตูรถเหมือนเดิม ในวันนั้นขาของคนแก่อายุ ๗๐ กว่า คงจะต้านแรงกระชากของรถไม่ไหว คงจะไม่ได้ไปเที่ยวเมืองกาญจนบุรีแน่

สำหรับข้าพเจ้า สิ่งที่ได้รับในการปฏิบัติกรรมฐานด้วยตนเองใน ๖ เดือนแรกนั้นให้ข้อคิดและคติธรรมแก่ข้าพเจ้าหลายอย่าง มันก็มีประโยชน์ในการใช้ชีวิตประจำวันมาก และสามารถช่วยให้คนรอบตัวเรานั้น ปลอดภัยกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขาในอนาคตได้ จากวันที่ข้าพเจ้าได้เตือนพี่เขาไปเรื่องของแม่เขาประมาณ ๒ อาทิตย์ พอดีวันนั้นมีความคิดที่จะไปทำบุญ เอาเงินไปถวายวัดเพื่อช่วยในการสร้างถนนที่วัดกระโจมทอง วันนั้นรู้สึกไม่ค่อยจะสบายตัว กระสับกระส่ายชอบกล รู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกับว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้สนใจ เมื่อทำบุญเรียบร้อยเดินทางกลับจากวัดมาถึงป้ายรถเมล์จะต่อรถกลับบ้าน ปกติข้าพเจ้ากับเพื่อนจะนั่งรถสองแถวกลับ แต่วันนั้นไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมา เดินขึ้นรถเมล์กันหมด เพราะรถเมล์จอดรออยู่หน้าป้ายแล้ว พอถึงที่จะต้องต่อรถอีกครั้ง พอรถจอดเมื่อก้าวเท้าลงจากรถได้ข้างหนึ่ง และจะก้าวข้างที่สอง รถก็กระชากออกอย่างแรง แต่โชคดีที่กระโดดลงมาทันพอดี ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครมาดึงออกจากรถอย่างแรง แต่พอมาถึงบ้านก็รู้สึกปวดขาและเป็นไข้จนเพลียหลับไป ข้าพเจ้าได้มานั่งพิจารณาดูก็เลยรู้ว่า ถ้าในตอนนั้น ไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐานก็คงต้องไปนอนที่โรงพยาบาลแน่นอน



--เพราะบารมีหลวงพ่อ

พ่อสามีของข้าพเจ้าล้มป่วย ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนในอำเภอแม่สอด
จนกระทั่งหมอบอกว่าต้องส่งตัวไปรักษาที่กรุงเทพฯ
เพราะในตอนนั้นมีเลือดออกในกระเพาะมาก อีกทั้งยังมีโรคประจำตัวคือโรคความดัน
โลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หมอได้บอกกับน้องสามี
ถ้าเดินทางโดยรถยนต์อาจไม่ทันการณ์ และจะเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตมาก
แนะนำให้เดินทางโดยเครื่องบิน
ข้าพเจ้ามารู้ในตอนหัวค่ำว่าได้มีการเหมาเครื่องบินส่วนตัว พร้อมหมอ ๑ คน จากกรุงเทพฯ มารับตัวคนไข้
ข้าพเจ้ากังวลใจเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับค่ารักษาและค่าเครื่องบิน เพราะ
มันเป็นเงินจำนวนมากสำหรับข้าพเจ้า บวกกับช่วงเวลานั้นการค้าที่ดำเนินการอยู่
ก็ซบเซาลง เนื่องจากพม่าปิดชายแดน และข้าพเจ้าก็ค้าขายอยู่บริเวณชายแดน ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาเที่ยว หมอในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯได้บอกว่าต้องนำตัวผู้ป่วยเข้าผ่าตัด ซึ่งต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลร่วมล้าน ทำให้ข้าพเจ้ากลุ้มใจเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลเป็นอย่างมาก และสามีของ
ข้าพเจ้าก็เป็นลูกชายคนโต ข้าพเจ้ายังปล่อยวางไม่เป็น ยังไม่รู้จักหลวงพ่อจรัญ ยังไม่รู้จักไหว้พระ ข้าพเจ้าคิดมากจนล้มป่วยไปอีกคนป่วยหนักจากอาการเครียด ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลประจำอำเภออยู่๑๔ วัน หมอบอกข้าพเจ้ามีอาการโรคประสาทในระยะเริ่มต้น ไม่รู้จะพึ่งใคร ข้าพเจ้ารู้สึกหมดหวังต่อปัญหาต่างๆที่เข้ามา รุมเร้า ป้าแนะนำให้ไปนครปฐม ไปหาอากง ๘ ทิศ เพื่อรักษาทางไสยศาสตร์ แต่อาการก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ขณะที่ข้าพเจ้ากลับถึงบ้านข้าพเจ้าก็นึกขึ้นได้
ว่า ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อจรัญ ซึ่งก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้จักหลวงพ่อมาก่อนเลย นึกได้ว่าหลวงพ่อสอนว่า ถ้าดวงไม่ดีให้สวดอิติปิโสเท่าอายุบวก ๑ แล้วจะหาย จึงขึ้นไปยังห้องพระชั้นบน พยายามรวบรวมแรงที่มีเหลืออยู่ในร่างกายทั้งหมดจุดธูป ตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อจรัญว่า หลวงพ่อเจ้าขาลูกเกิดมาชาตินี้ ลูกไม่เคยรู้จักหลวงพ่อจรัญเลย ลูกไม่เคยรู้ว่าหลวงพ่อจรัญอยู่ที่ไหนวัดอัมพวันอยู่ที่ไหน แต่ลูกเคยซื้อหนังสือของหลวงพ่อมาอ่าน ลูกไม่ได้ลบหลู่หลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง และลูกมีบุญมีวาสนา ขอหลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาให้อาการของลูกดีขึ้นภายใน ๓ วันด้วยเถิด ถ้าลูกหาย ลูกจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน และจะสวดมนต์ไหว้พระตลอดชีวิตทุกวัน เพราะก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่เคยสวดมนต์เลย เดินผ่านห้องพระข้าพเจ้าก็เพียงพนมมือขึ้นไหว้

หลังจากนั้น ๓ วันเหมือนเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับข้าพเจ้า อาการป่วยเรื้อรังที่เป็นมาร่วมเดือนค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ข้าพเจ้าก็เริ่มสวดมนต์ สวดพุทธคุณ
ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา
เมื่อย่างเข้าต้นปี๒๕๔๖ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัด
อัมพวัน ข้าพเจ้าได้กราบรูปหลวงพ่อ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า หลวงพ่อเจ้าขา ลูกได้มาปฏิบัติธรรมตามสัจจะวาจาที่ลูกได้กล่าวอ้างไว้แล้ว บัดนี้ลูกหายแล้ว ขอหลวงพ่อได้รับรู้การมาปฏิบัติธรรมครั้งนี้ของลูกด้วยหลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ลงทะเบียนเข้าปฏิบัติ กรรมฐาน ๓ วัน
ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจมากกับการสวดมนต์ทำวัตรเช้า เย็น น้ำตาของข้าพเจ้าไหลออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ เมื่อครบกำหนดเข้าปฏิบัติกรรมฐาน ๓ วัน
ครั้งนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้พบหลวงพ่อ ข้าพเจ้านำปัจจัยใส่ซองใส่
ลงในบาตร หน้าซองข้าพเจ้าเขียนไว้ว่า ถ้าลูกมีบุญมีวาสนา ขอลูกได้กลับมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีก และให้ลูกได้มีโอกาสชมบารมีหลวงพ่อเถิด
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้กลับไปปฏิบัติ กรรมฐานที่วัดอัมพวันอีกครั้ง
มีโอกาสได้ชมบารมีหลวงพ่อ รู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง การ
กลับมาปฏิบัติธรรมครั้งที่ ๒ ของข้าพเจ้านี้ ได้เกิดสติปัญญาแก่ข้าพเจ้าอย่างยิ่ง ธรรมะได้เปลี่ยนแปลงจากคน ใจร้อนราวเปลวไฟกลับเป็นคนใจเย็น จากที่เคยชอบด่าสามีกลับกลายเป็นรู้จักให้เกียรติกันมากขึ้น ถึงแม้จะไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ๑๐๐เปอร์เซนต์ แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
เมื่อออกจากกรรมฐานในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้กลับไปบ้าน นำดอกมะลิใส่น้ำอบ
มารดมือขอขมาสามี ขออโหสิกรรมในสิ่งต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินทั้งทางวาจากาย ใจ สร้างความประหลาดใจให้แก่สามีเป็นอย่างมาก สามี
ถามว่าใครสอนมา ข้าพเจ้าบอกว่าจากที่ได้ไปปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเกิดสติเกิดปัญญา รู้ว่าสิ่งต่างๆที่เคยทำลงไปมันเป็นบาป หลังจากวันนั้นก็ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเรื่อยมา และได้พาบุตรสาวทั้งสองคนไปปฏิบัติ
กรรมฐานด้วย กรรมฐานเปลี่ยนแปลงคนให้ดีได้ ความดีทั้งหมดข้าพเจ้าขอยกให้หลวงพ่อจรัญที่ได้เปลี่ยนแปลงข้าพเจ้า ให้รู้จักสวดมนต์ รู้จักใจเย็น รู้จักปล่อย
วาง

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:49:50 น.  

 

--เส้นทางแห่งกรรม

ข้าพเจ้ามีอาชีพค้าขาย ขายเสื้อผ้าอยู่ได้ระยะหนึ่ง พอมีเงินก็เริ่มซื้อรถยนต์เงิน ผ่อนซื้อมาไม่นานก็ถูกขโมยไป ตอนที่รถยนต์หายไปก็ไม่เสียดายอะไร เพราะคิดว่าตัวเราคงจะเคยไปขโมยเขาเมื่อชาติก่อน แต่อยู่มาไม่นาน ตำรวจก็จับขโมยได้พร้อมของกลางก็เลยมาคิดได้ว่าเราไม่เคยขโมยของเขา เราถึงได้รถยนต์คืน แต่ได้คืนมาก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ข้าพเจ้าเลยยกให้บริษัทประกันไป หลังจากนั้นเงินก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนเก่าพอเงินขาดมือก็มีทุกข์ จึงเริ่มหาหนังสือธรรมะมาอ่าน ตอนนั้นบุตรชายคนแรกยังเล็กอยู่ กลัวว่า ถ้าไม่มีเงินแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงลูก จึงหันหน้าเข้าหาธรรมะ

อยู่มาวันหนึ่งภรรยาของข้าพเจ้าได้นำหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่งมาให้
อ่าน ในหนังสือเล่มนั้นมี รูปหลวงพ่อจรัญ และมีหัวข้อว่ากรรมฐานแก้กรรมได้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงตัวเองว่าคงจะมีกรรมอะไรสักอย่างทำให้เกิดมามีแต่ความลำบาก ภรรยาเลยชวนไปวัดอัมพวัน ได้พบหลวงพ่อ ได้ทำบุญ และมีความศรัทธาในหลวงพ่อเป็นอันมาก และได้มีโอกาสพาแม่และผู้มีพระคุณรวมทั้งข้าพเจ้าเป็นสามคนไปเข้ากรรมฐานห้าวัน

ต่อมาก็เปลี่ยนจากขายผ้ามาเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า พอการเงินดีขึ้นก็ซื้อรถคันใหม่ ซื้อบ้านเงินผ่อนสองหลัง โดยไม่คิดอีกเช่นเคยว่าอนาคตจะมีเงินผ่อนเขาหรือไม่ ช่วงไหนมีความสุขก็ไม่ค่อยปฏิบัติกรรมฐาน ทำให้เส้นทางกรรมของข้าพเจ้าที่กำลังดำเนินอยู่นั้น เริ่มจะพบความยากลำบาก ต้องย้ายที่อยู่อีกแล้ว โดยย้ายไปอยู่ที่บ้านที่ซื้อเอาไว้ ในชีวิตของข้าพเจ้าจะมีแต่การย้ายที่อยู่ตลอด หาที่อยู่ที่แน่นอนไม่ได้เลย หลังจากนั้นก็เริ่มทำการค้าใหม่
ชีวิตในเส้นทางกรรมของข้าพเจ้าก็ยังพอมีกุศลผลบุญมาคอยหนุนอยู่บ้าง ช่วงไหนที่ขาดเงินสุดๆก็จะมีเงินมาอุดหนุนให้รอดได้ แต่พอนานเข้ารายได้ก็ไม่ค่อยจะพอกับรายจ่าย เริ่มจะมีทุกข์มากขึ้น
ก็มีแต่หนังสือธรรมะที่ได้ไปจากวัดอัมพวันเท่านั้น ที่ช่วยกล่อมเกลาจิตใจไม่ให้
หลงทางผิด จิตใจของในตอนนั้น คิดแต่เพียงว่าบุญกุศลเท่านั้นที่จะช่วยให้รอด
พ้นได้ ข้าพเจ้าปรึกษากับภรรยาว่าอยากจะไปบวชที่วัดอัมพวัน ๑ เดือน ภรรยาก็เห็นดีด้วยแต่ในหนึ่งเดือนระหว่างบวชนั้น จะเอารายได้ที่ไหนมาจุนเจือครอบครัว เพราะตอนนี้มีบุตรที่ต้องเลี้ยงดูถึง ๓ คน รายได้ทั้งหมดข้าพเจ้าก็เป็นคนหา ภรรยาอยู่ทางนี้จะทำอย่างไร ด้วยอานิสงส์ของการที่คิดจะบวชก็ทำให้ภรรยาถูกหวย มีเงินพอที่จะไม่เดือดร้อนไปตลอดทั้งเดือน

หลังจากสึกแล้ว ก็มาค้าขายตามเดิม รู้สึกว่าอะไรก็ดีขึ้น ต่อมาได้มีโอกาสพา
ลูกชายคนโตไปบวชที่วัดอัมพวันอีก ๑ พรรษา ข้าพเจ้ามีแม่เพียงคนเดียว พ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ แม่มีโรคประจำตัวคือ โรคความดัน เบาหวาน หัวใจโต ชีวิตของข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตจะมีแต่ความทุกข์มากกว่าความสุข ถึงกระนั้นก็พยายามสร้างแต่กรรมดีเรื่อยมา อย่างน้อยก็ทำให้กรรมที่หนัก
หนาสาหัสของข้าพเจ้าได้เบาบางลงบ้าง
แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งกรรมครั้งใหญ่ที่ข้าพเจ้าจะต้องรับกรรมก็มาถึงอีกครั้ง
คราวนี้ทำให้ข้าพเจ้าและภรรยาต้องระหกระเหินหาที่อยู่ไม่ได้ บ้านถูกยึดทั้งสองหลังต้องทิ้งลูกทิ้งแม่ให้อยู่ตามลำพัง แต่แม่ก็ยังมีน้องสาวคอยดูแลอยู่ ต้องลำบากทั้งกายทั้งใจ คิดถึงลูก คิดถึงแม่ก็มาหาไม่ได้ ไม่กล้าพบหน้าผู้คน เหน็ดเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ บางครั้งรู้สึกท้อแท้ แต่ก็ยังมีกำลังใจอยู่บ้างตรงที่ลูกทุกคน เป็นคนดี เชื่อฟังพ่อแม่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ ถึงแม้เราจะทิ้งเขาไปลูกก็เข้าใจพ่อแม่
ในระหว่างที่ข้าพเจ้าเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ค่ำไหนนอนนั่น ถ้ามีโอกาสก็จะชวน
ภรรยาทำกรรมฐาน น้ำตาตกในแทบทุกวัน ทุกข์มากที่สุด
ในที่สุดเส้นทางแห่งกรรมของข้าพเจ้าใกล้จะสิ้นสุด ข้าพเจ้าได้มีโอกาสหยุดอยู่
กับที่ที่จังหวัดหนึ่ง ก็เริ่มทำกรรมฐานหนักขึ้น ตั้งจิตอธิษฐานใส่บาตรติดกันไม่ให้ต่ำกว่า ๓ เดือน ไม่ว่าจะลำบากยากเข็ญยังไงก็จะทำให้ได้ ในที่สุดก็มารำลึกถึงกรรมที่ทำไว้กับแม่ก่อนคนเราเกิดมาเราต้องอยู่ในท้องแม่นาน ทำให้แม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ตอนที่คลอดเราออกมาก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดต้องเลี้ยงดูลูกด้วยความยากลำบากกว่าจะโต โตขึ้นมาแล้วบางครั้งก็ยังพูดให้แม่เสียใจ ข้าพเจ้าขอทำกรรมฐานตั้งจิตใช้กรรมที่ทำไว้กับแม่พ่อในชาตินี้ กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินแม่พ่อของข้าพเจ้าไปด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ขอให้แม่พ่อได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ ปฏิบัติด้วยความกตัญญูเช่นนี้ ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าเริ่มดีขึ้น แม่ของข้าพเจ้าก็หายจากทุกโรคที่กล่าวมาแล้ว ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความสุขขึ้น ทำให้ข้าพเจ้ารำลึกถึงคำสอนของ พระพุทธองค์ที่ว่า บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร


--แสงธรรมนำชีวิต จนเป็นเจ้าของโรงงานมหายีนส์

ข้าพเจ้านายปิยวัฒน์ แสงเย็น อายุ ๔๐ ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าของโรงงานผลิต
กางเกงยีนยี่ห้อ มหายีนส์ ผลิตขายทั้งปลีกและส่ง ก่อนที่จะประสบความสำเร็จอย่าง
ทุกวันนี้ได้ เพราะได้รับแสงธรรมนำชีวิตจากหลวงพ่อจรัญแห่งวัดอัมพวัน

ข้าพเจ้าเคยนำเรื่องราวชีวิตของข้าพเจ้าลงในกฎแห่งกรรมธรรมปฏิบัติ เล่มที่
๑๘ มาแล้ว ซึ่งได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ และผลที่ได้รับจากการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ
หลวงพ่ออย่างแน่วแน่มั่นคง ทำให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นอย่างมาก
ตอนที่ยังไม่มีโรงงานเป็นของตัวเอง ข้าพเจ้าต้องไปรับกางเกงยีนจากโรงงานใน
กรุงเทพฯ นำมาขายตาม ตลาดนัด ในจังหวัดต่างๆของภาคเหนือ ตามงานประจำปี
ต่างๆ เช่นงานหลวงพ่อพระพุทธชินราช งานกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชร งานแข่งเรือ
ยาวจังหวัดพิจิตร ขายดีมากจน แม่ค้าด้วยกันอิจฉา เคล็ดลับการขายก็คือ ก่อนที่
ข้าพเจ้าจะออกไปค้าขายจะสวดมนต์อิติปิโส พาหุงมหากา และเจริญ พระ
กรรมฐานที่หลวงพ่อสอนมา คือ เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ถ้าเป็นไปได้ให้
ทำเกินกว่าที่กำหนดสัก ๕ นาทียิ่งดีใหญ่ แม่สุ่ม ทองยิ่ง บอกข้าพเจ้าแล้วอธิษฐานตามที่ต้องการก็จะสำเร็จดังใจ ไม่ว่าจะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ หรือไปค้าขาย
จะชนะมารได้ แต่ถ้ามารไม่มีบารมีไม่เกิด ประเสริฐไม่ได้
ค้าขายดีก็ต้องมีคนอิจฉา มีลูกค้ารายหนึ่งที่ปฏิบัติตามที่ข้าพเจ้าแนะนำเล่าให้ฟังว่า ได้ตั้งร้านขายกางเกงยีนในงาน
แห่งหนึ่ง อยู่ตรงข้ามกับร้านขายยีนอื่น ทั้งๆที่ร้านอื่นขายราคาถูกกว่า แต่ก็ขายดีสู้
ร้านของลูกค้าคนนี้ไม่ได้ เห็นได้ว่าไม่ว่าผู้ใดก็ตามหากปฏิบัติ สม่ำเสมอ จะประสบ
ความสำเร็จในการต่างๆได้

นอกจากนี้ข้าพเจ้าได้แนะนำว่าเมื่อสวดมนต์แล้วต้องแผ่เมตตาให้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร แล้วค่อยเปิดร้าน จะขายของดีมาก
หลวงพ่อเคยสอนข้าพเจ้ากับภรรยาว่า สามีภรรยาห้ามทะเลาะกัน จะขายของไม่ดี เงินจะหนีหมด ต้องพูดจาไพเราะและพูดด้วยเหตุด้วยผล เงินทองก็จะไหลมาเทมา
คำสอนต่างๆ หลวงพ่อจะกล่าวเป็นคำกลอน คำคล้องจอง ซึ่งจะทำให้จดจำได้ง่าย
เช่น
พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก
ให้ใจเย็นเหมือนน้ำแข็ง จะลอยเหนือน้ำได้ ถ้าใจร้อนจะเหมือนไฟ เผาบ้านเรือนวอดวายหมด
เหมือน หิน ปูนทราย ถ้าขาดน้ำจะไม่สามารถรวมตัวกันได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
อยากให้เขารักเรา เราต้องรักเขาก่อน
เขาไม่ดีมา จงเอาความดีไปแก้ไข
คนตระหนี่ต้องให้ของที่ต้องใจ
คนพูดเหลวไหลให้เอาความจริงใจเข้าแลก
เหล่านี้คือสัจธรรมจากการกระทำของเรานี้เอง
เมื่อก่อนข้าพเจ้าหายใจสั้นมาก หายใจไม่ลึกหลวงพ่อสอนว่า คนหายใจสั้นโกรธง่าย อายุสั้นด้วย คนหายใจยาวจะอายุยืน ฉะนั้นต้องหายใจยาวๆ ทั้งหายใจเข้า
และหายใจออก จะทำให้ใจเราเย็นลง

ข้าพเจ้าปฏิบัติที่วัดอัมพวันรวมแล้ว ๑๘-๑๙
ครั้ง ครั้งละ ๗ วัน จึงสามารถปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อได้เกือบทุกอย่าง
เปรียบเสมือนการเรียน ถ้าจะเรียนให้จบชั้นประถม ใช้เวลาถึง ๖ ปี เช่นเดียวกับ การปฏิบัติก็ต้องใช้เวลาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ไม่ใช่มาปฏิบัติ ๓ วัน ๗ วัน แล้วจะให้ได้ผลเลย คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราทำแบบลุ่มๆ
ดอนๆชีวิตเราก็ดีแบบลุ่มๆดอนๆ เพราะฉะนั้นสร้างความดีต้องเสมอต้นเสมอปลาย
หลวงพ่อบอกว่าคนเราทุกคนมีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากันหมด ไม่มีใครได้เปรียบ
เสียเปรียบกัน แล้วแต่ใครจะเอาเวลานั้นไปทำประโยชน์ได้มากกว่ากันเท่านั้นเอง เช่น
บางคนใช้เวลาให้หมดไปกับการนอน ดื่มสุรา เที่ยวเตร่ พูดคุยในเรื่องไม่มีสาระ จะ
ไม่ได้ประโยชน์หรือเกิดผลดีกับตัวแต่อย่างใด ขณะที่อีกคนหนึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ
การทำมาหากิน พูดในสิ่งที่มีสาระ จะทำให้มีความสุขเจริญรุ่งเรือง
ข้าพเจ้ารู้จักและปฏิบัติกับหลวงพ่อ ทำให้ชีวิตข้าพเจ้าดีขึ้นเป็นลำดับ จากคนใจร้อนก็ใจเย็นลง จากคนไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยกลายเป็นเจ้าของโรงงาน ข้าพเจ้าจะนั่งกรรมฐานเป็นประจำอย่างน้อยวันละ ๒ ชั่วโมง ทุกวันนี้ข้าพเจ้าไม่ต้องเดินทางออกขายกางเกงยีนเองเหมือนก่อน จะมีลูกค้าประจำมาซื้อที่บ้าน
นอกจากนั้นยังช่วยให้คนในหมู่บ้านมีงานทำ ตัดเย็บกางเกงยีนในโรงงาน ตัดเศษด้าย
ไม่ต้องอพยพไปทำงานที่กรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติ นอกจากจะเกิดผลดี
กับตัวเองแล้ว ยังเผื่อแผ่ไปถึงบุคคลรอบข้างด้วย
หลังจากที่ข้าพเจ้าไปนั่งกรรมฐานที่วัดอัมพวันครบ ๗ วัน ข้าพเจ้าจะชักนำ
พวกที่มานั่งกรรมฐานด้วยกันไปล้างห้องน้ำในวัด ซึ่งมีประมาณ ๓๐๐ ห้อง จะเกิด
อานิสงส์ดีแก่ชีวิต หลวงพ่อได้เทศน์ยกตัวอย่างให้ฟัง ๓ คน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย
คนที่หนึ่งเป็นฝรั่ง เป็นโรคเรื้อนมาขัดห้องน้ำเป็นประจำ เดี๋ยวนี้หายจากโรค
เรื้อนแล้ว คนที่สองเป็นเด็กวัดมาปฏิบัติธรรมแล้วล้างห้องน้ำเป็นประจำ เดี๋ยวนี้เป็นผู้
พิพากษาแล้ว ส่วนคนที่สามก็คือข้าพเจ้าเอง จากคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มาเป็น
เจ้าของโรงงานกางเกงยีน มหายีนส์ เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในจังหวัดพิจิตร ข้าพเจ้าไม่
เคยขาดการปฏิบัติเลย จะทำทุกวันจนติดเป็นนิสัย
อุปสรรคในการปฏิบัติมีอยู่ ๒ อย่างคือ
๑ ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล เลิกปฏิบัติเลย ขาดความเพียร
๒ปฏิบัติแล้วร่ำรวยเจริญรุ่งเรือง ทำให้ไม่มีเวลาจะปฏิบัติ
การสร้างความดีให้ตัวเอง คือการละความชั่วทั้งปวง หลวงพ่อได้สอนข้าพเจ้าว่า
ก่อนจะทำกรรมฐานให้สวดอิติปิโส พาหุงมหากาก่อน เพราะพาหุงมหากาชนะมาร
ได้ เหมือนสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือพระเจ้าตากสิน มหาราช ก่อนการออกรบ
ทุกครั้งจะทรงสวดอิติปิโส พาหุง มหากาก่อน และรบชนะทุกครั้ง



--ใช้หนี้พระ รักษาสัจจะ ปฏิบัติธรรม ทำบุญทำกุศลอยู่เสมอ ธุรกิจดี
ขึ้น

หลังจากที่ข้าพเจ้า ได้ส่งเรื่องลงกฎแห่งกรรมฯเล่มที่ ๑๙ เป็นต้นมา ชีวิตความ
เป็นอยู่ของข้าพเจ้าก็ เริ่มดีขึ้นข้าพเจ้าได้ตั้งสัจจะว่าจะใส่บาตรให้ได้ทุกวัน ติดกันไม่
ต่ำกว่า ๓ เดือน ทำบุญกับพระตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปยิ่งใส่บาตรทุกวัน ยิ่งขายของไม่ได้เงิน ค่าเช่าบ้านก็ไม่มีให้เขา ค้างเขาตั้ง ๒ เดือน ไปทำบุญ บางวันต้องยืมเงินลูกชายไปทำบุญ ข้าพเจ้าและสามีก็ยังคงปฏิบัติธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอทุกวัน

วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินเสียงมาบอกว่า เขาจะไม่ให้อยู่บ้านหลังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็มองหาที่มาของ
เสียง ปรากฏว่าไม่เห็นใครเลย
ไม่กี่วันต่อมา เสียงมาอีกแล้ว วันนี้แหละที่เขาจะไม่ให้อยู่บ้านและก็เป็นจริง หลังจากใส่บาตรเสร็จได้ไม่นาน เจ้าของบ้านก็เดินมาบอก เขามีความจำเป็นที่ไม่
สามารถให้ข้าพเจ้าเช่าบ้านต่อไปได้ เพราะได้ขายสิทธิ์ให้อีกคนหนึ่งไป ข้าพเจ้าเลยพูด
กับเขาว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้คุยกับเจ้าของบ้านคนใหม่หน่อยนะ เขาก็นัดให้มาคุยกัน
ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติธรรมแผ่เมตตาให้เจ้าของบ้าน ผู้มีพระคุณ รูปการณ์
แรกเขาจะไม่ให้เช่าบ้านอยู่ต่อ แต่พอข้าพเจ้าขอเขาว่าข้าพเจ้าต้องการใส่บาตรตอนเช้าให้
ครบ ๓ เดือน เพื่อเขาจะได้ไม่เป็นผู้ขวางทางบุญข้าพเจ้าก็ขอให้ข้าพเจ้าได้เช่าอยู่ต่อด้วย
เถิดนะเขาก็ตกลงโดยง่ายดาย คราวนี้ข้าพเจ้าก็ได้ใส่บาตรเกิน ๓ เดือนอีก ทุกวันพระ

ข้าพเจ้าและสามีจะไปเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง ที่โบสถ์วัดอัมพวัน
พอตอนบ่ายก็ไปทำวัตรสวดมนต์เย็นกับหลวงพ่อ และได้ถวายปัจจัยทำบุญอยู่ระยะหนึ่ง
หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ๗ วัน ได้นำของดีที่ได้จากการปฏิบัติธรรมไปแนะนำให้แม่ปฏิบัติขากลับบ้าน รถของข้าพเจ้าได้ประสบอุบัติเหตุ ข้าพเจ้าก็ขอให้หลวงพ่อจรัญแผ่
เมตตาช่วย ครอบครัวของข้าพเจ้าทุกคนจึงรอดปลอดภัย
พอกลับมาบ้านมาปฏิบัติธรรมต่อ เพราะไม่มีเงินซ่อมรถ พี่ผู้มีพระคุณได้แนะนำ
ให้ข้าพเจ้าแผ่เมตตาให้น้องเขยฝรั่งที่หลวงพ่อเรียก บุญมีพอออกจากการปฏิบัติธรรม สามีก็โทรศัพท์ไปยืมเงินน้องเขยฝรั่งมาซ่อมรถ เขาก็ให้ยืม
ข้าพเจ้าและสามีเดินทางไปวัดอัมพวัน เพื่อทำบุญและสวดมนต์ทำวัตรเย็นกับ
หลวงพ่อ จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รับ จนสวดมนต์และฟังหลวงพ่อ
เทศน์เสร็จแล้ว จึงหันมามองมือถือ แม่นั่นเอง ข้าพเจ้าก็โทรกลับไป แม่บอกว่าน้องเขยฝรั่งยกเงินที่ยืมจำนวน ๕ หลักที่จะเอาไปซ่อมรถให้เฉยๆไม่ต้องคืน นี่คือ
อานิสงส์ในการปฏิบัติธรรมแผ่เมตตาแท้ๆเลยเชียว ทั้งๆที่น้องเขยฝรั่งไม่ค่อยจะชอบหน้าข้าพเจ้าเท่าไรนัก
พี่ผู้มีพระคุณก็แนะนำให้ข้าพเจ้าแผ่เมตตาให้บริษัทรถ รถเก่า ๑๐ กว่าปีให้เขาตีราคาให้ ก็ได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ข้าพเจ้ารีบให้สามีนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้หนี้พระทันที พอไปถึงวัดท่านไม่อยู่ ท่านไปอยู่ในป่า สามีของข้าพเจ้าก็ตามไปจนเจอ
หลวงพ่อท่านบอกว่าอโหสิกรรมให้แล้ว ไม่ติดใจเอาคืน แต่สามีของข้าพเจ้าก็คืนเงิน
ให้แก่ท่านจนได้
ส่วนเงินที่เหลืออีกส่วนหนึ่ง ข้าพเจ้าจำเป็นต้องนำไปดาวน์รถคันใหม่ เพราะ
ความเกรงใจที่เขารับซื้อรถเก่าข้าพเจ้า ทั้งๆที่ไม่อยากเป็นหนี้เรื่องรถเลยเงินที่เหลือก็
นำไปลงทุนต่อเล็กน้อย
ปัญหาก็เกิดอีก จ่ายเงินจองไปแล้วแต่ยังหาคนค้ำประกันไม่ได้ และก็เจอพันโท
ท่านหนึ่งโดยบังเอิญ ท่านก็เคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญเหมือนกัน พอรู้ว่าข้าพเจ้า
ก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อก็ตกลงจะค้ำประกันให้ แล้วข้าพเจ้าก็ได้รถตามฤกษ์ที่หลวงพ่อ
ท่านบอกไว้ และข้าพเจ้าก็ได้นำรถมาให้หลวงพ่อท่านเจิม ด้วยความสำนึกในพระคุณ
ของ หลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาพันโทท่านนี้ได้นำเงินมาให้ข้าพเจ้าและสามีลงทุนเป็น
จำนวนเงิน ๕ หลัก โดยไม่มีการเซ็นชื่อรับเงิน หรือเซ็นชื่อกู้เงินเลย ท่านไว้ใจ
ข้าพเจ้าและสามีมาก นับเป็นความเมตตากรุณาสูงยิ่งของท่าน ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าได้ใช้
หนี้ท่านหมดแล้ว และเป็นพระคุณอย่างสูงที่คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะมาช่วยเหลือ
กัน

ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมแผ่เมตตาถึงน้องสาวคนเล็กที่อยู่อเมริกา เนื่องจากปีที่แล้ว
ข้าพเจ้ายังใช้กรรมอยู่ เธอตัดข้าพเจ้าออกจากใจแล้ว ปรากฏว่าไม่นานนักเธอก็เกิด
ความกระวนกระวายใจ ทุกข์ใจ คิดถึงข้าพเจ้ามาก เธอก็เลยโทรศัพท์ทางไกลมาจาก
อเมริกา วันนั้นข้าพเจ้าสามี และลูกๆ ได้มาทำบุญทอดกฐินที่วัดอัมพวัน เธอโทรมา
ถาม สารทุกข์สุขดิบว่าชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง พอรู้ว่าข้าพเจ้ามาปฏิบัติธรรมเพื่อพ่อแม่จะ
ได้หายป่วยและอายุยืน เธอก็ขออโหสิกรรมต่อข้าพเจ้าทางโทรศัพท์ คุยกันนานเกือบ
๒ ชั่วโมง อานิสงส์เกิด เธอโอนเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อ และโอนเงินมาช่วยเหลือ
ข้าพเจ้าให้ทำทุน
น้องสาวคนเล็กได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ อยากกลับมา
เมืองไทยเหลือเกิน จนกระทั่งก่อนวันคล้ายวันที่หลวงพ่อประสบอุบัติเหตุ
เธอก็ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเพื่อมาทำบุญกับหลวงพ่อจรัญดังที่ได้มุ่งหวังไว้
ไม่กี่วันต่อมา เธอก็ได้พาพ่อแม่ ข้าพเจ้า สามี ลูกๆทั้งสาม น้องเขยฝรั่งไปเที่ยวต่างประเทศ โดยเธอเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม และทำบุญทำกุศลอยู่เสมอ ทำให้เกิดความ
มหัศจรรย์กับข้าพเจ้าหลายอย่างเช่น
๑ ได้ใช้หนี้พระ เพื่อเปลี่ยนกฎแห่งกรรม ทำให้หาเงินใช้หนี้คนอื่นได้
๒เมื่อมีเหตุการณ์อะไรก็จะมีเสียงมาบอก
๓รถเสียก็มีคนออกค่าซ่อมรถให้
๔ไม่มีเงินลงทุน ก็มีคนออกทุนให้
๕ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศอย่างไม่คาดฝัน
การที่ข้าพเจ้าได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ
โดยยอมใช้กรรมตายแทนพ่อแม่ และทำบุญทำกุศลอยู่บ่อยๆเท่าที่โอกาสอำนวย ส่งผล
ให้ข้าพเจ้าทำมาค้าขึ้น ทำธุรกิจดีขึ้น
ถึงเวลาต้องจ่ายหนี้ก็สามารถหาเงินใช้หนี้ได้ทันเวลา หนี้สินที่ข้าพเจ้ามีอยู่ก็ได้ใช้
หนี้หมดไปหลายรายแล้ว อีก ไม่นานถ้าไม่มีอุปสรรคอะไร ข้าพเจ้าก็คงจะได้
ใช้หนี้ ทุกคนหมดเป็นแน่แท้ จะไม่ขอติดค้างใครข้ามภพข้ามชาติ

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:51:18 น.  

 

--ได้พบของดี ๆ สิ่งดี ๆ ด้วยบารมีเมตตาจากหลวงพ่อ

มนุษย์ทุกคนไขว่คว้าที่จะได้มาซึ่งของดีๆและสิ่งที่ดีๆมาสู่ชีวิตของตน เพื่อบำรุง
บำเรอความสุขในทุกรูปแบบ การหาความสุขทางกายนั้นหาได้ไม่ยากและไม่จีรังยั่งยืน
แต่ความสุขทางใจนั้นสำคัญยิ่งกว่า ซึ่งจะหาได้ยากถ้าไม่รู้จักคำว่าเพียงพอ ไม่รู้จัก
การให้อภัยและเสียสละ คนเราถ้าใจเป็นสุขแล้ว แม้กายจะเจ็บไข้ได้ป่วยก็ยังสามารถอยู่
เป็นสุขได้ ข้าพเจ้าเมื่อก่อนที่จะได้ไปวัดอัมพวัน ก่อนที่จะได้ไปกราบ
หลวงพ่อจรัญนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนหงุดหงิดง่าย ใจร้อน ขี้บ่น จู้จี้ และไม่มีความสุข
ทางใจเท่าใดนัก แม้ว่าจะมีความสุขทางกาย มีบ้าน มีรถยนต์ มีเงินทองใช้อย่าง
เพียงพอ ไม่เคยขาดมือก็ตาม แต่ใจยังไม่เป็นสุข ยังเร่าร้อนและอยากให้ทุกอย่างได้อย่างใจ
แต่เมื่อได้มีโอกาสไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน ได้ไปกราบฟัง
ธรรมะจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้พบของดีๆสิ่งที่ดีๆ
ทำให้อยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุขร่มเย็น
กำหนดเห็นทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทำให้รู้สึกปล่อยวาง ไม่เป็นทุกข์
กับอดีตที่ผ่านมา และพยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุดด้วยการสร้างทาน ศีล และปฏิบัติภาวนา ทั้งนี้ข้าพเจ้าได้บริจาคร่างกายให้กับโรงพยาบาลศิริราชเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น
เมื่อข้าพเจ้าตายไปร่างกายของข้าพเจ้าก็ได้สร้างกุศล เป็นอาจารย์ใหญ่ให้นักเรียนแพทย์
ได้ศึกษาต่อไป ข้าพเจ้าได้พบทางไปสู่สุคติแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าจะขอเล่าประสบการณ์เพื่อ
ถ่ายทอดให้ทุกท่านได้ทราบ และขอเชิญชวนให้มาร่วมทำบุญที่วัดอัมพวันกับข้าพเจ้า
เพื่อนำสิ่งที่ดีๆมาใช้ดำเนินชีวิตต่อไป

ข้าพเจ้าทำงานในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์และการตลาด การทางพิเศษแห่งประเทศไทย มีสามีชื่อ
ดร ณรงค์ ฤกษนันทน์ มีลูกสาว ๑ คน ขณะนี้เป็นนักศึกษาแพทย์ปีที่ ๖
โรงพยาบาลศิริราช ครอบครัวของข้าพเจ้าได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวง
พ่อจรัญ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าและครอบครัวมีความ
ทุกข์ จะไปกราบขอบารมีจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้โปรดแผ่เมตตาให้ ซึ่งทุก
ครั้งก็จะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ดำเนินไปได้ด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน
และครอบครัว ท่านได้เมตตาสั่งสอนไว้ว่า ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่ง
หวงยิ่งอด หมดไม่มา ทำให้ข้าพเจ้าได้นำมาใช้ในการสร้างบารมีด้วยการให้ผู้อื่น ทั้ง
สิ่งของต่างๆ ความเมตตา ความรัก และความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ทำให้ข้าพเจ้าได้
เพื่อนที่ดี มีคนรักใคร่และเมตตาเราเช่นที่เราให้เขาไป เหมือนที่หลวงพ่อได้สอนไว้ว่า
เหมือนขว้างลูกบอลเข้าฝาผนัง จะกระเด็นกลับเท่ากับที่ ขว้างไป
นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังได้นำคำสั่งสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญที่ว่า เขาร้ายมา
ให้เอาความดีเข้าไปแก้ไข คนตระหนี่ให้ของที่ต้องใจ คนพูดเหลวไหลให้เอาความจริงใจ
เข้าไปสนทนา ทำให้ข้าพเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาในชีวิตการงานได้ จัดการศัตรูให้
กลับกลายมาเป็นมิตรได้ และมีเพื่อนที่ดีๆเพราะความจริงใจของเรา
ข้าพเจ้าขอยืนยันและขอรับรองอย่างมั่นใจว่า การปฏิบัติธรรมะตามแนวทางที่
พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญได้สั่งสอนไว้นี้ เป็นทางสายเอกของพระพุทธเจ้า ที่เป็น
หนทางพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้เพราะตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรมะตามคำสอน
ทำให้ได้พบหนทางแห่งความสุขร่มเย็น
และเกิดปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิตได้ โดยใช้สติในการแก้ไข ใช้สติในการทำงาน และ
ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนใจเย็นกว่าเดิม ไม่ขี้บ่น จู้จี้ และใจน้อยเหมือนในอดีต

ก่อนที่จะมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญ จำได้แม่นยำว่า
ลูกสาวยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เรา ๓ คน พ่อแม่ลูก ได้ไปกราบหลวงพ่อที่กุฏิเก่าซึ่งเป็นเรือนไม้ เพื่อขอบารมีให้ลูกสาวสอบเข้าแพทย์ให้ได้ ซึ่งหลวงพ่อได้เมตตาสั่งสอน
ว่าให้สวดพาหุงมหากาทุกวันแล้วจะได้ ข้าพเจ้าจำได้ว่าหลังจากนั้นกลับมาจะสวดพาหุงมหากาทุกวันตามที่หลวงพ่อสอน นอกจากนี้เมื่อลูกนั่งท่องหนังสือในห้อง ข้าพเจ้าจะเข้ามาเดินจงกรมและนั่งสมาธิข้างหลังลูกทุกวัน แล้วแผ่เมตตาให้ลูกด้วย ซึ่งก็ประสบ
ผลสำเร็จ ลูกสาวข้าพเจ้าทำคะแนนสอบได้สูงถึงมีสิทธิ์เข้าแพทย์จุฬาฯได้
แต่ลูกสาวได้ไปสอบแพทย์ศิริราชไว้ด้วย จึงได้เลือกเรียนแพทย์ศิริราช ซึ่งนับได้ว่าลูก
สาวของข้าพเจ้าได้เป็นแพทย์สมใจเพราะบารมีเมตตาจากหลวงพ่อ ทำให้ลูกมีกำลังใจ
และเกิดปัญญาตั้งใจเรียนด้วยความขยันขันแข็ง อันเนื่องมาจากพลังเมตตาที่หลวงพ่อได้
แผ่ให้ครอบครัวของเรา

ข้าพเจ้าได้สั่งสอนลูกสาวทุกครั้งว่า อาชีพแพทย์เป็น
อาชีพที่ได้ทำบุญได้ช่วยเหลือผู้อื่น ขอให้หมั่นทำบุญสร้างบารมีด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น
อย่างเต็มใจในทุกครั้งที่มีโอกาส ให้สมกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญได้แผ่เมตตา
ให้ลูกได้เป็นแพทย์สมใจปรารถนา
ข้าพเจ้ามีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปวัดอัมพวัน เพื่อกราบพระเดชพระคุณหลวง
พ่อจรัญ
ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดอัมพวัน วัดนี้เป็นวัดที่ร่มรื่น
มีการจัดระบบระเบียบของวัดเป็นอย่างดียิ่ง พระสงฆ์ทุกรูปในวัดมีจริยาวัตรที่งดงาม
อยู่ในระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าได้ชักชวนญาติสนิทมิตรสหายให้ไปร่วมทำบุญ
และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดอัมพวันแห่งนี้ และได้เล่าให้ทุกๆคนฟังว่า
เมื่อไรก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ไปที่วัดอัมพวัน จะรู้สึกเหมือนได้อยู่บนสรวงสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์
แต่ละครั้งข้าพเจ้าได้ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า จะตั้งใจปฏิบัติเป็นอย่างดียิ่ง ไม่พูดคุยกับใครเลย
เมื่อกลับจากวัดยังได้นำคำสั่งสอน
ไปปฏิบัติต่อที่บ้าน ข้าพเจ้าและสามีจะเดินจงกรมและนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่องทุก
วันวันละ ๑ ชั่วโมง และสวดบทพาหุงและชินบัญชร พร้อมด้วยการอโหสิกรรมและ
อุทิศส่วนกุศลให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ บิดามารดา ญาติ ครูอาจารย์ เทวดา เปรต
เจ้ากรรมนายเวร และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยแผ่เมตตาระบุชื่อเจ้านายลูกน้อง ทั้งรัก
มากและเฉยๆด้วย ทำให้จิตใจสบายปลอดโปร่งและเกิดเมตตา ไม่เก็บความโกรธใคร
คั่งค้างอยู่ในใจ พยายามทำจิตใจให้เกิดกุศลตลอดเวลา ตามคำสอนของหลวงพ่อจรัญ
ที่ว่า อะไรตกได้ แต่อย่าให้จิตตกนะ
การศึกษาคำสั่งสอนของหลวงพ่อจรัญ ซึ่งข้าพเจ้าได้ใช้เป็นเครื่องเตือนสติและเตือนใจ
ของข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลาดังนี้
เมื่อเกิดมาตัวเปล่า เวลาเราจะจากไปก็ไปตัวเปล่าเช่นกัน จะแข่งขันสะสม
วัตถุกันทำไม สู้มาฝึกใจให้เกิดกุศลดีกว่า
เวลาจะต้องเดินทางไกลโดยไปแล้วไม่กลับ คือความตายนั่นเองน้อยคนนัก
ที่จะเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมเสบียงนั่นคือบุญกุศลเพื่อจะใช้ข้างหน้า แต่เวลา
เดินทางไปเที่ยวที่ไหนเพียงวันสองวัน กลับเตรียมข้าวของกันอย่างโกลาหล วางแผน
เดินทางกันอย่างดี
นิพพานคือเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธทุกคน ซึ่งต้องใช้เครื่องมือ คือ
อริยสัจสี่ รวมถึง ศีล สมาธิ ปัญญา หรือสติสัมปชัญญะ โดยเจริญสติปัฏฐานสี่
อย่างมุ่งมั่น เพื่อตัดวงจรการเกิดการดับของสังขารทั้งหลาย ตามหลักปฏิจฺจสมุปฺบาท
เมื่อจิตเกิดความเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง โดยใช้หลักไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา นั่นเอง





--กฎแห่งกรรม

อายุ ๓๖ ปี อยู่จังหวัดศรีสะเกษ
เขียนเรื่องนี้ลงกฎแห่งกรรม เพื่อเป็นวิทยาทานแก่บุคคลทั่วไป โดยเฉพาะคนที่มีความทุกข์ และมีปัญหาในชีวิตที่คิดว่าไม่มีทางแก้ไขแล้ว ให้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต

ซึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าแต่งงานมีครอบครัวแล้วแต่ยังไม่มีบุตร มีโอกาสไปวัดอัมพวันโดยการชักนำของพี่สาว การไปในครั้งแรกไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย และไม่เห็นความสำคัญของการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ที่ไปเพราะขัดพี่สาวไม่ได้ จะว่าถูกลากจูงไปก็ไม่ผิดนัก เพราะตอนนั้นชีวิตปกติสุข หน้าที่การงานดีทุกอย่างพร้อม พอไปถึงวัดครั้งแรก รู้สึกอยากกลับบ้าน เห็นคนอื่นที่ปฏิบัติครบวันแล้วหิ้วกระเป๋ากลับบ้าน อิจฉาเขามาก แต่ต้องทนอยู่ด้วยความทรมาน พอหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ลาออกจากงานไปทำ กิจการส่วนตัว ซึ่งกิจการก็ไปด้วยดี พอกิจการอยู่ตัวสักระยะ ก็มีบุตรคนที่สองเป็นผู้หญิง

ต้นปี ๒๕๔๘ ความทุกข์ก็เริ่มมาเยือนข้าพเจ้าแล้ว อาการก็คือเวลาปัสสาวะ แล้วรู้สึกแสบขัดและมีเลือดออก คิดว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ก็เลยหาซื้อยากินเอง เพราะเคยเป็นอย่างนี้เป็นประจำ แต่ครั้งนี้ทานยาแล้วไม่รู้สึกดีขึ้นจึงไปพบแพทย์ และได้รับการรักษาโดยการเพาะเชื้อ เชื้อก็ไม่ขึ้น ฉีดสีเอกซเรย์ก็ไม่พบอะไร คุณหมอเลยแนะนำให้ไปหาหมอเฉพาะทางและทำการส่องกล้อง เลยไปที่โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งผลการส่องกล้องครั้งแรก คุณหมอบอกว่ามีรอยแดงเต็มไปหมดในกระเพาะปัสสาวะ แต่คิดว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะโดยอายุของข้าพเจ้าโอกาสที่จะเป็นมะเร็งมีน้อยมาก และรอยแดงที่ว่าน่าจะเป็นวัณโรคมากกว่า และคุณหมอก็ได้ทำการตัดชิ้นเนื้อของข้าพเจ้าไปตรวจ โดยนัดโดยนัดฟังผลอีก ๒ สัปดาห์ ในตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายใจนัก พอผลออกมา ทางสามีและญาติบอกว่าผลกำกวมไม่แน่ชัดจะต้องตรวจอีกที โดยไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช แต่จริงๆแล้วผลออกมาแน่ชัดแล้วว่าข้าพเจ้าเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ ในตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าทำไมถึงเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ทำไมต้องเป็นข้าพเจ้าด้วย ตอนนั้นชีวิตมันมืดไปหมด มองไม่เห็นแสงสว่างเลย ไม่ได้คิดถึงตัวเอง แต่เป็นห่วงลูกที่ยังเล็กอยู่ ในระหว่างที่รอคิวอาจารย์หมอที่ศิริราช ทางสามีและญาติได้พาข้าพเจ้าไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ๗ วัน แล้วบอกว่าหลวงพ่อช่วยได้ ปาฏิหาริย์มีจริงข้าพเจ้าคิดในใจว่าเคยไปปฏิบัติแค่ ๓ วัน ก็ทรมานแทบตาย นี่ไปปฏิบัติตั้ง๗ วันจะทำได้ อย่างไร ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อให้ข้าพเจ้ามีแรงกายแรงใจในการปฏิบัติ แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งสามารถเดินได้ ๑ ชั่วโมงครึ่ง นั่งได้ ๑ ชั่วโมงครึ่ง ที่ว่ามีปาฏิหาริย์ก็เพราะว่าไม่คิดว่าคนอย่างข้าพเจ้าจะทำได้ ในการปฏิบัติครั้งแรก เดิน ๓๐ นาที ข้าพเจ้ายังทำไม่ได้เลย ทำให้ได้ข้อคิด อย่างหนึ่งว่า ทุกคนที่มาที่วัดล้วนอยากมีที่พึ่งทางใจ มีทุกข์มากทุกข์น้อยไม่เท่ากัน แต่ทุกข์อะไรก็ช่าง ถ้าไม่ใช่ความทุกข์เรื่องเป็นเรื่องตายข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกปัญหามีทางแก้ไข พอออกจากวัดก็ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งทางอาจารย์หมอบอกข้าพเจ้าว่า โชคดีที่เป็นแค่ผิวๆ ซึ่งสามีและญาติบอกว่าหลวงพ่อท่านได้เมตตาผ่อนหนักให้เป็นเบา เนื่องจากผลในครั้งแรกมันกินเข้าไปลึกมาก ในระหว่างรักษาข้าพเจ้าไม่เคยละทิ้งกรรมฐานเลย ยังคงปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดินนั่งอย่างละ ๑ ชั่วโมง บางวันก็ ๑ ชั่วโมงครึ่ง ตลอดเวลาตั้งจิตอธิษฐานอยู่เสมอว่า ขอให้ได้มีโอกาสกราบหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด และได้พูดคุยกับหลวงพ่อบ้าง แล้วความตั้งใจของข้าพเจ้าก็เป็นจริง
หลวงพ่อจะไปทอดกฐินที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น เป็นประจำทุกปี ข้าพเจ้าและครอบครัวก็ตั้งใจว่าจะไปกราบและร่วมทำบุญกับหลวงพ่อที่จังหวัดขอนแก่น ข้าพเจ้าตั้งใจมากที่จะไปกราบหลวงพ่อในครั้งนี้ ก่อนไปข้าพเจ้าได้ปฏิบัติกรรมฐานโดยตั้งจิตอธิษฐานว่า จะขอเดินนั่งอย่างละ ๒ ชั่วโมง ซึ่งก็ทำได้ พอไปถึงขอนแก่นข้าพเจ้าและสามีก็ได้รับความเมตตาจากพี่ที่เดินทางมากับหลวงพ่อ ที่ได้ให้โอกาสให้หลวงพ่อได้รับทราบ ข้าพเจ้าจึงกราบเรียบถามหลวงพ่อว่าข้าพเจ้าจะหายไหม หลวงพ่อบอกว่าหาย ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าและสามีรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก เพราะหลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ และก่อนกลับ ข้าพเจ้าและสามีไปกราบลาหลวงพ่อว่าจะกลับบ้าน หลวงพ่อท่านได้มีเมตตาถามข้าพเจ้าว่า “ไปศรีสะเกษกี่กิโล ไปทางราชสีมาเรอะ” พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามพร้อมรอยยิ้ม ข้าพเจ้าพึ่งเข้าใจวันนี้เองว่า รอยยิ้มและสายตาที่เปี่ยมด้วยเมตตามีลักษณะอย่างนี้เอง แล้วคนได้รับมีความปลาบปลื้มตื้นตันใจแค่ไหน ข้าพเจ้าก็รู้สึกซาบซึ้งในวันนั้นเช่นเดียวกันวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ ข้าพเจ้าและครอบครัวพร้อมทั้งหมู่ญาติมีโอกาสอีกครั้ง ที่ได้ขึ้นกราบหลวงพ่อที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น โดยได้รับความเมตตาจากพี่คนเดิม ครั้งนี้ข้าพเจ้ากราบเรียนรายงานอาการของข้าพเจ้าให้หลวงพ่อทราบโดยละเอียด หลวงพ่อก็ให้ความเมตตากับข้าพเจ้าอีกเหมือนเดิม โดยได้เมตตาถามข้าพเจ้าว่ามีที่พักหรือยัง และคำพูดที่ข้าพเจ้าและครอบครัวจดจำไว้ในใจไม่เคยลืมก็คือ หลวงพ่อบอกกับข้าพเจ้าว่าไม่เป็นไรแล้วเราน่ะ หายแล้ว สบายแล้ว ข้าพเจ้าและครอบครัวพากันยกมือขึ้นสาธุ หลวงพ่อท่านยังได้เมตตาให้พรบุตรชายและบุตรสาวของ
ข้าพเจ้าอีก คำพูดและพรที่ออกจากปากหลวงพ่อ ข้าพเจ้าและครอบครัวถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ยังความปลาบปลื้มให้แก่ข้าพเจ้าและครอบครัวเป็นยิ่งนัก ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว และผลการตรวจชิ้นเนื้อล่าสุดของข้าพเจ้าคือเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ก็เป็นไปตามที่หลวงพ่อพูดจริงๆ
อาจารย์หมอบอกข้าพเจ้าว่ามันเป็นแค่การอักเสบธรรมดา นี่คือปาฏิหาริย์
ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ยังคงปฏิบัติกรรมฐานอยู่เหมือนเดิม




 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:52:45 น.  

 

--กว่าจะเห็นแสงธรรม

ข้าพเจ้าเป็นชาวขอนแก่นโดยกำเนิด แต่ไปรับราชการครูอยู่จังหวัดชลบุรี
ย้อนเวลาไปเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ข้าพเจ้าอายุ ๒๕ ปี ชีวิตทุกๆด้านดูเหมือนดีและมีความสุขมาก เพราะพึ่งจะ แต่งงาน สามีเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ กพฝ ไม่ทราบว่าเป็นวิกฤติหรือโอกาสที่ทำให้ข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือประเภท HOW TO;ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ อะไรประมาณนั้น หนังสือแปลเหล่านี้ทฤษฎีทั้งหลายทั้งปวงเป็นของฝรั่ง การอ่านหนังสือและเสพสื่อประเภทนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้ทัศนคติข้าพเจ้าเปลี่ยนและเกิดความฮึกเหิมหรืออาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเองโง่เขลาเบาปัญญาก็เป็นได้ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว กล่าวโดยสรุปคือไม่ทราบสาเหตุอันแน่ชัด แต่ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจแยกทางกับสามี ผู้ซึ่งเป็นคนดีที่หายากคนหนึ่ง แล้วความมืดมนและความสับสนในชีวิตก็เกิดขึ้น คำกล่าวที่ว่า ถ้าไม่มีทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม

เมื่อแยกทางกับสามีแล้วและกำลังตั้งท้องอยู่ ได้หนังสือกฎแห่งกรรมธรรมปฏิบัติจากเพื่อนครูคนหนึ่ง ซึ่งท่านคงเห็นว่าข้าพเจ้าเครียดจัด นอนไม่หลับ ตอนนั้น จำไม่ได้ว่าหนังสือออกมากี่เล่ม แต่ได้อ่านหมด เกิดศรัทธาประสาทะอย่างแรงกล้า ตั้งปณิธานว่าจะต้องไปเข้ากรรมฐานให้ได้ ข้าพเจ้าอยู่ในสภาพแม่ลูกอ่อน จะเป็นด้วยการอ่านหนังสือกฎแห่งกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือย่างไรไม่ทราบ คืนหนึ่งฝันว่าหลวงพ่อจรัญได้ปรากฏลอยตัวอยู่ในอากาศบนหัวนอน และบอกให้ข้าพเจ้าไปเข้ากรรมฐาน “กรรมกำลังจะตามทัน” ข้าพเจ้าเองก็งงๆเพราะไม่เคยรู้จักหรือเห็นหลวงพ่อตามสื่อใดๆมาก่อน นอกจากหนังสือที่อ่านนั้นจะว่าไปแล้วลองนึกๆดูตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาจะบอกว่าครอบครัวของเรา “มืดบอด” ก็ว่าได้ เพราะนอกจากการทำบุญตักบาตรตามประเพณีนิยมแล้ว เราไม่เข้าใจใดๆในพระพุทธศาสนาเลย ในช่วงเป็นแม่ลูกอ่อนได้เกือบปีแล้วนั้น ได้ขออนุญาตมารดาไปเข้ากรรมฐานหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ หากเป็นเมื่อก่อนช่วงที่ยังไม่มีบุตรแล้วมีหรือที่จะยอมขึ้นชื่อว่า “ขอ” จะอนุญาตหรือไม่ข้าพเจ้าก็จะไปตามประสาคนอวดดีที่ไม่ค่อยจะมีดี แต่ตอนนี้ต้องเชื่อฟัง ไม่ใช่เพราะเกิดความกตัญญูรู้คุณอันใดขึ้นมาหรอก เป็นเพราะต้องพึ่งแม่ให้ช่วยเลี้ยงหลานในเวลาที่ข้าพเจ้าไปทำงานต่างหาก ชีวิตข้าพเจ้าถึงทางตันแล้ว บุญเก่าของคงพอมีอยู่บ้าง คำอธิษฐานก็มีเงารางๆว่าจะเป็นจริงขึ้นมา “ขอให้ได้ไปสร้างกุศลผลบุญด้วยเถิด
เจ้าค่ะ” แล้ววันนั้นก็มาถึงจริงๆ ตอนนั้นสำนักงาน สามัญศึกษาจังหวัดขอนแก่นได้จัดโครงการพัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติขึ้นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม สวนเวฬุวัน ผู้อำนวยการโรงเรียนแจ้งว่าโครงการฯรับสมัครอาจารย์โรงเรียนละ ๒ คน ข้าพเจ้ามีข้ออ้างกับแม่แล้วว่าไปราชการ ขณะนั้นแม่ของข้าพเจ้าโกรธมากที่ทำให้ท่านอับอายขายหน้า และไม่สู้พอใจข้าพเจ้าและหลานที่ชีวิตเหมือนจะไปได้สวย ค่อนข้างสุขสบาย แต่ต้องกลับมาอยู่บ้านในสภาพม่าย น่าเห็นใจแม่ซึ่งตกที่นั่งลำบากพอๆกับข้าพเจ้า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงจำใจต้องเลี้ยงลูกของข้าพเจ้า ครั้งนั้นข้าพเจ้าดีใจตื่นเต้นอีก ทั้งตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัดพึ่งจะรู้ในบัดนี้เองว่า เดินจงกรม นั่งสมาธิ เป็นเช่นนี้เองหนอ ขณะปฏิบัติธรรมเดิน
จงกรมนั้น แปลกใจว่าทำไมเราสามารถเดินได้พร้อมทั้งฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่ไปได้พร้อมๆกัน ส่วนนั่งสมาธินั้นก็มีแต่ฟุ้งหนอกับง่วงหนอวันที่สองของการปฏิบัติ ข้าพเจ้าเกิดความซาบซึ้งในธรรม สงสารตัวเองอย่างแรงกล้า เราเกิดมาทำไม แล้วน้ำตาก็ไหล ไหลมากจนถึงกับสะอึกสะอื้น ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะแปรผันตรงกับความผิดที่เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง คือร้องไห้มาก ทำผิดไว้มาก อันนี้
คิดเองแล้วข้าพเจ้าก็ได้แต่รำพันในใจว่าแม่จ๋า แม่อย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะ ก่อนที่ลูกจะได้กราบขออโหสิกรรมกับแม่ อยู่ให้ลูกได้ตอบแทนพระคุณของแม่ก่อน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็เกิดในมโนสำนึก และความรู้สึก เป็นหนี้บุญคุณใครต่อใครก็หลั่งไหลเข้ามามากมายไปหมด โอเราจะชดใช้ยังไงหมดหนอ อีกทั้งหนี้แผ่นดินเกิดผืนนี้ “ทำไมเราเห็นแสงธรรมช้าจัง” สิ่งที่ควรทำไม่ควรทำ สิ่งที่ต้องทำ มีมาเป็นฉากๆ จนอยากได้สมุดปากกามาจดไว้ ตั้งแต่เป็นครูมาความรู้สึกรักและปรารถนาดีกับเด็กพึ่งจะเกิดขึ้นอย่างจริงจัง ก็ตอนที่ได้มาเข้ากรรมฐานนี่เอง ข้าพเจ้าก็คิดได้ว่าการที่เราทำอะไรไม่เข้าท่าไม่ดีงามนั้น เป็นเพราะอวิชชาความไม่รู้ วิธีแก้อวิชชาหาได้มีในหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาไม่ แต่เป็นไปได้โดยการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน ตามคำสอนในพระพุทธศาสนา แล้วผลที่ได้ก็เป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน ดังคำกล่าวเชิญชวนในคำทำวัตรเช้า-เย็นว่า “ท่านจงมาดูเถิด” คิดได้ดังนี้แล้วก็อดห่วงลูกศิษย์ลูกหาไม่ได้ นี่เราเป็นครูเรายังพลาดพลั้ง เด็กควรจะได้รับโอกาสดีๆในชีวิตเช่นนี้บ้าง ข้าพเจ้าจึงเขียนโครงการพัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่าขึ้นมา เด็ก
กลุ่มเป้าหมายก็คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ที่ข้าพเจ้าสอน โครงการได้รับการตอบรับโดยคำค่อนขอดจากเพื่อนร่วมงาน และเขาก็หัวเราะเยาะข้าพเจ้าในฐานะผู้ประสบปัญหาชีวิตบ้านแตก และมากไปกว่านั้น ให้กำลังใจข้าพเจ้าว่า ไม่ใช่หน้าที่ของ ครูหมวด
วิทยาศาสตร์ (ข้าพเจ้าจบเคมี)โครงการลักษณะ เช่นนี้จะต้องจัดโดยหมวดสังคมศึกษา แต่ไม่มีใครจัดด้วย สติปัญญาอันน้อยนิดของข้าพเจ้าก็ได้เข้าใจในบัดนั้นว่า (การเจริญในพระศาสนาจะต้องเกิดกับครูผู้สอนสังคมศึกษาเท่านั้น) ข้าพเจ้าก็ยังดื้อรั้นโดยเข้าไปขอชี้แจงกับผู้บังคับบัญชา ชักแม่น้ำทั้ง ๕ อีกทั้งไม่ขอใช้งบประมาณโรงเรียน จากการดื้อดึงดันทุรังของข้าพเจ้า ผู้อำนวยการคงเห็น

แววตาเอาจริงเอาจัง แล้วโครงการก็ได้รับอนุมัติและให้ ใช้งบประมาณโรงเรียนตามที่ขอ ก็ทำโครงการต่อเนื่องมาอีก ๑ ปี ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนชลราษฎรอำรุงจังหวัดชลบุรี
นับจากปี ๒๕๔๒ เป็นต้นมา ชีวิตของข้าพเจ้าก็เข้า ออกวัดเป็นประจำสม่ำเสมอ เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างน้อยปีละ ๗ วัน ช่วงปิดภาคฤดูร้อน ในช่วงหยุดวันสำคัญต่างๆแล้วแต่สะดวก และสวดมนต์ บทพาหุงมหากาและอิติปิโสเท่าอายุบวกหนึ่งเสมอ เพื่อสะสมหน่วยกิตตามคำสั่งสอน หลวงพ่อจรัญ ส่วนใหญ่ที่ข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรมนั้นคือศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น สาขาวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งต่อมาผู้อำนวยการศูนย์ฯ คือ พระครูภาวนาวิสุทธิ์ ท่านได้มรณภาพลง ข้าพเจ้าเศร้าใจอย่างที่สุด ไม่อยากกำหนดเพราะใจห่อเหี่ยว ก็เกิดคำถามขึ้นในใจตนเองว่าทำอย่างไรหนอเราจึงจะทดแทนบุญคุณครูบาอาจารย์ได้ ทำอย่างไรร่มโพธิ์ร่มไทรของสังคมจึงจะมีชีวิตอยู่ยืนยาว นี่เราใช้ครูบาอาจารย์หมดไป ๑ ท่าน เรายังไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน ชีวิตก็ไม่ยุ่งยากอะไร ทำไมเราจึงไม่ตัดใจ เมื่อใดเราจะทำได้สักที คิดได้ดังนั้นแล้วจึงเริ่มตั้งแต่วันนั้นก่อนที่ใครจะเป็นอะไรไปก่อน พอข้าพเจ้ากลับจากขอนแก่นถึงชลบุรีจึงได้เริ่มลงมือปฏิบัติที่บ้านเป็นครั้งแรก โดยใช้นรกมาขู่ ใช้สวรรค์มาอ้าง
เพื่อให้ลูกสาวของข้าพเจ้าปฏิบัติด้วยกันจากวันนั้นถึงวันนี้ ครอบครัวน้อยๆของข้าพเจ้าซึ่งแม้จะมีกันแค่สองคนแม่ลูก ก็อบอุ่นไปด้วยแสงแห่งธรรม กรรมฐาน
ทำให้ข้าพเจ้าทำหน้าที่ได้อย่างดีที่สุด อย่างที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ลูกที่ชักชวนนำพาหรือจัดกิจกรรมครอบครัวให้แม่ได้เห็นแสงธรรมด้วยกัน ทำหน้าที่ครูผู้สอนเต็มกำลังสติปัญญา รักและปรารถนาดีต่อเด็กประหนึ่งว่าเป็นลูกของข้าพเจ้าเอง ทำหน้าที่แม่ที่ชี้ทางสว่างให้แก่ลูกในช่วงเปิดเทอมครอบครัวเรามีสองคนแม่ลูก แต่พอปิดเทอมเราจะกลับบ้านขอนแก่น ครอบครัวเราจะใหญ่ขึ้น ลูกของข้าพเจ้าก็จะมีคุณยาย คุณลุง คุณป้าและญาติพี่น้อง ซึ่งช่วงเดือนเมษานั้นเราไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน ข้าพเจ้าจะเข้าๆออกๆ ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ต้นเดือนไปส่งลูกกับหลานเข้าโครงการดรุณธรรม ไปรับลูกหลานกลับบ้าน ตัวของข้าพเจ้าก็ไปเข้าโครงการแสงธรรมนำชีวิต รุ่นประชาชนทั่วไป ต่อจากนั้นช่วงหลังสงกรานต์ปลายๆเดือนก็จะเป็นแสงธรรมรุ่นเยาวชน ข้าพเจ้าไปส่งหลานชาย ซึ่งข้าพเจ้ามีความสุขมาก เรียกกันว่าบุญบันเทิงเลยทีเดียว ครอบครัวใหญ่ของเรารักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้น เราสัญญากันว่าถึงเรามืดมาแต่เราจะสว่างไป
การดำเนินชีวิตของเราเป็นปกติสุข ความสุขเกิดจากธรรมลุ่มลึกเย็นใจเช่นนี้เองหนอ




--กายภาพบำบัด กับ การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าอุปสมบทที่วัดเสมียนนารี เขตบางเขน กทม ขณะ
อายุได้ ๓๗ ปี เมื่อครบกำหนด ๓ เดือน ๑ พรรษา จึงได้ลาสิกขากลับเข้ารับ
ราชการตามเดิมที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ขณะนั้นได้ตำแหน่งสำรองพนักงานขับรถ วันหนึ่งได้ถามตัวเองว่า บวชแล้วได้อะไร เหล้าก็ยังดื่ม บุหรี่ก็ยังสูบ ดีที่ไม่เล่นการพนัน แต่ชอบเล่นหวย เพราะมันถูกบ่อย ลูกก็กำลังเรียนสูงขึ้น แล้วยังจะทำตัวให้ต่ำลงด้วยติดอบายมุข คิดได้ก็ตั้งสัจจะวันนี้ขอเลิกอบายมุข อันดับแรกคือเหล้า อันดับสองคือบุหรี่
บุหรี่เลิกได้โดยไม่ตั้งใจ มันเป็นผลพลอยได้จากการเลิกเหล้า ช่างเป็นบุญกุศล
โดยแท้ ไม่มีอาการทุรนทุรายอะไรเลย จากการเลิกทั้งสองอย่าง แต่ก็เสียเพื่อนกินไปเยอะ ปัญญาเกิดขึ้นแล้วอย่างรำไร ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด ข้าพเจ้าไม่ขอกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดตัดปัญหาของแกล้มเหล้า ข้าพเจ้ากินเจอยู่เกือบ ๑๐ ปี ปัญญาสว่างขึ้นมาอีกหน่อยไม่ควรทำให้คนใกล้ตัวเดือดร้อน ต้องทำอาหารหลายอย่าง เพราะอาหารมันบำรุงเลี้ยงร่างกายให้คงสภาพอยู่ได้ ใจต่างหากเล่า ดีหรือชั่วมันส่งผลถึงตัวและครอบครัวและสังคม ส่วนรวม นับว่าเป็นบุญที่ข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อจรัญ และชอบสวดมนต์มีเพื่อนชวนไปทำบุญที่วัดอัมพวัน ๒ ครั้ง ข้าพเจ้าไม่ได้ไป แต่ร่วมทำบุญด้วยใจศรัทธา ครั้งที่ ๓ จึงได้มีโอกาสไป และได้พบหลวงพ่อด้วย จากนั้นก็ไปอีกหลาย
ครั้ง แต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม จนได้ไปปฏิบัติธรรม
เป็นครั้งแรก ๓ วัน ยังไม่รู้อะไร
จนบัดนี้จาก ๓ วันเป็น ๕ วันและ ๗ วัน มากขึ้นเป็นลำดับข้าพเจ้าป่วยหนักเมื่ออายุ ๖๕ ปี ขณะปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดเสมียนนารี รู้สึกวูบไป แต่มีสติดี ค่อยๆนั่งลง ก่อนจะหมดความรู้สึกไป ๑ วัน ๑ คืน รักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน อยู่ถึง ๔๘ วัน จึงต้องหัดเดินกันใหม่ และต้องทำกายภาพบำบัดครั้งละ ๕๐๐ บาท ทางออกที่ดีที่สุดของข้าพเจ้าคือไปปฏิบัติธรรมต่อทุกเดือน และเจาะจงขอพักที่อาคารปริยัติธรรมชั้น ๔ เป็นการกายภาพบำบัดไปในตัว เมื่ออยู่บ้านก็เดินเท้าเปล่า รอใส่บาตรพระตอนเช้า เมื่อไปวัด ก็ฝึกใจด้วยสติปัฏฐานสี่ มีเรื่องแปลกเล่าให้ฟังดังนี้
๑ อาคารคามวาสี ไปปฏิบัติครั้งที่ ๒ ขณะยืนกำหนด ๕ ครั้ง เห็นพระภิกษุเดินเข้ามาปฏิบัติด้วย เมื่อลืมตาขึ้นก็ไม่เห็นมีอะไร หลับตายืนกำหนดต่อ
เห็นประกายไฟสีขาวดังตีเหล็กไฟ พร้อมมีเสียงดังขึ้นในความรู้สึกว่า “ให้ดูที่ตัวเอง อย่าดูคนอื่น”
๒ที่อาคาร ร.๕ ก่อนหลับตากำหนด เห็นผู้ปฏิบัติ ซึ่งแต่งชุดขาวเป็นชุดแดงทั้งหมด ดังนักรบโบราณ
๓ ที่อาคารภาวนา ๑ เดินจงกรมครบกำหนดแล้ว มีความรู้สึกอยากไปห้องน้ำ
ที่ห้องน้ำชายหมายเลข ๖ ข้าพเจ้ามองเห็นเลข ๒ ตัว ตัวแรกอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ตัวหลังไม่มีกรอบล้อมเหมือนตัวแรก ทั้งหมดเป็นตัวเลขอารบิค มองเห็น ชัดเจนด้วยตาเนื้อ เพียงแวบเดียว เมื่อเอื้อมมือจับลูกบิดความจริงเป็นกลอนธรรมดาภาพนี้หายไป ที่เห็นบ่อยคือต้นไม้หรือกิ่งไม้ที่เป็นสีเขียว ยังไม่รู้จักวิธีกำหนด จึงไม่รู้ว่าจริงหรือหลอก และไม่ได้คาดคิดมาก่อน อาการที่เห็นเหมือนกึ่งฝัน
๔ ที่สำคัญที่สุดคือ ตัดต้นไม้ที่หน้าบ้าน จำได้ว่าถือเลื่อยจะไปตัดกิ่งไม้จากนั้นจำไม่ได้จนเป็นเหตุให้ลูกต้องพาไปหาหมอ “พ่อตัดกิ่งไม้ได้อย่างไร ตัดไม่เหมือนชาวบ้านเขาด้วย” คือตัดจากล่างขึ้นไปหาบน และยังเหลือตัดยอดอยู่อีก ๒ กิ่ง ข้าพเจ้าถามว่า “ใครตัดต้นไม้” ลูกๆบอกว่า “พ่อ” ถามเพื่อนบ้านก็บอกว่า “ลุง” ไปพบหมอแล้วหมอบอกไม่เป็นอะไร ข้าพเจ้าจึงมาตัดต่อและโค่นต้นทิ้งเลย ใครห้ามก็ไม่ฟัง คราวนี้มีสติปัญญาว่าจะตัดอย่างไรจึงจะ ไม่เป็นอันตรายทั้งคนตัดและรอบๆ บริเวณ แต่แปลกมีคนมาช่วยลากต้นไม้ไปทิ้ง เพราะข้าพเจ้านึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลา เรื่องการสวดมนต์ ข้าพเจ้าชอบสวดมนต์มาแต่เด็กแล้ว เพราะยายเป็นคนสอน เป็นคนโบราณจริง เพราะอ่านหนังสือไม่ออก แต่สวดมนต์เก่ง เพราะความจำดี สวดอิติปิโสเท่าอายุหรือมากกว่า ข้าพเจ้าอ่านพบในหนังสือเล่มเล็กๆ หลวงพ่อบอกว่าใครสวดได้มากกว่ายิ่งดีข้าพเจ้าสวดร้อยแปดจบ เท่าลูกประคำเป็นประจำ และก็คงไม่ใช่ข้าพเจ้าคนเดียวข้าพเจ้าอ่านพบในหนังสือของหลวงพ่อ อย่างน้อยก็ ๒ ท่านที่สวด ๑๐๘ จบ ข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มปีติอย่างยิ่ง สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ ผลที่ได้มีเมตตาแคล้วคลาดดีเหลือเกิน เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าสวดมนต์คาถากันโรคภัยไข้เจ็บถวายหลวงพ่อเป็นประจำ ตั้งแต่รับหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๑๙ จากมือหลวงพ่อเป็นต้นมา สวดทั้งบาลีและคำแปลภาษาไทย เป็นมงคลดีจริงๆแก่ตัวเองด้วย ข้าพเจ้าทำกายภาพบำบัดด้วยการขึ้นลงจากอาคารปริยัติ ๔ วัน วันละ ๔ รอบ เพื่อไปฝึกสติปัฏฐานสี่ที่อาคารภาวนา ๑ ด้วยวัย ๗๓ ปี ไม่ย่อท้อ ข้าพเจ้าอธิษฐานไว้ให้ได้เท่าอายุ หรือ มากกว่ายิ่งดี ตอนนี้เพิ่ง ๔๐ ขอพรจากหลวงพ่อที่เคารพสูงสุด ให้กระผมมีสุขภาพแข็งแรงได้มาปฏิบัติธรรม เพื่อเพิ่มพูนบารมีและสติปัญญา
สรุปว่าเมื่อเลิกอบายมุขได้โดยเด็ดขาดแล้ว ฐานะ ทางครอบครัวก็ดีขึ้น ลูกๆก็เรียนสำเร็จ ก่อนเกษียณราชการมีที่ดินเป็นสมบัติแห่งความมานะ ๒ แปลง ยังขายไม่ได้จนบัดนี้ เมื่อรู้ตัวว่ายังอ่อนธรรมะก็เร่งปฏิบัติ จึงมีแววดีขึ้น เปลี่ยนเป็นเครื่องดีเซลยิ่งวิ่งยิ่งร้อน หมายถึงการปฏิบัติต้องใช้กาลเวลา ถึงจะแก่แล้วก็ยังไม่สายที่จะทำความดี ด้วยการปฏิบัติธรรมะที่วัดอัมพวัน คือจุดมุ่งหมายของข้าพเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:53:05 น.  

 

--การปฏิบัติธรรมสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้

เมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อนได้มากราบนมัสการท่านหลวงพ่อจรัญ และได้มาปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นชาวพุทธ ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้พบพระอริยสงฆ์ พระนักปฏิบัติอย่างหลวงพ่อจรัญ ท่านอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของศาสนิกชน เพื่อชาติบ้านเมือง ท่านไม่เคยเรียกร้องหรือเรี่ยไร ท่านมีแต่ให้กับให้ ท่านปรารถนาที่จะเห็นลูกศิษย์ของท่านเป็นคนดี ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อจะได้มีสติและจะได้เกิดปัญญา สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน และยังสามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ เป็นคนดีของสังคม เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้านิสัยไม่ดี เถียงแม่ พ่อ พี่สาว และครูบาอาจารย์ เอาแต่ใจตัว ขี้โมโห ใจร้อนก้าวร้าวพูดจาขวานผ่าซากไม่ถนอมน้ำใจคนใครเตือนก็ไม่ฟัง เคยทำให้แม่พ่อเสียใจ เคยแม้แต่คิดว่าเมื่อไรแม่และพ่อจะตายซะที ทำให้ชีวิตตกต่ำ ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยการกระทำของตนเองนานหลายปี นับว่าเป็นโชคดี เป็นบุญวาสนาที่ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ทำให้ได้เห็นตัวเอง ได้เห็นความไม่ดีร้ายกาจน่ารังเกียจของตัวเอง ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรม ทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ใจเย็นมากขึ้น รู้จักคิด ตริตรอง มีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจ รู้ผิดชอบชั่วดี รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เห็นใจเข้าใจคนอื่น รู้จักให้ เสียสละ แบ่งปัน ขอโทษ ขอบคุณ ทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น ได้สามีที่ดี ได้พบเจอกัลยาณมิตร พี่สาวข้าพเจ้าได้พาข้าพเจ้านำธูปเทียนแพไปขอขมาและขออโหสิกรรมกับแม่และพ่อ ที่ลูกได้ประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินแม่และพ่อไป ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ขออโหสิกรรม
แก่แม่และพ่อก่อนนอนทุกคืน ข้าพเจ้าโชคดีที่มีแม่ที่ดีที่ประเสริฐ เป็นแบบอย่างที่ดี ข้าพเจ้าเคยสังเกตแม่บ่อยๆ ทุกครั้งที่ยายมาจากต่างจังหวัดมาเยี่ยมที่บ้าน แม่เห็นยายมาก็รีบวิ่งเข้าไปรับ พอยายก้าวเท้าลงจากรถสามล้อ แม่ก็นั่งคุกเข่าก้มลงกราบแทบเท้ายายที่กลางถนน โดยไม่สนใจสายตาใครๆเลย เป็นภาพที่ประทับใจข้าพเจ้ามาตราบเท่าทุกวันนี้ แม่เป็นลูกกตัญญู เป็นคนใจบุญ ชอบเข้าวัดทำบุญ สวดมนต์ปฏิบัติธรรม แม่ไม่เคยด่าไม่เคยว่า แม่คอยห่วงใยให้อภัยลูกๆเสมอ ไม่ว่าลูกจะทำไม่ดีทำให้แม่เสียใจมากแค่ไหนก็ตาม แม่ก็ให้อภัยข้าพเจ้าคิดว่าอานิสงส์ที่แม่ พี่สาว และตัวข้าพเจ้า ได้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานสามารถต่ออายุพ่อของข้าพเจ้าได้ตั้งหลายครั้งหลายครา หมอบอกให้พวกข้าพเจ้าทำใจประมาณ ๓-๔ ครั้ง แต่พ่อของข้าพเจ้าก็รอดตายมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ทำให้แม่พี่สาว และตัวข้าพเจ้าได้มีส่วนทำให้พ่อของข้าพเจ้าได้ตั้งจิตภาวนา ขออโหสิกรรมแก่แม่และพ่อของท่าน ได้สวดมนต์ ตักบาตรในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่าน ทั้งๆที่เมื่อก่อนท่านไม่เคยทำ ไม่เคยเชื่อ เพราะท่านเคยมีอคติกับคนบางคนที่เป็นมารศาสนามาอาศัยชายผ้าเหลืองและประพฤติปฏิบัติไม่ดี ทำให้ท่านหมดความเลื่อมใสศรัทธา แต่ก็ยังดีที่ท่านเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้า ยังเคารพศรัทธาในพระองค์ และยังมีโอกาสดีๆที่ ได้พบพระนักปฏิบัติที่ดีๆอีก ๒ องค์ อย่างเช่นหลวงพ่อจรัญ ทำให้ท่านได้พบแสงสว่างแห่งธรรม ทำให้ท่านได้มีสติรู้ตัว เกิดอานิสงส์ ทำให้หายป่วยลุกขึ้นมาหัดเดินหลังจากที่ต้องนอนทนทุกข์ทรมานมานาน ต้องให้ออกซิเจนแทบจะตลอดเวลา ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องใส่แพมเพิสท์ตลอดทั้งวัน และเข้าๆออกๆโรงพยาบาลบ่อยๆ ข้าพเจ้ามีโอกาสพาแม่พ่อ ครอบครัว และนายบุญมีพี่เขยฝรั่งไปเที่ยวต่างประเทศก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตลง พ่อของข้าพเจ้าได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยอาการสงบ



--(คน) อย่างนี้ก็มี (ด้วย)

หลีกเกวียนให้หลีกห้า ศอกหมาย
ม้าหลีกสิบศอกกราย อย่าใกล้
ช้างสี่สิบศอกคลาย คลาคลาด
เห็นทุรชนหลีกให้ ห่างพ้นลับตา
โคลงโลกนิติ บทที่ ๑๙๖
ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการบำนาญ ตลอดอายุราชการไม่เคยถูกสอบสวนและไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย ได้รับพระราชทานเหรียญจักรพรรดิมาลา สรรเสริญความยั่งยืนในราชการและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตริตาภรณ์ช้างเผือกเป็นเกียรติสูงสุด ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติงานในหน้าที่เต็มตามความรู้ความสามารถ ไม่เคยกระทำการใดๆให้เป็นที่หนักใจของผู้บังคับบัญชา ในฐานะเป็นผู้นำและเป็นหัวหน้างาน
ก็ได้รับความร่วมมือจากผู้ร่วมงานเป็นอย่างดียิ่ง ปฏิบัติราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและถือคติว่า เงินที่บริสุทธิ์สะอาดเท่านั้นที่จะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีและเฉลียวฉลาดได้

หลังจากเกษียณอายุราชการ เห็นว่ายังมีสุขภาพ ร่างกายแข็งแรงดีอยู่ ประกอบกับความรู้และประสบการณ์ในชีวิตราชการ ก็น่าจะนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติได้อยู่ ดีกว่าที่จะปล่อยให้ชีวิตล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงอาสาเข้าทำงานต่างๆดังนี้ คือ
๑ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการประถมศึกษาจังหวัด
๒ เป็นอาจารย์พิเศษโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา
๓ เป็นกรรมาธิการวิสามัญสภาร่างรัฐธรรมนูญ
๔ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนอินทร์บุรี



๕ เป็นประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนชุมชนวัดพระนอน
ข้าพเจ้าได้ยินคำว่าพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนามาตั้งแต่จำความได้ รู้เห็น
และเคยชินต่อการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา โดยตามบิดามารดาไปทำบุญตักบาตรที่วัด เข้าไปเป็นเด็กวัดปฏิบัติพระ จนกระทั่งได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา และได้รับความสงบร่มเย็นตามสมควรแก่อัตภาพ
หลังจากเกษียณอายุราชการ ข้าพเจ้าจำเป็นต้องกลับไปอยู่ที่บ้านเดิม คือบ้านเกิดที่มารดายกให้ ข้าพเจ้าแสดงความเป็นมิตรกับ ทุกครอบครัวและทุกคนที่เป็นบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างมี สัมมาคารวะ โดยเฉพาะผู้มีอาวุโส แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องประสบกับปัญหาในชีวิตประจำวันที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน และไม่เคยคิดเลยว่าจะมีปัญหาคนชนิดนี้อยู่ในโลกนี้ สุดยอดอันธพาล เขาพยายามข่มเหงรังแก กลั่นแกล้ง ดูหมิ่นใส่ร้ายข้าพเจ้าและครอบครัวมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นรายวันด้วยซ้ำ ไม่ทราบว่าเขาสรรหาวิธีการต่างๆเหล่านั้นมาจากไหน
พฤติกรรมต่างๆมีมากมายหลายประการ เช่น พูดว่าทางสาธารณะที่ใช้เข้าออกกันอยู่หลายบ้านหลายครอบครัวนั้นเป็นที่ดินของเขา เขาจะปิดเสียเมื่อไรก็ได้ ครั้งหนึ่งเขาหักกิ่งไม้ประดับที่เขาปลูกไว้ในเขตทาง เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าทางสาธารณะนั้นเป็นที่ดินของเขา ไปแจ้งความยังสถานีตำรวจว่า ข้าพเจ้าตัดต้นไม้ทำลายทรัพย์
บ่อยครั้งที่ฝ่ายสามีเดินเลาะเขตรั้วบ้านของข้าพเจ้า ส่งเสียงกระแอมกระไอชวน
ทะเลาะ ทางฝ่ายภรรยาก็ส่งเสียงจามอย่างมีหางเสียงท้าทายเยาะเย้ยเป็นประจำ
บางครั้งนำขยะมาสุมไฟเพื่อให้ควันไฟเข้ามารบกวนในบ้านของข้าพเจ้า และพูด
ว่าเขาสุมไฟในบ้านของเขา ใครจะทำไม



หลาย ๆ ครั้งที่นำขยะที่มีผ้าอนามัยที่ใช้แล้วรวมอยู่ด้วย มาทิ้งไว้เกลื่อนกลาดที่
ปากตรอกทางเข้าออกบ้านของข้าพเจ้า บางทีก็นำหัวปลาเน่าใส่กะลามะพร้าวมาวางไว้ที่ปากตรอกในลักษณะเดียวกันเฉยเมยปล่อยให้ต้นมะขามทอดกิ่งปกคลุมหลังคาบ้านของข้าพเจ้า ใบและฝักมะขามร่วงหล่นลงบนหลังคา ในเวลาที่ลมพัดแรง ฝักมะขามเกราะร่วงลงกระทบหลังคาดังเหมือนเสียงจุดประทัด
เลี้ยงสุนัขไว้ ๓-๔ ตัว ปล่อยให้สุนัขเข้ามาถ่ายบ้าง คุ้ยดินในแปลงต้นไม้บ้าง คาบรองเท้า ผ้าเช็ดเท้า และ สิ่งอื่นๆ ก่อความรำคาญและความเสียหายเป็นประจำ ครั้งหนึ่งที่ค่อนข้างจะรุนแรงและหยาบคาย ฝ่ายสามีเงื้อง่าจอบวิ่งตรงมาหมายจะทำร้ายร่างกายข้าพเจ้า ซึ่งรดนํ้าต้นไม้อยู่ พร้อมกับกล่าววาจาที่ไม่ดีสำทับด้วย ข้าพเจ้ายืนดูอยู่ด้วยอาการอันสงบ และไม่ได้คิดว่าจะต่อสู้หรือป้องกันตัวอย่างไรทั้งสิ้น แต่แล้วเขาก็ลดจอบลงจากการเงือดเงื้อเมื่อเห็นอาการเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็บอกกับเขาว่า เชิญเถอะครับ เชิญ ทำอะไรก็ได้ ตามสบาย ผม ไม่ต่อสู้อะไรคุณหรอก ปืนผมก็ไม่มี อาวุธอะไรผมก็ไม่มีทั้งนั้นชั่วชีวิตนี้ผมไม่เคยใช้อาวุธอะไรทำร้ายใคร แม้แต่สัตว์ ผมมีแต่ปากกาเท่านั้นเป็นเครื่องมือเลี้ยงชีวิตผม และแล้วเขาก็เดินถอยห่างออกไป พฤติกรรมของเขาทั้งสามีและภรรยาที่ก่อกวนความสงบสุขในบ้านของข้าพเจ้ายังมีอีกมากมายสุดจะพรรณนา และกระทำซ้ำๆหมุนเวียนต่อเนื่องตลอดปี ซึ่งข้าพเจ้าก็มิได้แสดงอาการโต้ตอบโกรธเคือง หรืออาฆาตจองเวรใดๆ เพียงแต่ใช้ความอดทนอดกลั้นและข่มใจไว้ โดยยึดมั่นใน พุทธธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาที่ว่า ธมฺมจารี สุขํ
เสติ ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข
แต่เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่ยังมีกิเลสอยู่ในขันธสันดานอีก
มากมาย การปฏิบัติธรรม กรรมฐานยังมืดมน นั่งสมาธิเดินจงกรมก็ปฏิบัติไปตามที่ได้ยินได้ฟังและได้อ่านมาอย่างสุ่มเดา ไม่มีครูบาอาจารย์สั่งสอนแนะนำวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องชัดเจนให้ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าคิดแสวงหาครูบาอาจารย์ไว้เป็นที่เคารพสักการะ และเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติ ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงหลวงพ่อจรัญ จึงนำดอกไม้ธูปเทียนแพเข้าไปกราบมอบกายถวายชีวิต เป็นลูกศิษย์ของหลวง พ่อในวันเกิดของท่านปี ๒๕๔๑ ในวันนั้นข้าพเจ้าเตรียมคำถามปัญหาธรรมที่เป็นความขัดข้องในการปฏิบัติ เพื่อจะกราบเรียนให้ท่านชี้นำแนวทางการปฏิบัติและการแก้ปัญหาให้เหมือนกับหลวงพ่อล่วงรู้สภาวะจิตของข้าพเจ้า เมื่อถึงเวลาท่านลงให้กรรมฐานและแสดงธรรม คำตอบต่อปัญหาของข้าพเจ้าก็พรั่งพรูออกมาจากเนื้อหาธรรมเทศนา
ของหลวงพ่อทุกข้อ จนถึงขั้นนิพพาน โดยที่ข้าพเจ้ามิได้เอ่ยปากถาม เป็นผลให้
ข้าพเจ้ามีความแจ่มชัดในหัวข้อธรรมและ การปฏิบัติธรรมมากขึ้น ดังเช่นปัญหาการถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนบ้าน หลวงพ่อก็สอนให้วางเฉยเสีย ไม่ต้องโต้ตอบ เขาจะนินทา ว่าร้ายอย่างไรก็ให้นิ่งเสีย ไม่ต้องรับเอามาเป็นข้อวิตกทุกข์ร้อนแล้วสิ่งชั่วที่เขานำมาใส่ร้ายป้ายสีให้เรานั้น จะกลับไปเป็นสมบัติเผาลนจิตใจของเขาเอง เหมือนกับที่มีผู้หนึ่งผู้ใดนำสิ่งของมามอบให้เรา ถ้าเราไม่รับไว้ สิ่งของเหล่านั้นก็ต้องตกเป็นของเขาเอง หลวงพ่อกำชับอีกว่า เมื่อทำบุญกุศลใดๆ เช่นบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เสร็จแล้วให้แผ่เมตตาให้เขาด้วย ข้อหลังนี้รู้สึกว่าจะฝืนใจทำได้ยากสักหน่อย แต่นานๆไปก็สามารถทำได้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าผลแห่งเมตตาที่แผ่ไปนั้น จะเป็นความสำเร็จแก่เขาหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคือจิตใจของเราสงบร่มเย็นขึ้น และพฤติกรรมก้าวร้าวรังแกของเขาก็คลี่คลายเบาบางลง

คืนวันนั้นหลวงพ่อเมตตาสอนเรื่องการบำเพ็ญจิตภาวนาตามแนวทางสติปัฏฐานสี่
คือวิธีปฏิบัติเบื้องต้น ให้ยึดแนวหลักสติเป็นตัวสำคัญ ซึ่งมีอยู่ ๔ ข้อ คือ
ข้อที่ ๑ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แปลว่า พิจารณากายในกาย ดูร่างกาย สังขารของเราให้รู้ไว้เป็นเบื้องต้น
ข้อที่ ๒ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอยู่ ๓ ประการคือ สุขเวทนา
ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา หรือ อุเบกขาเวทนา ไม่สุขไม่ทุกข์
ข้อที่ ๓ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตเป็นธรรมชาติที่คิดอ่านอารมณ์ รับรู้ อารมณ์ เราต้องรู้ที่เกิดของจิตอีกด้วย
ข้อที่ ๔ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สามารถแยกและพิจารณาจิตของเราได้ ว่าคิดเป็นกุศลหรืออกุศล หลวงพ่ออธิบายว่า สติปัฏฐานเป็นทางสายเอกที่จะนำสัตว์โลกไปสู่ความพ้นทุกข์ ทางสายนี้เป็นหนทางเดียวที่มีอยู่ในโลก และมีอยู่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เ

มื่อข้าพเจ้าได้มอบกายถวายชีวิตเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้เข้า ปฏิบัติธรรมในสำนักวัดอัมพวันตามกาลตามโอกาสเสมอมา โดยเฉพาะในวโรกาสเฉลิม พระชนมพรรษาของล้นเกล้าฯทั้งสองพระองค์ วันเกิดของหลวงพ่อ ๑๕ สิงหาคม และวันประสบอุบัติเหตุ๑๔ ตุลาคม มิได้ขาด เมื่ออยู่ในบ้านตามปกติก็ทำวัตรเช้าเย็น สวดพระพุทธคุณเท่าอายุบวก ๑ สวดคาถาชินบัญชร เดินจงกรม นั่งสมาธิ เป็นกิจวัตร
ผลแห่งการปฏิบัติก็คือ ได้ความสงบสุขร่มเย็น ผู้จ้องล้างผลาญจองเวรจองกรรม
ข่มเหงรังแกก็เบาบาง การกระทำลงไป สมกับพุทธภาษิต ที่ว่า
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริ๐
ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม




--ความเมตตาของหลวงพ่อ

ชีวิตในวัยเด็กพ่อรับราชการเป็นครูใหญ่ แม่เป็นแม่บ้านและค้าขายด้วย เราอยู่รวมกันกับยาย โดยมีครอบครัวของย่าอยู่ติดกัน ยายชอบสวดมนต์นั่งสมาธิ ย่าชอบไปทำบุญที่วัด มีฝีมือทางทำ ขนมหวาน เมื่อมีงานย่าจะไปช่วยทุกครั้ง ทุกวัน พระย่าจะไปค้างคืนที่วัด เมื่อจบชั้นมัธยมแล้วฉันได้เข้าเรียนต่อที่กรุงเทพฯ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร แล้วกลับไปรับ
ราชการที่บ้านเกิดจากนั้นมีโอกาสได้ทำงานรับใช้ ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล โดยท่านและคณะไปสร้างค่ายหลวงบ้านไร่ เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงนำเสือป่าไปซ้อมรบที่บ้านไร่โพ ธารามหลายครั้ง ในช่วงนั้นท่านได้ไปแสดงปาฐกถาเรื่อง การพัฒนาการศึกษา ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในปาฐกถานั้นกล่าวถึงความสำคัญของการศึกษาที่ต้องเริ่ม
ปลูกฝังตั้งแต่ยังเยาว์ สิ่งที่เราต้องการคือความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
จึงสร้างโรงเรียนธรรมาธิปไตยขึ้น ฉันได้เข้าไปทำงานเป็นครูรุ่นแรกที่ทดลองใช้แนวการสอนของท่านอบรมเด็ก ได้เห็นการทำงานของท่านซึ่งเป็นปูชนียบุคคลทางการศึกษา ท่านมีพรหมวิหาร ๔ เป็นหลักธรรมที่ปฏิบัติ ทุ่มเทเสียสละ ท่านปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง ใกล้วันปีใหม่ท่านไปเยี่ยมพร้อมกระเช้า ท่านบอกว่ากระเช้านี้ลูกศิษย์นำมาให้ ผลไม้นี้เป็นผลไม้จากต่างประเทศ ผมเคยทานแล้วแต่เด็กพวกนี้คงยังไม่เคย ให้นำไปแบ่งให้เด็กๆ และสอนเด็กเรื่องผลไม้ด้วยขณะที่สอนฉันเกิดท้อใจ เพราะการศึกษาเป็นงานที่ให้ผลช้ามาก จึงขอย้ายออก ท่านเรียกไปพบแล้วบอกว่า ท่านมาทดลองสอนให้เด็กเป็นคนดี รัก

ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ งานนี้หนักท่านเข้าใจ แต่ขอให้อดทน มองไปที่
จุดหมายปลายทางข้างหน้า แล้วเดินต่อไปให้ถึง นึกว่าเราทำบุญร่วมกัน พร้อมกับให้บัตรคั่นหนังสือมา ๒ ใบ มีข้อความว่า “ทำดี ดีกว่าขอพร ทำชั่ว จะวอนให้เทวะช่วยบ่มิไหว” และ “ดีอยู่ผู้ใดนินทา ผลความอิจฉา ก็กลับไปหาคนพาล” ฉันทำงานต่อจนท่านถึงแก่กรรม

ฉันเริ่มมีชีวิตครอบครัว โดยแต่งงานกับพตทอำนวย จูประเสริฐ และเราเริ่มไปวัดอัมพวันด้วยกัน โดยมีแม่เป็นผู้แนะนำ แม่ฟังวิทยุเรื่องสัตว์โลกฯ เราไปปฏิบัติครั้งแรกในช่วงปีใหม่ ซึ่งมีผู้ไปปฏิบัติเยอะมาก ยอมรับว่าไม่ได้อะไร หลังจากนั้นก็ไปในช่วงปิดเทอมอีก ก็ยังคิดว่าไม่ได้อะไร เริ่มทบทวนว่าทำไมเราจึงไม่ก้าวหน้า เกิดจากอะไร น่าจะเริ่มจากทาน ศีล และภาวนา จึงกลับไปทำบุญใส่บาตรในตอนเช้า พยายามรักษาศีล ๕ ให้ได้มากที่สุด และสวดพาหุง
มหากาทุกคืน การสวดจะพยายามสวดโดยไม่ใช้หนังสือ เพราะหลวงพ่อบอกให้ทิ้งตำราสวดให้คล่องปากจะได้คล่องใจ คาถาจึงจะขลังชีวิตต่อมาเริ่มพลิกผัน เนื่องจากสามีประสบอุบัติเหตุขณะขับรถกลับบ้านตำรวจโทรมาแจ้งในตอนดึก ช่วยไม่ทันแล้ว ให้ไปที่วัด ความรู้สึกของคนที่ประมาทในชีวิตไม่ได้เตรียมใจไว้เลย ทำให้ชีวิตจิตใจทุกข์ทรมานมาก เข้าใจซึ้งถึงคำเปรียบเทียบที่ว่าเหมือนตกนรกก็คราวนี้เอง จริงอยู่ฉันเคยพบกับความสูญเสีย การพลัดพรากจาก ยายและย่ามาก่อนแล้ว แต่สถานการณ์ไม่เหมือนกัน ยายฉันก่อนตายมีอาการหอบ ซึ่งเป็นโรคประจำตัว ฉันให้ยายาย แต่ยายแค่อมไว้ไม่กลืน แล้วนอนลง สักครู่ยายพูดว่า นิมนต์นั่งก่อน เห็นพระไหม เอาเงินไปซื้อน้ำขวดมาถวายพระด้วย ฉันซึ่งยังไม่มีความรู้ทางธรรมก็เขย่าตัวยาย แล้วปลุกแม่มาช่วยดู ยายฟื้นกลับมาแล้วต่อว่าทำแบบนี้บาปนะ ยายอยู่ต่อมาได้อีก ๒-๓ วัน รอจนหลานซึ่งอยู่กรุงเทพฯ เดินทางกลับมาครบ ยายก็ลุกขึ้นมาไอ แม่และน้องชายเข้าไปประคอง แล้วยายก็จาก
ไปอย่างสงบและสะอาด ซึ่งเป็นผลบุญที่ยายชอบสวดมนต์ และนั่งสมาธิทั้งก่อนนอนและตอนเช้าส่วนย่าจากไปห่างจากยายไม่ถึง


๗ วัน ฉันรับรู้ว่าโลกหน้ามีจริง บุญกุศลที่ทำส่งผลให้ไปสุคติได้จริง แต่เมื่อสามีเสียชีวิตเป็นเหตุการณ์กระทันหัน เพราะก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ สามีได้โทรศัพท์บอกว่าจะกลับบ้าน ให้รอด้วยอย่าเพิ่งหลับ ฉันจึงคอย แต่ได้พบกับศพที่นอนมาในผ้าขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือด ทำให้ฉันขาดสติ ฉันร้องไห้เสียใจมากบอกน้องสาวว่าไม่ไหวจะช็อค น้องร้องไห้บอกว่า ถึงไม่มีสามีแต่ก็ยังมีพ่อแม่
และน้องๆ ถ้าเป็นอะไรไปใครจะทำศพให้สามี ขณะที่ไปวัดเพื่อทำพิธี มีเสียงหนึ่งถามว่าคิดหรือยังว่าจะมอบอะไรให้กับแขกในงานพระราชทานเพลิงศพ ฉันคิดถึงหนังสือสวดมนต์และหลวงพ่อทันที วันรุ่งขึ้นฉันเดินทางไปวัดอัมพวันพร้อมกับครอบครัว แต่ก่อนไปฉันไม่ลืมเข้าห้องพระ สวดมนต์อธิษฐานถึงหลวงพ่อ บอกเล่าความรู้สึกพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย เมื่อฉันเดินทางไปถึงวัดพร้อมกับนำผ้าไตรไปถวายเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สามี หลวงพ่อนั่งรออยู่ ท่านรับผ้าไตรจากฉันพร้อมกับยถาสัพพีให้ทันที เมื่อเสร็จสิ้นพิธี
การแล้ว ท่านเมตตาให้สติฉันและเทศน์ให้ฉันรู้สึกว่ามีชีวิตเพื่อทำ ความดี พร้อมทั้งคติธรรมว่า คนเราพบกันเพื่อรอเวลาจาก ได้มาเพื่อรอเวลาเสีย มีเพื่อรอเวลาหมด ท่านสอนให้ฉันพอแล้วสำหรับครอบครัว สุขก็เคยมี ทุกข์ก็เคยรู้ พร้อมกับให้ผ้าไตรมา ๑ ชุด เงินช่วยงานฉันอีก ท่านเขียนหน้าซองช่วยงานให้ด้วยความเมตตา บอกฉันว่า หลวงพ่อช่วยงานหนู เสร็จธุระแล้วกลับมาหาหลวงพ่อนะ หลวงพ่อเป็นที่พึ่งของหนูได้ เมื่อดูนาฬิกาแล้วท่านพูดว่า ปลอดภัยแล้วเดินทางกลับได้ ฉันและแม่ซาบซึ้งในความเมตตาที่หลวงพ่อมีให้ฉันและครอบครัวและช่วยต่อชีวิตฉันให้มีโอกาสได้อยู่เพื่อสร้างกุศลต่องานพระราชทานเพลิงศพเป็นไปอย่างดี
มีกองเกียรติยศเป่าแตรนอนอย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรี ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดสิ่งที่เป็นอยู่นี้คือบารมี นี้คือความเมตตาที่ หลวงพ่อมีให้ เพราะมีสิ่งมหัศจรรย์ที่จะต้องเล่าถึงคือ วันที่หลวงพ่อรับผ้าไตรและแผ่เมตตาให้สามีนั้น ตรงคลองใกล้กับหาดปึกเตียน ห่างจากจุดที่สามีเสียชีวิตไม่ถึง ๑๐ ก้าว ก็เกิดอุบัติเหตุ มีรถชนต้นไม้และมีผู้เสียชีวิต เหตุการณ์นี้ฉันได้รับรู้เมื่อฉันเดินทาง

ไปปิดคดีและดูจุดเกิดเหตุ เจ้าของบ้านใกล้กับที่เกิดเหตุได้เล่าให้ฟังหลังจากที่หลวงพ่อให้สติฉัน ฉันเดินทางกลับมาจัดการเรื่องศพด้วยบุคลิกใหม่ หลายคนบอกว่าฉันเปลี่ยนไปมาก และสอบถามถึงการทำใจได้อย่างรวดเร็ว ฉันดีใจที่หนังสือที่นำไปแจกในงานทำให้หลายคนเริ่มสวดมนต์ตาม และมาปฏิบัติธรรมในเวลาต่อมา หลังจากงานศพเสร็จสิ้นแล้ว ฉันยังต้องจัดการปัญหาต่อมา ซึ่งในตอนแรกจิตฉันตก แต่ได้ผู้ปฏิบัติธรรมเตือนให้สติ ฉันจึงนึกถึงคำเตือนของหลวงพ่อได้ว่า จำคำของหลวงพ่อไว้ให้ดี ข้างหน้ายังหนัก เมตตานะ เมตตาให้หนักๆเข้าไว้ ฉันปฏิบัติตาม
โดยไม่สงสัยไม่ลังเล แล้วฉันก็พบว่าสิ่งที่หลวงพ่อบอก ช่วยให้ฉันแก้ไขปัญหาในชีวิตได้อีก หลังจากนั้นฉันกลับเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม ขณะปฏิบัติฉันร้องไห้มากร่างกายก็เกิดเวทนาแทบขาดใจ จิตเริ่มคิดว่าระหว่างร่างกายกับจิตใจที่เจ็บ อันไหนเจ็บมากกว่า ทำให้เกิดปัญญารู้ทัน ระงับความโศกไปได้ คิดมุมกลับว่าเมื่อมีทุกข์
ถึงที่สุดก็ได้ธรรม ฉันเริ่มเข้าไปช่วยงานตอบแทนพระคุณและความเมตตาของหลวงพ่อ โดยเริ่ม ตั้งแต่พาคณะไปร่วมในงานทำบุญ ๑๔ ตุลาคม ในช่วงแรกเราเลี้ยงบะหมี่เกี๊ยว เพราะเป็นของอร่อยของบ้านเรา แต่เชื่อไหมว่าทั้งคณะที่ไปไม่มีใครทำร้านอาหารหรือขายบะหมี่กันเลย ปีต่อมาฉันชวนญาติที่ระนองซึ่งทำอาหารอร่อย มีร้านอาหารอยู่ ไปทำน้ำยา ปักษ์ใต้ให้ คณะแม่ครัวผู้สูงวัยขอไปช่วยปีละครั้ง เนื่องจาก ระยะทางไปไกล นอกจากไปตั้งโรงทานแล้ว ฉันยังมีโอกาสได้ช่วยงานที่ศาลา
ทะเบียน โดยมีแม่ชีสมคิดและคณะเจ้าหน้าที่ให้โอกาสและฝึกหัดให้ฉันปฏิบัติอย่างมีสติ ได้ร่วมสร้างบุญกุศลในพระพุทธศาสนาร่วมกัน งานนี้เป็นการฝึกและทดสอบไปพร้อมกัน โดยไม่ต้องหลับตาปฏิบัติ ขณะที่ฉันปฏิบัติงาน ฉันพยายามยกจิตให้มีเมตตา รู้ว่าบางคนมีทุกข์เต็มหัวใจ ยังไม่พร้อมที่จะฟังอะไร ยังต้อง
ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อเหมือนที่ฉันเคยได้รับ บางคนไปหลายครั้งเพราะเขาปฏิบัติแล้วได้ผล ชีวิตเขาดีขึ้น แก้ปัญหาต่างๆได้ฉันมีโอกาสได้สร้างบุญอีกครั้งด้วยธรรมทาน ฉันและเพื่อนๆรวมถึงครอบครัว ได้ร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์การ์ตูนแจกให้นักเรียนอนุบาลที่สอน พร้อมทั้งขอความ ร่วมมือให้ช่วยสอนอ่านและสวดให้ลูกฟังเมื่ออยู่บ้าน มีผู้ปกครองรายหนึ่งเขียนมาต่อว่า เด็กอ่านหนังสือออก หรือ ฉันจึงคิดแก้ปัญหาว่า ทำอย่างไรจึงจะช่วยให้เด็กอ่านหรือรู้เรื่องได้ทุกคน ขณะนั้นการใช้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่นิยมใช้ในการศึกษา ฉันมองดู
การ์ตูนชีวประวัติหลวงพ่อ การ์ตูนสวดมนต์ และคิดทันทีว่าเราต้องสร้างสิ่งที่เด็กสนใจ นั่นคือการ์ตูน ยิ่งถ้าเป็นภาพที่เคลื่อนไหวและมีเสียงด้วย คงจะช่วยให้การสอนธรรมะในระดับอนุบาลได้ผล เริ่มทำเค้าโครงงาน เรียงลำดับเนื้อหา จัดทำเป็นบท เริ่มจากวัดอัมพวัน เล่าประวัติความเป็นมา เมื่อรู้จักวัด เกิดศรัทธาแล้ว จึง
แนะนำเรื่องราวของหลวงพ่อซึ่งเป็นเจ้าอาวาส โดยภาพจากหนังสือชีวประวัติ เพื่อให้เด็กสนใจและเข้าใจถึงกฎแห่งกรรม ซึ่งเนื้อหาของเรื่องราวสอดคล้องกับแนวการสอนของ ฯพณฯ มลปิ่น มาลากุล ที่ให้สอนศีล ๕ เน้น ๓ ข้อ คือ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามพูดปด และห้ามลักทรัพย์ ส่วนศีลข้อ ๓ และข้อ ๕ ในวัยเด็ก ยังไม่มีการละเมิด ต่อจากนั้นเป็นบทสวดมนต์ การนั่งสมาธิ และจบด้วยการแผ่เมตตา ฉันเขียนเล่าเรื่องราวของฉันในวันนี้ เพื่อให้ทุกคนที่หมดกำลังใจ ท้อแท้ มีความทุกข์ได้รู้ว่า เมื่อทุกข์แล้วก็ยังมีโอกาสสุขได้ ด้วยเมตตาของหลวงพ่อ ทุกวันนี้ฉันมีความสุข ภูมิใจที่ได้มีโอกาสทำดี สร้างกุศลด้วยการสร้างสื่อธรรมะ มีโอกาสตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อ ด้วยการนำคำสั่งสอนของหลวงพ่อ ซึ่ง
เปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ทางธรรม ไปเผยแผ่ให้ทุกคนได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่ฉันทำความดีฉันจะนึกถึงหลวงพ่อที่ให้โอกาส ให้สติว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างความดี ฉันไม่รอให้รวย ไม่รอเวลาว่าเมื่อนั่นเมื่อนี่ถึงจะทำ เพราะอาจจะไม่มีโอกาสนั้นในชาตินี้ บุญใดที่ฉันได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญให้ทาน ธรรมทาน การสร้างกุศลด้วยการอบรมเยาวชนให้เป็นคนดี หรือการปฏิบัติใดๆที่เป็นบุญกุศลของฉัน ขอให้หลวงพ่อได้รับในอานิสงส์ผลบุญนั้นด้วยเทอญ



 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:54:48 น.  

 

--ความสำเร็จจากการเจริญกรรมฐาน

เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๒ ข้าพเจ้า ภรรยา และบุตรชาย ได้ไป
ถวายเงินเพื่อร่วมบูรณะวัดจินดามณี จังหวัดสิงห์บุรี เนื่องจากถูกไฟไหม้ หลวง
พ่อจรัญท่านรับช่วยบูรณะวัดจินดามณี จนเสร็จสมบูรณ์เมื่อต้นปี ๒๕๔๔
วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๒ เป็นวันทำบุญให้หลวงพ่อ เป็นประจำ เนื่องจากเป็น
วันที่หลวงพ่อได้ประสบอุบัติเหตุคอหัก ลูกศิษย์จะทำบุญให้ท่านทุกปี ข้าพเจ้าและภรรยาได้ไปร่วมงานทำบุญครั้งนี้ด้วย หลังจากเลี้ยงพระเพลเสร็จแล้ว และรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ได้นั่งฟังโอวาทจากหลวงพ่อที่ศาลาสุธรรมภาวนา ข้าพเจ้าและภรรยานั่งฟังอยู่หลังสุด หลวงพ่อท่านได้มองมาทางข้าพเจ้าและภรรยาแล้วพูดว่า โยมปรีดีฯ ถ้ามีก็เอามาอีกนะ แล้วท่านก็ยิ้ม ข้าพเจ้าและภรรยาก็น้อมรับเบาๆ มีแล้วจะเอามาอีก งานที่จะทำให้มีเงินนี้ยากมาก ยากจนข้าพเจ้าไม่อยากทำ เป็นงานบริสุทธิ์ขายที่ดินตาบอด ข้าพเจ้าไม่เคยบอกใคร รู้กันอยู่เฉพาะคนในครอบครัว เวลาล่วงเลยไป นับแต่หลวงพ่อท่านทักไว้ผ่านไปถึงหกปี จึงตัดสินใจทำงานนี้ เพราะภรรยาสนับสนุนให้ทำ จะได้นำเงินมาทำบุญกุศลให้พ่อแม่ และสำเร็จลงมีก็เอามาอีกนะ ตามที่หลวงพ่อท่านทักไว้นั้น คือการขายที่ดินตาบอดอยู่ห่างถนนเพียง ๔๐ เมตร แต่หาทางถนนออกไม่ได้ ที่สำคัญที่ดินแปลงนี้ถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่ ๘ คน ล้วนแต่ไม่ลงรอยกัน รวม
เวลา ๑๗ ปี ผลสุดท้ายก็สำเร็จลงได้ในเวลาประมาณ ๔ เดือน
หลวงพ่อท่านแผ่เมตตาให้ เรื่องยากก็เป็นเรื่องง่าย
แต่สิ่งสำคัญต้องช่วยตัวเองก่อน จะต้องปฏิบัติ กรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ ทำ
ตามคำสอนของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านพูดเสมอ ต้องทำจริง ไม่จิ้มๆจ้ำๆ ต้องทำ
เป็นนิจศีล ดังนี้
ข้อแรก ทำตามคำสอนของหลวงพ่อที่ว่า สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยา
กิน
ข้อสอง สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมก่อนแผ่เมตตา
ข้าพเจ้าและภรรยาได้ ปฏิบัติวันละสองครั้ง เช้าเย็น
สวดมนต์เล่มเล็กของวัดอัมพวัน เมื่อสวดถึงพุทธคุณห้องเดียวหนึ่งจบเท่าอายุ
บวกหนึ่ง ข้าพเจ้าและภรรยาจะสวด ๑๐๘ จบ เมื่อจบแล้วแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
แล้วอุทิศบุญกุศลให้บิดามารดา ญาติ ครูอาจารย์ เทวดา เปรต เจ้ากรรมนายเวร
สัตว์ทั้งหลาย ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสวดมนต์ แล้วกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่ต้องใช้น้ำจากนั้นจัดเวลาเจริญวิปัสสนาตามแนวทางสติปัฏฐานสี่ เมื่อครบเวลาตามกำหนด
ก็แผ่เมตตาเช่นเดียวกับการสวดมนต์ ต้องปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันไม่เว้น เพราะเวลามีปัญหา
ต้องขอให้หลวงพ่อแผ่เมตตาจึงจะได้ผล ทำได้เช่นนี้กิจการงานที่หวังไว้สำเร็จแน่นอน
อีกเรื่องเป็นการศึกษาเล่าเรียนของบุตรชาย ก่อนจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท จะต้องส่งวิทยานิพนธ์ในเวลาที่กำหนด
แต่ไม่สามารถปิดวิทยานิพนธ์ได้ ด้วยสาเหตุขาดข้อมูลมาสนับสนุน
ข้าพเจ้าได้ถามถึงเรื่องการเรียนของบุตรชาย หลวงพ่อท่านตอบทันทีว่าติดอีกนิดเดียว ในที่สุดบุตรชายก็สรุปวิทยานิพนธ์ได้สำเร็จส่งได้ทันตามกำหนดเรียนได้สำเร็จ ผลการเรียนได้ดีมาก แสดงให้เห็นถึงปัญญาในตัวของหลวงพ่อ คือ เห็นหนอ สามารถเห็นได้ทันทีและตอบได้ทันทีที่ถาม
อีกเรื่องหนึ่งของบุตรชาย สอบได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ไปเรียนต่อประเทศญี่ปุ่น ได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่เมืองไทย ปรากฏว่าถุงลมปอดรั่ว ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หมอบอกว่าต้องรอเวลาหนึ่งเดือน ให้รูถุงลมปอดที่รั่วสมานปิดแผลเอง จึงจะขึ้นเครื่องได้ถ้าไม่ไปสอบก็จะเรียนไม่สำเร็จ ออกจากโรงพยาบาลมีเวลาพักฟื้นเพียง ๑๑ วัน บุตรชายตัดสินใจขึ้นเครื่องถุงลมปอดรั่วรูเล็กนิดเดียวหลวงพ่อท่านอุดได้ เป็นการให้กำลังใจบุตรชาย ผลจากการแผ่เมตตาของหลวงพ่อ และวิชากสิณที่
หลวงพ่อท่านเรียนมาจากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์ แม้ว่าท่านจะเรียนมาประมาณ ๕๗ ปีแล้ว วิชาของหลวงพ่อยังคงขลังไม่เสื่อมคลาย



--คุณแม่ เสาหลักแห่งธรรม

ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักวัดอัมพวันและหลวงพ่อจรัญจาก การติดตามคุณแม่ของข้าพเจ้าไปเข้ากรรมฐาน แต่แท้จริงแล้วเราเริ่มรู้จักวัดอัมพวันจากการแนะนำของญาติๆให้อ่านหนังสือกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นปีที่คุณแม่ของข้าพเจ้าเริ่มสวดมนต์บทพาหุงฯ และทำให้เกิดความเลื่อมใสหลวงพ่อเรื่อยมา คุณแม่จึงได้ตัดสินใจเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวันพร้อมกับคุณน้า โดยข้าพเจ้าเป็นคนขับรถพาไป ทั้งสองท่านกลับดูมีหน้าตาสดชื่นอย่างน่าประหลาด นี่หรือที่เรียกว่า อิ่มบุญ ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนั้นเอง จากนั้นคุณแม่ของข้าพเจ้าก็มาที่วัด บ่อยครั้งเพื่อมาเข้ากรรมฐาน และก็สวดมนต์”บทพาหุงฯ” เป็นประจำทุกวัน
เห็นการเปลี่ยนแปลงของคุณแม่เรื่อยๆมา คุณแม่ปกติ เป็นคนเครียด ใจร้อน หงุดหงิดง่าย และเป็นโรคความดันโลหิตสูง ผลการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดก็คือ คุณแม่ เป็นคนใจเย็นขึ้นไม่หงุดหงิดง่าย โรคความดันก็อาการดีขึ้น คุณแม่ก็เข้าใจว่านี่แหละคือกฎแห่งกรรม และกรรมฐานคือหนทางแห่งการแก้กรรมของชีวิต มนุษย์เกิดมามีกรรมมาแต่กำเนิด กรรมดีก็จะส่งเสริมให้ชีวิตดี กรรมไม่ดีก็จะทำให้เกิดปัญหาชีวิต เราก็ต้องมาแก้กรรมกันโดยการทำบุญ สวดมนต์และการเข้ากรรมฐาน ซึ่งคุณแม่ก็เริ่มให้ทุกคน ในบ้านสวดมนต์ และจะสนับสนุนให้ทุกคนไปเข้ากรรมฐานที่วัด ข้าพเจ้าก็สวดมนต์ทุกคืน และไปเข้ากรรมฐานบ้างหลังจากผ่านไปหนึ่งปีข้าพเจ้าก็เรียนจบปริญญาตรี และสามารถสอบได้ ทุนการศึกษาไปศึกษาต่อต่างประเทศ ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงมีความคิดที่จะบวชก่อนที่จะไปศึกษาต่อ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ และเพื่อเป็นการเตรียมตัวไปศึกษาต่อ ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าการเข้ากรรมฐานจะช่วยให้ข้าพเจ้ามีสติและสมาธิ ซึ่งจะช่วยให้ข้าพเจ้าเรียนประสบความสำเร็จ
จึงได้มาบวชเรียนที่วัดอัมพวัน เพื่อศึกษาธรรมะและเข้ากรรมฐานแบบจริงๆจังๆ
ระหว่างที่ไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็สวดมนต์เป็นประจำทุกคืนตามคำแนะนำของคุณแม่ การเรียนก็เป็นไปได้ราบรื่นไม่มีอุปสรรคใดๆ เนื่องจากข้าพเจ้าดำเนินชีวิตด้วยสติ ตามคำสอนของหลวงพ่อจรัญ หากบางครั้งมีอุปสรรคบ้างก็ใช ้สติให้เกิดปัญญาในการช่วย แก้ปัญหาทุกครั้งไป แม้ว่าบางครั้งปัญหาที่คิดว่าใหญ่โต แก้ไม่ได้ ก็สามารถแก้ได้ด้วยสติปัญญา แต่ว่าต้องใช้เวลาและขันติความอดทนในการแก้ปัญหานั้นด้วย ได้รู้ว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ และต้องแก้ด้วยสติปัญญาและความอดทน ซึ่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้การใช้สติให้เกิดปัญญาและความอดทน จากการสวดมนต์และการเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวันนั่นเอง

นอกจากนี้คุณแม่ของข้าพเจ้าก็แนะนำทุกคนในบ้าน ซึ่งก็คือคุณพ่อ พี่สาว น้องสาว น้องชาย ให้สวดมนต์ เห็นหลายๆอย่างในบ้านเปลี่ยนไป คุณพ่อที่ปกติเป็นคนโมโหและหงุดหงิดง่าย และมักจะบ่นทุกๆอย่างในบ้านที่ไม่ถูกใจ เป็นคนใจไม่นิ่งไม่สงบ หลังจากที่เริ่มสวดมนต์อย่างจริงจัง คุณพ่อก็เป็นคนอารมณ์ดีขึ้น ปัญหาเรื่องความเครียดของคุณพ่อก็น้อยลง การสวดมนต์นอกจากจะได้กุศลผลบุญแล้ว ยังเป็นการฝึกจิตให้สงบและนิ่งขึ้น อารมณ์ดีขึ้น ทำให้เกิดสติและปัญญาในการแก้ปัญหา และเป็นการแก้โรคเครียดด้วย ทำให้เกิดความสุขในชีวิต พี่สาวของข้าพเจ้าจากที่เป็นคน ทำอะไรมักจะใจร้อนและมักจะทำงานด้วยความเครียด หลังจากที่เริ่มสวดมนต์จริงๆจังๆก็เป็นคนใจเย็นลง
และสามารถเรียนจบปริญญาโทได้ น้องสาวคนแรกก็สวดมนต์ ทำให้มีสมาธิสามารถ สอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์ได้ น้องสาวคนที่สองก็สามารถสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทที่ ธรรมศาสตร์ได้ น้องชายจากที่เป็นคนดื้อเงียบ มักไม่ค่อยเชื่อฟัง ขี้หงุดหงิดและโมโหง่าย ก็เป็นคนใจเย็นลงและเชื่อฟังมากขึ้น ข้าพเจ้าไปศึกษาต่อต่างประเทศอยู่ประมาณ ๘ ปี จนจบปริญญาเอก ได้มารับราชการเป็นอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมไฟฟ้า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ และได้กลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านได้เปลี่ยนไปหลังจากที่คุณแม่ได้เริ่มนำธรรมะเข้าบ้านเมื่อ ๘ ปีที่แล้ว แต่ ก่อนนั้นทุกคนในบ้านซึ่งมีทั้งหมด ๗ คนมักจะเกิดปัญหากันบ่อยครั้ง จากความใจร้อน โมโหง่าย หงุดหงิด ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็ได้หายไป และธรรมะก็ได้เข้ามาแทนที่หลายคนประสบความสำเร็จ มีหน้าที่การงานที่ดี จบปริญญาโท และปริญญาเอก ทุกคนในบ้านมีความสุขมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดจากคุณแม่ซึ่งเป็นเสาหลักแห่งธรรมในบ้าน และเป็นพระในบ้าน เราไม่ต้องไปหาพระที่ไหนหรอก พ่อและแม่นี่แหละคือพระในบ้านดังที่หลวงพ่อจรัญได้สั่งสอนมาโดยตลอด ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในคำสั่งสอนของหลวงพ่อจรัญ และอยาก
ให้คุณแม่ทุกคนได้นำธรรมะเข้าบ้าน เพื่อให้เกิดความสุขและความอบอุ่นแก่
ทุก ๆ บ้าน



--จากความตายทั้งเป็นและไฟนรกสู่ความมีชีวิตใหม่

เธอ...ผู้เขียนใช้คำแทนตัวเองว่า”เธอ” ณ เวลาของวันนี้ เธอคนนี้ได้รู้จัก
ความหมายของคำว่าสติ ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ได้พบพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เมื่อได้เข้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ได้รับความเมตตาและร่มบารมีของหลวงพ่อจรัญ เหมือนได้ชีวิตใหม่ วัยเด็กของเธอดูอบอุ่น เติบโตเข้าสู่วัยทำงานอย่างปกติสุข ชีวิตมุ่งมั่นทำงานเก็บเงิน ไม่ค่อยได้ทำบุญ ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ เวลามีเรื่องไม่สบายใจ พี่สาวบอกให้สวดมนต์ ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง เมื่อถึงเวลาบุญเก่าหมด เป็นเวลาที่เธอต้องชดใช้หนี้กรรม หลังจากเธอได้รับทุกขเวทนาจากความเจ็บป่วย ผ่าตัดกระดูกสันหลังที่แตกกดทับเส้นประสาท
ต่อมาก็ผ่าตัดมดลูกและรังไข่ เธอเจ็บป่วยบ่อย เจ็บคอ ตลอดทั้งปี ความดันโลหิตสูงบวม เจ็บหน้าอก เข้านอนรักษาตัวในโรงพยาบาลปีละ ๑-๒ ครั้ง เธอทุกข์ต่อปัญหาสุขภาพ เพื่อนที่ทำงานแนะนำให้ไปวัดอัมพวัน เธอเข้าปฏิบัติธรรม ๓ คืน ๔ วัน ช่วงระยะเวลานี้เธอได้พบสิ่งแปลกหลายๆอย่าง ปัญหาสุขภาพและปัญหางานไม่ใช่ เรื่องใหญ่สำหรับเธอเลย แต่เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องใหญ่ของเธอ เปรียบได้ว่าเธอตกนรกทั้งเป็นวันหนึ่งได้ฟังรายการวิทยุรายการหนึ่ง เขาเรียกว่าเป็นสำนักปฏิบัติธรรม นำโดยฆราวาส มีสวดมนต์(คาถาชินบัญชร) เธอเอาวันเดือนปีเกิดให้เขาดูดวง(เขาจะจดของทุกคนที่มาพบเขาไว้) แล้วจากนั้นก็มีเหตุการณ์แปลกๆกับเธอหลายๆอย่าง ทุกครั้งที่เธอไปที่นั่นจะเหมือนถูกมนต์สะกด นั่งนิ่ง อ้าปากไม่ได้ ขยับกายไม่ได้ แต่หูยังได้ยิน เรอเหมือนลมตีขึ้น ตกลงสู่เหวนรกโลกอุบาทว์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าต่อต้านจะมึนหัวเวียนหัวปางตาย เขาจะพูดเสมอว่าเป็นการเบี่ยงเบนกรรมให้ ติดอยู่ในโลกอุบาทว์นรกนี้เกือบ ๒ ปี กินเก่งมากแต่ผอมลง ๗ กิโลกรัม โดยที่ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร
ต่อมาวันหนึ่งเพื่อนหญิงคนหนึ่ง โทร. มาบอกให้เธอออกมา เพราะที่นั่นเขาสะกดเราด้วยมนต์ผี เธอไม่ไปที่นั่นอีก แต่นอนที่บ้านเธอไม่ได้เลย เสียงสุนัขเห่าหอนทั้งคืน ด้วยแรงแห่งวิบากกรรมได้พาเธอไปพบกับพระรูปหนึ่ง พอเดินเข้าไปพระทักทายได้เหมือนตาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอมา เธอเกิดศรัทธาและคิดว่าพระคงช่วยได้ (ขออนุญาตเรียกพระรูปนี้ว่า”เขา” เพราะเขาไม่ใช่พระแล้ว) เขาสวดมนต์อะไรไม่ทราบ ทำพิธีไล่ผี ให้เธอใส่สายสิญจน์และเหรียญของเขาห้อยคอไว้ ทำพิธีไล่ผีอยู่หลายครั้ง เธออาเจียนเป็นน้ำลายปนเลือด หมดเงินไม่น้อยเลย เธอไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีกครั้ง ได้ไปกราบหลวงพ่อจรัญก่อน และเขียนโน้ตลงในบาตรเข้าปฏิบัติธรรม เธอเห็นผู้ชายผิวดำรูปร่างสันทัด บอกไม่ให้ขายบ้าน ถามว่าท่านเป็นใคร ท่านตอบว่าเธอไม่รู้จักหรอก แล้ววันหนึ่งเธอจะรู้ว่าข้าเป็นใคร วันรุ่งขึ้นเป็นวันพระ ช่วงรอหลวงพ่อเทศน์ จิตเธอนิ่งดิ่งสู่สมาธิ เธอถามและเล่าให้หลวงพ่อฟังถึงเหตุการณ์นั้น หลวงพ่อเจ้าขาโปรดเมตตาลูกด้วย ลูกถูกหลอกมาเยอะ ขอให้หลวงพ่อตอบให้ได้ยินทางหูอย่างที่มนุษย์ทั่วๆไปเขาได้ยินกัน พอหลวงพ่อเริ่มเทศน์ประโยคแรกหลวงพ่อเทศน์ว่า
คนที่ปฏิบัติธรรมพอจะเกิดเหตุการณ์ทำให้หมดเนื้อหมดตัว จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกมาเตือนล่วงหน้า เท่านั้นแหละเธอรู้เลยว่าใช่แล้ว ผู้ชายผิวดำต้องเป็นเทพ
เทวดามาบอกเธอแน่ วันต่อมาขณะยืนหนอ ก็เห็นผู้ชายผิวดำอีก มีอยู่วันหนึ่งรู้สึกท้อแท้มาก รู้สึกว่าจะทนไม่ไหวแล้ว จุดธูปอธิษฐานจิตกับพระพุทธรูปที่บ้านว่าชาตินี้ทำผิดอะไร เธอทรมานมาก รู้สึกไม่ไหวแล้ว ถ้าชดใช้ด้วยชีวิตได้ก็เอาชีวิตลูกคืนไปเถอะ อาการก็เกิดขึ้นกับเธออีก เธอกลับไปวัดอัมพวันใหม่ มีวันหนึ่งขณะนั่งกรรมฐานเจ็บที่หัวใจมากเหมือนใจจะขาด กำหนดก็ไม่หาย
นึกถึงหลวงพ่อ จึงขอให้หลวงพ่อช่วย ก็เห็นภาพทหารคนหนึ่ง แต่งตัวแบบทหารสมัยโบราณ จิตรับรู้ว่านายทหารคนนั้นเป็นเธอในอดีตชาติ กำลังเผาผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนพื้นดิน แล้วเอาไม้ปลายแหลมปักลงบนหน้าอกผู้ชายคนนั้น เธอร้องไห้สำนึกผิด เห็นตัวเธอเองก้มลงกราบผู้ชายที่กำลังถูกเผา ขออโหสิกรรม อาการของเธอดีขึ้น หายเป็นปลิดทิ้ง เธอมาปฏิบัติต่อที่บ้าน มีวันหนึ่งรู้สึกเหมือนถูกมดกัดที่หน้าขา ก็กำหนดภาวนาไปจนหมดเวลา พอลืมตาขึ้นเห็นมดแดงไฟอยู่บนหน้าขาเต็มไปหมด เป็นอยู่ ๒ วัน เธอขออโหสิกรรม และแผ่เมตตาให้มดแดงไฟ หลังจากนั้นเธอก็ไม่ถูกมดแดงไฟกัดอีกพอสิ้นปีเธอเข้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีก ช่วงที่หลวงพ่อสวดพระธรรมจักรฯรู้สึกปวดกระดูกเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่พอทนได้ เป็นอยู่ไม่นานอาการดี ขึ้น
คืนวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๙ เสียงหมาเห่าหอนระงมไปหมด เช้าวันต่อมาเข้าปฏิบัติอีก เธอง่วงมาก ซึ่งอาการแบบนี้ไม่มีมานานแล้ว รู้สึกหนักตัวไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร จิตก็สวดบท พาหุงมหากา จบบทสวดรู้สึกโล่งมาก เช้าวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๙ ไปทำงานปกติ อาการปกติดี พอตกบ่ายๆ เธอเสียงแหบหายไป พูดไม่มีเสียงเลย ช่วงเดินทางกลับบ้านแวะซื้อของในตลาดรู้สึกเหมือนมีของแหลมแทงตรงเอวด้านซ้ายทีขวาที แสบร้อนตามผิวกายมากแต่ในตัวไม่ร้อน ตกกลางคืนไอมาก นอนไม่ได้เลย ไอมีเลือดปนหนอง กลิ่นเหม็นมากมีคืนหนึ่งนอนไม่ได้ เลยอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อจรัญ เธอหยุดไอเป็นปลิดทิ้ง เธอคิดว่าชาตินี้เธอยังโชคดีและยังมีผลของกรรมดี ได้นำเธอไปพบหลวงพ่อจรัญ ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น ละวางอะไรๆได้ เข้าใจว่าชีวิตนี้ เกิดมาเพื่อใครและต้องการอะไร ซาบซึ้งในผลของบุญและบาป แม้ว่าคนเราจะเกิดมาด้วยแรงบุญและบาปนำพา แต่เราจะต้องมีสติที่จะควบคุมตัวเองให้ได้ การฝึกฝนตัวเอง
ให้มีสติไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าไม่ฝึกสติเราจะปล่อยกายจิตของตัวเองลงสู่อบายภูมิ
แน่นอน เข้าใจถึงผลบาปผลบุญที่เธอได้รับ ซาบซึ้งถึงบุญคุณของหลวงพ่อจรัญมาก ทุกครั้งที่เธอฟังเทศน์ของหลวงพ่อในวันพระ คำเทศน์ของหลวงพ่อจะสะกิดรอยกรรมของเธอทุกครั้ง เธอปฏิบัติตามแล้วก็ได้ผลดี ได้ฝึกสติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เช่นคำว่า อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น เห็นตัวตาย คลายทิฐิ ดำริชอบ หรือว่า แยกรูปแยกนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เป็นอย่างไร เมื่อได้ฝึกความมีสติแล้ว เราจะมีปัญญาว่าเราจะทำอะไรต่อไป ความคิดที่จะละชั่วและทำดีกลัวต่อการทำชั่ว ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดมาชดใช้หนี้กรรมกันอีก เมื่อก่อนเธอเคย
อ่านหนังสือธรรมะอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยเข้าใจนัก พอมาได้ฝึก ปฏิบัติกลับไปอ่านใหม่ซาบซึ้งมาก

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:55:31 น.  

 

--ฉันเกิดมาไม่สวย ผิดด้วยฤๅ

ผู้เขียนยังจำติดนัยน์ตา วันนั้น เวลาสายมากแล้ว ท่ามกลางผู้คน พลุกพล่านเพราะมีผู้ไปไถ่ชีวิตโค-กระบือ นายเต้ยเดินมา กระซิบข้างหูว่าคุณแม่ไปดูอะไรกับลูกหน่อย ก็เดินตามลูกไป ไปถึงแล้วผู้เขียนถึงกับอึ้งและงงงัน เมื่อเห็นควายตัวเมียตัวหนึ่งยืนร้องไห้แบบนิ่งๆ เงียบๆ น้ำตาไหลเป็นทาง สองแก้ม และอุปาทานว่ามันสะอื้นด้วย ดูมันจะเจียมตัวเจียมใจว่าโวยวายไปก็คงไร้
ประโยชน์ เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่าควายตัวนี้ ตอนเช้ามีผู้จองแล้ว ตีตราจองไว้บนตัวควายแล้ว ตกสาย ผู้จองไปเห็นตัวอื่นสวยกว่า เขาจึงแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า “ตัวนี้ไม่สวย ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ขอเลือกตัวนั้นก็แล้วกัน”พลางชี้ไปที่ควายสาวอีกตัว ผู้เขียนพินิจและมองนัยน์ตาของควายสาวตัวนั้นดูมัน กำลังกระหยิ่ม เหมือนจะบอกว่า “เห็นไหมฉันสวยกว่า จึงรอดตายจากการถูกฆ่าไงจ๊ะ” มันรู้สึกกระทบใจผู้เขียนอย่างรุนแรง อยากจะช่วยให้มันพ้นจากการถูกฆ่า ทั้งๆที่วันนั้นครอบครัวของผู้เขียนไถ่ชีวิตโค ๑ ตัว และกระบือ ๑ ตัว และในท้องของสัตว์ทั้ง ๒ ตัว มีลูกอีกตัวละหนึ่ง รวมเป็น ๔ ชีวิต ประกอบกับเงินที่ตั้งใจจะทำบุญในวันนั้นมีเหลือไม่พอที่จะไถ่ชีวิตกระบือเพิ่มได้อีกสัก ๑ ตัว แต่ความเป็นจริง ๒ ชีวิต เพราะมันมีลูกในท้องอีก ๑ ชีวิต ปรึกษากับสามีและลูกว่าจะทำอย่างไรดี อ้อคิดออก
แล้ว ผู้เขียนตรงไปถามอาจารย์รุ่นน้องท่านหนึ่ง
เราสองครอบครัวจะไถ่ชีวิตอีกสัก ๒ ชีวิตดีมั้ยพี่มีเงินไม่พอ “เอาซิพี่ เราจะช่วย” เป็นอันว่าวันนั้นควายตัวไม่สวยตัวนั้นพร้อมลูกในท้องรอดตาย อย่างหวุดหวิด ในวันนั้นภายหลังว่า ยังมีควายตัวเมียเหมือนกันแต่มันไม่สวย คือขาเก เขากุด เพราะความขี้เหร่ใครๆก็ไม่เลือกมัน มันร้องไห้แบบหมดอาลัยตายอยาก ทอดกายทรุดลงกับดิน แม้เจ้าหน้าที่เข้าไปฉุดมันไม่ยอมลุกขึ้น ดวงตาของมันหม่นหมองดูเหมือนจะตั้งคำถามกับผู้ที่พบเห็นวันนั้นว่า “ฉันเกิดมาไม่สวย...ผิดด้วยฤา” แต่พอมีผู้ใจบุญนำพวงมาลัยดาวเรืองมาคล้องคอ พรมน้ำปรุงให้ มันกลับลุกขึ้นอย่างดีใจและเริงร่าขึ้นทันใด หากพูดได้มันคงพูดว่า “ขอบคุณนะคะเจ้านาย ที่เมตตากรุณาต่อสัตว์ขี้เหร่อย่างฉัน” แล้วมันมองไปรอบๆตัว เห็นเพื่อนๆมีมาลัยคล้องคอและตราประทับบนตัวแสดงถึงการปลดปล่อยให้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกวาระหนึ่ง และพ้นจากการถูกฆ่าในวันนั้น เหมือนจะบอกว่า “เห็นไหม” แม้จะขี้เหร่อย่างฉันก็ยังมีท่าน
ผู้มีน้ำใจงาม น้ำใจประเสริฐ มาไถ่ชีวิตให้เหมือนกัน” และดูมันทำท่ายืดเสียด้วย
ตัวผู้เขียนเอง หลังจากลาออกจากราชการแล้ว ป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ รักษามานาน รับประทานยาหมออย่างเดียวก็จะอิ่มแล้ว ขณะนี้บุญยังมีอยู่จึงได้มีการรักษาแบบพิเศษที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน สมองเริ่มดีขึ้นๆเป็นลำดับ จำอะไรๆได้



--ที่หนึ่งในดวงใจของข้าพเจ้า

มีคนเคยบอกว่าชีวิตเหมือนละคร ในขณะนั้นข้าพเจ้าได้รับฟังก็ยังไม่รู้สึกอะไร
จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าพเจ้าและครอบครัวก็ได้เข้าไปสัมผัสกับละครในชีวิตจริง วันนั้น วันที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปพบหลวงพ่อจรัญ ชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวก็เริ่มเปลี่ยนไปมาก ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ เป็นหนี้ชีวิตหลวงพ่อจรัญ จนไม่สามารถจะทดแทนบุญคุณได้หมดสิ้น ข้าพเจ้าจึงตั้งใจจะทดแทนบุญคุณของหลวงพ่อจนชีวิตจะหาไม่ด้วยการกระทำความดีให้มากที่สุดที่จะกระทำได้
ข้าพเจ้าและครอบครัวประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างมากเป็นผู้หารายได้คน
เดียวในครอบครัวต้องตกงาน จึงต้องหารายได้โดยการค้าขายเล็กๆน้อยๆที่จตุจักร และห้างบางลำพู วิถีชีวิตของเปลี่ยนไป รายรับน้อยลง รายจ่ายสูงมากขึ้น จำเป็นต้องให้ภรรยาและลูกๆไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อลดค่าใช้จ่าย ส่วนตัวเองต้องทำงานหนักอาทิตย์ละ ๗ วัน เวลาผ่านไปเกือบ ๒ ปีข้าพเจ้าเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย จึงให้ภรรยาและลูกๆกลับมาอยู่กรุงเทพฯอีกครั้ง พอดีข้าพเจ้าได้หนังสือของหลวงพ่อจรัญมา ๑ เล่ม เป็นหนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม ๘ พิเศษ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอยากไปปฏิบัติธรรม เริ่มขยายกิจการเล็กๆจนโตขึ้นเป็นลำดับเรื่อยมา และได้ย้ายร้านจากห้างบางลำพู งามวงศ์วานมาอยู่แถวสุริวงศ์ ส่วนที่จตุจักรก็ขยายร้านขึ้นตั้งแต่ข้าพเจ้าสวดมนต์ตามบทที่หลวงพ่อท่านให้มาคือ พระพุทธคุณเท่าอายุบวก ๑ตลอดมาทุกวัน และบางวันก็ทำสมาธิด้วย เช่นเดิน ๓๐ นาที นั่ง ๓๐ นาทีข้าพเจ้าค้าขายดีขึ้นเรื่อยๆ มีคนเอาของมาขายให้ไม่แพง และสามารถขายได้ง่ายๆความคิดที่จะไปกู้ยืมเงินผู้อื่นก็หายไป ข้าพเจ้าทำสมาธิทุกเช้ามากขึ้น ทำให้รู้ความจริงต่างๆว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตของตนเอง และมีความอดทน มากขึ้น ขยันมากขึ้น มีเมตตามากขึ้น และคิดจะทำบุญมากๆ โดยเฉพาะกับหลวงพ่อจรัญ จึงทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจใน การดำรงชีวิตอย่างมีสติต่อไป

ในช่วงนั้นข้าพเจ้าต้องขับรถขึ้นทางด่วนจากประชานุกูลไปลงที่ทางด่วนสีลม ทุกวัน ปรากฏบริเวณหน้ารถข้าพเจ้ามีควันหนาทึบ ตกใจมาก ช่วงนั้นมีรถมาก
ข้าพเจ้าพยายามหาทางเข้าช่องซ้ายเพื่อจอดรถแต่ก็ทำไม่ได้มีรถมาก แถมขับด้วยความเร็วสูงด้วย เวลาผ่านไป ไม่ถึง ๒ นาที ควันหน้ารถทึบมากขึ้น จนแทบจะขับต่อไปไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็มีควันเข้ามาในรถเป็นจำนวนมาก พยายามลดกระจกไฟฟ้าลงเพื่อให้ควันในรถออกไป แต่กระจกไฟฟ้าก็ไม่ยอมทำงาน ข้าพเจ้าเกิดความกลัวขึ้นจับใจพอดีเหลือบไปเห็นสติ๊กเกอร์รูปหลวงพ่อจรัญที่ข้าพเจ้าติดไว้หน้ารถ ทำมีสติขึ้นพร้อมกับมีกำลังใจขึ้นมา ข้าพเจ้าเริ่มสวดมนต์พาหุงมหากาในใจและคิดถึงหลวงพ่อให้ช่วยด้วย พอเริ่มสวดมนต์ว่า พาหุงควันทึบขาวที่อยู่หน้ารถก็เริ่มจางลงอย่างจึงลองลดกระจกไฟฟ้าอีกครั้ง ปรากฏว่ากระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานได้ ควันในรถจึงค่อยหมดไปอย่างรวดเร็ว
พอข้าพเจ้าเอารถเข้าไปจอดบริเวณที่จอดรถที่ข้าพเจ้าจอดเป็นประจำ พร้อมกับพูดกับพนักงานรับรถว่า “รถผมมีปัญหาระบบไฟฟ้า ช่วยตามรถลากให้ผมด้วย” พักใหญ่คนรับรถวิ่งหน้าตื่นมาบอกว่ารถของข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเป็นอะไรควันขึ้นเต็มไปหมด แถมมีประกายไฟขึ้นบริเวณหน้ารถ อาจจะเกิดไฟไหม้รถได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นต้องเสียหายมากแน่ เพราะที่จอดรถบริเวณนั้นมีรถจอดจำนวนมาก และทางเข้าออกมีทางเดียวเล็กๆเท่านั้น รถที่จอดบริเวณนั้นเป็นรถของพ่อค้าเพชร/พลอย ซึ่งเป็นรถที่มีราคาแพง คนขับรถลากตะโกนบอกผมว่า “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่บิดกุญแจรถก็เกิดควันขึ้นเต็มไปหมด ทำท่าจะเกิดไฟไหม้” ข้าพเจ้าจึงรีบไปบิดกุญแจกลับ ควันจึงค่อยๆหายไปหมดเหมือนเดิม คนขับรถลากบอกกับข้าพเจ้าว่า ขับรถมาได้อย่างไรโดยไฟไม่ไหม้ เพราะปกติแล้วรถต้องเกิดไฟไหม้ไปแล้ว บางครั้งคนขับรถต้องเสียชีวิตในรถเพราะลงจากรถไม่ได้ แปลกใจมากว่าทำไมข้าพเจ้าไม่เป็นอะไร เมื่อลากรถไปถึงอู่แล้ว ช่างซ่อมรถ หลังจากตรวจสอบหมดแล้ว พบว่าระบบไฟฟ้าโดยเฉพาะสายไฟไหม้หมดทั้งคัน ต้องเปลี่ยน สายไฟและวางระบบไฟฟ้าใหม่หมดโชคดีที่ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไร และรถไม่ไหม้หมดทั้งคัน ซึ่งปกติต้องเกิดไฟไหม้รถแน่นอนจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในอดีต สมัยเด็กๆ อาจารย์วิทยาศาสตร์สอนเกี่ยวกับกำมะถัน และข้าพเจ้าได้เก็บเอากลับมาบ้านด้วย และได้ทดลองโดยการเอากำมะถันเผาไฟ
ควันของมันฉุนมากจนแทบหายใจไม่ออก ในขณะที่ข้าพเจ้าทดลองที่หน้าบ้านอยู่นั้นได้เหลือบไปเห็นเจ้าคางคกตัวหนึ่ง จึงเกิดคิดว่าเราทดลองเอาคางคกใส่ในถุง และเอาควันกำมะถันใส่ลงไปดูว่าจะเป็นอย่างไร ลงมือทันที มิได้ตั้งใจจะฆ่ามัน ปรากฏ ว่าเพียงแค่ ๒-๓ นาที ข้าพเจ้าเอาคางคกออกมาจากถุงนั้น มันตายแล้ว ตอนนั้นข้าพเจ้าเสียใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จนกระทั่งาประสบเหตุในขณะขับรถ และเปิดกระจกไฟฟ้าไม่ออก และที่มีควันเข้ามาในรถจนเกือบหายใจไม่ออก หวนนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้อย่างไร ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมมากขึ้น และเคารพรักหลวงพ่อจรัญมากขึ้นไปอีก และตัดสินใจว่าข้าพเจ้าจะขอเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อไปจนวันตาย และจะตั้งใจทำดี คิดดี พูดดี เพื่อตอบแทนพระเดชพระคุณของหลวงพ่อและครูอาจารย์





--บารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อแผ่เมตตา

วันนี้เป็นวันพระ หลวงพ่อลงมารับญาติโยมที่มากราบนมัสการหลวงพ่อ
ดิฉันได้ถวายสิ่งของและร่วมทำบุญสังฆทานวันพระกับหลวงพ่อ พอดิฉันถวายเสร็จ หลวงพ่อท่านพูดว่า “เขียนกฎแห่งกรรมมานะเล่มหน้า” ดิฉันตอบว่า “ลูกเขียนแล้วเจ้าค่ะ” ท่านก็บอกอีกครั้งว่า “เขียนมาลงเล่มหน้า-เล่มที่ ๒๐ ลงให้ละเอียด ชื่อ/ที่อยู่/รูปถ่าย” ซึ่งดิฉันก็รับคำท่านด้วยความสับสน งวยงง น้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจยิ่งนัก หลวงพ่อช่างเมตตาลูกยิ่งนัก แต่ลูกไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดิฉันได้ติดต่อซื้อที่ให้พี่คนหนึ่งจากธนาคารทหารไทย สาขาลพบุรี ผ่านกองบังคับคดี โดยได้นัดเข้าประมูลราคาและโอนเสร็จสรรพในวันเดียวกัน ด้วยความมั่นใจยิ่งว่าเป็นแปลงเดียวกับที่ได้ติดต่อเจรจาไว้หลายครั้งแล้วกับผู้ช่วยผู้จัดการธนาคาร และเจ้าหน้าที่สินเชื่อพร้อมทนายความของธนาคาร ในระหว่างการดำเนินการ ณ สำนักงานที่ดิน ก็ได้พูดคุยกับคุณป้าคนหนึ่งซึ่งซื้อบ้านและที่ดินให้ลูกๆหลายแปลงจาก
ธนาคารผ่านกองบังคับคดี คุณป้าบอกว่าเราต้องดู และตรวจสอบให้ดีว่าเป็นแปลงเดียวกันกับที่เราต้องการ เมื่อได้มีการลองสอบถามกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน ซึ่งก็ได้รับ คำตอบว่าเกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะที่หลายแปลงที่ซื้อกับธนาคารผ่านกองบังคับคดี มักไม่ใช่แปลงเดียวกันกับที่เราต้องการหรือรูปที่ธนาคารให้เราดู บังเอิญว่าขั้นตอนการโอนที่ ขอให้สำนักงานที่ดินดำเนินการได้เสร็จสิ้นแล้ว พี่เขาจึงขอให้ทำเรื่องกับงานรังวัดที่ดิน ชำระค่าใช้จ่ายพร้อมนัดหมาย เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่รังวัดตรวจสอบ พร้อมยืนยันหลักเขตที่ดินว่าเป็นแปลงที่ต้องการจริง
ดิฉันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก ได้แวะไปที่ธนาคารเพื่อขอดูรายละเอียดอีกที แต่ทางธนาคารกลับบอกว่าไม่มีรูปที่ดิฉันเคยดู มีแต่ชื่อสามีของเจ้าของที่ ดิฉันก็ไม่สบายใจ เลยกลับมาสืบว่าชื่อนี้อยู่ที่ไหน มีใครรู้จักบ้างไหม พอสืบรู้ว่าเป็นเจ้าของที่ที่ดิฉันติดต่อซื้อให้พี่เขา ดิฉันรู้สึกเสียใจมาก บอกไม่ถูก จะเป็นลมหน้ามืด เพราะที่ดินผืนที่ดิฉันซื้อไม่ใช่ผืนเดียวกันกับที่ธนาคารได้แจ้งให้ดิฉันทราบ และก็ไม่ใช่แปลงที่ดิฉันต้องการเลย รู้สึกตกใจมาก ความผิดพลาด ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนในบ้านก็ว่าทำอะไรไม่สืบดูละเอียดก่อน ดิฉันเสียใจมากร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก สับสน เข้ามาในห้องพระ ที่มีรูปหลวงพ่อ หลวงพ่อเจ้าขา..โปรดช่วยลูกด้วย ลูกจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ ดิฉันร้องไห้เสียใจอย่างไม่เคยเป็นหรือเสียใจอย่างนี้เลย อีกใจก็เป็นกังวล จะทำอย่างไร..ถ้าพี่เขารู้ พี่ต้องเสียใจและคงจะเกลียดดิฉันมาก ตกเย็นดิฉันก็สวดมนต์ไหว้พระอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่สมาธิไม่มี จิตตก สับสน เครียด กังวล สวดมนต์ไปก็ร้องไห้ไป บอก หลวงพ่อเจ้าขา ลูกทน ไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ หลวงพ่อต้องช่วยลูกนะ อีกใจก็นึกถึงคำของหลวงพ่อที่เตือนเสมอว่าให้ใช้สติ สติก่อให้เกิดปัญญา ดิฉันกำหนดเสียใจหนอๆ แต่ก็ยังอดร้องไห้ไม่ได้แม้จะสวดมนต์เสร็จแล้ว แต่ก็ยังคงนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน ใจหวิว ๆ เหมือนจะขาด
ใจ นึกถึงคนที่เขาเป็นโรคหัวใจหรือผิดหวังอย่างรุนแรง เขาคงจะมีอาการอย่างเราแน่ๆเลย
พอตีสอง ดิฉันก็ตื่นขึ้นมาปฏิบัติเหมือนที่เคยทำเสมอ คือเดินหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
นั่งหนึ่งชั่วโมงครึ่ง พอเดินได้ ๔๕ นาที หรือ ๕๐ นาที ก็ต้องลงไปนั่งเพราะจะเป็นลม ต้องดมยาหม่องพร้อมกำหนดตลอดว่า เสียใจหนอๆ ขอบารมีหลวงพ่อให้ช่วยลูกด้วย แล้วลุกเดินต่อครบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง แล้วกำหนดนั่งหนอหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เคยปฏิบัติได้ดี แต่ต้องมาสับสน กำหนดไม่ค่อยได้ เพราะยังเสียใจอยู่ พอแผ่เมตตาเสร็จ ดิฉันคู้เข่าลงก้มกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อต้องช่วยลูกนะ ลูกทุกข์ทรมานมากๆเลย ดิฉันเสียใจอยู่หลายวัน น้องชาย น้องสาว รวมทั้งแม่ก็คอยเฝ้าดูแลอย่างห่วงใยมาก น้องชายบอกว่าให้พักผ่อนบ้าง อย่าเครียด
แม่ก็บอกว่าแม่ก็เสียใจ แต่อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด เหมือนคนเราจะตาย เราก็ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน น้องสาวก็พูดว่าปัญหามีไว้ให้แก้ หลวงพ่อถึงให้เขียนกฎแห่งกรรมไงล่ะ อะไรบังตาเรา หรือเป็นเพราะกรรมเวรอะไร เชื่อไหมว่า ดิฉันรีบร้อนมาก เพราะไม่เคยซื้อที่ดินในลักษณะนี้ ต้องไปประมูลที่ กองบังคับคดี ดิฉันหาใบสำเนาทะเบียนบ้านไม่เจอ แม่ก็หาไม่เจอ ก่อนออกจากบ้านจิ้งจกก็ร้องทัก ความที่ดิฉันอยากได้ที่ดินผืนนี้มาก ปกติจะทำอะไรหรือซื้อที่ดินจะกราบอาราธนาหลวงพ่อทุกครั้ง แต่เชื่อไหมที่ผืนนี้เป็นอะไรที่รีบร้อนและไม่มีความพร้อม
ดิฉันเอาโฉนดที่ดินติดไปวัดด้วยความทุกข์ระทมและเสียใจมาก หลวงพ่อบอกให้เขียนกฎแห่งกรรม ก็เพราะทุกคนจะได้รู้ และจะได้ไม่โดนหลอกเช่นนี้ หลวงพ่อเมตตาจับโฉนดที่ดิน สายตาจ้องมองดิฉันด้วยสีหน้าที่ดิฉันบรรยายไม่ถูก พอกราบหลวงพ่อเสร็จก็โทรศัพท์เล่าความจริงให้พี่ฟัง ว่าที่ดินที่ซื้อไม่ใช่ผืนที่เราต้องการเป็นบ่อน้ำ ไฟฟ้าผ่านได้กราบนมัสการให้หลวงพ่อทราบพร้อมต่อว่าต่อขานว่า ลูกตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาตลอด ทำไมเหตุการณ์เช่นนี้ยังเกิดกับลูกอีก พูดโทรศัพท์ไปก็ร้องไห้ไป นั่งร้องที่กุฏิหลวงพ่อ พี่เป็นคนดีมาก ไม่ว่าเลยสักคำ มีแต่ให้กำ ลังใจแล้วบอกดิฉันอย่าเสียใจ
ก็ตำหนิดิฉันที่ไปต่อว่าหลวงพ่อ พร้อมทั้งให้นำดอกไม้ ธูป เทียนแพไปกราบขอขมาหลวงพ่อที่ได้ล่วงเกินไปในครั้งนี้ วันนั้นเป็นวันที่หลวงพ่อทำบุญประจำปีที่ประสบอุบัติเหตุคอหัก ดิฉันก็ออกร้านโรงทาน มีเพื่อนๆมาช่วยกันร่วมทำบุญ และวันนี้จะมีช่างรังวัดที่มาทำการรังวัดที่ดิน ผืนดังกล่าวด้วยเช่นกัน

รังวัดที่เสร็จ เจ้าของที่ข้างเคียงก็พูดว่า ซื้อที่ไม่ดูเหรอ ซื้อไปได้อย่างไร จะเอาไปทำอะไร ทำอะไรก็ไม่ได้ โง่จริงๆ แต่อีกคนก็บอกว่าอาจจะเป็นที่เวนคืนก็ได้เพราะมีข่าวว่าจะมีการตัดทางผ่านทางนี้ก็จะได้เงินเวนคืน อีกใจคิดถึง หลวงพ่อ หลวงพ่อต้องช่วยลูกและพี่พรศรีด้วยเจ้าค่ะ รังวัดเสร็จเกือบบ่ายโมง อีกใจอยากไปกราบหลวงพ่อ เพราะเตรียมธูปเทียนแพ เพื่อไปขอขมา แต่ไม่มีรถไป ติดต่อใครก็ไม่ได้ก็เลยเข้าไปกราบรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ขอให้ลูกไปทันด้วยเจ้าค่ะ ลูกเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ที่สุดพี่ขิมและปุกมารับถึงบ้าน จึงได้เดินทางไปวัด พบหลวงพี่สุธีร์ ท่านบอกหลวงพ่ออยู่ รู้สึกดีใจมาก รีบวิ่งเข้าประตูไปหลวงพ่อเจ้าขา ลูกกราบขอขมา ขออโหสิกรรมพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าค่ะ ลูกจะอยู่ปฏิบัติธรรม ๑๕ วัน จะตั้งใจปฏิบัติ จะตั้งใจเขียนกฎแห่งกรรม หลวงพ่อเมตตาอย่างสูง เข้าไปกราบและนั่งอยู่ ข้างหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อเจ้าขา ลูกตั้งใจถวายพวงมาลัยหลวงพ่อเจ้าค่ะ หลวงพ่อพยักหน้า สายตาหลวงพ่อมีแต่เมตตาและสงสารดิฉันมาก

รู้สึกปวดท้องมากระหว่างปฏิบัติธรรม ปวดในท้องข้างซ้าย ปวดจนแทบทนไม่ไหว ในใจคิดว่าเราต้องตายแน่ๆ ไม่งั้นก็ต้องส่งโรงพยาบาล แต่ก็ฝืนเดินจนครบกำหนดเวลา จากนั้นก็นั่งกำหนดปวดหนอ ปวดหนอจนหมดเวลา ได้ยินเหมือนเสียงหลวงพ่อให้จดบันทึกเลยกำหนด เสียงหนอๆตื่นตีหนึ่ง ไหว้พระ กวาดลานวัด ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ขอหลวงพ่อแผ่เมตตาให้ลูกและพี่พรศรีด้วยเจ้าค่ะ เงินที่ต้องจ่ายไปกับการซื้อที่ผิดพลาด ขอให้ได้เงินคืนมาด้วยเถิด หลวงพ่อท่านรับคำ ดิฉันรู้สึกดีใจมาก

ช่วงกลางคืนดิฉันขัดห้องน้ำ ๕๐ กว่าห้อง ขัดคนเดียว ขัดไปก็อธิษฐานจิตไป ขอให้ลูกหมดเวรหมดกรรม โรคภัยไข้เจ็บจงหาย มีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต ขอให้มีความสุข มีชีวิตยืนยาว จะได้ปฏิบัติธรรมสร้างบุญสร้างกุศล และขอให้พี่พรศรีจงมีส่วนร่วมในบุญกุศลครั้งนี้ด้วย วันนี้ดิฉันจะเดินทางไปอุบลราชธานี เพื่อไปทอดกฐินกับหลวงน้าปัญญา ท่านเดินกลับมาผ่านทางที่จะขึ้นกุฏิ ท่านพูดว่า “ไม่เป็นไร” เสียงท่านดังมาก ดิฉันดีใจและปลื้มใจเป็นอย่างมาก ทุกคนในบริเวณนั้นได้ยินกันทั่ว แต่อาการปวดท้องของดิฉันก็ยังคงอยู่ ใครที่ไม่เป็นจะไม่รู้เลยว่ามันทรมานย่างไร
วันนี้เป็นวันที่หลวงพ่อท่านจะดับไฟตะเกียงพรรษาในโบสถ์ ปกติหลวงพ่อจะจุด
ตะเกียงในช่วงเข้าพรรษา แล้วก็จะดับหลังวันออกพรรษาทุกปี
ดิฉันก็เดินไปกราบนมัสการเรียนท่านว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกปวดมาก ลูกจะไปหาหมอ” หลวงพ่อพยักหน้าและบอกให้เขียนกฎแห่งกรรม ช่วงที่รอก็เหลือบไปเห็นน้ำมัน ก็เดินไปขอหลวงพี่ หลวงพี่บอกจะเก็บไปให้หลวงพ่อเพราะหลวงพ่อไม่ได้สั่งให้แจก ปีนี้จะเก็บ อาตมามีน้ำมันมนต์เก่าปีที่แล้ว โยมเอาไปรับประทานนะ คนเป็นมะเร็งในลำไส้กินได้ผล ดิฉันดีใจมาก มีหลวงพี่หลายรูปที่บอกเป็นห่วง ทั้งที่ดิฉันไม่เคยบอกเลยว่าดิฉันเป็นอะไรและทรมานแค่ไหน

อยู่รอทำวัตรเย็นเสร็จก็กลับบ้าน ตอนเย็นสวดมนต์แผ่เมตตา นอนประมาณตี ๒ ช่วงที่ ปฏิบัติเดินก็ปวด ก็กำหนดปวดหนอ ปวดหนอ ปวดจนแทบเดินไม่ไหว แต่ก็ฝืนเดินจนครบแล้วก็นั่ง กำหนดนั่งหนอ นั่งหนอ แผ่เมตตาแล้วก็ขอบารมีหลวงพ่อให้ช่วยลูกด้วย อย่าให้ลูกเป็นโรคร้ายเลย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งในลำไส้หรือโรคร้าย ขออย่าได้เกิดขึ้นกับลูกเลย ลูกยังไม่อยากตาย ลูกยังทำบุญไม่พอ ยังสร้างความดีไม่พอเลย หลวงพ่อเจ้าขา ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ หลวงปู่โต ช่วยลูกด้วย ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ช่วยลูกด้วย เจ้าบุญนายคุณ เจ้ากรรมนายเวร ลูกไม่ไหวแล้ว โปรดเมตตาลูกด้วย ดิฉันจะอธิษฐานจิตขอหรือพูดเช่นนี้เป็นประจำดิฉันไปโรงพยาบาลที่ลพบุรี หมอให้ยามากิน อาการปวดที่ท้องยังคงแสดงอาการที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ทรมานมาก แต่ดิฉันกินยาหลวงพ่ออยู่แล้ว โดยจะอธิษฐานจิตก่อนกินเสมอ สวดมนต์แล้วก็กินหลังจากที่ได้ปฏิบัติธรรม เดินและนั่งเสร็จก็ล้มตัวลงนอน คืนนี้เป็นคืนที่ดิฉันจำได้อย่างแม่นยำมาก เพราะฝันเห็นหลวงพ่อ แล้วก็มีสมเด็จปู่โต หมอปู่ชีวกฯ นั่งล้อมวง หลวงพ่อท่านนั่ง หมอปู่ชีวกท่านก็นั่งนับลูกประคำ ในฝันดิฉันเห็นท่านหมุนเป็นวงรอบๆ ประมาณ ๒ หรือ ๓ รอบ ดิฉันก็นั่งอยู่ หลวงพ่อท่านยกกระป๋องใบหนึ่ง เป็นกระป๋องสีเหลืองที่มีน้ำอยู่ข้างในเทใส่ดิฉันแล้วดิฉันก็ตื่น มองไปที่นาฬิกาเป็นเวลาตี ๔ ตื่นขึ้นมาก็นึกถึงหลวงพ่อ ดิฉันเดินไปที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็ง
หมอบอกว่าให้เอายาไปทานก่อน ดิฉันยืนยันขอเอ็กซเรย์ แต่หมอก็ไม่ยอมเอ็กซเรย์ให้ กลับมาบ้านก็ปวดเช่นเดิม ก็ทนปวด แต่ก็กินยาหลวงพ่ออยู่ตลอด วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ อยู่ปฏิบัติธรรมเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ในหลวงของแผ่นดิน รวมทั้งผู้มีพระคุณทั้งหลาย เมื่อเริ่มปฏิบัติรู้สึกปวดท้องมาก แต่ใจต้องสู้กับอาการปวดนั้น คิดและเชื่อมั่นในใจว่าเราอยู่ใกล้หลวงพ่อ ไม่ต้องกลัวอะไร สิ่งที่ดิฉันถือปฏิบัติ คือจะไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นมังสวิรัติถ้าเป็นวันพระ และจะกินมื้อเดียว ซึ่งดิฉันได้ทำมาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องนานแล้ว ไม่มีใครบังคับ แล้วก็ไม่ได้ให้สัจจะกับใครหรือแม้แต่ตัวดิฉันเอง แค่คิดว่าเราทำได้ก็จะทำไปเรื่อยๆ

ดิฉันเป็นมากถึงกับถ่ายออกมาเป็นเลือด แต่จิตที่ตั้งมั่นในบารมีหลวงพ่อว่า ไม่เป็นไร แต่ก็ต้องชดใช้กรรม อาจจะเคยทำร้ายใครมาก่อนในอดีตชาติก็ได้ ถึงได้ทรมานขนาดนี้ ดิฉันกินยามะขามของหลวงพ่อแล้วอธิษฐานจิตขอบารมีหลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ขอให้ลูกหายจากโรคที่เป็นอยู่นี้ ดิฉันออกเดินทางจากบ้านเพื่อไปที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน อยู่แถวถนนสีลม

วันนั้นดิฉันได้นำเหรียญหลวงพ่อไปด้วย เอาไป ๓ องค์
ดิฉันเล่าอาการให้หมอฟังว่า เวลาปวดท้องมากๆแล้วท้องจะร้อน เสียงจะดัง ปวดแล้วจะเจ็บมากโดนภายนอกก็ไม่ได้ จะรู้สึกเจ็บ คุณหมอเลือกใช้วิธีการตรวจเบื้องต้นด้วยการอัลตราซาวนด์ซึ่งใช้เวลานานมาก ไม่พบอะไรผิดปกติ อาการปวดก็ยังคงปวดและยิ่งปวดมากขึ้น ในการตรวจขั้นต่อไป คนไข้จะต้องงดน้ำและอาหาร เพื่อขอตรวจสแกนคอมพิวเตอร์ เจาะเลือดไปตรวจ แล้วเข้าห้องสแกนคอมพิวเตอร์เสร็จแล้วก็กลับมานอนที่ห้อง หลายชั่วโมง
เหมือนกัน คุณหมอบอกว่า พบเม็ดคล้ายติ่งยื่นมานิดหนึ่งในตับ ซึ่งอาจพบได้ในคนทั่วไป ไม่มีอันตรายมาก ให้มาตรวจซ้ำประมาณหนึ่งปีถัดไป ให้มั่นใจว่าขนาดไม่โตขึ้น แต่อาการดังกล่าวยังไม่ใช่จุดที่ปวด คุณหมอจึงขอใช้วิธีส่องกล้อง โดยคนไข้ต้องงดน้ำ อาหาร หลังเที่ยงคืน เพื่อเจาะเลือดไปตรวจ แล้วเอาอุจจาระไปตรวจประมาณ ๖ โมงเช้า ให้ดื่มน้ำทีละแก้ว น้ำนั้นเป็นยาคล้ายแป้งขาว กลืนยากมากจำนวน ๔ แก้วต่อ ๒ ชั่วโมง ตรวจเสร็จแล้วมานอนที่ห้องพักฟื้น พอเย็นหมอมาเยี่ยมไข้และบอกว่ากระเพาะเป็นแผลติดเชื้อค่อนข้างรุนแรง เป็นพยาธิเล็กน้อย จึงได้สั่งยาที่ค่อนข้างแรงโดยผ่านทางสายน้ำเกลือ พร้อมยาทานขณะพักฟื้น ส่วนยาถ่ายพยาธิให้กลับไปกินที่บ้าน
วันพระ ก็ไปวัดตามปกติได้กราบนมัสการหลวงพ่อช่วง ๑๐ โมงเช้า หลวงพ่อถาม เริ่มเขียนกฎแห่งกรรมหรือยัง ดิฉันตอบว่า จะเริ่มเขียนเจ้าค่ะ หลวงพ่อท่านพยักหน้า อาการปวดท้องของดิฉันเริ่มดีขึ้น ปวดน้อยลง และดิฉันก็เริ่มห่างจากการกินยาหมอ





 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:56:57 น.  

 

--ปฏิบัติธรรมทำให้ชีวิตธรรมดากลายเป็นไม่ธรรมดา

ดิฉันเป็นชาวคริสต์อีกคนหนึ่งที่ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อจรัญ
ให้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จนกระทั่งทำงานเป็นพนักงานธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ในปี พศ๒๕๔๔ เกิดวิกฤตทางการเงินใน ประเทศไทย ทำให้สถาบันการเงินต่างๆเริ่มมีปัญหา ทางธนาคารให้โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดกับพนักงาน เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่ง ดิฉันจึงตัดสินใจลาออก และกลับไปอยู่กับคุณแม่ที่ชลบุรี ช่วงระยะเวลา ๖ เดือนหลังจากลาออก เป็นช่วงที่ดิฉันเป็นทุกข์ เนื่องจากเริ่มป่วยทั้งกายและใจ รู้สึกหมดหวังกับชีวิตและขาดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งตอน เช้ามืดเวลาประมาณตี ๔ ดิฉันได้ฝันเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่ รอบกายของท่านเป็นแสงสีน้ำเงินทั้งหมด สักพักหนึ่งมีตัวอักษรใหญ่มากปรากฏขึ้นว่า “วัดอัมพวัน” ดิฉันได้ติดต่อสอบถามไปยังเพื่อนสนิท ซึ่งพอดีเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เขาสัญญาว่าจะพาดิฉันไปที่วัด แต่ความที่เขางานมากไม่มีเวลา ดิฉันจึงไม่ได้ไปสักที ดิฉันจึงตัดสินใจกำหนดวันที่จะไปวัดด้วยตนเอง แต่ปรากฏว่าก่อนหน้านั้นเพียง ๑ วัน ดิฉันได้งานทำ จึงต้องไปเริ่มงานที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง แทนการเดินทางไปสิงห์บุรี
ดิฉันเริ่มศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง โดยการอ่านหนังสือธรรมะทั้งของท่าน
พุทธทาส หนังสือที่เกี่ยวกับวัดอัมพวัน เข้าฟังบรรยายธรรมะ สนทนาธรรม ทำ
สังฆทาน บริจาคหนังสือสวดมนต์ ฯลฯ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสวดมนต์บท
พาหุงมหากาและอิติปิโส ตามที่หลวงพ่อแนะนำ ดิฉันปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน ในตอนแรก ดิฉันไปทั้งโบสถ์คริสต์ตอนเช้า และไปวัดสุทัศน์สวดมนต์ตอนบ่าย แต่ในที่สุดดิฉันพบว่า การเลือกเดินเส้นทางเดียว ทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้บรรลุได้เร็วกว่าการปฏิบัติทั้งสองอย่าง ปัจจุบันดิฉันเลือกที่จะปฏิบัติศาสนกิจทางพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชีวิตของดิฉันในโรงเรียน เรียบง่าย ปราศจากปัญหาใดๆ มีปัญหาสุขภาพบ้าง แต่สุขภาพจิตเริ่มดีขึ้น ดิฉันเริ่มไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน และปฏิบัติเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ชีวิตของดิฉันดีขึ้นเป็นลำดับ เพื่อนร่วมงานให้ความร่วมมือในการทำงานเป็นอย่างดี ซึ่งต่างกับในอดีตที่ดิฉันเคยเป็นพนักงานธนาคาร ซึ่งนอกจากจะเอารัดเอาเปรียบกันแล้ว ยังหาทางทำลายล้างกันตลอดเวลา ผู้บังคับบัญชาให้ความไว้วางใจ แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าระดับ ทั้งๆที่อายุงานเพียง ๑ ปี ปัจจุบันดิฉันได้รับตำแหน่งเป็นผู้บริหาร คือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่และความเคารพนับถือจากลูกน้อง ทำให้อุปสรรคต่างๆน้อยลง ที่เป็นเช่นนี้ดิฉันคิดว่าทั้งหมดนี้คืออานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตใจสงบเยือกเย็น รู้จักคิดก่อนทำหรือพูด มีเมตตาต่อผู้อื่น ยังเป็นการเสริมบารมีผู้ปฏิบัติให้มีผู้รักใคร่ยำเกรงอีกด้วย
หลวงพ่อได้สอนให้มีความกตัญญูต่อบิดามารดา ซึ่งเดิมเป็น
เดิมเป็นสิ่งที่ดิฉันมองข้ามไป หลวงพ่อให้นึกถึงพระคุณของแม่ทุกครั้งที่ดิฉันปฏิบัติธรรม และแผ่เมตตาให้ท่าน ดิฉันสำนึกผิดที่ได้ล่วงเกินท่านตลอดมา โดยเฉพาะคุณแม่ ดิฉันได้กราบขอขมาคุณแม่และท่านอโหสิกรรมให้ ตลอดเวลาสี่สิบกว่าปี ดิฉันเป็น “ลูกชัง” ของแม่มาตลอด เพราะชอบว่าและทำตัวไม่เข้าใจท่าน ตำหนิท่านโดยใช้คำพูดรุนแรงเสมอ ปัจจุบันดิฉันและคุณแม่รักกันมาก เราห่วงใยกันเสมอเราไปทำบุญที่วัดอัมพวันและพูดดีๆต่อกันตลอดเวลา ซึ่งทำให้ปัจจุบันดิฉันเป็น “ลูกรัก” ไปแล้ว ชีวิตของดิฉันตอนนี้มีความสุขมาก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง



--ปฏิบัติธรรมสู้ชีวิต

ถ้าไม่ได้หลวงพ่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ ดิฉันคงไม่มี
กำลังใจจะสู้ชีวิตต่อไปได้ ชีวิตก็มีความสุขดี แต่สามีค่อนข้างจะเป็นคนเจ้าชู้ เขามีภรรยามาแล้ว ๒ คน ดิฉันเป็นคนที่ ๓ ภรรยา ๓ คนรวมกันมีบุตรทั้งหมด ๗ คน โดยทั่วไปคนที่เป็น เมียน้อยมักจะไม่ค่อยมีความสุขสั
เท่าไหร่ ใจของดิฉันเองไม่ได้อยากที่จะมีคู่ครองในสภาพนี้ แต่ด้วยบุญกรรมถึงได้มาเจอสภาพที่ทุกคนไม่ยอมรับ แต่ดิฉันก็ต้องทนเพื่อลูกทั้ง ๒ คน และความผูกพันในครอบครัวพักหลัง ๆ สามีก็เริ่มเข้ามาปฏิบัติธรรม ครั้งแรกก็คือวัดอัมพวันแห่งนี้ สามีของดิฉันก็เริ่มไม่สบาย มีอาการแน่นที่หน้าอก ได้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลศิริราช หมอบอกว่าเป็นอาการของโรคหัวใจหลังจากนั้นสามีของดิฉันก็เข้าๆออกๆโรงพยาบาลมาโดยตลอด แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น หมอได้แนะนำให้ผ่าตัดแต่สามีของดิฉันไม่ยอมผ่า เขาบอกว่าผ่าก็ตาย ไม่ผ่าก็ตาย เรามา ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ต้องกลัวตาย แล้วสามีดิฉันก็เริ่มชวนดิฉันให้ไปปฏิบัติธรรมกับเขาที่วัดอัมพวัน
เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นหลวงพ่อ ดิฉันมีความสุขและรู้สึกตื้นตันใจเป็นที่สุด “น้ำตาแห่งความดีใจมันไหลออกมา” พอดิฉันเริ่มมาปฏิบัติธรรม สามีของดิฉันก็ไม่ค่อยมาปฏิบัติ แต่จะเป็นฝ่ายไปรับไปส่งเสียมากกว่า เหตุเพราะว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง
คราวนี้มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นกับตัวดิฉันในวันที่ ๓ ของการปฏิบัติธรรมช่วงเวลาประมาณ ๒ หลังจากดิฉันได้เดินจงกรมเสร็จแล้ว ทุกคนก็จะนั่งทำสมาธิ ระหว่างที่ดิฉันนั่งจิตนิ่งเป็นสมาธิ ดิฉันได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งมายืนตรงหน้าประตูทางเข้าห้องปฏิบัติ ผู้ชายคนนี้ดูท่าทางซูบผอมและอิดโรยมาก เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็ดูเก่าเสียจนเกือบจะขาด ดิฉันก็กำหนด เห็นหนอ เห็นหนอ อยู่หลายครั้ง ผู้ชายคนนั้นก็ยังไม่หายไปไหน แล้วดิฉันก็เห็นเขายกมือไหว้มาทางดิฉัน เหมือนจะอนุโมทนาบุญกับดิฉัน แล้วร่างนั้นก็จางหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่า แต่ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร ในวันที่ ๕ ของการปฏิบัติ เวลา ๒ ทุ่มเช่นเดิม พอเดินจงกรมเสร็จแล้ว ดิฉันก็นั่งสมาธิ ๓๐ นาที ดิฉันก็เห็นผู้ชายคนเดิมอีกครั้ง ยืนอยู่ที่เดิมหน้าตาสดใส จากสภาพที่ใส่เสื้อผ้าเก่าๆจนเกือบจะขาดมาให้เห็น แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นคนละคน มายืนอยู่ที่หน้าประตู แล้วดิฉันก็กำหนด เห็นหนอ เห็นหนอ ร่างของชายคนนั้นก็ไม่หายไป ยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่มันแปลกตรงที่ว่า ร่างของชายคนนั้นที่ยืนอยู่ทำไมจึงมีสุนัขสีดำยืนซ้อนกันอยู่ สุนัขตัวนั้นดิฉันสังเกตว่าตรงคอของมันจะมีขนสีขาวอยู่ และขาข้างหน้าก็มีขนสีขาวอยู่เช่นกัน ดิฉันเพ่งดูด้วยจิตและจำได้อย่างแม่นยำ ดิฉันกลับมากำหนดเห็นหนอ
เห็นหนอต่อ แล้วร่างนั้นที่ซ้อนกันอยู่ก็หายไป ดิฉันนั่งต่อจนได้เวลาแผ่เมตตาตอน ๓ ทุ่มพอดี ดิฉันครุ่นคิดในใจว่าสิ่งที่ดิฉันได้เห็นนั้น มันเป็นอะไรกันแน่ หลังจากกลับถึงกรุงเทพฯได้เดือนเศษ ดิฉันก็กลับไปปฏิบัติธรรมอีกในปีเดียวกัน ครบ ๗ วัน สามีของดิฉันก็มารับกลับ ลูกๆก็มาด้วย แต่มันแปลกตรงที่ว่าลูกสาวของดิฉันได้อุ้มลูกสุนัขสีดำเพศผู้อยู่ด้วย พอดิฉันเห็นก็จำได้ทันที
สามีดิฉันถามว่า “ใช่สุนัขตัวนี้ไหม” ดิฉันบอกว่า “ใช่” ดิฉันถามเขาว่าไปได้ลูกสุนัขตัวนี้มาจากที่ไหน สามีดิฉันบอกว่ามันอยู่ในวัดนี้ เราก็เลยตกลงกันว่าจะนำ ลูกสุนัขตัวนี้ไปเลี้ยงที่กรุงเทพฯ สามีก็เลยยกมืออธิษฐานจิต ขอลูกสุนัขตัวนี้กลับไปเลี้ยงที่กรุงเทพฯ พวกเราตั้งชื่อให้สุนัขตัวนี้ว่า เจ้านิล พวกเรารักมันมาก กลับมาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้อีกครั้ง ดิฉันอยู่ปฏิบัติ ๗ วัน ครั้งนี้มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นกับดิฉันอีก ในวันที่ ๕ ของการปฏิบัติธรรม เวลา ประมาณ ๒ ทุ่ม ดิฉันกำลังนั่งสมาธิอยู่ จิตสงบนิ่ง ดิฉันเห็นสามีเดินไม่มีหัว ซึ่งตอนนั้นสามีของดิฉันได้อยู่ที่กรุงเทพฯ ดิฉันกำหนดเห็นหนอ เห็นหนอ ก็ไม่หาย แต่ดิฉันรู้สึกว่ามันเหมือนมีลูกไฟกลม ๆ พุ่งออกจากหน้าผากของดิฉัน ลูกไฟนั้นพุ่งตรงไปที่ร่างของสามีประมาณ ๓๔ ลูก แล้วก็แตกกระจายที่ร่างของสามีดิฉัน จากนั้นภาพนั้นก็จางหายไป ดิฉันกำหนดเห็นหนอเห็นหนอ เวลาผ่านไปจนครบกำหนดแผ่เมตตา ตอน ๓ ทุ่ม ดิฉันไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แม้แต่สามีของดิฉันเอง ดิฉันได้ไป ปฏิบัติธรรมอีกครั้งหนึ่ง ดิฉันเอนตัวลงนอนแต่ยังไม่ทันได้หลับตาดี ก็ได้ยินเสียงคนหลาย ๆ คน หัวเราะกันดังมาก แต่ในความรู้สึกของดิฉันตอนนั้นมันหนาวเย็นไปจับขั้วหัวใจ เสียงนั้นมันก้องกังวานมีอำนาจลึกลับบอกไม่ถูก มีทั้งเสียงเด็กและผู้ใหญ่มากมายรวมกันอยู่ ดิฉันหนาวสั่นไปหมดทั้งตัว ดิฉัน
กำหนดเสียงหนอเสียงหนอ แล้วก็แผ่เมตตาให้พวกเขาเหล่านั้น แล้วเสียงนั้นก็หายไปในที่สุด ดิฉันรู้สึกเพลียและอ่อนแรงเป็นอย่างมาก บวกกับอาการที่หนาว
สั่น ดิฉันตั้งสติแล้วลุกขึ้นนั่ง พอดีได้เวลาเข้าทำวัตรเย็น ปกติสามีของดิฉันจะมารับกลับพร้อมลูกๆ แต่วันนี้ดิฉันกลับกรุงเทพฯเอง เพราะดิฉันมากับเพื่อน พอถึงกรุงเทพฯ ดิฉันเห็นสามีและลูกๆนั่งอยู่ในบ้าน แต่ดิฉันสังเกตเห็นสีหน้าของสามีดูหมองคล้ำ แต่ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร
ตอน ๘ โมงเช้า ดิฉันเห็นสามีให้อาหารปลาที่อยู่
ในตู้ปลา พอสามีนั่งลงบอกว่าแน่นหน้าอก แต่คราวนี้เป็นหนัก เขาลงนอนกับพื้นอาการของคนหายใจไม่ออก ดิ้นทุรนทุราย ดิฉันตกใจมาก นึกขึ้นได้ว่าต้องปั๊มหัวใจให้เขา ดิฉันต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ดิฉันปั๊มหัวใจอยู่ครู่หนึ่ง สามีดิฉันก็เกิดอาการปัสสาวะไหลออกมาเต็มไปหมด ดิฉันตกใจเป็นที่สุด รีบวิ่งออกไปเรียกให้คนช่วย พอดิฉันเข้าไปในบ้านก็เห็นสามี อ้าปากพะงาบพะงาบอยู่ แต่มีสุนัขคือเจ้านิลที่พามา จากวัดอัมพวันอยู่ตรงขาของสามีดิฉัน มันแปลกตรงที่เจ้านิลมันร้องครวญครางแล้วมันก็เอาขามาเกยตรงร่างของสามีดิฉัน และกอดทับไว้เหมือนมันรู้ว่ากำลังจะเสียของรักไป ดิฉันปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้น แล้วเพื่อนบ้านก็ช่วยกันหามสามีดิฉันไปส่งโรงพยาบาลศิริราช พอถึงโรงพยาบาลคุณหมอและพยาบาลก็ช่วยกันปั๊มหัวใจ ในที่สุดก็ไม่สามารถช่วยชีวิตสามีของดิฉันไว้ได้ ดิฉันได้นึกย้อนถึงตอนที่ดิฉันเห็นภาพเมื่อ ๓ เดือนก่อน ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะเป็นความจริง ดิฉันไม่ได้แก้ไขอะไรเลย แต่พอมานึกถึงตอนนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้วดิฉันได้จัดการสวดศพ ๗ คืน ช่วงคืนวันที่ ๔ ดิฉันได้ฝันไปว่าสามีมาหาดิฉันแล้วบอกว่า อีก ๒ ปี เธอแต่งงานใหม่นะ ตอนนั้นดิฉันได้แต่เสียใจ ไม่ได้คิดเรื่องฝันแต่ดิฉันก็จดบันทึกไว้ ตลอดระยะเวลา ๗ คืนส่วนเจ้านิลสุนัขตัวนั้นมันอาละวาด มันเที่ยวกัดคนแถวนั้น มันไปกัดลูกเขาดิฉันต้องเสียเงินค่ารักษาให้เขา เจ้านิลเหมือนสุนัขบ้าหลังจากงานศพแล้ว ๓ เดือนเศษ เจ้านิลก็ตรอมใจตายไป หลังจาก ๔ เดือนผ่านไปดิฉันก็ไปปฏิบัติธรรมอีก ๗ วัน แล้วดิฉัน
ได้สอบถามเรื่องราวที่ดิฉันได้เห็น เมื่อตอนที่สามีดิฉันเดินไม่มีหัวกับแม่ครูพรรณทิพย์ ท่านบอกว่าเป็นเรื่องจริง สิ่งที่ดิฉันเห็นมันไม่ใช่ภาพลวงตา
แล้วที่เหมือนกับลูกไฟกลมๆพุ่งตรงไปยังร่างของสามีดิฉันนั้น เป็นแสงแห่งบุญ
กุศลที่ดิฉันได้ปฏิบัติธรรม แม่ครูบอกว่าสามีดิฉันจะต้องเสียชีวิตภายใน ๗ วัน นับจากที่ดิฉันได้เห็น แต่แสงแห่งบุญกุศลได้ช่วยต่ออายุของสามีดิฉันให้อยู่มาได้ถึง ๓ เดือน เพราะสามีของดิฉันเขาได้หมดอายุขัยตั้งแต่ดิฉันเห็นเขาไม่มีหัวแล้ว ดิฉันได้แต่อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้เขาเท่านั้น หลังจากที่สามีดิฉันได้เสียชีวิตไปประมาณ ๑ ปี ภรรยาทั้ง ๒ คนของเขารวมตัวกันที่จะขายบ้านหลังที่ดิฉันอยู่กับลูก ซึ่งมันเป็นบ้านและที่ดินของสามี ดิฉันเริ่มเครียดอีกครั้ง กลัวไม่มีบ้านให้ลูกๆอยู่ ภรรยาทั้ง ๒ คนมาหาดิฉันแล้วปรึกษากันว่า ถ้าขายก็ต้องแบ่งเงินให้เท่า ๆ กัน โดยผู้จะรับมรดกจะต้องเป็นลูกทั้ง ๗ คนเท่านั้น แล้วดิฉันก็ได้ดำเนินเรื่องขึ้นศาล เพื่อร้องขายที่ดินแทนลูก ๆ เพราะลูก ๆ อายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี ศาล
ก็อนุญาตให้ขายได้ แต่มีกำหนดระยะเวลา ๑ ปี ก็มีคนมาติดต่อซื้ออยู่บ้างแต่ก็หายไป ไม่ติดต่อมาอีก จนเวลาจะครบกำหนด ๑ ปี ดิฉันเริ่มเครียดอีกครั้งหนึ่ง เพราะดิฉันต้องเสียเงินค่าทนาย แต่ที่ดินยังขายไม่ได้ ดิฉันก็ได้ไปปฏิบัติธรรมอีกเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อให้ได้ผลสำเร็จ ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ดิฉันได้อธิษฐานจิตทุกวันเพื่อให้ขายที่ได้ ดิฉันอยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติธรรมทุกวันและอธิษฐาน จิตทุกวัน นึกถึงหลวงพ่อท่านด้วย พอเข้าเดือนที่ ๓ ดิฉันก็ได้รับข่าวดี เมื่อมีคนมา ติดต่อซื้อในราคา ๒๙ ล้านบาท และได้แบ่งเงินให้กับลูกๆทั้ง ๗คนเท่า ๆ กัน เพื่อความยุติธรรม ดิฉันไปซื้อบ้านให้ลูกอยู่ที่บางแค ดิฉันดีใจมากที่ผลการปฏิบัติธรรมของดิฉันเป็นผลสำเร็จด้วยการอธิษฐานจิตทุกวัน แต่ชีวิตดิฉันก็ไม่ดีขึ้นเลย เพราะกฎหมายคุ้มครองเด็กเขาเก็บเงินของลูกดิฉันไว้ทั้งหมด

ดิฉันต้องจ้างทนายขึ้นศาล เพื่อนำเงินออกมาใช้จ่ายรายเดือน แต่ก็ไม่พอใช้
ดิฉันต้องออกทำงานเพื่อหารายได้มาช่วยจุนเจือครอบครัวเพื่อความอยู่รอด ทุกวันนี้ดิฉันยังติดค่าทนายบางส่วน ดิฉันยอมรับว่าไม่สบายใจแต่ก็ไม่เคยท้อแท้ เพื่อลูกหลังจากนั้นชีวิตฉันได้แปรผันอีกครั้งเมื่อพบ ผู้ชายคนหนึ่งเป็นหนุ่มโคราช เขาไม่รังเกียจอดีตที่ผ่านมาของดิฉัน เราได้แต่งงานกันทั้งพ่อแม่พี่น้อง และลูกๆของดิฉันก็ยินดีด้วย เราเข้ากันได้ดี แต่เราต้องแยกกันอยู่เพราะว่าเราต่างมีความจำเป็นเหมือนกันทั้งสองฝ่าย แต่เราจะไปมาหาสู่กันตลอด ไม่น่าเชื่อเลยว่าฝันนั้นจะเป็นเรื่องจริงต่อมาย่างปีที่ ๔ ชีวิตรักของเราก็มีปัญหา เมื่อดิฉันรู้ว่าเขามีผู้หญิงคนใหม่หรืออาจเป็นกรรมของดิฉัน ก่อนจะไปโคราช ดิฉันนิมิตฝันเห็นหลวงพ่อว่า หลวงพ่อท่านมาหาดิฉัน ท่านยืนมองมาที่ดิฉัน แววตาของท่านบ่งบอกว่าเป็นห่วงดิฉัน เหมือนกับท่านมาให้รู้ว่าเราจะมีปัญหา ให้มีความอดทน ให้มีสติแก้ไขปัญหา ดิฉันไปโคราช ดิฉันไปโดยไม่ได้บอกให้เขารู้แล้วมรสุมชีวิตก็เกิดขึ้นกับดิฉัน พอไปถึงแทบช็อก เขามีผู้หญิงอยู่ในบ้าน เรามีปากเสียงกัน แล้วชีวิตรักของดิฉันก็พังทลายอีกครั้ง เมื่อเขาบอกว่าเขาเลือกผู้หญิงคนนั้น เขาออกไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้นโดยที่ไม่เหลียวหันกลับมาดูดิฉัน แม่ของเขาเห็นดิฉันก็ได้แต่ ปลอบใจ ดิฉันกลับกรุงเทพฯด้วยความเจ็บปวด พอดีเป็นช่วงใกล้ปีใหม่ ดิฉัน
ก็เลยไปปฏิบัติธรรมอีกเช่นเคย
ดิฉันได้ฟังโอวาทของหลวงพ่อ ดิฉันสบายใจขึ้นมาก ไม่โกรธเขาและผู้หญิงคนนั้น ดิฉันให้อภัยและอโหสิกรรมให้เขาทั้งสอง คน และให้เขาทั้งสองคนมีความสุข


ดิฉันก็กลับกรุงเทพฯและอยู่กับลูกๆ ดิฉันยังคงทำงานและมีชีวิตตามวิถีทางของดิฉันเช่นเดิม ทุกวันนี้ดิฉันปฏิบัติธรรมสวดมนต์ทุกเช้าเย็น ดิฉันมีลูกเป็นที่รัก ยามใดที่ดิฉันรู้สึกท้อแท้ ดิฉันจะนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อท่าน ก็จะมีกำลังใจขึ้นมาทุกครั้ง ดิฉันจะสู้ชีวิตต่อไปเพื่อลูกๆของดิฉัน แม้เรื่องคู่ครองชีวิตรักของดิฉันจะพังทลาย แต่ดิฉันก็มีลูกๆเป็นที่รักและเป็นกำลังใจ

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:57:29 น.  

 

--ผลที่ได้จากการปฏิบัติ

รับราชการเป็นพยาบาลวิชาชีพระดับ ๗ ได้อยู่ปฏิบัติ ๒ คืน ๓ วัน ท่านสอนข้าพเจ้าได้มากมายหลายเรื่อง และที่แปลกใจคือ หลังจากกลับจากการปฏิบัติแล้ว ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรในการบรรยายเรื่อง “ยาเสพติด” โดยปกติข้าพเจ้าไม่มีความสามารถที่จะพูดหน้าเวที หรือพูดทางไมโครโฟนได้เลย จะมีอาการสั่น พูดติดๆขัดๆ เนื้อหาที่พูดก็ไม่รู้เรื่อง แต่หลังการบรรยายครั้งนั้น ข้าพเจ้าภูมิใจในตัวเองมากที่สามารถพูดได้ชัดเจนไม่สั่น คนฟัง เข้าใจ อาจารย์ที่โรงเรียนชม เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ชมว่าพูดได้ดี ทำให้ข้าพเจ้ากลับเข้าไปปฏิบัติอยู่บ่อยๆ
ได้พาแม่ไปปฏิบัติด้วยผลบุญทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขและโชคดีเรื่อยมา โดยเฉพาะเรื่องการเรียนข้าพเจ้าสามารถสอบเรียนต่อในระดับปริญญาโทได้ที่คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งก่อนหน้านั้นข้าพเจ้าเคยสอบหลายครั้งแต่สอบไม่ได้ พ่อแม่ไม่มีเงินพอที่จะส่งเรียนมหาวิทยาลัยได้ เนื่องจากเป็นชาวไร่ที่ฐานะยากจนมาก ข้าพเจ้าถือว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขกับชีวิตสามารถผ่านปัญหาทุกๆปัญหาที่เข้ามาในชีวิตได้ง่ายขึ้น



--พระคุณหลวงพ่อ อันประมาณมิได้

ในวันนั้นผมได้กราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรื่องการขออโหสิกรรม ต่อบิดา ผู้ซึ่งผมไม่เคยได้พบหลังจากที่ท่านได้แยกทางกับคุณแม่ตั้งแต่ผมมีอายุ ๘ ปี และตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณแม่ก็จะเล่าเรื่องที่ไม่
ดีของคุณพ่อให้ฟัง ในวันนั้นหลวงพ่อได้บอกกับผมว่า ให้จุดธูปต่อหน้าพระพุทธรูปและ
กล่าวคำขออโหสิกรรมต่อท่าน เพราะเราไม่รู้ว่าคุณพ่อจะอยู่ดีหรือไม่อย่างไร
ในเวลาต่อมาอีกประมาณ ๒ อาทิตย์ ผมได้รับมอบหมายภารกิจราชการไปยังจังหวัดนครพนม ซึ่งผมจำได้ว่าเป็นจังหวัดที่คุณพ่อย้ายไปอยู่หลังจากแยกทางกับคุณแม่ จึงได้ให้ทางตำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ ในที่สุดผมก็สามารถติดต่อกับน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกคุณพ่อที่เกิดกับภรรยาคนใหม่ ผมและครอบครัวกับน้องๆก็ได้เดินทางไปพบคุณพ่อที่จังหวัดสกลนคร และเป็นโอกาสที่ผมได้มีโอกาสกราบลงตรงหน้าแทนที่จะเป็นแค่การอธิษฐานจิต เมื่อผมได้ไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านได้มีเมตตาสอบถามถึงคุณพ่อว่ามีความเป็นอยู่ดีหรือไม่อย่างไร และบอกกับผมว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะเป็นกฎแห่ง
กรรม
ครอบครัวธรรมะ
ผมและภรรยาได้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง โดยจะตื่นในเวลาประมาณ
๔.๓๐ น. เพื่อสวดมนต์และ ปฏิบัติกรรมฐานในตอนเช้า ทุกครั้งที่ไปวัดผมและภรรยาจะพาลูกๆทั้งสองคน ตั้งแต่ทั้งคู่ยังเล็กๆ เพื่อที่จะได้ปลูกฝังลักษณะนิสัยการเข้าวัดให้ตั้งแต่เด็ก โดยลูกทั้งสองเมื่อเห็นพ่อแม่สวดมนต์และปฏิบัติก็จะสนใจ ได้สอนให้ทั้งคู่สวดมนต์พาหุงมหากาฯ และพุทธคุณก่อนเข้านอนทุกวัน และอานิสงส์ จากการสวดมนต์เป็นประจำ
ทำให้เด็กทั้งคู่มีจิตใจดี การเรียนดี มีความซื่อสัตย์ และสามารถแยกบุญและบาปได้ เกรงกลัวการทำบาป มีความเมตตาสงสารสัตว์ ลูกชายคนโตสนใจธรรมะและชนะการตอบปัญหาธรรมะของโรงเรียนหลายครั้ง ส่วนลูกสาวคนเล็ก หลวงพ่อได้เคยบอกว่าจะเรียนได้ถึงระดับดอกเตอร์
หน้าที่การงาน เหตุการณ์ต่อเนื่องจากเรื่องที่ผมได้เคยเขียนลงไว้ในกฎแห่งกรรมเล่ม ๑๙ นั้น หลังจากที่ผมเริ่มงานใหม่ได้ประมาณ ๖ เดือน ได้มีบริษัทต่างชาติมาติดต่อให้ผมไปร่วมงานด้วย โดยคนรู้จักซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของ บริษัทดังกล่าวได้มาชักชวนด้วยตัวเอง ผมได้บ่ายเบี่ยงไปเพราะได้เรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมาแล้ว แต่บริษัทนี้ก็ยังรบเร้า ผมก็เลยตกลงที่จะไปคุยด้วย แต่มิได้มีความตั้งใจที่
จะย้ายงานแต่อย่างใดเลย ผมได้พบและสัมภาษณ์กับผู้บริหารระดับสูง ๔ ท่าน ซึ่งทุกคนมีความพอใจและตกลงรับผมเข้าทำงาน โดยให้เงินเดือนเพิ่มสูงขึ้นอีก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เนื่องจากผมคิดไว้แล้วว่าจะไม่ออกเพราะเจ้านายเก่ามีบุญคุณกับผม อีกทั้งประสบการณ์ที่พบมาได้สอนเราไว้แล้ว ผมจึงได้ปฏิเสธไปและได้นำเรื่องนี้กราบเรียนถวายต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ซึ่งท่านก็ได้เมตตาผมเช่นเดิม โดยบอกกับผมว่าให้อยู่ที่เดิมไปก่อน
พบกัลยาณมิตรลูกศิษย์หลวงพ่อในสิงคโปร์
เมื่อผมเรียนจบใหม่ๆ ผมได้เริ่มงานแรกในชีวิตเป็นมัคคุเทศก์นำ
เที่ยว และได้มีโอกาสรู้จักกับชาวสิงคโปร์ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย มร.โคชองฮั่วทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลของกรมศุลกากรประเทศสิงคโปร์ หลังจากนั้นอีกประมาณ ๒ ปี ผมก็ได้เดินทางไปเที่ยวประเทศสิงคโปร์ และพบกับ มร.โคชองฮั่วอีกครั้ง และต่อมาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย อีก ๑๒ ปีต่อมา ขณะที่ผมยังทำงานราชการอยู่นั้น ได้มีโอกาส เข้าฝึกอบรมในโรงเรียนฝึกอบรมผู้บังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ ผมจึงได้ถามถึง มร.โค
ชองฮั่ว ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมแล้ว ผมจึงได้ส่งจดหมายไปซึ่งท่านยังจำผมได้ หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศสิงคโปร์เพื่อปฏิบัติราชการ และได้มีโอกาสรับประทานอาหารเที่ยงกับ มร.โคชองฮั่วท่านเป็นคนติดดินมาก ไม่มีผู้ติดตาม และท่านให้เกียรติผมมากในการมารับประทานอาหารเป็นการส่วนตัว หลังจากนั้นเราก็ได้มีการติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราวในอีก ๔ ปีถัด ผมและครอบครัวมีกำหนดเดินทางไปประเทศสิงคโปร์
โดยผมจะต้องไปประชุม จึงพาครอบครัวไปพักผ่อนด้วย แต่ก็มิได้ติดต่อคนรู้จักที่ประเทศสิงคโปร์ เพราะไม่อยาก
รบกวนใคร เพียงแต่คิดว่าจะไปเยี่ยมอาจารย์ซูง้อถ้ามีเวลา เป็นที่น่าประหลาดใจว่า ๑ อาทิตย์ก่อนที่ผมจะเดินทางไปนั้น ผมได้รับจดหมายจาก มร.โคชองฮั่วถามถึงความเป็นอยู่ และถามว่าผมจะเดินทางไปสิงคโปร์หรือไม่อย่างไร ผมจึงแจ้งให้ท่านทราบว่าผมและครอบครัวกำลังจะเดินทางไปพอดี ท่านก็กรุณาโดยนัดทานข้าวกับผมและครอบครัว ท่านขับรถมารับพวกเราที่โรงแรมด้วยตัวเอง และพาเราไปทานอาหารที่ภัตตาคารอาหารจีน ระหว่างที่นั่งไปในรถ ก็ได้สนทนากันเรื่องการเดินทางมาประเทศไทยของ โดยท่านบอกผมว่าท่านเดินทางมาเที่ยวทุกปีในเดือนสิงหาคมเพราะต้องไปวัดอัมพวัน หลวงพ่อจรัญ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผมกับภรรยาและลูกๆเกิดความรู้สึกดีใจและแปลกใจมาก ที่ได้ทราบว่า มร.โคชองฮั่วก็เป็นลูกศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วย นอกเหนือจากนั้น มร.โคชองฮั่วก็รู้จักกับอาจารย์ซูง้อเป็นอย่างดี ผมและภรรยาดีใจมากที่ได้พบกับกัลยาณมิตรผู้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งที่รู้จักกันมาเป็นเวลากว่า ๑๗ ปี แต่ก็ไม่เคยทราบเลย ซึ่ง มร.โคชองฮั่วก็ได้บอกผมว่า ถ้าหากเล่าให้คนอื่นฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ ผมและครอบครัวได้ร่วมรับประทานอาหารเย็นกับมร.โคชองฮั่วและภรรยากับหลานท่านเป็นเวลากว่า ๒ ชั่วโมง และได้พูดคุยกันเรื่องพระเดชพระคุณหลวงพ่อ โดยก่อนกลับผมและครอบครัวไปพบอาจารย์ซูง้อ และเล่าเรื่องนี้ให้อาจารย์ฟัง ซึ่งอาจารย์ซูง้อก็ดีใจและแปลกใจเช่นกัน ดังที่หลวงพ่อเคยเทศนาว่าลูกศิษย์ของท่านถ้าเคยเป็นญาติกันมาก่อน ก็ต้องได้มาพบกันอีกในชาตินี้



--พระผู้มีพระคุณสูงสุด

ตั้งแต่เป็นเด็กชอบทำบุญกุศล เคยปฏิบัติธรรม ๑๕ วัน เมื่ออายุ ๑๘ ปี กำหนดพุทโธ เคยตั้งจิตเอาไว้ว่าเมื่ออายุ ๕๐ จะปฏิบัติธรรมให้สม่ำเสมอจริงจัง นั่งกรรมฐานมาแล้วหลายที่ ทำไมบางแห่งไม่ต้องเดินจงกรม กำหนดพุทโธบ้าง สัมมาอรหัง พุทโธ นะมะพะธะ เมื่อย้ายตามสามีที่ไปเป็นหัวหน้าสถานีพัฒนาที่ดินอุทัยธานี มีลูกน้องสามีชวนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน วันนั้นท่านเทศน์
โดนใจหลายเรื่อง เหมือนท่านรู้ว่าใครทำอะไรอย่างไร ดิฉันทึ่งมาก แปลกมาก ผู้คน ๑๓๐๐ กว่าๆ แต่รักษากิริยาสงบ เรียบร้อย ยึดคติหลวงพ่อ กินน้อย นอนน้อยพูดน้อย ทำความเพียรให้มาก กลับไปบ้านยังคงสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ อย่างละครึ่งชั่วโมง ซื้อหนังสือมาอ่านจึงได้ทราบว่าวันที่ ๑๕ สิงหาคมของทุกปีครบรอบอายุท่าน ดิฉันจึงชวนเพื่อนข้างบ้านไปเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ดิฉันได้อธิษฐานถึงท่านว่า หลวงพ่อเจ้าขาช่วยลูกชายด้วยเขาไม่ค่อยอ่านหนังสือเป็นที่น่ามหัศจรรย์ บุตรชายซึ่งอยู่ที่หมู่บ้านธนินทรดอนเมือง โทรศัพท์ไป บอกว่า ไม่กล้าออกไปไหน ใจไม่ดี ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น ฝันว่ามีพระองค์หนึ่งแก่แล้ว ลอยมาหาที่ห้องแล้ว ลอยมาหาที่ห้อง ห้องโล่งเป็นศาลาแล้วชี้หน้าบอกว่า จะตายในวันนี้ ให้วิญญาณไปที่ อพ หรือ อน เขาจึงถามว่าไปอุทัยธานีหรือ เพราะพ่อแม่อยู่ที่นั่นพระบอก ไม่ใช่ ดิฉันจึงยิ้มให้โทรศัพท์ คิด โอหลวงพ่อช่วยแน่เลย เขาบอกอยากจะไปเข้ากรรมฐานสัก ๗ วัน สงสัยบุญจะหมด ต้องตามหาสติ ดิฉันจึงไปวัดอีกเป็นครั้งที่ ๓ ไปครั้งนั้นปฏิบัติอย่างตั้งใจมาก และช่วยล้างถาดหลุม แก้วน้ำ ช้อน เช็ดถาด สลับกันไปในแต่ละวัน แล้วยังกวาดลานวัด แม่ครูพันธุ์ทิพย์บอกให้ทุกคนเดิน ๔๕ นาทีนั่ง ๔๕ นาที นั่งได้ ๑๐นาทีโดยประมาณ เสียงสุนัขเห่าก็ กำหนด ได้ยินหนอๆมีคนปิดสวิทช์ไฟฟ้า ๒ ครั้ง ได้ยินหนอ ได้ยินหนอเพียงอึดใจหนึ่งเท่านั้น กำลังพองหนอ ยุบหนอ เพ่งที่ท้องอย่างเดียว ตัดกังวล ทั้งหลายออกไป เกิดหมอกควันสีขาวออกเทาๆ ลอยหมุนๆออกจากหน้าท้อง มีแสงสว่างวาบขึ้น เห็นภาพของคนผมยาวพอประมาณปล่อยสยาย ตกใจมากเพราะภาพใหญ่มาก เห็นเฉพาะส่วนหัวเท่านั้น ดิฉันจึงลืมกำหนดเห็นหนอ คิดว่าใครนะๆ สักพักหนึ่งจิตใต้สำนึกบอกว่า เป็นตัวเอง เห็นตัวเอง แต่ทำไมหน้าใหญ่เหมือนจอหนังใหญ่ๆ ในขณะหลับตาอยู่นั้นมัดผมไว้เรียบร้อย ต่อมาเห็นคนนั่งสมาธิ ๔ คน เห็นเฉพาะส่วนหัวเข่า ชุดสีขาว
ขอบอกนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานทั้งหลาย ถ้าท่านเห็นอะไรจงมีสติเท่าทัน
กำหนดให้เป็นปัจจุบันเหมือนหลวงพ่อท่านบอกไว้ ถ้าตั้งใจปฏิบัติตัดความกังวลท่านจะพบของดี ซึ่งรู้ได้เฉพาะตนเอง อารมณ์ขณะนั้น ดิฉันรู้สึกปีติมีความสุข
สบายใจ ไม่คิดเลยว่าเพียง ๑ เดือน ๑ อาทิตย์ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ๓ ครั้ง ก็พบสิ่งแปลกๆเกิดขึ้นหลายครั้งต่อมา อย่าลืมคำสั่งสอนของหลวงพ่อ ถ้าท่านเห็นภาพอะไรเห็นสักแต่ว่าเห็น เห็นหนอๆ แล้วภาพต่างๆนั้นจะไหลเป็นไข่งู บอกเราว่าเป็นภาพอะไร ไม่ต้องไป อยากรู้ ถ้าอยากรู้ แล้วจะไม่ได้อะไร ขอให้ทุกคนจงมีสติ จะประสบความสำเร็จทุกคน

คิดว่าหลวงพ่อจะรู้ไหมนะว่าเรานำรูปท่านใส่กรอบบูชาด้วยดอกไม้หรือพวงมาลัยวันหนึ่งเมื่อสวดมนต์นั่งสมาธิแล้ว วันนั้นดึกมากแล้ว จึงตัดการเดินจงกรมออกไป ขณะหลับต่อมา ฝันมีเสียงคนพูดเสียงดังว่า หลวงพ่อไม่ชอบคนขี้เกียจ ลืมตาขึ้น มองไปรอบๆตัว เห็นหลวงพ่อท่านอยู่ทางด้านศีรษะของดิฉันจึงลุกขึ้นกราบท่าน ๓ ครั้ง ท่านมองมาแล้วลุกเดิน ขณะที่เห็นมีแสงสีเหลืองนวล สว่างไปรอบๆทั่วบริเวณนั้น ท่านมีบารมีรับรู้และเป็นการเตือนให้ทำตามคำสอนของท่านว่า สวดมนต์ภาวนาแล้วให้เดินจงกรมเสียก่อนจึงนั่งสมาธิ ไม่อย่างนั้นที่ทำไปจะไม่ได้อะไรเลย ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ต้องลำบากเสียก่อน เพื่อเป็นการตอบแทนท่านดิฉันและครอบครัวจะนำปัจจัยและอื่นๆไปถวายเสมอๆ เมื่อมีโอกาสก็สร้างหนังสือสวดมนต์ตามคำสอนของท่าน ทราบว่าท่านมีภาระมาก ค่าน้ำค่าไฟฟ้าเดือนละเกือบแสน





--พระพุทธศาสนาให้ชีวิตใหม่

จะขอเล่าไปเป็นลำดับดังนี้
ไม่ทุกข์ ไม่พบธรรมะ
ก่อนหน้านี้ผมไม่สนใจเรื่องธรรมะเลย ใช้ชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆตามกระแสโลก เป็น
ชาวพุทธแต่ในบัตรประชาชน ไม่สนใจศึกษาเรียนรู้ว่าศาสนาพุทธสอนอะไรเราบ้างวัดไม่เข้า แทบจะไม่ได้ทำบุญตักบาตรเลย ใครมาบอกบุญกฐินผ้าป่าก็เฉยๆ การปฏิบัติธรรมยิ่งไม่รู้เอาเลย จนชีวิตต้องประสบความทุกข์แสนสาหัสนั่นแหละ ถึงได้ฉุกคิดว่าเราจะหาทางออกให้ชีวิตอย่างไร จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ผมและครอบครัวประสบวิบาก ชีวิตลุ่มๆดอนๆ ได้งานก็ไม่ยั่งยืน รับจ้างสัมภาษณ์วิจัยตลาดบ้าง รับจ้างจัดเอกสารใส่ซองติดสติ๊กเกอร์บ้างภรรยาก็ขายเกี๊ยวทอด แต่ก็มีปัญหาอุปสรรคต่างๆรุมเร้า ทั้งภาระค่าใช้จ่าย ค่าเช่าบ้านค่าน้ำ ค่าไฟ จนต้องกลับไปบ้านภรรยาที่จังหวัดพะเยา ไปตั้งหลักใหม่ หางานทำระยะนี้ผมก็หาซื้อหนังสือแนวธรรมะมาอ่าน คิดว่าธรรมะน่าจะช่วยด้านจิตใจให้ได้ข้อคิดบ้าง ว่าเราจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไรดี ก็เหมือนเป็นบุญเก่าหนุนเนื่องอยู่บ้างที่ทำให้ใจคิดเลื่อมใส ผมรู้จักหลวงพ่อจรัญ ก็จากหนังสือเหล่านี้แหละครับ ได้ข้อคิดเรื่องสติ เกิดความอุตสาหพยายาม ไม่ย่อท้อ คิดว่าถ้าเราทำความดี ไม่สร้างบาปกรรมเพิ่มอีก ชีวิตข้างหน้าย่อมไปได้ในทางดีแน่ ก็ยึดหลักนี้กัดฟันสู้ชีวิตต่อไป
เข้าวัดจุดเปลี่ยนชีวิต
ชีวิตลำบากอยู่เช่นเดิม แต่ผมมาได้ธรรมะจากหลวงพ่อที่ว่า
คนเราถ้าไม่ทุกข์ขนาดหนักแล้วจะไม่คิดถึงพ่อแม่เลย ผมคิดถึงพ่อแม่ขึ้นมาเลยครับ จากบ้านไป ๘ ปี ไม่เคยติดต่อกลับไปเลยว่าท่านจะเป็นอยู่อย่างไรบ้าง โทรศัพท์ไปคุณพ่อรับสาย เล่าชีวิตให้ท่านฟังและอยากจะกลับบ้าน ท่านก็กรุณาส่งเงินมาให้เป็นค่ารถค่าเดินทาง ผมก็พาภรรยาและลูกสาวไปอยู่บ้านคุณพ่อ อยู่กันไปท่านก็ยังโกรธเคืองผมอยู่ เลยมาถึงภรรยาและลูกผม ด้วย ก็อยู่กันแบบเกร็งๆ ผมก็ให้ภรรยาอดทนพยายามรบกวนท่านให้น้อยที่สุด ผมบอกท่านว่าจะบวชให้ท่านและคุณแม่ ในโครงการอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มาบวชถือเป็นเรื่องอัศจรรย์สำหรับผม เพราะไม่มีเงินเลย ผมเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น เป็นลำดับ จนกระทั่งความคิดความอ่านเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ การดำเนินชีวิตก็จะยึดเอาหลักธรรมะมาใช้มากขึ้น มองโลกในมุมมองของธรรมะ ทำให้จิตใจ
ปล่อยวางกับกระแสโลกมากกว่าแต่ก่อน

ธรรมะคือที่พึ่ง
สิ่งที่ได้จากการบวชมีค่าต่อชีวิตผมและครอบครัวอย่างมหาศาล เป็นเสมือนเข็ม
ทิศชี้นำทางสว่างแห่งจิตใจ ได้ตระหนักในเรื่องกฎแห่งกรรม ผมได้พระวิปัสสนาจารย์ช่วยอบรมสั่งสอน ได้นำไปปฏิบัติต่อหลังจากลาสิกขาไปแล้ว หลังจากนั้นผมก็ใฝ่ในธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาอยู่เนืองๆ อ่านทบทวนในหนังสือกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อจรัญ จนได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งคือ ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดอัมพวัน เพิ่มพูนความรู้ในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เหตุเพราะยังมีหลายอย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจดีนัก อยากได้คำแนะนำและแนวทางเพิ่มเติม และด้วยอานิสงส์ผลบุญกุศลจากความตั้งใจแน่วแน่นี้เอง ที่ทำให้ผมได้รับสิ่งที่มีค่ายิ่งในชีวิตดังนี้
๑ ระลึกถึงพระคุณบิดามารดา ได้ตระหนักแล้ว
ท่านให้ชีวิต ให้การศึกษา ให้ปัจจัย ๔ ให้ความสุขสบายในการอยู่อาศัย
ได้ตระหนักว่าพ่อแม่หาเงินด้วยความยากลำบาก ท่านคงเหน็ดเหนื่อยมากในการทำมาหากิน เผชิญปัญหาอุปสรรคต่างๆ ดิ้นรนสร้างฐานะกว่าจะเป็นปึกแผ่น มีบ้านเป็นของตนเอง
๒ ระลึกถึงท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แต่เดิมผมไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ที่เรา
เป็นตัวเราจนเอาดีมาได้นี้ก็เพราะท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ทั้งญาติมิตร ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะช่วงที่ครอบครัวผมประสบวิกฤตเรื่องการกินอยู่ ทุกวันนี้ผมระลึกถึงพระคุณท่านเหล่านั้นอยู่เสมอ
๓ หายจากอาการปวดหลังที่เรื้อรังมาหลายปี ปวดทรมานมากโดยเฉพาะเวลา
นอน จะพลิกไปทางไหนก็ปวดไม่ยอมหาย นี่เป็นทุกข์ใหญ่ของผมเลยล่ะครับ จนมาได้วิชาดีคือการเจริญสติปัฏฐาน ถึงรู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เหมือนยกภูเขาออก
จากอกเลยครับ ดีใจมาก ไม่ต้องไปหาหมอ ผมก็ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ในการขจัดปัดเป่าทุกข์ในกายที่เกิดขึ้นคือ เจ็บ ปวด เมื่อย ชา นับเป็นมหัศจรรย์จริงๆ นึกถึงที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ได้เลยครับว่า กรรมฐานใช้แก้ปัญหาชีวิตได้
๔ การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมไร้หลักยึด
ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลใครเท่าไหร่นัก ก็เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ได้ ผมหาโอกาสเข้าวัด ทำบุญใส่บาตรทุกวันพระ สวดมนต์พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุง มหากา ตามที่หลวงพ่อท่านสอน สอนลูกสาวให้สวดมนต์ ลูกสาว ๖ ขวบสวดพระพุทธคุณได้ สอนให้ไหว้พระไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ อ่อนน้อมถ่อมตน



 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:58:54 น.  

 

--พุทธเมตตา

ศึกษาธรรมด้วยการอ่านหนังสือของครูอาจารย์ต่างๆหลายสำนัก ถ้ามีเวลาและโอกาสที่ว่างเว้นจากการทำงานประจำแล้ว ข้าพเจ้าจะเข้าวัดเพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติธรรม เพื่อความเข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้รับหนังสือกฎแห่งกรรมจากเพื่อนมาเล่มหนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ชอบอ่านหนังสือธรรมมาก และมักจะอ่านติดต่อกันจนจบทุกเล่ม แต่ด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ หนังสือกฎแห่งกรรมเล่มนี้ซึ่งเป็นของวัดอัมพวัน เมื่ออ่านจบแล้วเกิดความสงสัยเรื่องกรรม จะทำอย่างไรดีนะจำได้ว่ามีผู้เขียนคนหนึ่งเป็นผู้หญิง เขียนชื่อ ที่อยู่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ไว้ท้ายเรื่องข้าพเจ้าตัดสินใจ โทรตามเบอร์ที่ให้ไว้ สอบถามและแนะนำตัวจึงได้รู้ว่า เป็นการพูดกับผู้เขียนเรื่องนั้นจริง ข้าพเจ้าขอโทษก่อนถาม คุณเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญ คุณเขียนเชียร์แล้วได้ ค่าเรื่องเท่าไหร่ ? ข้าพเจ้ารอคำตอบ แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะ หัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี ก่อนจะพูดอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจบางเรื่องที่ข้าพเจ้าสงสัยและการสนทนาตอนท้ายได้แนะนำว่าควรปฏิบัติด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าลางานแล้วโทรไปชวนคุณพ่อไปด้วย เพื่อจะได้อาศัยประสบการณ์ชีวิตที่คุณพ่อมี ช่วยกันสังเกตแนวทางการสอนของวัดอัมพวัน แต่คุณแม่กระซิบบอกข้าพเจ้าว่า “พ่อไม่ค่อยแข็งแรงนะ เข้าห้องน้ำมีอาการเดินเซๆถ้าพ่อไปจริงต้องดูแลให้ดีๆ” ข้าพเจ้าคอยดูแลเดินตามคุณพ่อ เผื่อว่าถ้าคุณพ่อเหนื่อยจะได้หยุด ระวังไม่ให้ล้ม คุณพ่อทำได้ ไม่มีอาการอะไรที่น่าเป็นห่วงว่าจะล้มหรือไม่ไหว แต่ตลอด ๓ วันข้าพเจ้าคอยระวังดูแลคุณพ่อจนการปฏิบัติของตัวเองไม่ได้กำหนดให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่พระท่านสอนไว้เลย
ข้าพเจ้าเข้าไปในห้อง นั่งตรงหน้าพระพุทธรูป
ส่วนอาสนะด้านบนจัดไว้เป็นที่ตั้งรูปหลวงพ่อจรัญ
ขณะนี้ข้าพเจ้าไม่มีที่พึ่งอื่น ข้าพเจ้าสำรวมใจน้อมกายกราบ ๓ ครั้ง แล้วพูดกับ
พระพุทธรูปว่า “ลูกตั้งใจมาวัดอัมพวันเพื่อศึกษาแนวการสอนของวัดนี้ ลูกปฏิบัติ
วันนี้เป็นวันที่ ๔ แล้ว แต่ยังปฏิบัติไม่ได้ เพราะต้องคอยดูแลคุณพ่อของลูก ลูกอยากจะปฏิบัติและจะตั้งใจ ขอฝากคุณพ่อของลูกไว้กับหลวงพ่อ หลวงพ่อได้โปรดกรุณาลูกด้วย”
เช้าวันนั้นข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติเพราะหมดความกังวลใจ และหลังจากรับประทาน
อาหารกลางวันเสร็จแล้วได้มีโอกาสคุยกับคุณพ่อ ข้าพเจ้าถามถึงการปฏิบัติ อาการทาง
กายของคุณพ่อเป็นอย่างไร คุณพ่อยิ้มบอกว่า “ดี พ่อแข็งแรงกว่าตอนอยู่ที่บ้านซะ
อีก” คำตอบของคุณพ่อทำให้ข้าพเจ้าเริ่มที่จะสบายใจ ข้าพเจ้าบอกคุณพ่อว่า “คุณ
พ่อครับ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมฝากคุณพ่อไว้กับพระแล้ว”
ข้าพเจ้าเจอคุณพ่อตอนเช้าวันที่ ๖ ของการปฏิบัติ คุณพ่อยิ้มให้แล้วพูดกับ
ข้าพเจ้าว่า “พระที่ลูกฝากไว้เจอกับพ่อแล้ว ขอบใจนะ ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ
ข้าพเจ้าเริ่มเข้าที่ปฏิบัติ ขณะเดิน ตามองทอดต่ำเบื้องหน้า
หางตาเห็นจีวรสีเหลืองมีรัศมีสว่างดั่งทอง กำลังเดินข้างซ้าย
ของข้าพเจ้า “อาตมาเอง ไม่ต้องสงสัย ให้ตั้งใจปฏิบัติ” พอข้าพเจ้าได้ยินคำตอบ
ข้าพเจ้าหยุดเดินหันหน้าไปทางซ้าย ข้าพเจ้าก็เห็นพระภิกษุกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้ๆกับ
ข้าพเจ้า ท่านเดินจงกรมเหมือนทุกคน จีวรของท่านสุกสว่าง ปลิวเบาๆคล้าย ลอยอยู่ ใบหน้าของ
ท่านเหมือนกับพระพุทธรูป ท่านหยุดมือยังไขว้หลัง แล้วท่านก็หันหน้ามายิ้มๆ ที่ดูแล้ว
รู้สึกได้ถึงพลังเมตตา แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆจางหายไป ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเพียง
ระยะหนึ่งของความรู้สึก แต่ทำให้ข้าพเจ้ารับรู้ถึงความเป็นปัจจัตตังของผู้ที่ปฏิบัติธรรม
วันนั้นข้าพเจ้าปฏิบัติ ถ้าไม่ดูเวลา ๑ ชั่วโมงที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่ ดูแต่ความรู้สึก
เหมือนไม่เกิน ๕ นาทีเท่านั้น ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขและเกิดปีติภายในอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อกลับถึงที่พักเจอคุณพ่อ ข้าพเจ้าถามทุกข์สุข คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อ
เกิดความสงสัยในเรื่องพระที่ข้าพเจ้าบอก เพราะคุณพ่อก็เห็นแต่แม่ชีที่เป็นผู้ดูแล
แม้ระหว่างนั่งสมาธิก็อดนึกถึงเรื่องพระที่ไหน สลับกับภาวนาพองหนอ-
ยุบหนอ เรื่อยๆ เมื่อเริ่มภาวนาสม่ำเสมอจนทำให้จิตสงบนิ่ง คุณพ่อบอกว่าเกิด
ความรู้สึกที่หน้าตักของตัวเองมี ตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้ลืมตาดู
ขณะกำลังคิดนั้นได้ยินเสียงพูดว่า “ไม่ต้องห่วงอะไร ตั้งใจ
ปฏิบัติ ลูกโยมฝากอาตมาดูแลโยมนะ”
แต่เมื่อคุณพ่อลืมตาเพื่อจะดูให้เห็นว่าเสียงที่ได้ยินนั้นใครพูด
“เห็นเป็นเงาสีเหลืองห่มจีวร นั่งสมาธิหันหน้ามาทางพ่อ และเงานั้นรวมตัวเป็นแสง ลอย
ห่างออกไปเร็วมาก กลับไปที่พระพุทธรูปบนโต๊ะหมู่ หน้าห้อง”
ครบกำหนด ๗ วัน ซึ่งในวันที่ ๗ นี้ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้
ขอเล่าเรื่องนี้โดยใช้ชื่อว่า “จะเจตนาหรือไม่ก็ตาม อย่าประมาท”
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อข้าพเจ้ากำลังเดินจงกรม ข้าพเจ้าได้ยินเสียงจิ้งจกร้องทัก ข้าพเจ้า
กำหนด เสียงหนอๆ รู้หนอๆ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าร่างกายโดนรัดเหมือนถูกบีบ บีบเข้า บีบ
แน่น บีบเข้ามาทั้งสองด้าน หัวเริ่มปวด ปวดมากขึ้น จนกลัวว่าจะแตก ขณะนั้น
ข้าพเจ้าหยุดเดิน แต่ความรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะระเบิด เพราะแรงบีบภายในใจที่
รู้สึกถึง ร่างกายสั่นกระตุก ทันใดนั้นเสียงนาฬิกาจับเวลาก็ดังขึ้น ข้าพเจ้ากำหนดลืมตา
ขึ้น นี้หรือคือการระลึกถึงกรรมในอดีต สัตว์นั้นมีความรู้สึกเจ็บปวด
อย่างไร ทำให้ข้าพเจ้าได้รับผล มีความรู้สึกเช่นนั้นบ้าง
ข้าพเจ้านั่งภาวนา พองหนอ-ยุบหนอๆ จิตเริ่มสงบ ความรู้สึกปวดเริ่มเกิดขึ้น การ
ถูกบีบแน่นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลำตัวรู้สึกอาการที่เกิดขึ้นกับกาย และได้ยินเสียง
“เอาให้ตาย” เป็นความรู้สึกเกิดขึ้นที่ใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายอมรับทุกอย่าง
เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าข้าพเจ้าไปทำอะไรผิดกับพวกเขาไว้ เพราะขณะนั้นรู้สึกเหมือนกับมี
สิ่งมีชีวิตมากมายอยู่รอบๆตัว พร้อมกับได้เห็นภาพ เป็นภาพที่บ้านของข้าพเจ้า ขณะที่
ข้าพเจ้าเข้าห้องน้ำ เห็นซากจิ้งจกที่ขอบประตู ถูกประตูหนีบทับจนตาย ซึ่งมีบางตัว
กำลังตั้งท้อง ลูกๆต้องมาตายด้วย ทุกชีวิตที่ตายเพราะข้าพเจ้า เป็นเสียงที่ได้ยินในใจ
นั้น กล่าวโทษข้าพเจ้า
ข้าพเจ้านึกถึงการที่เปิดปิดประตูนั้น มิได้มีเจตนาทำร้ายแต่อย่างใด แต่คำตอบ
ที่ได้ยินทำให้ข้าพเจ้าต้องคิดถึงคำว่าเจตนา เพราะเสียงนั้นกล่าวอย่างช้าๆแต่หนักแน่นว่า
การปฏิบัติธรรมที่จะเจริญก้าวหน้านั้น อย่าคิดเพียงว่าไม่เจตนาทำ แล้วจะทำให้
ชีวิตอื่นต้องตายไป เพราะความประมาท และท่านควรระวังป้องกันไม่ให้ชีวิตอื่นๆต้อง
มาตายเพราะท่านเป็นผู้ทำอีกเลย
เมื่อหมดเวลาการปฏิบัติ แม่ชีท่านนำแผ่เมตตา ต่อด้วยอิทังเมฯ ในขณะนั้น
ความปวดทั้งหลายของข้าพเจ้ามลายสิ้น เกิดกระแสปีติพร้อมกับผู้ปฏิบัติทุกท่าน
ข้าพเจ้าได้รับบทเรียนจากการปฏิบัติธรรมแนวสติปัฏฐาน ๔ ที่มีค่าที่สุดในชีวิต ทำ
ให้เกิดความเข้าใจ หมดความสงสัยเรื่องกรรม เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของของตน



--รวย สวย ดี มีปัญญา แก้ไขปัญหาได้

ธรรมะจัดสรรสำหรับข้าพเจ้าเริ่มจากความมหัศจรรย์ ของการสวดพระพุทธคุณ
มาถึงการสวดพาหุงมหากาฯ สู่ความเชื่อความศรัทธา แล้วนำมาสู่การปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้าอย่างไม่น่าเชื่อ
ข้าพเจ้าได้สัมผัสกับคำว่า รวย สวย ดี มีปัญญาแก้ไขปัญหาได้
รวย ซึ่งเมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดา มาเป็นผู้นำทางธุรกิจ นี่คือความสำเร็จทางโลก
ส่วนทางด้านทางธรรม ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักคำว่า รวยน้ำใจ อยากเป็นผู้ให้ อยากเป็นผู้แบ่งปัน ในเมื่อเรามีโอกาสและมีปัจจัย พร้อมที่จะช่วยเหลือสังคมและคนรอบข้างตามกำลังที่มีอยู่
สวย ในที่นี้หมายถึง การปฏิบัติธรรมทำให้เรามีพฤติกรรมทางด้านกาย วาจา
ใจ ที่ค่อนข้างสำรวม ในการวางตัวในสังคม ทำให้เราเป็นคนใจเย็น ทนได้กับอารมณ์ที่มากระทบ
ดี ในที่นี้หมายถึง ข้าพเจ้าเชื่อมั่นและศรัทธาในการทำความดี เป็นความภูมิใจ
ในตัวเองเหลือเกินที่ได้ทำความดีเพื่อคนอื่น อย่างน้อยก็เพื่อครอบครัวซึ่งเป็นสังคมเล็กๆ
มีปัญญาแก้ไขปัญหาได้ ในที่นี้หมายถึง การทำอะไรก็แล้วแต่ย่อมมีปัญหา
ตามมาไม่มากก็น้อย แต่เป็นเรื่องแปลก ซึ่งเมื่อก่อนจะเป็นคนที่กลัวปัญหาที่จะ เกิดขึ้นในอนาคต มีแต่ความวิตกกังวล ทำให้จิตตก ความทุกข์เข้า
ครอบงำ หลังจากที่ข้าพเจ้าศึกษาและใฝ่ธรรม ทำให้ข้าพเจ้าใจเย็นลง สงบนิ่งได้กับสิ่งที่มากระทบ
เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นและความศรัทธา ความแน่วแน่ ความตั้งใจที่จะ
ทำความดี ดั่งปริศนาธรรมที่คืนหนึ่งข้าพเจ้าได้ฝันไปว่า
ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในป่าใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเงียบสงัดมาก เป็นป่าลึกท่ามกลางคน
เดินมากมาย มีภิกษุชราผมหงอกขาวองค์หนึ่งให้ธรรมะอยู่ ได้เรียกข้าพเจ้าเข้าไปและได้มอบ ตาลปัตร ให้กับข้าพเจ้าไว้ครอบครอง หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เดินเข้าไปในวัดอัมพวัน มีผู้คนมากมาย บางคนมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่เมตตา แต่บางคนมองด้วยสายตาที่เกลียดชัง ทำให้รู้สึกสับสนเหลือเกิน เผอิญสายตาของ
ข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเงียบสงบ แต่มีแม่น้ำขวางกั้นอยู่ ข้าพเจ้าเห็นแม่ชีองค์หนึ่งเดินเหนือน้ำข้ามไปยังฝั่งที่เงียบสงบได้อย่างง่ายดาย ข้าพเจ้าจึงเดินไปที่ท่าน้ำเพื่อที่จะข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งที่เงียบสงบเหมือนแม่ชีองค์นั้นบ้าง แต่ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะข้ามฝั่งไปนั้น เท้าของข้าพเจ้าทั้งสองข้างจมอยู่ในน้ำ ซึ่งหนักมาก มีเสียงเตือนกระซิบจากหลวงพ่อว่า เราก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเหมือนแม่ชีคนนั้น จงใช้
พลังจิตดึงขาทั้งสองข้างขึ้นมา ข้าพเจ้าพยายามทำตามแต่ก็หนักไม่สามารถลอยขึ้นมาเหนือน้ำได้ แต่ผลของความเพียรพยายามทำให้ข้าพเจ้าผ่านข้ามแม่น้ำฝั่งที่สงบได้ด้วยความเหนื่อย เหนื่อยสุดกำลัง


--หลวงพ่อ พระผู้มีแต่ให้

ครอบครัวดิฉันได้ดีมีความสุขเพราะยึดมั่นในคำสอนของหลวงพ่อท่านจะให้โอวาทดิฉันตลอด และจะสอนให้กตัญญูรู้คุณคน ไม่ว่าทุกข์ร้อนสิ่งใดหรือจะประกอบอาชีพอะไร จะเดินทางไปทิศเหนือทิศใต้ หลวงพ่อจะเป็นที่พึ่งของดิฉันตลอดมา ท่านจะแนะนำดิฉันว่า “สุรีย์เอ๋ยคนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม ทำดีไว้เถิด คนที่คิดร้ายกับเราจะแพ้เราเอง ให้ใช้ตำราหลวงพ่อนิ่ง หลวงพ่ออด หลวงพ่อทน และสวดมนต์เป็นนิจอธิษฐานจิตเป็นประจำ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา และแผ่เมตตาปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรอีกแล้วจะดีเท่ากับกรรมฐาน” เสียงของหลวงพ่อยังดังก้องอยู่ในหูและใจของดิฉันเสมอชีวิตเมื่อก่อนนี้ต้องซื้อข้าวสารหุงครั้งละกิโลสองกิโล ตั้งแต่หลวงพ่อพร่ำสอนมา
ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นตลอด ครอบครัวประสบความสำเร็จ อยู่อย่างไม่อายใครในตำบล โดยเฉพาะลูกชายหญิงทั้งสามคนเป็นลูกที่ดี ไม่เกเร ไม่มีด่างพร้อยลูกทั้งสามก็สวดมนต์ตามที่ดิฉันสอน เรียนปริญญาตรี ได้เกียรตินิยมทั้งสามคนโดยเฉพาะ ลูกคนที่สอง จบปริญญาเอกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทุน ก พ แถมยังทำงานพิเศษมีเงินเก็บมาฝากแม่อีก ดิฉันดีใจมากที่ลูกไม่เหลวไหล ดีทุกคน เพราะหลวงพ่อจรัญให้โอวาทและให้พร การที่หลวงพ่อให้พร เราต้องตั้งใจรับพร รับพรแล้วเราจะต้องสวดมนต์และปฏิบัติเป็นประจำ เวลาหลวงพ่อท่านแผ่เมตตาเราจะได้รับอานิสงส์และจะพบแต่สิ่งที่ดีๆ โดยไม่คาดคิดมาก่อน ดิฉันสอนลูกอยู่เสมอว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น มานะ ซื่อสัตย์ประหยัด และอดทน
ประมาณ ๖ เดือน คุณไพบูลย์ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจเสียไป ๖๐ กว่า
เปอร์เซ็นต์ คุณหมอบอกให้ทราบว่าเส้นเลือดตีบหมดทุกเส้น ดีที่ได้ หลวง
พ่อเป็นที่พึ่งอีกเช่นกัน
หลวงพ่อท่านก็บอกดิฉันว่า สุรีย์เอ๋ย
ย้ายไปอีกโรงพยาบาลเถิดสุรีย์ คุณไพบูลย์ยังมีบุญกุศลอยู่บ้างไม่เป็นไร หลวงพ่อ
จะแผ่เมตตาให้นะ
พอกลับมาถึงบ้านมีเพื่อนมาเยี่ยมที่บ้าน คอยอยู่ว่าจะให้ย้ายไปโรงพยาบาลไหน
ปาฏิหาริย์ไหมคะ หลวงพ่อพูดกับดิฉันกับหมอพูดถึงวิธีผ่าตัด เหมือนกับหลวงพ่อ
พูดทุกคำพูดเลย ทำให้คุณไพบูลย์ได้อยู่เป็น
หลักชัยของ ครอบครัวทุกวันนี้ก็ยังอยู่
คุณหมอยังพูดให้ฟังหลังผ่าตัดว่า คุณไพบูลย์รอดเพราะปาฏิหาริย์
จริงๆ ระหว่างรอการผ่าตัดอยู่ พวกเราและญาติๆสวดมนต์ ปฏิบัติภาวนา ลูกชาย
สวดธรรมจักรฯ นี่แหละค่ะที่ดิฉันประสบมาและมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่หลวงพ่อ
ทุกๆครั้งของวันกตัญญู คือ ๑๕ เมษายน ๑๕ สิงหาคม
และ ๑๔ ตุลาคมของทุกปี ดิฉันร่วมกับคณะอาจารย์หมอกมลพร แก้วพรสวรรค์
โรงพยาบาลศิริราช จะร่วมกันนำอาหารคาวหวานไปเลี้ยงคนที่มานมัสการหลวงพ่อเป็นประจำ
ณ วันนี้ ถ้าดิฉันมีเรื่องทุกข์ร้อนสิ่งใด จะอธิษฐานในใจให้หลวงพ่อทราบ หลวงพ่อได้ช่วยมาตลอด
หลวงพ่อสอนให้ดิฉันอย่างมงาย รู้หลักความจริง อย่าโลภ หลง
กินรวบ ให้มานะทำมาหากิน

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 12:59:37 น.  

 

--หลวงพ่อชุบชีวิต

การอบรมสั่งสอนและการขัดเกลาจิตใจด้วยธรรมะของ
หลวงพ่อนั้น ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจชีวิตเป็นอย่างดีและเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งไม่เคยเชื่อมาก่อน เพราะเชื่อเรื่องปัจจุบันที่เราสามารถรับรู้ได้มากกว่า แต่หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทำตามแนวทางที่หลวงพ่อพร่ำสอน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนมีกรรมเฉพาะตนทั้งสิ้น ไม่มีใครทำอะไรให้แก่ใครได้ ใครทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น ผลของมันจะต้องเกิดจากเหตุที่ได้ทำไว้ หากแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ศิษย์ของหลวงพ่อทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร
เมื่อมีแขกมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นเวลาดึกเพียงใดหลวงพ่อยังให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าเคยกราบเรียนถามท่านว่า ทำไมไม่บอกให้เขามาใหม่วันรุ่งขึ้น หลวงพ่อตอบว่าคนเขามีทุกข์ เขาอุตส่าห์มาเขาต้องการที่พึ่ง ก็ต้องต้อนรับเขาก่อน เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นยิ่งทำให้ข้าพเจ้ารักและศรัทธาในตัวหลวงพ่อเป็นอย่างมาก เพราะท่านไม่ได้สนใจว่าคนที่มานั้นเป็นใคร ท่านสั่งให้ลูกศิษย์ดูแลหาที่พักให้เป็นที่เรียบร้อย ไม่น่าสงสัยว่าเมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อทีไร วัดแทบแตกทุกที เพราะลูกศิษย์ล้นหลามเนื่องจากความเมตตากรุณาที่หลวงพ่อได้โปรยปรายไว้นั่นเอง

รู้สึกประทับใจในคำสอนของหลวงพ่อทุกครั้งที่มีโอกาสได้ไปวัดอัมพวัน
จากนั้นมาข้าพเจ้าจะไปกราบหลวงพ่ออยู่เนืองๆ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้สนทนา
ธรรมกับหลวงพ่อเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด คือ การสูญเสียพี่ชายที่แสนดีของข้าพเจ้าไปอย่างกะทันหันและกลายเป็นข่าวโด่งดังมาก
คือการเสียชีวิตของอดีต ส.ส.ห้างทอง ธรรมวัฒนะ ใครเลยจะคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในครอบครัวของตนเอง ถึงแม้ว่าในอดีตพี่น้องของข้าพเจ้าเองก็เสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติมาหลายคนแล้วก็ตาม ซึ่งแต่ละครั้งมันก็มีเหตุผลในตัวของมัน คือเรื่องของผลประโยชน์ แต่พอมาถึงเรื่องของพี่ห้างทองแล้วข้าพเจ้ารู้สึกมึนงงเป็นอย่างยิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเราจริงๆ เมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์สูญเสียพี่ห้างทองใหม่ ๆ มีกัลยาณมิตรเห็นว่านี่เป็นทุกข์มหันต์ จึงได้แนะนำพวกเราให้ไปกราบหลวงพ่อจรัญ พวกเราจึงเดินทางไปกราบหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน ซึ่งหลวงพ่อได้เมตตาให้เข้าพบเป็นการเฉพาะในห้องรับรองที่จัดไว้ จึงเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ ในขณะนั้นหลวงพ่อได้สอนไม่ให้เราอาฆาตพยาบาท ท่านว่าเป็นเรื่องของกรรมซึ่งเมื่อได้ฟังก็ยังไม่เข้าใจว่าหลวงพ่อพูดถึงเรื่องอะไร และ ด้วยความเขลาเบาปัญญาของข้าพเจ้า จึงได้กราบเรียนถามท่านหลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นเรื่องกรรมเฉพาะตนเป็นกรรมแต่อดีตชาติ ข้าพเจ้ายังกล่าวต่อไปว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่กรรมต้องมาสนองกันแบบนี้ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเราเคยทำอะไรในอดีต แต่ปัจจุบันเรารู้ได้จับต้องได้และเราก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีแบบนั้น ทำไมเราต้องมาใช้กรรมที่เราไม่ได้รับรู้ด้วยเลย อย่างนี้มันยุติธรรมได้อย่างไร หลวงพ่อว่า “กรรมนั้นยุติธรรมเสมอ ใครทำอย่างไรไว้จะต้องได้อย่างนั้นแน่นอน ถ้าไม่เชื่อต้องมาปฏิบัติธรรมที่วัดแล้วจะเข้าใจดีขึ้น” ด้วยความที่อยากรู้กอปรกับทุกข์มหันต์จนไม่รู้ว่าจะพึ่งใครได้แล้ว จึงรับคำหลวงพ่อและได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามคำหลวงพ่อแนะนำ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ปฏิบัติธรรม
ได้รับคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์ว่า ถ้าไม่เคยปฏิบัติมาก่อนควรจะไปที่ยุวพุทธิกสมาคม เพราะที่นี่มีวิทยากรมากพอที่จะสอนได้อย่างละเอียด จะช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้น ข้าพเจ้าจึงได้ไปเริ่มต้นปฏิบัติกับคุณแม่สิริกรินชัยซึ่งท่านสอนได้อย่างดีเยี่ยม วิทยากรมีคุณวุฒิดีเอาใจใส่ต่อผู้มาปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ สามารถตอบคำถามต่าง ๆ ได้ตลอดเวลาทำให้เราเข้าใจถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่มีวันล้าสมัย เพราะสิ่งที่พระองค์ท่านสอนนั้นมีเหตุมีผลทั้งหมดทั้งสิ้น ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าทำไม ข้าพเจ้าจึงเพิ่งจะมาเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่ได้ร่ำเรียนมาตั้งแต่ยัง เยาว์วัย เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะข้าพเจ้าเชื่อว่า มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คิดเหมือนข้าพเจ้า คือสมัยที่ยังเป็นเด็กนักเรียนนั้น เราเรียนเพื่อจดจำคำสอนต่าง ๆ ไว้ในสมองหวังที่จะต้องได้คะแนนดีในการสอบ หาได้เรียนแล้วเก็บไว้ในใจไม่ ถ้าแต่ก่อนข้าพเจ้า สามารถเรียนได้ด้วยใจอย่างเช่นทุกวันนี้ ข้าพเจ้าอาจจะมีความทุกข์น้อยลงหรือมีสุขมากขึ้นก็เป็นได้ เพราะเมื่อเรารับรู้ได้ด้วยใจ เราก็สามารถจัดการหรือรับมือกับปัญหาที่อยู่
ล้อมรอบตัวเราได้เป็นอย่างดี หรือที่เรียกว่าการจัดการอย่างมืออาชีพ เมื่อการอบรมปฏิบัติเสร็จสิ้น ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจมากที่ได้เกิดเป็นคนไทยและได้มีโอกาสนับถือศาสนาพุทธ โดยทั่วๆไปแล้วประสบการณ์ชีวิตหนึ่ง ๆ ย่อมมีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่มีชีวิตใดในโลกที่เกิดมามีแต่สุข หรือมีแต่ทุกข์ตลอดจนวันสุดท้ายของชีวิต สำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็มีชีวิตเหมือนท่านทั้งหลาย จะต่างก็ตรงที่กรรมของข้าพเจ้านั้นมากมายเหลือเกิน จนบางครั้งเคยถามตัวเองว่า เราผ่านมาถึงวันนี้ได้อย่างไร คำตอบที่ได้รับคือ “ธรรมะ” นั่นเอง เพราะถ้าไม่มีธรรมะมาช่วยจัดสรรแล้ว ป่านนี้ข้าพเจ้า
อาจจะต้องเข้าไปศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัยหลังคาแดงแล้วก็เป็นได้
ถ้าหากเราๆท่านๆไม่มีเครื่องมือหรือปราศจาก แนวทางที่จะมากำกับชีวิตแล้ว พวกเราคงต้องใช้ชีวิตที่แบกทุกข์ไปจนถึงวันสุดท้ายที่ต้องลาจากโลกนี้ไป ต่อเมื่อเรารู้เท่าทันเท่านั้นเราจึงจะมองเห็นทุกข์ได้ มิใช่มาแบกทุกข์
เราไม่สามารถบังคับไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ เราจึงควรต้องมารู้ให้ เท่าทันว่าเราจะจัดการกับมันได้อย่างไร เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นหรือดีกว่า เพราะทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรจีรังนอกจากความตายเท่านั้นจริงๆ

เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้แต่งงานและได้มาอยู่กับครอบครัวของสามีที่จังหวัดปทุมธานี ข้าพเจ้ามักจะไปวัดใกล้ๆบ้านกับคุณแม่สามีเป็นประจำ โดยเฉพาะวันพระใหญ่ จะไม่ขาดการไปวัดกับท่านเลย และเมื่อมีโอกาสก็จะบอกบุญไปยังคุณแม่ของข้าพเจ้าเองทุกครั้งไป จนคุณแม่ข้าพเจ้าพูดว่า ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้แม่สามีเป็นคนดีมีศีลธรรม จึงเป็นเหตุ
ให้ข้าพเจ้าเข้าวัดค่อนข้างบ่อย โดยการนำอาหาร สังฆทาน ฯลฯ ไปถวายพระสงฆ์ที่วัดและเข้าใจมาโดยตลอดว่าสิ่งที่ทำนี้คือ การทำบุญจวบจนกระทั่งได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม จึงทราบว่าการทำบุญนั้นมี ๒ อย่างคือการทำบุญภายนอกและการทำบุญ ภายใน การทำบุญภายนอก คือการสละ หรือบริจาคทรัพย์ หรือวัตถุสิ่งของ การถวายของ ภัตตาหาร หรือปัจจัย แด่พระสงฆ์ก็เช่นกัน จัดว่า
เป็นการทำบุญภายนอกหรือการทำทาน ส่วนการทำบุญภายในนั้น คือการทำบุญโดยการสร้างกุศลจิต สร้างจิตที่ผ่องใส มีคุณงามความดี จิตไม่ตระหนี่ ไม่ประกอบด้วยกิเลสจึงเป็นบุญมหาศาล หาค่าไม่ได้ เกิดจากจิตภายในของเราเอง เมื่อเป็นดังนั้นแล้วเราควรจะ ทำอย่างไรเล่าจึงจะเรียกว่าเป็น “การทำบุญ” ที่ถูกต้องหลังจากที่ได้เข้ารับการอบรมวิปัสสนากรรมฐาน ทำให้เข้าใจได้ว่าการทำบุญนั้นต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ใจเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหน
คิดอะไร พูดอะไร หรือทำอะไร ถ้าเป็นการคิดดี พูดดี ทำดี ก็เป็นการทำบุญไปในตัว และสามารถทำได้ทุกวันทุกเวลาไม่จำกัด ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่าคนเรานั้นจะดีได้ต้องดีให้ได้ทั้ง ๓ อย่างจึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นคนดี คือต้องคิด พูด และทำดีทุกที่ทุกสถาน ยิ่งถ้าหากได้ปฏิบัติบูชา คือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยแล้ว นับว่าเป็นบุญอันประเสริฐสูงสุด โดยเฉพาะต่อตนเองและครอบครัว หลวงพ่อสอนว่าเราไม่สามารถทำบุญเพื่อล้างบาปได้ แต่เราสามารถทำบุญเพื่อหนีบาปได้ มีผู้รู้ได้เปรียบเทียบบาปบุญไว้อย่างน่าฟังว่า บาปนั้น เปรียบเสมือนเสือที่คอยไล่ล่าเนื้อ ส่วนบุญนั้นเปรียบเสมือนกวาง เมื่อใดที่กวางอยู่นิ่งเฉยมีหรือที่เสือจะไม่ตะปบ ดังนั้นการทำบุญจึงเป็นการทำเพื่อหนีบาป และการหนีบาปให้ได้
นั้นต้องเริ่มที่จุดสำคัญที่สุด คือที่ใจเรานั่นเอง เสี้ยวหนึ่งของชีวิต
หลังเกิดเหตุการณ์สูญเสียพี่ห้างทอง ความรู้สึกในขณะนั้นแย่มากๆ นอกเหนือ
ความเสียใจแล้วคือความรู้สึกน้อยใจ คิดไปได้ขนาดที่ว่าไม่น่าเกิดมาเป็นคนไทยเลยถามตัวเองว่าทำไมไม่เกิดเป็นชนชาติอื่น ที่เขามีใจเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์มากกว่าคนไทยที่ป่าวประกาศว่าเป็นชาวพุทธเชื่อเรื่องบาปบุญ แต่กลับฆ่าแกงกันไม่เว้นแต่ละวันคนทำบาปอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง คนดีต้องตายไป ขณะนั้นมีคำถามมากมายก่ายกอง หาคำตอบให้กับตนเองไม่ได้ รู้สึกสับสนในชีวิตมาก ไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไป ถึงเวลากินก็กินไม่ลง ถึงเวลานอนก็นอนไม่หลับ เป็นอยู่อย่างนี้สองเดือน ร่างกายซีดเซียวซูบโทรม จิตใจห่อเหี่ยว รู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอภิรมย์ ทำไมมีแต่คนใจร้ายทำลายล้างกันเพื่ออะไร ว่าไปแล้วสัตว์เดรัจฉานฆ่ากันก็เพื่อเป็นอาหารประทังชีวิต แต่เราเป็นคนที่บอกว่าประเสริฐกว่าสัตว์ ฆ่ากันเพื่ออาหารรึก็
ไม่ใช่แล้ว อย่างนี้ยังบอกว่ามนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์อยู่อีกหรือ

เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจชีวิตมนุษย์มากขึ้น คำถามทั้งหลายที่ไม่สามารถหาคำตอบให้ตนเองได้ในอดีตนั้นค่อยๆเลือนหายไป
จนกระทั่งปัจจุบันคำถามต่างๆไม่มีให้ต้องสงสัยอีกเลย
เพราะเมื่อเราเข้าใจในชีวิตและสามารถหาคำตอบให้ตนเองได้แล้ว เราก็สามารถรับมือกับทุกข์สุขที่จะเกิดขึ้น และยังสามารถรับมือกับอารมณ์ต่างๆที่อยู่ในตัวเราได้เป็นอย่างดี หลวงพ่อสอนว่า ถ้าเราคุมใจเราได้ เราจึงจะเป็นคนดีได้ ถ้าเราคุมใจไม่ได้เป็นคนดีไม่ได้ เพราะถ้าสติดีก็จะชนะใจตนเอง ขาดสติ เมื่อไรแพ้ใจตนเอง เพราะบัดนี้ข้าพเจ้ารู้แก่ใจเป็นอย่างดีว่า ใจเรานี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะใจเป็นบ่อเกิดของกิเลสทั้งหลายอารมณ์ทั้งปวง ความดีและความชั่วทั้งหมด ถ้าเราสามารถควบคุมจิตใจได้ ก็เป็นการขจัดความชั่วออกไป เหลือแต่ความดีไว้ในจิต เมื่อเหตุการณ์การเสียชีวิตของพี่ห้างทองผ่านพ้นไปได้ ๒ ปี เรียกได้ว่าทุกข์ยังไม่ทันจะคลาย กรรมระลอกใหม่ก็ถาโถมอีกครั้ง เป็นเหตุวิกฤติของชีวิตข้าพเจ้าโดยตรง คือ การค้นพบว่าตนเองเป็นมะเร็งเต้านม ทำให้จิตใจย่ำแย่ลงไปมาก ทั้งๆที่ได้ผ่านการปฏิบัติธรรมมาแล้วก็ตาม แต่เมื่อถึงคราว วิกฤติต่อตนเองโดยตรง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ของอย่างนี้ใครไม่เป็นไม่มีวัน
เข้าใจได้เลยว่ามีความรู้สึกอย่างไร เมื่อค้นพบว่าตนเองป่วยรุนแรงได้ขนาดนี้ ณ เวลานั้น วิชาที่หลวงพ่อสอนมาก็ใช้ไม่ได้ผล เพราะขาดสติอย่างมาก แต่ในขณะนั้นเราอาจจะยังเข้าไม่ถึงธรรมะจริงๆก็เป็นได้ จึงรู้สึกเป็นทุกข์มหันต์กับข่าวร้ายของตนเอง นอนร้องไห้ทุกคืนเป็นเดือนๆทำใจไม่ได้เลย และเมื่อได้กราบเรียนหลวงพ่อในเรื่องนี้ ท่านถามข้าพเจ้าว่า กลัวตายไหม
ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่กลัว แต่ยังไม่อยากตาย เพราะลูกยังเล็ก หลวงพ่อว่า ไม่ต้องกลัวตาย ขอให้ตายให้เป็นนะ เป็นมะเร็งกายดีกว่าเป็นมะเร็งใจ ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะทำการรักษาตามขั้นตอนของแพทย์แผนปัจจุบันด้วยการผ่าตัด รับเคมีบำบัด และการฉายแสงที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ช่วงนี้เองที่ได้รับคำบอกเล่าจากเพื่อนที่เคยรับการบำบัดว่าการรับคีโมต้องทำใจว่าทรมานพอสมควรเพราะช่วงรับคีโมจะทำให้เราร้อนมาก บางคนถึงกับปากพองเพราะความร้อนแรงของยา บางคนกล่าวว่าคีโม เปรียบเสมือนยาพิษที่ต้องเข้าไปทำหน้าที่ฆ่าผู้ร้ายหรือมะเร็งในตัวเรา แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำร้ายเซลตัวอื่นในร่างกายที่ดีไปพร้อมๆกันด้วย บางคนว่าการรับคีโมทำให้เราร้อน ไปทั่วสรรพางค์กาย ข้าพเจ้าจึงเริ่มวิตกกับการรับคีโมในครั้งแรกเป็นอย่างมาก ครั้นเมื่อไปถึงโรงพยาบาลเพื่อรับคีโม พยาบาลได้นำน้ำแข็งมาให้ ๑ แก้วเต็ม และบอกว่าให้ข้าพเจ้าอมน้ำแข็งไปเรื่อยๆเพื่อลดความร้อนในขณะที่ให้ยา นอกจากจะอมน้ำแข็งแล้วข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อจรัญ ทันที ขอบารมีหลวงพ่อช่วยให้ลูกได้รับการบำบัดอย่างราบรื่น อย่าต้องทรมานหรือร้อนรุ่มเลย ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะขณะที่พยาบาลปล่อยยาเข้าสู่แขน ข้าพเจ้ารู้สึกเย็นเหมือนมีใครนำน้ำเย็นมาทาที่แขนของข้าพเจ้าอย่างไรอย่างนั้น หลวงพ่อเคยสอนว่าแรงอธิษฐานนั้นสำคัญนัก ถ้าเราตั้งจิตให้ดีและบริสุทธิ์ ลูกต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่ออีกครั้งที่เมื่อมีวิกฤติทีไร หลวงพ่อจะเมตตาทุกครั้งไปหลังการรับคีโมนับได้ว่าเป็นช่วงที่ลำบากมากของชีวิต ร่างกายซูบผอมอย่างรวดเร็ว ทานอะไรไม่ได้ อาเจียนตลอดเวลา ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเดิน ทำให้เข้าใจเลยว่าที่โบราณเขาเปรียบคนผอมๆว่าซี่โครงเป็นลูกระนาดนั้นเป็นอย่างไร ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณภาพชีวิตหายไปเลยร่างกายก็ย่ำแย่



จิตใจก็ย่ำแย่เรียกว่าเป็นทุกข์ทั้งกายและใจ เหมือนเวรซ้ำกรรมซัด เมื่อเป็นดังนั้นมี ๒ ที่เท่านั้นที่เราไปได้คือ โรงพยาบาลและวัด (วัดอัมพวัน) เพราะไปไหนไม่รอดจริงๆ ที่ว่าไปไหนไม่รอดนั้น นอกจากจะไม่มีแรงแล้ว ผมที่เคยดกดำก็ถึงเวลาอำลาจากเรา หลังการให้คีโมผมร่วงทุกวัน วันละเป็นฟ่อน เวลาอยู่บ้านไม่ว่าจะเดินไปทางไหน จะมีแต่ผมเราเต็มไปหมด ยิ่งเวลาสระผมแล้วยิ่งร่วงใหญ่
ยังคงร้องไห้ทุกวัน ขนาดไปวัดแทบจะทุกวัน หรือแม้แต่หาโอกาสนอนค้างที่วัดก็ตามที นี่แหละที่เขาเรียกว่าใจไม่ยอมรับ เมื่อใจไม่ยอมรับมันก็ทำให้เรายิ่งแย่ลง ๆ ลำพังกายแย่ก็พอทนแล้ว แต่นี่ใจแย่ไปด้วย แล้วลองคิดดูว่าความเป็นคนจะอยู่ตรงไหน ขณะที่ทำการรักษาตามแผนปัจจุบันนั้น ข้าพเจ้าก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อเป็นอย่างมาก ท่านให้ยาแผนโบราณมาทานควบคู่ และกำชับให้สวด “พาหุงมหากา “ทุกวัน ข้าพเจ้าปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในยามนั้นข้าพเจ้าไปนอนที่วัดบ่อยมาก โดยมีคุณนุชรา พินิจสารภิรมย์ เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน ไปด้วยกันตลอด พักนั้นจึงดูเหมือนเราจะแต่งตัวเก๋ไก๋หน่อย เพราะต้องสวมหมวกบ้าง โพกศีรษะบ้างตามเรื่อง เพื่อบดบังความงามบนศีรษะเท่านั้นเอง หลังจากที่มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อบ่อยขึ้น เนื่องจากไปไหนไม่รอดจริงๆ จึงได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเป็นประจำ แต่ก็ยังมีการร้องไห้บ้างเป็นระยะๆ เพราะบางส่วนของใจยังไม่ยอมรับความเป็นไปของสังขาร จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ข้าพเจ้ามองเห็นเส้นผมของตนเองจำนวนมากที่อยู่บนหมอนหนุน แล้วจู่ๆเหมือนได้ยินเสียงมาบอกในจิตของเราว่า เธอคิดได้หรือยังว่าไม่มีอะไรเป็นของเธอเลยนะ แม้แต่เส้นผมที่เธอมีมันมาตั้งแต่เกิด มาบัดนี้มันจะต้องลาจากเธอแล้ว เธอคิดได้หรือยังว่าไม่มีอะไรเป็นของเธอเลยจริง ๆ มีแต่จิตเท่านั้นที่เป็นของเธอเท่านั้นแหละที่หยุดการร้องไห้ของข้าพเจ้าได้เด็ดขาด และไม่รู้สึกเสียใจกับการเป็นมะเร็งอีกเลยแม้แต่น้อย อาจารย์มะเร็ง ที่มาสอนให้ลูกเข้าใจในสัจธรรมของชีวิตได้อย่างเยี่ยมยอด เปรียบเสมือนว่าหลวงพ่อสอนภาคทฤษฎี ส่วนอาจารย์มะเร็งสอนภาคปฏิบัติอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ข้าพเจ้ามีมุมมองของชีวิตมากขึ้น เข้าใจความเป็นไป
ของชีวิตที่ไม่มีอะไรแน่นอนเลยนอกจากความตายเท่านั้นที่แน่นอนที่สุด และนี่คือเหตุผลที่ว่า เมื่อใจยอมรับได้แล้วเราก็สามารถจัดการกับเหตุการณ์รอบตัวเราได้อย่างง่ายดาย ขอให้เป็นการยอมรับจากใจเท่านั้นจริง ๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เส้นผมก็สอนธรรมะได้ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบปะผู้คนที่เป็นมะเร็ง และได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของคนเหล่านั้นไปด้วย เนื่องจากเราได้ผ่านวิกฤติชีวิตมาแล้วด้วยตนเอง จึงเข้าใจและสามารถช่วยเหลือให้ผู้ที่ยังอยู่ในทุกข์เพราะเรื่องของสังขารไปได้หลายรายแล้ว โดยการใช้ธรรมะเข้าช่วยให้เขายอมรับความเปลี่ยนแปลงของสังขารที่มันไม่เที่ยง ทุกอย่างเรายืมเขามาใช้ทั้งสิ้น เขาให้เรายืมมาในสภาพที่สมบูรณ์ดี ต่อเมื่อเรานำมาใช้จนเกิดการชำรุดแล้ว จึงเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแล ซ่อมแซมให้เป็นปกติ เพื่อที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้จนกว่า
เขาจะมาเอาคืนไป ก็เท่านั้นที่เราต้องทำ ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า “ธรรมะ” ทำให้ความคิดของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนไปมาก ความเศร้าโศกเสียใจ ความโกรธ ความโลภ ความหลงต่าง ๆ ลดน้อยลงไปเป็นลำดับ ไม่มีความอยากได้ใคร่ดี พอใจในสิ่งที่ตนมีตนได้ มีความพอดีเป็นที่ตั้ง ทั้งนี้ด้วยธรรมะที่มาช่วยจัดสรรให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น เข้าใจสัจธรรมอย่างชัดเจน มองเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องของการเรียนรู้และการทดสอบ ในหลายๆครั้งที่มีอะไรมากระทบใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีสติที่จะมองว่า เขามาทดสอบเราอีกแล้ว แต่ละวัน ของการดำเนินชีวิต มีคนที่เขาเข้ามาทดสอบความทนอดกลั้นของเรา แล้วเราก็พิจารณาว่าเราจะผ่านมันไปได้ไหม ถ้าเราผ่านไปได้เราจะรู้สึกภาคภูมิใจที่เราสามารถอดทนต่อสิ่งเร้านั้นๆได้ ใจเราก็จะแกร่งขึ้น อดทนขึ้น มีความเพียรมากขึ้น แต่เมื่อไรที่เราไม่สามารถผ่านไปได้ นั่นหมายถึงว่าเราสอบตกแล้ว เพราะเราปล่อยให้ใจมาคุมเรา แทนที่เราจะคุม
ใจให้ จึงเป็นที่มาของคำว่า คนเรานั้น “ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม” นั้นเป็นจริง หลวงพ่อบอกว่าคนที่ทุกข์มากๆจะเข้าถึงธรรมะได้ดีและรวดเร็ว ฉะนั้นข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่าผู้ที่มีทุกข์ มาทางนี้ก็จะพ้นทุกข์ ผู้ที่มีสุข มาทางนี้จะทำให้สุขยิ่งขึ้น
หลวงพ่อชี้แนะให้ข้าพเจ้าได้พบทางสว่างในอันที่กำจัดทุกข์ให้หมดไปจากใจ มันอาจจะยังไม่หมดในวันนี้ แต่มันช่วยทำให้ข้าพเจ้าทุกข์น้อยลงไปมาก


หลวงพ่อยังได้ให้คำจำกัดความของคำว่าธรรมะอย่างสั้นๆกะทัดรัด แต่มีความหมายยิ่งคือ การสร้างชีวิตให้มีค่า ทำเวลาให้มีประโยชน์ต่อการงานและหน้าที่
โดยปกติแล้วข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือธรรมะมานานแล้ว เพราะเมื่ออ่านและคิด
ตามไปทำให้คิดได้ว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นปรัชญายอดเยี่ยมที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต เพราะเป็นเรื่องจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย เป็นสัจธรรมที่เราต้องน้อมรับเป็นเรื่องของเหตุและผลอันบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าเคยกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ลูกเคยอ่านหนังสือธรรมะบางเล่ม ซึ่งบางครั้งในหนึ่งหน้าลูกต้องอ่านกลับไปมา ๓ - ๔ เที่ยว เพราะอ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือจะเป็นเพราะเรายังเข้าไม่ถึงธรรมะจึงทำให้เราไม่เข้าใจ แต่พอมาได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อ หรือได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อ รู้สึกว่าเข้าใจได้ง่ายๆ หลวงพ่อตอบว่า หลวงพ่อสอนยากๆก็สอนได้ แต่ไม่สอน ขนาดสอนง่ายๆอย่างนี้ยังไม่มีใครเอาเลย แล้วจะไปสอนให้ยากๆทำไม ข้าพเจ้าจึงถึงบางอ้อ เพราะท่านกำลังบอกว่ามีคนมากมายที่มาวัด มาฟังท่านเทศน์เป็นประจำ แต่กลับครองตนครองใจไม่ได้เลย ท่านเคย
ว่า ๑,๐๐๐ คน จะมีเพียงหนึ่งคนที่ทำได้ตามที่หลวงพ่อสอน ท่านก็ดีใจแล้ว ฟังดูแล้วน่าเหนื่อยแทนหลวงพ่อจริง ๆ สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลกหลวงพ่อเป็นพ่อที่สอนลูกๆได้อย่างดีเยี่ยม อาจจะมากกว่าพ่อบังเกิดเกล้าของบางคนด้วยซ้ำ ในทางธรรมหลวงพ่อเป็นพระสุปฏิปันโณ เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นแบบอย่างที่ดีของพระสงฆ์ หลวงพ่อทำหน้าที่ของท่านได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นที่น่าชื่นใจของผู้ที่ได้พบเห็น เป็นแบบอย่างที่ยากจะหาบุคคลใดเสมอเหมือน
ข้าพเจ้ายังได้เผื่อแผ่คำสอนของหลวงพ่อไป
ยังเพื่อนฝูงและคนใกล้เคียงอีกด้วย สิ่งง่ายๆที่หลวงพ่อสอนและข้าพเจ้านำไปใช้ได้ผลอย่างดีเยี่ยมและยังได้บอกต่อคือ วิธีฆ่าความโกรธที่หลวงพ่อสอน เป็นวิธีง่ายๆที่ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่ต้องใช้เครื่องมือ ไม่ต้องเลือกเวลา ไม่ต้องเลือกสถานที่ ทำได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ผู้อื่นช่วย เราสามารถทำได้ เว้นเสียแต่เราไม่ทำ ข้าพเจ้าลองทำมาแล้วและใช้มาจนทุกวันนี้คือ เมื่อเรารู้สึกโกรธขึ้นมา ก่อนที่จะโพล่งอะไรที่ไม่เหมาะสมออกไป ขอให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หายใจยาวๆ กำหนดโกรธหนอ ๆ ๆ ๓ ครั้ง อารมณ์จะเย็นลง ใจจะสงบ ความโกรธหายไป ๘๐% แล้วค่อยโพล่งออกไป น่าอัศจรรย์ที่หลวงพ่อสามารถคำนวณความโกรธออกมาเป็นตัวเลขให้เราได้พิจารณาตามด้วย หลวงพ่อว่าคนที่กำลังโกรธมักจะลืมแม้กระทั่งการหายใจ ถ้าได้ด่าแล้วแทบไม่ได้หายใจเลย เมื่อได้ฟังมาข้าพเจ้าจึงต้องพิสูจน์ ได้ติดตามดูตนเองและคนอื่นเวลาโกรธ และเห็นเป็นจริงดังที่ท่านได้พูดไว้ ข้าพเจ้าจึงนำวิธีที่หลวงพ่อสอนมาใช้กับตนเอง ปรากฏว่าได้ผลอย่างน่าทึ่งทำให้ระยะหลังมานี้ข้าพเจ้าโกรธน้อยลงไปมากทีเดียว ถ้าจะโกรธบ้างก็ไม่เหมือนแต่ก่อน ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า นั้นเป็นจริง เพราะถ้าเรามาพิจารณาตัวโกรธ เราจะเห็นได้เลยว่าโกรธทำให้ใจเราขุ่นมัว ไม่แจ่มใส และยังพยายามหาหนทางเล่นงานคนที่ทำให้เราโกรธอีก ทำให้ใจเราคิดไปในทางไม่ดี จิตเป็นอกุศลจิต เป็นบาป และที่แน่ๆคือเมื่อเราโกรธ ใจเราเหมือนถูกไฟสุม มันร้อนรุ่ม กลุ้มอยู่ในใจ ทั้งๆที่ใจอีกฝ่ายอาจจะยังไม่ได้รับรู้หรือร้อนรุ่มไปกับเราด้วยเลยแม้แต่น้อยใจที่คิดแต่อกุศลนี้ก็เป็นทุกข์
เมื่อเป็นทุกข์ก็คือบาป ทีนี้มาลองพิจารณาตัวบ้า เราก็จะเห็นได้อีกว่าเมื่อเราโมโหก็ต้องอาละวาด เรียกได้ว่า เราต้องคุมใจ อย่าให้ใจมาคุมเรา ถ้าเราคุมใจเราได้ สวรรค์ก็อยู่ในอก แต่ถ้าเราคุมใจไม่ได้ นรกก็อยู่ที่ใจนี่เอง มาวันนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น เป็นการพัฒนาจิตเป็นการฝึกอบรมจิตใจขั้นสูง ในอันที่จะสอนให้เราบำเพ็ญเพียร สอนให้เราหัดดูใจ รู้จักใจ รู้เท่าทันใจและอารมณ์ของตนเอง เพราะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในการครองตน เหมือนเช่นที่หลวงพ่อพูดเสมอว่า อ่านตัวออก บอกตัวเป็น เห็นตัวตาย สำหรับข้าพเจ้าแล้วมอง
ว่าการปฏิบัติธรรมนี้เป็นเสมือนการบริหารใจ เพราะคนเรามักจะบริหารกายร่างกายให้แข็งแรงดูดี ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ แต่น้อยคนนักที่คิดบริหารใจ ทั้งๆที่ใจนั้นสำคัญกว่ากายเสียอีก
ความภาคภูมิใจ
สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจมากที่สุดคือการมีส่วนร่วมในการก่อสร้างกุฏิหลังใหม่ของหลวงพ่อ ทดแทนกุฏิไม้หลังเก่าที่ถูกเพลิงไหม้เสียหายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔ จากเหตุการณ์ดังกล่าว หลวงพ่อจึงต้องย้ายมาจำวัดที่เรือนเล็ก เรียกกันว่าเรือนบุญถิ่น ซึ่งเล็กและคับแคบมาก ขณะที่ทำการก่อสร้างกุฏินั้น เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าต้องรับเคมีบำบัด ร่างกายอ่อนแอมาก ๆ แต่ต้องการที่จะช่วยดูแลการก่อสร้างให้เป็นที่เรียบร้อย จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานเมื่อครั้งที่เข้าปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อว่าขอบารมีหลวงพ่อคุ้มครองและปกปักรักษาให้ลูกมีร่างกายแข็งแรง เพื่อที่จะได้ควบคุมดูแลการก่อสร้างกุฏิหลวงพ่อให้แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ช่วงที่ทำการก่อสร้างอยู่นั้น ข้าพเจ้าต้องเดินทางมาดูแลการก่อสร้าง โดยมีลูกศิษย์หลวงพ่ออีกหลายท่านได้ ช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี อีกทั้งการซื้ออุปกรณ์ทั้งหลายก็ได้รับความอนุเคราะห์จากลูกศิษย์หลวงพ่ออีกเช่นกัน บางท่านเมื่อทราบว่าข้าพเจ้าซื้อไปเพื่อใช้ในกุฏิหลวงพ่อจรัญ ถึงกับไม่ยอมรับเงินก็มี ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่ามีคนรักหลวงพ่อมากเหลือเกิน สิ่งที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจนั้นหาใช่การควบคุมดูแลให้การก่อสร้างเป็นไปตามกำหนดไม่ เนื่องจากการก่อสร้างไม่ได้ยากอย่างที่คิด หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่ยากกว่าคือ การ
รับมือกับความคิดของลูกศิษย์หลวงพ่อที่หลากหลาย เพราะทุกคนรักและเคารพหลวงพ่อมาก จึงพยายามที่จะทำทุกอย่างที่ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับหลวงพ่อ นอกจากข้าพเจ้าต้องรู้จักที่จะบริหารใจตนเองแล้ว ข้าพเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะ
บริหารผู้อื่นด้วย เพราะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวเนื่องจากเป็นความหวังดีของทุกๆคน หลายๆครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกน้อยใจแต่ไม่เคยท้อใจเพราะด้วยความที่เราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ จึงทำให้ใจแกร่งพอที่จะรับแรงกระแทกไหวเป็นการพิสูจน์ได้ว่า เมื่อใจที่ได้รับการอบรมฝึกฝนด้วยการปฏิบัติธรรมนั้น ใจจะเป็นไปตามที่หลวงพ่อได้สอนไว้ คือใจจะแกร่ง มีความอดทนสูง มีความเพียรมาก ต่อเมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้นจึงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
หลวงพ่อสอนเสมอว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นเป็นอย่างไร
คติธรรม
พระองค์ท่านช่วยใครไม่ได้หรอก แต่ทรงบอกแนวทางวางไว้ให้
เราต้องหมั่นปฏิบัติขัดเกลาไป จึงจะได้พ้นทุกข์สุขสมปอง






 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:01:07 น.  

 

--อัศจรรย์แห่งพระกรรมฐาน

ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นเด็กได้ใฝ่ฝันว่า วันหนึ่งข้าพเจ้าจะสร้างฐานะของตนเองให้ดี
มั่นคง เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่า “หากตัวเองยังยืนหยัดอย่างมั่นคงไม่ได้แล้วเราจะไปช่วยคนรอบข้างได้อย่างไร” ข้าพเจ้า เกิดและเติบโตที่วงเวียนใหญ่ เห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช และกราบไหว้ยึดถือชมชอบพระปรีชาสามารถและความยิ่งใหญ่ที่เด็ดเดี่ยว สามารถกู้ชาติไทยจากพม่าได้ในเวลาอันรวดเร็ว พระองค์ทรงเป็นวีรบุรุษในใจของข้าพเจ้าเสมอมา ทำให้ข้าพเจ้ายึดถือเป็นแบบอย่างการทำงานที่ต้องต่อสู้ให้สุดความสามารถ แม้จะโดดเดี่ยวก็ตามครอบครัวของข้าพเจ้าแต่เดิม อากงมีอาชีพขายน้ำแข็งอยู่วงเวียนใหญ่ ตระกูล
ของเราถือว่าฐานะดีพอสมควร เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เพราะอากงเป็นคนดี มาจากเมืองจีนแบบเสื่อผืนหมอนใบ สร้างตัวจากไม่มีอะไรจนเป็นเถ้าแก่โรงน้ำแข็ง ค้าขายดีมาก จนบางวันนับเงินไม่ทัน ต้องเอากระป๋องนมตราหมีมาใส่ แล้วให้ลูกหลานช่วยกันนับแต่โรงน้ำแข็งของอากงอยู่ได้ประมาณ ๒๐๓๐ ปี ก็ถึงจุดที่ต้องเลิก เพราะลูกๆของอากงไม่มีใครอยากทำต่อ จึงทำให้โรงน้ำแข็งของอากงต้องปิดฉากลงภายใน ช่วงปลายชีวิต ซึ่งอากงก็ได้เห็นสิ่งที่ตนเองสร้างมาและถูกยุติโดยลูกๆ แววตาของอากงเศร้ามาก อากงจะสอนข้าพเจ้าเรื่องการค้าของคนจีนว่า ต้องซื่อสัตย์นะ คำพูดต้องรักษาให้ได้ หากพูดแล้วทำไม่ได้จะไม่มีใครเชื่อถือ ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนยึดถือสัจจะยิ่งสิ่งใดอากงเคยเล่าเรื่องขายน้ำหวานให้ข้าพเจ้าฟังว่า ก่อนจะมาขายน้ำแข็งนั้น อากงเคยเคี่ยวน้ำหวานขาย โดยเอาน้ำตาลกรวดผสมสีเน้นว่าต้องเป็นสีจากเยอรมันเท่านั้นเคี่ยวจาก ๑๐ ส่วน แล้วเหลือ ๗ ส่วน อากงเคี่ยวน้ำตาลเก่ง สามารถทำกำไรได้มากกว่าคนอื่นเพราะคนอื่นเคี่ยวน้ำ ๑๐ ส่วน จะเหลือ ๕ ส่วน และสีสวยแต่ต่อมาเห็นว่าขายน้ำแข็งดีกว่าจึงเลิก


ทำไม่นานก็มีอาเจ็กท่านหนึ่งมาขอให้อากงช่วยสอนวิธีการเคี่ยวน้ำตาลผสมสีให้ อากงเห็นว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนจึงสอนเขาไป สุดท้ายเขาไปเปิดเป็นโรงงานใหญ่ค้าขายได้ร่ำรวย เป็นน้ำหวานที่หลายคนชื่นชอบ ยี่ห้อ”เฮลล์บลู บอย” ข้าพเจ้ายังเคยตื๊ออากงว่า ถ้าไม่มีใครอยากทำโรงน้ำแข็ง อากงให้ข้าพเจ้าทำนะ  แต่อากงก็ปฏิเสธ บอกว่าผู้หญิงกับผู้ชายแตกต่างกัน งานน้ำแข็งต้องตื่นตีสามเพื่อวิ่งส่งน้ำแข็งให้ลูกค้า เป็นงานหนัก มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงจะทำกัน เป็นอันว่าครอบครัวเริ่มมีฐานะแย่ลง ไม่มีใครมองเห็นว่าธุรกิจโรงน้ำแข็งของอา
กงนั้นเก็บเงินสดทุกวัน บางคนผันตัวเองไปทำอาชีพอื่นที่คิดว่าเงินมาง่าย รวยเร็ว ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย นั่นคือการพนันบิดาของข้าพเจ้าและญาติได้ทำธุรกิจรับแทงหวย เปิดบ่อน บิดาของข้าพเจ้ายังเป็นหนึ่งในสิบเซียนมุมน้ำเงิน ไปเล่นมวยทุกวันคลุกคลีกับพวกคนที่เขาเรียกว่า “เจ้าพ่อวงการมวย” ข้าพเจ้าไม่ชอบสิ่งเหล่านี้เลยตั้งแต่เด็กจนโต ข้าพเจ้าไม่ชอบเล่นการพนันทุกชนิดเพราะข้าพเจ้าเคยเห็นผีพนันในตัวของน้องข้าพเจ้า คือว่ามีครั้งหนึ่งเมื่อตอนพวกเราเป็นเด็ก ได้เลียนแบบผู้ใหญ่ เล่นไพ่กัน ๔๕ คน โดยเล่นไพ่ตีแตก เงินกองกลางเริ่มจากคนละ ๑ บาท ไปจบที่ ๔๕๐๐ บาท น้องอยากได้ก็ทุบกระปุกออมสินเอามา
เล่นแบบไม่ยอมแพ้ ต้องถอนทุนคืนกันให้ได้ในเกมสุดท้าย มันทำให้ข้าพเจ้าต้องจดจำไปตลอดชีวิต คือน้องคนที่ ๔ กับน้องสุดท้อง สู้ไพ่กัน ระหว่างนั้นบังเอิญ
ข้าพเจ้ามองไปที่ใบหน้าเขา ทั้งสองคน ปรากฏว่าใบหน้าเขาเป็นสีเขียวคล้ำ 
เหมือนคนโดนผีสิงเลย โอ้โห ตอนนั้นกลัวเลย ความโลภมันจับคนให้เห็นและเป็นอย่างนี้หรือ ผีพนันที่สิงอยู่ทำให้ไม่เห็นความเป็นพี่น้องเลย ต่างคนต่างอยากได้เงินกองกลาง ทุ่มหมดตัว เห็นหน้าน้องตอนทุบกระปุกออมสินแล้วเสียดาย และพอคนชนะก็ดีใจ คนแพ้ก็ร้องไห้วิ่งขอเงินคืน เขาก็ไม่ยอมคืน เห็นความแตกหัก เลยสัญญากับตนเองว่าไม่เอาอีกแล้ว จะไม่ขอเล่นการพนันอีก


ข้าพเจ้าเรียนจบมาได้ทำงานหลายแห่ง เก็บความรู้ที่เรียนมาจนมาเปิดบริษัทเล็กๆ
ขายของพรีเมี่ยมส่งเสริมการขาย เพราะไม่อยากเป็นลูกจ้างใครอีก เหมือนมีแรงขับดันภายในอยู่ตลอด ช่วงนั้นลุยงานพยายามสร้างฐานะ โดยลืมครอบครัวและสามี ลืมแม้แต่ความเป็นตัวเอง จนต้องสูญเสียคำว่าครอบครัว เพราะสามีขอหย่า จนข้าพเจ้าได้ไปวัดอัมพวันและพบหลวงพ่อจรัญ และปฏิบัติ
กรรมฐานอย่างจริงจัง ทำให้ข้าพเจ้าได้ครอบครัวกลับคืนภายใน ๑ ปี และฐานะการงานก็เจริญรุ่งเรืองอย่างน่าแปลกใจที่สุด จากเดิมที่ต้องติดต่อหาลูกค้ารายใหม่เพื่อนำเสนองานต่างๆได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลังจากปฏิบัติกรรมฐานแล้ว ลูกค้าเป็นฝ่ายติดต่อมาเพื่อให้ข้าพเจ้าทำงาน ซึ่งมาจากคนแนะนำมาหรือเห็นจาก สื่อโฆษณา มักจะมีการสั่งผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยสั่งไว้ในครั้งแรก นอกจากนี้ปัญหาที่เกิดจากงาน ซึ่งดูเหมือนไม่มีทางออก ต้องแย่แล้วส่งงานไม่ทันนั้น ถูกยกออกไปแบบง่ายจนงง มีคนให้การช่วยเหลือสนับสนุน จนลูกค้าข้าพเจ้าเองซึ่งเป็นบริษัทใหญ่เคยเอ่ยปากกับข้าพเจ้าว่า “บุศเธอพกพระอะไรมา” ทำไมถึงโชคดีขนาดนี้ เป็นคนอื่นงานนี้ไม่รอดถูกปรับถูก ฟ้องแน่ ข้าพเจ้าชอบคิดและสร้างสรรค์งานของเล่นให้เด็กๆ ทุกครั้งที่คิดออกจะมากราบหลวงพ่อจรัญทุกครั้ง เอาของเล่นตั้งแต่เป็นรูปภาพจนถึงผลิตเสร็จจริงไปให้ท่านช่วยแผ่เมตตา และก็แปลก ทุกงานที่ทำสามารถทำยอดขายได้อย่างถล่มทลาย เป็นที่ฮือฮาในวงการ จนคนเขาคิดไม่ถึงว่านี่คือ สิ่งที่คนไทยสร้างขึ้นมา เขานึกว่ามาจากเมืองจีนหรือต่างประเทศข้าพเจ้าทำงานได้ราคาถูกกว่าเมืองจีน ซึ่งหลายคน ไม่อยากเชื่อ แต่ข้าพเจ้าก็พิสูจน์ให้เห็นหลายงาน งานที่ข้าพเจ้าทำนั้น กำไรเป็นสตางค์ ขอเน้นว่าหลักสตางค์บางทีเป็นเลขคี่ของสตางค์ ข้าพเจ้าก็ทำ เพราะมันคือกำไรและค่าตอบแทนของข้าพเจ้า
หลวงพ่อจรัญสอนให้ข้าพเจ้าทำงานให้ดีที่สุด ทำให้สุดความสามารถ ตั้งใจจะเอาธรรมะของหลวงพ่อไปค้าขาย ข้าพเจ้าตั้งใจประกอบสัมมาอาชีวะ ไม่ขอทำอาชีพผิดกฎหมาย หรืออาชีพที่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น แม้จะรวยช้าก็ตาม เรื่องการพนันมิเคยอยู่ในหัวของข้าพเจ้าเลย
อยากเล่าเรื่องจริงให้ฟังอีกเรื่อง คือพี่สาวของข้าพเจ้าลูกพี่ลูกน้องกัน เขาก็ทำ
อาชีพเดินตามรอยบิดาและญาติ คือรับเป็นเจ้ามือหวยใต้ดิน เขาทำอยู่หลายปีร่ำรวยเงินทองมากมาย ชีวิตดูเหมือนมีความสุขมาก จนบางครั้งข้าพเจ้าอิจฉาเขา อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไรมาก เขาเคยมาปรารภกับข้าพเจ้าว่าอยากเลิกอาชีพนี้เหมือนกัน แต่ไม่รู้จะไปทำอะไร กลัวลูกโตขึ้นมารู้ว่าเรามีอาชีพนี้จะอายเพื่อน ข้าพเจ้าก็บอกว่าดี ให้รีบเลิกซะ ล้างมือในอ่างทองคำ ฟ้ายังเมตตานะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมข้าพเจ้าพูดเช่นนั้น มันรู้สึกว่าของอย่างนี้มันมีเวลาที่เขาให้มา หากหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น เดี๋ยวมันจะหมดหน้าตัก ทุนเดิมก็ไม่เหลือ แต่ถ้าตัดได้เลิกมันซะ เหมือนเบื้องบนยังสงสาร ให้ทุนเหลือติดมาบ้างแต่พี่สาวข้าพเจ้าก็ไม่สามารถหนีพ้น สุดท้ายลูกค้าแทงหวยถูกติดต่อกันหลายงวดทำให้ฐานะเขาย่ำแย่ลงต้องเป็นหนี้เป็นสิน ทุกวันนี้เครียดไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรแต่ก็หันกลับมาค้าขายเปิดร้านอาหารเล็กๆพอปะทังไป แต่มิได้สุขสบายร่ำรวยเงินทองเหมือนเมื่อครั้งก่อน ตัวอย่างเหล่านี้เกิดกับบิดา พี่สาว และญาติของข้าพเจ้าทั้งสิ้น ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครร่ำรวยจริงๆจากอาชีพเหล่านี้เลย สุดท้ายก็ต้องไปชดใช้คืนเขาทั้งสิ้น ข้าพเจ้ายอมเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน เก็บกำไรที่เป็นหลักสตางค์ จนทุกวันนี้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของโรงงาน ผลิตสินค้าเป็นสิบ ๆ ล้านชิ้น มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะหลวงพ่อจรัญ ท่านสอนให้ข้าพเจ้าคิดดี ทำดี พูดดี มีสัจจะ สอนให้เป็นคนดี หลวงพ่อพูดเสมอว่าทำความดีนั้นมันแสนยาก แต่เมื่อเราทำดีแล้วเราต้องได้ดี ข้าพเจ้าระลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อจรัญ ที่ท่านกรุณาช่วยนำข้าพเจ้าและครอบครัวให้พบสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะ
คนเรารวยได้ถ้ามีความขยัน ไม่เกียจคร้าน ต้องเก็บออม และที่สำคัญต้องเป็นคนดีความอัศจรรย์หลายต่อหลายเรื่องได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าศรัทธาและ
เคารพรักหลวงพ่อจรัญมาก ถ้าพวกเรารักหลวงพ่อจรัญก็หมั่นทำความดีให้กันและกัน ตอบแทนคุณหลวงพ่อ ท่านจะได้หายเหนื่อยแล้วพวกเราจะได้เห็นรอยยิ้มของหลวงพ่อบ่อยๆ




--อาชีพที่ได้จากการปฏิบัติ

ปัจจุบันประกอบธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเป็นงานที่ได้เนื่องมาจากการปฏิบัติกรรมฐาน ที่วัดอัมพวัน ชื่อว่า บัวนิมิต สาเหตุที่ไปเพราะดิฉันต้องการที่พึ่งทางใจ และ ค้นหาแนวทางชีวิตที่ตัวเองต้องการ โดยมีลูกน้องคนหนึ่งของดิฉันเป็นผู้แนะนำ ตอนนั้นดิฉันมีสภาพหมดตัว โดยถูกคนที่รู้จักกันหักหลังตกงาน และในเวลาเดียวกันสามีก็ถูกบีบออกจากงาน ทั้งดิฉันและสามีมีเงินติดตัวไม่กี่ร้อยบาท จะทำอย่างไรดี โชคดีที่มีโอกาสได้ไปวัดอัมพวัน ครั้งแรกนั้นดิฉันได้อยู่ปฏิบัติกรรมฐานเป็นเวลา ๗ วัน และได้รับคำแนะนำจากคนในวัดว่าให้กลับไปสวดมนต์ เมื่อกลับมาแล้วดิฉันไม่ได้ปฏิบัติสม่ำเสมอ จึงไม่ได้ผลเท่าที่ควร ปัญหาเรื่องเงินผ่อนบ้านผ่อนรถก็ยิ่งเป็นปัญหาหนักกว่าเดิม เริ่มทำซักรีดก็ไม่ดี เพราะบ้านอยู่ในทำเลไม่เหมาะจนในที่สุดดิฉันและสามีก็กลายเป็นหนี้เสียของธนาคาร ดิฉันและสามีจึงตัดสินใจกลับไปขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทั้งสองบ้านเหตุผลคือ ดิฉันและสามีไม่มีเงินให้ แถมยังขอความช่วยเหลืออีก ทำให้เสียหน้า เสียเกียรติ กลัวจะต้องเดือดร้อนด้วย และกลัวคนอื่นๆจะมาขอด้วย ถึงแม้จะสวดมนต์ ดิฉันก็ยังไม่ดีขึ้น จนกระทั่งแม่ของดิฉันได้รับคำแนะนำให้ช่วยดิฉันเพราะดิฉันเป็นลูก ช่วยคนอื่นช่วยได้ ทำไมช่วยลูกตัวเองไม่ได้ ดิฉันจึงได้ขยับขยายร้านไปอยู่ในที่ที่เหมาะที่จะทำร้านซักรีด และเมื่อได้ทำร้านซักรีดในทำเลที่เหมาะสม กิจการก็เริ่มดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
ดิฉันและสามีก็ยังคงปฏิบัติกรรมฐานอยู่ แต่ปัญหาต่างๆก็ยังไม่หมด รายได้ที่ได้เสมอทุนไม่มีพอสำหรับส่งบ้าน จนในที่สุดบ้านก็ถูกธนาคารยึดและเราถูกฟ้อง และในปีนั้นเอง ปาฏิหาริย์ก็ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของดิฉัน ก่อนสงกรานต์

สามีดิฉันนั่งกรรมฐานแล้วเกิดนิมิตว่า ได้ไปกราบหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อส่งของใส่มือมา แล้วบอกให้ปิดไว้ก่อน อย่าพึ่งเปิดดู หลังจากออกกรรมฐานแล้วสามีเล่าให้ฟัง จากนั้นเราก็ลืมกันไป จนถึงวันสงกรานต์ดิฉันทำความสะอาดหิ้งพระ จึงได้พบพระพิมพ์สีดำ ๑ องค์ เมื่อมาส่องดูในที่สว่างจึงทราบว่าเป็นพระพิมพ์ของหลวงพ่อจรัญ ทำเมื่อปี ๔๐ ข้างหลังเป็นวงล้อเขียนว่า อย่าประมาท ดิฉันนึกได้ว่าเพราะสามีดิฉันเป็นคนที่ตั้งอยู่ในความประมาท ในทุกๆเรื่อง ทำให้ครอบครัวมีปัญหา และการที่ได้พระพิมพ์ของหลวงพ่อมา ก็หมายความว่าเป็นการเตือนไม่ให้ประมาทนั่นเอง ดิฉันดีใจมากที่รู้ว่าเป็นพระของหลวงพ่อ แต่ก็มีความสงสัยว่าพระมาได้อย่างไร เราไม่ได้รับกับมือหรือรับจากใครเลยนอกจากในกรรมฐาน เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดกับครอบครัวดิฉัน และนั่นทำให้ดิฉันมั่นใจ
ศรัทธา และมุ่งมั่นในทางสายนี้ที่ดิฉันเลือก และดิฉันรู้ว่าถึงดิฉันจะไม่มีใคร แต่ดิฉันมีหลวงพ่อเสมอ ดิฉันเริ่มปฏิบัติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เกือบจะทุกวัน จนในคืนหนึ่งฝันเห็นหลวงพ่อได้ยินเสียงท่านบอกว่าไปวัดได้แล้วถึงเวลาแล้ว ดิฉันจึงไปปฏิบัติที่วัดอีกครั้งเป็นเวลา ๕ วัน ในระหว่างปฏิบัติตอนนั่งได้ยินนิมิตเสียงว่า ให้ทำดอกบัวเงิน ดอกบัวทอง ถวายหลวงพ่อขึ้นกุฏิใหม่ซิ เพราะเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ หลวงพ่อไม่แพ้เหมือนดอกไม้สด พร้อมทั้งบอกวิธีถักให้กลีบโค้งงอเหมือนกลีบบัวจริงพอกลับบ้านดิฉันได้ทำตามนิมิตจนได้เป็นดอกบัวที่สวยงาม จึงตั้งชื่อว่า “บัวนิมิต” และค่อย ๆ จำหน่ายได้ เพิ่มขึ้น จนปี ๒๕๔๗ ได้รับการคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ระดับ ๔ ดาว เป็นอาชีพหลักของครอบครัว ดิฉันดีใจและภูมิใจเป็นที่สุด ตั้งใจว่าจะทำตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อทุกประการ โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกแล้ว และจะทำให้ดีที่สุดทุกๆงาน เพื่อทดแทนบุญคุณของท่าน




--อานิสงส์ในการปฏิบัติธรรมและสร้างกุศล ทำให้ชีวิตดีขึ้น

หลังจากที่กระผมได้เขียนกฎแห่งกรรม ชื่อเรื่องว่า “กรรมที่ตามสนอง
และบุญกุศลที่ส่งผล” ลงในหนังสือกฎแห่งกรรม เล่มที่ ๑๙ แล้ว กระผมได้ถือศีล ๘ และทำบุญสร้างกุศลเพิ่มเติมขึ้นอีก ทำให้ชีวิตของกระผมดีขึ้น ตั้งแต่ วันวิสาขบูชา จนถึงวันออกพรรษาของปีนั้น ได้ตักบาตรทำบุญกับพระสงฆ์ทุกวัน อย่างน้อย วันละ ๔ รูป ได้สวดมนต์ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นกับพระในถ้ำทุกวันตลอดพรรษา จึงทำให้ชีวิตที่มีแต่อุปสรรคปัญหา กลับดีขึ้นในหลายๆเรื่องดังนี้ การสร้างบ้านที่อยู่อาศัย กระผมยังไม่มีบ้านที่อยู่อาศัยที่เป็นหลักแหล่งของตนเอง เดิมเช่าบ้านบ้าง ซื้อแล้วขายบ้าง บางครั้งต้องย้ายบ้านไปหลายครั้งหลายหน ตามแหล่งที่ใช้ในการประกอบอาชีพเสริมจะอำนวยให้ จนเมื่อเกษียณอายุราชการเป็นข้าราชการบำนาญแล้ว แต่ยังไม่มีบ้านเป็นหลักแหล่งของตนเอง ทำให้กระผมกระวนกระวายใจ และพยายามวิ่งเต้นหากู้เงินจากธนาคารต่างๆหลายแห่งและหลายปี ซึ่งจะกู้ได้บ้างกู้ไม่ได้บ้าง เพราะคุณสมบัติ ไม่ได้บ้าง บางครั้งธนาคารปล่อยเงินแล้ว เจ้าของที่ดิน และบ้านกลับคำพูดไม่ยอมขายให้บ้าง จนถึงปี ๒๕๔๙ จึงได้รับเงินจากบุตรีส่งเงินมาซื้อที่ดินให้ แต่การก่อสร้างบ้านนั้นไม่มีเงิน จะสร้างบ้านได้ต้องติดต่อขอกู้เงินจากธนาคาร ซึ่งตัวของกระผมนั้นอายุเกิน ๖๐ ปี ทำให้ไม่มีคุณสมบัติในการกู้ได้ แต่ที่ได้นั้นมาจากบุตรสาวของกระผมมาช่วยดำเนินการให้ ที่จริงกระผมหมดโอกาสแล้ว แต่บุญกุศลที่กระผมได้สร้างไว้ในปี ๒๕๔๘ มาช่วยทำให้ธนาคารอนุมัติให้กู้เงินสร้างบ้านได้ ทั้ง ๆ ที่อีกหลายๆรายก็ขอกู้เช่นเดียวกันแต่ไม่ได้รับอนุมัติในการศึกษาต่อของหลานของกระผมชั้นไม่คาดคิดว่าจะได้เข้าศึกษา แต่บุญที่ได้สร้างไว้ทำให้เข้าเรียนได้ โดยได้รับความเมตตาปราณีจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่กระผมไม่รู้จักมาก่อน ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ นอกจากเข้าเรียนต่อได้แล้ว ยังทำให้หลานของกระผมเรียนผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งๆที่หลานของเรียนหนังสือไม่เก่ง ซึ่งกระผมได้ขอให้บุญกุศลที่กระผมได้ปฏิบัติมาช่วยให้เขาผ่านการเรียนไปได้ด้วยดี เพื่อให้เขาเป็นคนดี
ของสังคม และช่วยเหลือพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน
กระผมไม่มีบ้านอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ทำให้การสร้างห้องพระเพื่อนั่งสมาธิ เดินจงกรม ของกระผมมีปัญหามาตลอด ได้ทำห้องพระขึ้นมาใหม่แทนห้อง
เก่าที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ก่อสร้าง กระผมทำเอง ได้ประสบอุบัติเหตุน่าจะถึงแก่ชีวิตและพิการได้ โดยยกเสาบ้านซึ่งมีขนาดใหญ่  แล้วเสาล้มฟาดลงมาที่ตัวของกระผมในขณะที่เสาเริ่มเอนลงมานั้นกระผมก้มลงเก็บเชือกเพื่อกันเสาล้ม แต่เสาล้มก่อน ได้ยินน้องภรรยาที่มาช่วยทำตะโกนว่า “เสาล้ม” กระผมจึงกระโดดหนีให้รอดพ้น แต่ดินที่ขุดขึ้นมากองไว้ร่วนซุยจึงกระโดดไม่พ้น และทำให้ล้มลงตรงที่เสาล้มลงมาพอดี ในใจของกระผมขณะนั้นคิดว่าไม่ตายก็คงบาดเจ็บสาหัสแน่นอน เมื่อเสาล้มมาใกล้ถึงตัว เสาก็หยุดค้างไม่ลงมาถึงตัวนอกจากที่หน้าแข้งรู้สึกเจ็บแต่ไม่มากนักเพราะเสาทับไว้ จึงเงยหน้าไปมองว่าเสาหยุดได้อย่างไร ปรากฏว่าปลายเสาไปค้างอยู่บนไม้ท่อนหนึ่ง มิฉะนั้นกระผมคงไม่รอดแน่นอนที่จะถูกทับ ทำให้คิดว่า เป็นเพราะบุญกุศลที่ได้ปฏิบัติมาตลอดนั่นเองที่ช่วยชีวิตเอาไว้ได้ จึงทำให้กระผมศรัทธาในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ตลอดจน คุณบิดามารดา ที่ทำให้กระผมมีชีวิตรอดมาจนปัจจุบัน กระผมจะถือศีล ๘ และปฏิบัติธรรมตลอดพรรษาอีก บ้านคงสร้างเสร็จพอดี ทำให้มีที่ปฏิบัติได้สะดวกมากขึ้น



--อานิสงส์การปฏิบัติธรรม ทำบุญอุทิศส่วนกุศลอยู่เสมอทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์

หลังจากที่ลูกได้มาแนะนำวิธีปฏิบัติธรรม และมาบอกให้ทำบุญใส่บาตรทุกวัน และยังเอาหนังสือของหลวงพ่อจรัญที่บอกว่า ใครอยากรวยให้ใส่บาตรทุกวัน มาให้อ่าน ข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติดู อุปสรรคมากมาย เมื่อก่อนตัวข้าพเจ้าเองการเงินไม่ค่อย คล่องเท่าไหร่ ร่างกายก็เจ็บออดๆแอดๆ สามีที่ป่วยมานานอาการก็ดีขึ้น ลูกสาวบอกให้พ่อของเธอสวดมนต์ใส่บาตรทุกเช้า และหมั่นทำบุญทำกุศล อาการป่วยจะได้หายและจะได้ไปเที่ยวต่างประเทศ เป็นเรื่องที่แปลกมาก อยู่ๆพ่อของเธอก็ลุกมาใส่บาตรทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน ทำบุญทำกุศลบ้างเท่าที่มีโอกาส
ทั้งๆที่เมื่อก่อนพ่อของเธอไม่เคยศรัทธาพระ ไม่เคยทำบุญใส่บาตร ไม่เคยสวดมนต์ สิ่งมหัศจรรย์เกิดอาการป่วยของพ่อเธอก็หาย จากเคยให้ออกซิเจนแทบจะทั้งวันทั้งคืน ก็ไม่ต้องให้ออกซิเจนอีกเลย ลูกสาวคนเล็กยังกลับมาจากอเมริกาและมาพาพ่อไปเที่ยวต่างประเทศอีก กลับจากต่างประเทศก็ได้ดวงตาใหม่มาแทนดวงตาเก่า ๑ ดวง และอยู่ต่อมาอีกไม่นาน พ่อเธอก็ทิ้งสังขารไป ด้วยจิตที่เป็นสมาธิและมีสติ ลูกๆแต่ละคนทำมาหากินไม่ค่อยจะขึ้น ลูกบางคน ชอบเถียงแม่พ่อ บางคนก็พูดจาจาบจ้วงให้ข้าพเจ้าและสามีต้องเสียใจ หลานบางคนก็มีปัญหา เวลาทำบุญใส่บาตรในแต่ละครั้งหรือแต่ละวัน มีเงินทำบุญแค่ ๒๐ บาท เห็นคนอื่นเขาทำบุญเยอะๆ แล้วมามองตัวเอง ได้แต่เสียใจที่มีเงินทำบุญน้อยถึงกับน้ำตาคลอ
วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรม เวลาประมาณ ๑ ทุ่ม ก็เกิดอาการปวดเนื้อปวดตัว ปวดท้องน้อยหายใจไม่ค่อยสะดวก เหนื่อย แต่ข้าพเจ้าก็ได้พูดว่า เอาละ ถ้าหาก ปฏิบัติธรรมแล้วเกิดอาการเช่นนี้ ถ้าตายคงไปดีแน่ ก็เลยฝืนใจปฏิบัติต่อ สักครู่อาการที่เกิดขึ้นก็หายไป เป็นแบบนี้อยู่ ๓ คืน อานิสงส์เกิด เดี๋ยวนี้สุขภาพร่างกายของข้าพเจ้าแข็งแรงดีขึ้น เคยนอนไม่หลับในบางครั้งก็หลับสบาย ลูกๆที่เคยทำให้ข้าพเจ้าเสียใจก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น การค้าก็ดีขึ้น หลานบางคนที่มีปัญหาก็ดีขึ้น



--อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณช่วยชีวิตแม่และลูกชายข้าพเจ้าได้

ในวันเกิดข้าพเจ้ามีเพื่อนครูชื่อพี่สุภาพร สง่าทอง ซื้อหนังสือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มาให้ ซึ่งมีอยู่ ๒ เล่ม ข้าพเจ้าเห็นแล้วนึกท้อที่จะอ่านเพราะเล่มใหญ่และหนา พี่ก็จะถามว่าอ่านหรือยัง จนข้าพเจ้าเกรงใจจึงหยิบมาอ่าน แต่พอได้อ่านแล้วแทบวางไม่ลงเพราะเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระดีมาก มีข้อคิด และสนุก ข้าพเจ้าถามพี่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือแต่ง พี่บอกว่าเป็นเรื่องจริงคือ วัดอัมพวัน หลวงพ่อจรัญข้าพเจ้าจึงอยากไปกราบหลวงพ่อ ได้หนังสือสวดมนต์มา ข้าพเจ้าเริ่ม สวดมนต์ตามหนังสือ ปกติข้าพเจ้าก็สวดมนต์ทุกคืนอยู่แล้ว แต่เป็นการสวดสั้นๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตครอบครัวของข้าพเจ้า มีดังนี้ เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นกับบุตรชายของข้าพเจ้า ลูกชายของข้าพเจ้าซึ่งสายตาสั้นและขับรถไม่เก่ง ได้ขับรถจักรยานยนต์ชนทางเท้าตรงโค้ง และสลบไป มีคนนำส่งโรงพยาบาลลพบุรี นอนอยู่ห้องไอ.ซี.ยู. ใครเห็นก็บอกว่าไม่รอดเพราะนอนนิ่งไม่ไหวติง หน้าบวม ข้าพเจ้าจึงย้ายเข้าโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คุณหมอบอกว่าสมองบวม บอกไม่ได้ ต้องดูวันต่อวัน ข้าพเจ้าเข้ากรุงเทพฯ ก็นำหนังสือสวดมนต์ไปด้วยเพราะตอนนั้นยังท่องไม่ได้ย้ายไปโรงพยาบาลรามาธิบดี
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็สวดมนต์ภาวนาทุกคืน
สวดเท่าอายุของข้าพเจ้าบวกหนึ่ง และอธิษฐานจิตขอพรจากหลวงพ่อจรัญ ช่วยแผ่
เมตตาให้ลูกชายของข้าพเจ้ารอดชีวิตด้วย ช่วงที่นั่งเฝ้าข้าพเจ้าก็จะสวดอิติปิโสไปเรื่อยๆ ลูกชายของข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกตัว แต่พูดไม่ได้เพราะใส่ออกซิเจนและแอร์เวย์ที่ปาก แต่สื่อโดยใช้ภาษามือขอกระดาษและเขียนด้วยมือซ้าย เพราะมือขวาไม่มีแรงว่า เขาเป็นห่วงเพื่อนอีกสองคน ที่ขับนำหน้าไปกลัวจะมีอันตราย และบอกเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนทั้งสองคนได้ ข้าพเจ้าจึงต่อโทรศัพท์ให้เพื่อนโทร. เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ลูกชายข้าพเจ้าก็ได้แต่พยักหน้าเพราะพูดไม่ได้ ข้าพเจ้าดีใจมาก การที่ลูกบอกเบอร์โทรศัพท์ซึ่งมีตัวเลขหลายตัวได้แสดงว่าสมองยังปกติ ไม่เสียความทรงจำสมองไม่เสื่อม ถ้าลูกข้าพเจ้ารอดชีวิตมา แขนขาข้างขวาและสมองคงพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คงไม่ได้เรียนหนังสือ และข้าพเจ้าคงต้องลาออกจากครูมาดูแลลูก แต่ลูกข้าพเจ้าฟื้นมาสมองปกติ และได้ย้ายไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลอานันทมหิดล จังหวัดลพบุรี อาการดีขึ้นเรื่อย ๆออกจากโรงพยาบาล ลูกชายของข้าพเจ้าแข็งแรงช่วยเหลือตัวเองได้ ข้าพเจ้าจึงได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๗ วัน ช่วงที่ปฏิบัติไม่ได้คุยกับใคร ตั้งใจมาก เช็ดถาดทุกวัน ว่างก็กวาดใบไม้ วันกลับก็ทำความสะอาดห้องน้ำ รู้สึกปีติมีความสุขมาก ลูกชายของข้าพเจ้าแข็งแรงมากขึ้น จึงได้ไปปฏิบัติธรรมพร้อมกับข้าพเจ้าในช่วงหลัง และในวันที่ ๒๖ กรกฎาคมของทุกปีข้าพเจ้าและลูกก็จะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของลูกชายข้าพเจ้า ที่ไม่เอาชีวิตของลูกชายข้าพเจ้าไป และทุกวันพระก็จะไปทำบุญกันสม่ำเสมอ ปัจจุบันลูกชายของข้าพเจ้าเรียนจบปริญญาตรีและได้ไปอุปสมบทที่วัดอัมพวัน

เหตุการณ์ที่ ๒ ซึ่งเกิดกับแม่ของข้าพเจ้า ท่านอายุ ๘๒ ปี ส่วนบิดาของข้าพเจ้า
ได้เสียชีวิตเมื่อปี แม่จึงเลี้ยงดูลูกทั้ง ๖ คนมาตามลำพัง โดยอาชีพทำนา พออายุมากขึ้นทำนาไม่ไหวจึงเปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้าน แม่เป็นคนถือศีลปฏิบัติธรรมมาตลอด ไปทำบุญทุกวัน วันพระก็จะนำสวดมนต์ ในช่วงเข้าพรรษาก็ถือศีล ๘ นอนวัด แต่พอมาช่วงหลังอายุมากขึ้น ปวดปัสสาวะบ่อย ทางวัดทุบห้องน้ำไปสร้างไกลขึ้น กลางคืนไม่สะดวก แม่จึงมานอนบ้านแต่ก็ถือศีล ๘ ไม่นอนบนที่นอน ไม่ทานอาหารมื้อเย็น แม่เริ่มป่วย มีอาการหนาว จึงพาไปรักษาที่ คุณหมอบอกว่าเป็นกรวยไตอักเสบ ขณะที่ข้าพเจ้าเฝ้าก็จะ สวดอิติปิโสตลอด และในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ แม่มีอาการกระตุกทั้งหน้า และคงกัดลิ้นมีเลือดไหล พี่ชายของข้าพเจ้ารีบนำส่งโรงพยาบาลอานันทมหิดล คุณหมอให้นอนห้องกึ่งวิกฤต แม่กระตุกตลอด อาการน่าวิตกแม่เป็นหนักกว่าทุกครั้ง ญาติไป
เยี่ยมกันเยอะคิดว่าแม่คงอาการหนัก ข้าพเจ้าสวดมนต์ภาวนาอธิษฐานจิตขอพรจากหลวงพ่อจรัญ ให้ช่วยแผ่เมตตาช่วยชีวิตแม่ข้าพเจ้า ให้แม่ข้าพเจ้าปลอดภัยกลับบ้านได้เข้าโรงพยาบาลครั้งนี้แม่กลืนอะไรไม่ได้ ต้องให้อาหารและยาทางสายยาง ต้องเปลี่ยนสายยางทุก ๗.๑๐ วัน ข้าพเจ้าสงสารแม่มาก
แม่ออกจากโรงพยาบาล และยังใส่สายยางอยู่เดินไม่ได้ พี่ชายข้าพเจ้าซื้อรถเข็น ข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรมและอธิษฐานจิตว่า ขอให้แม่ได้ถอดสายยางออกสามารถทานอาหารทางปากได้ กลืนได้ และเดินได้ พอข้าพเจ้ากลับจากปฏิบัติธรรมเห็นแม่เดินได้ ดีใจมาก แม่บอกว่าอยู่เฉย ๆ ขาแม่ก็มีแรงพยุงตัวลุกเดินได้ แต่ก็มีลูกๆคอยประคอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นขาแม่ไม่มีแรง จะลุกไปไหนต้องอุ้มพยุงตัวขึ้น แม่บอกว่าเป็นเพราะข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรม ต่อมาไม่นานแม่ก็ไม่ต้องใส่สายยาง ให้แม่ดื่มอาหารเหลว แต่ปริมาณก็ลดลง และเริ่มฝึกทานข้าวต้ม และข้าวสวย จากที่ทานได้เล็กน้อยก็เพิ่มปริมาณมากขึ้น
ปัจจุบันนี้แม่ก็ทานข้าวได้ปกติ แต่ก็ยังทานยาของโรงพยาบาลเป็นประจำ แม่สวด
บทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ชัยมงคลคาถา มหาการุณิโก พระคาถาชินบัญชร และอีกหลายอย่าง แม่สวดได้หมด ความจำแม่ยังดีมาก แม่นั่งสวดมนต์และนั่งสมาธิได้ไม่นานเพราะปวดขา สภาพร่างกายไม่อำนวย แม่จึงนอนสวดอิติปิโส ข้าพเจ้าซื้อเทปพาหุงพุทธคุณ ๑๐๘ จบ และเทปธรรมะเปิดให้แม่ฟัง แม่ข้าพเจ้าสามารถเดินไปทำบุญได้ และที่ดีใจมากที่สุดในวันบวชลูกชายของข้าพเจ้า แม่ข้าพเจ้าไปวัดอัมพวันตั้งแต่เริ่มพิธีปลงผม จนบวชเสร็จบ่าย ๓ โมง แม่อยู่ด้วยตลอด ลูกๆของแม่ทั้ง ๖ คน มีครอบครัวและบ้านอยู่ติดกันทั้งหมดจึงมีเวลาดูแลแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ความเป็นอยู่ และการพาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพและรับยาทั้งสองเหตุการณ์นี้เป็นเพราะอานิสงส์ของหลวงพ่อจรัญที่ช่วยแผ่เมตตาให้ และอานิสงส์ของการสวดมนต์พระพุทธคุณและการปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าก็กลับมาสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเดินจงกรม นั่งสมาธิทุกวัน ซึ่งการไปปฏิบัติธรรมครั้งก่อนๆกลับมาปฏิบัติธรรมได้แค่ไม่กี่วันก็เลิกทำ โรงเรียนของข้าพเจ้าจะนำนักเรียนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ข้าพเจ้าจะไปด้วยทุกครั้ง เวลาข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อ ได้เห็นหลวงพ่อ ข้าพเจ้ารู้สึกปีติตื้นตันใจและมีความสุข

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:01:40 น.  

 

เล่ม 21

--เกิดใหม่ในร่างเดิม


นิสัยตั้งแต่เด็กฉันชอบไปวัด ตามยาย-แม่หรือน้าไปวัดในวันพระ ฉันเคยช่วยลูกแมวเพิ่งคลอด (โดยแม่แมวตายหรือไปไหนไม่รู้ฉันจำไม่ค่อยได้) โดยไปซื้อโอวัลตินร้อนมาป้อนจนมันลืมตาและสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ฉันชอบเผามดที่มันเดินเป็นขบวนตามพื้น โดยการจุด กระดาษเผาเป็นทางยาว ดูแล้วสนุกมาก ฉันช่างโง่เขลา ไม่รู้เลยว่าฉันทำการฆ่าสัตว์อย่างทรมาน และตอนเด็กแม่ชอบใช้ฉันทำปลาประกอบอาหารด้วย ฉันฆ่าปลามากเหมือนกัน

ตอนเด็กฉันรู้สึกรักพ่อมากกว่าแม่ เพราะพ่อหาเลี้ยงครอบครัว ตื่นเช้ากลับดึก ฉันไม่ค่อยได้พบหน้าพ่อตอนกลางคืน เพราะพ่อกลับดึกรอไม่ไหว ส่วนแม่ชอบสอนและบ่น อยู่ด้วย ทุกวันฉันเบื่อ มารู้ตอนหลังว่าท่านรักมาก ห่วงมาก อยากให้ลูกเป็นคนดี

แล้วเหตุการณ์ก็เปลี่ยนแปร พ่อ-แม่แยกทางกันด้วยปัญหาเงินทอง ฉันเสียใจมาก ฉันกำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ทำตัวไม่ค่อยดี ไม่เชื่อฟัง ชอบเรียกร้อง สร้างความสนใจให้ตัวเอง ฉันเป็นคนก้าวร้าว แต่ลึกๆฉันอยากให้ครอบครัวของฉันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก แต่มันหาไม่ได้อีกแล้ว

ทั้งพ่อก็มีภรรยาใหม่ด้วย ฉันไม่โกรธและว่าพ่อเลย แต่ฉันกลับเกลียดแม่ แม่พยายามทำดีกับฉัน ให้ความรักความอบอุ่นเท่าที่ท่านจะให้ได้ พยายามเติมในสิ่งที่ฉันขาด แต่ฉันไม่เคยสำนึก ฉันจะทำตัวเลว อย่างไรแม่ก็ยังรักฉัน ฉันชอบทำร้ายจิตใจแม่ให้แม่เสียใจร้องไห้ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าความรักที่แม่มีต่อลูกเป็นเช่นไร

อายุ ๑๙ ปี ฉันได้ไปไต้หวัน ทำงานและส่งเงินมาไถ่บ้านให้พ่อแม่ ฉันยิ่งหยิ่งผยองนึกว่าตัวเองดี เก่ง พูดจาอวดดี และชอบดุแม่ เพราะฉันคิดผยองแบบคนโง่ว่าฉันไถ่บ้านให้พ่อแม่อะไรทำนองนี้ ทุกวันนี้ฉันนึกทีไรฉันยังเสียใจไม่หาย

เมื่อก่อนฉันชอบไปวัดบวชชีพราหมณ์ ทำบุญเกือบทุกอย่าง หวังขัดเกลาและเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง แต่พอกลับมาบ้านก็เป็นเหมือนเดิม จนแม่กับพี่สาวฉันอ่อนใจ ความเลวของฉันยังไม่จบ แต่คราวนี้ฉันอวดดีทะเลาะกับแม่ไม่ลดราวาศอก ฉันว่าแม่ต่างๆนานา แม่ร้องไห้เสียใจมากและกราบฉันลงไป ๓ ครั้ง บอกว่าลูกอย่าสร้างบาปเลย ในตอนนั้นฉันตกใจและเสียใจมากๆ ฉันรู้ทันทีว่าฉันบาปและเลวมาก ฉันต้องได้รับกรรมอย่างสาหัส แต่ด้วยความทิฐิฉันก็ยังทำเชิดใส่แม่ ไม่มีคำขอโทษจากฉัน แต่ใจฉันนั้นมันเจ็บปวดและแตกสลาย ฉันอยากจะบอกทุกคนว่าอย่าได้ทำเลวอย่างฉันเลย เพราะมันยิ่งกว่าเราทำบาปทั้งปวง และชีวิตต่อจากนี้ฉันก็พบกับความยากเข็ญ ด้วยการกระทำชั่วของฉันเอง

ตลอดเวลาฉันจะพบเจอแต่อุปสรรค ปัญหา คนอิจฉาริษยา ใครเห็นฉันมีแต่คนเกลียดฉัน ฉันมารู้ตอนหลังว่าเป็นเพราะทำกับพ่อแม่ผู้มีพระคุณสูงสุด ฉันยังคงหลงตัวเอง หลงในสังขารนึกว่าจะยั่งยืน ฉันมีผู้ชายมาติดพันหลายคน บางคนฉันทำให้เขาเสียใจแทบไม่เป็นผู้เป็นคน และกรรมติดปีก ฉันจะชอบรักคนที่เค้าหยิ่งกับฉัน ฉันชอบเอาชนะ คนที่รัก-หลงฉันฉันไม่ชอบ มันไม่ท้าทาย และฉันก็มาลงเอยที่ผู้ชายคนนี้ (พ่อของลูกที่ทั้งดีมีเสน่ห์ต่อผู้พบเห็น) เขารู้จักสัมมาคาราวะ อ่อนน้อมถ่อมตน และรู้จักเด็กผู้ใหญ่ จริงใจ นิสัยดี ซึ่งสิ่งนี้ฉันไม่มี และสามีของฉันตรงกันข้ามกับฉันเหมือนขาวกับดำ

ฉันเลือกเขาโดยเขาไม่เต็มใจเลย ตลอดเวลาฉันพยายามเปลี่ยนตัวเอง ฉันคิดว่าฉันจะหยุดที่เขา ฉันพยายามทำดี สวดมนต์ไหว้พระ สะสมบุญและฝืนกฎแห่งกรรม หวังจะให้บุญช่วย ฉันเริ่มกลัว ฉันไม่อยากเสียเขาไป ฉันเข้ากับใครไม่ได้ ทั้งครอบครัวของเขารวมทั้งเพื่อนเขาด้วย ฉันยังไม่โทษตัวเอง ยังคงโกรธเกลียดว่าทำไมทุกคนทำกับฉันอย่างนี้ กรรมที่ฉันทำกับแม่ ฉันต้องทนอยู่กับคนที่เขาไม่รักฉัน ฉันต้องเจ็บปวด ทรมานยังไม่พอไปตกที่ลูกด้วย ลูกฉันเกิดมาเป็นดาวน์ซินโดรม (บกพร่องทางสมองและปัญญา) ฉันเสียใจมาก แต่ฉันรักลูกของฉันมาก
หลังจากคลอดลูกชีวิตฉันเปลี่ยนไปมาก บ้านสามีทำรับเหมาก่อสร้าง เป็นตึกมีหลายชั้น ชั้นล่างเป็นสำนักงาน ฉันเลี้ยงดูแลลูกอยู่ข้างบน ฉันเห็นลูกที่เกิดมาโดยผลกรรมของฉัน ฉันเสียใจที่เด็กบริสุทธิ์ต้องมารับกรรม ตอนนี้ฉันคิดว่าถ้าเวลาย้อนคืนได้ฉันจะสะสมแต่ความดี แต่มันสายเสียแล้ว แต่ยังโชคดีที่ครอบครัวสามียังรักลูกฉัน นอกจากนี้ลูกฉันยังเป็นโรคภูมิแพ้ ไวต่ออากาศร้อนหนาว เป็นหอบหืด และป่วยบ่อยมาก พอเริ่ม ๒ ขวบต้องนอนโรงพยาบาลเกือบทุกเดือน ฉันต้องรักษาทั้งอาการป่วยและการฝึกพัฒนาการของลูก ฉันขาดความมั่นใจในตัวเอง

ความทุกข์เข้ามาหนักเช่นนี้ ฉันเริ่มสนใจไหว้พระ สวดมนต์ขอพรทุกแห่งที่ฉันได้ไปไหว้ เหมือนคนไม่มีสติ ไปไหนก็ไหว้บนบานศาลกล่าวจนจำไม่ได้ และติดสินบนสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ไปทั่ว สลับกับหาหมอที่เก่งๆเปลี่ยนไปทั่ว ก็ไม่ช่วยอะไรได้ และก็ไปหาหมอจีนจับชีพจรที่เขาว่าเก่ง ฉันต้องไปหาทุกอาทิตย์ ต้องจ้างคนพื้นที่ลงชื่อเพื่อจะได้พบหมอ และรอหมอทุกครั้ง ๕-๖ ชั่วโมง คนเต็มร้าน ฉันไปอยู่หลายเดือน แล้ววันหนึ่งขณะที่รอหมอ ฉันหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง หนามาก ฉันพยายามตั้งใจอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เนื้อหาเขียนถึงวัดอัมพวัน การปฏิบัติธรรมนั้นวิญญาณก็ปฏิบัติธรรมได้ ฉันอ่านจบเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ฉันรู้สึกไม่เหนื่อย รู้สึกมีพลัง มีความหวัง ฉันบอกกับตัวเองว่าฉันต้องไปวัดนี้ให้ได้ และบอกตัวเองว่าฉันจะไม่มารอหมอนานๆอย่างนี้อีกแล้ว ฉันตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานให้ฉันได้มีโอกาสมา

แล้ววันนั้นก็มาถึง ฉันมาวัด คนมากจนล้นกุฏิ หลวงพ่อเทศน์โปรดญาติโยม ฉันยังไม่ได้ที่นั่งดี หลวงพ่อเทศน์ว่า “คนเถียงพ่อแม่คำไม่ตกฟาก ดีบ่มีได้” ฉันสะดุ้ง ทึ่งศรัทธาในความหยั่งรู้ ท่านก็ยังเมตตาเทศน์ว่า คนที่คล้องพระแม่กวนอิม แต่ไม่เคารพพ่อแม่ พระแม่กวนอิมท่านไม่คุ้มครอง (ฉันคล้องท่านอยู่) ฉันเริ่มสวดมนต์มากขึ้นทั้งสามีด้วย พร้อมเอาลูกมานั่งตัก เชื่อไหมลูกฉันสวดมนต์ตามได้จากต้นจนจบอย่างชัดเจน ซึ่งลูกของฉันอาการป่วยก็เริ่มดีขึ้นบ้าง ฉันรู้สึกเห็นผลจากการสวดมนต์ แล้วถ้าปฏิบัติธรรมลูกของฉันต้องดีขึ้นอย่างมาก ฉันรู้และพร่ำอธิษฐานขอให้ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน

ฉันได้ไปปฏิบัติธรรมดังอธิษฐาน ทุกคนปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด แต่มีฉันคนเดียวที่นั่งไม่ได้ ฉันปวดอกและแขนซ้ายเหมือนมีคนเอามีดมาปักไว้ตรงกลางพอดี ฉันหายใจไม่ได้ทั้งออกและเข้า เพราะมันเจ็บและเสียด ฉันตกใจ นึกได้ทันทีว่าฉันทำกับแม่ไว้ ฉันต้องไปกราบขอขมาแม่ ฉันรู้ตัวฉันเอง ฉันกลับมาขอขมาแม่ ด้วยการล้างเท้ามอบดอกไม้ขอขมาและให้เงินแม่อย่างจริงใจ แม่ดีใจและเมตตาต่อฉันมาก ต่อมาฉันได้ขอขมาพ่ออีกด้วย ฉันหาโอกาสมาวัดอัมพวันอีกจนพอรู้การปฏิบัติ คราวนี้ฉันพอทำได้ ฉันกลับมาบ้าน สวดมนต์บทพาหุงฯ และเดิน ครึ่งชั่วโมง นั่งครึ่งชั่วโมง แต่การเจริญกรรมฐานของฉันทำได้ยากมาก เพราะฉันต้องดูแลลูกตลอดเวลา ถ้าไม่สบายลูกก็จะตื่นบ่อย แต่เวลาปฏิบัติฉันจะตั้งใจมาก และตั้งจิตอธิษฐานว่า “เวลาที่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรม ขอให้ลูกของข้าพเจ้ารอดปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวงเทอญ” พอหมดเวลาฉันรีบแผ่เมตตา และรีบไปตามลูกก็พบว่าปลอดภัย ฉันยิ่งมั่นใจในพระกรรมฐาน

ต่อมาฉันก็อธิษฐานก่อน ขอให้ปฏิบัติได้สำเร็จและให้ลูกปลอดภัย โรคภัยไข้เจ็บก็ขอให้หาย แล้วเวลาที่เคยต้องดูแลลูกที่ป่วยขอเปลี่ยนเป็นปฏิบัติธรรม แล้วต่อมาฉันก็ผ่านความพยายามอย่างสูง จนตอนหลังเวลาฉันปฏิบัติธรรมลูกฉันจะอยู่ในห้องไม่มาวุ่นวาย บางครั้งนั่ง ๒ ชั่วโมง เขาก็อยู่ได้ จนฉันแผ่เมตตาเสร็จลูกถึงจะเข้ามาพูดว่าจะเอาอะไร ฉันไม่มีเงินอยากใส่บาตรก็อธิษฐาน สามีก็ให้เงินเดือน ซึ่งเมื่อก่อนไม่มี เพราะเรากินอยู่กับกงสี
ฉันเริ่มรักกรรมฐาน และวันหนึ่งหลังจากปฏิบัติฉันคิดถึงแม่มากๆ จนฉันแทบอยากจะกลับบ้านมาหาแม่ ฉันกลัวแม่ฉันตาย ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่ารักแม่เป็นอย่างไร ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นเรียกหาแม่ ฉันอยากทำดีให้แม่เห็น ซึ่งเมื่อก่อนฉันไปมาหลายวัด ปฏิบัติมาหลายวิธีแต่ไม่มีผล ฉันยอมรับฉันมาวัดนี้ได้อะไรที่ดีๆหลายอย่าง การปฏิบัติในระยะเริ่มต้นได้ผลดีมาก ลูกฉันเริ่มดีขึ้น งานเงินทุกอย่างดีขึ้นตามลำดับ

มารไม่มี บารมีไม่เกิด ประเสริฐไม่ได้ หลวงพ่อสอน ฉันจำได้ดีเสมอ ลูกของฉันดีขึ้น แต่สามีที่แสนดีเปลี่ยนไปเหมือนคนละคน เขาเริ่มกลับดึกมากเกือบทุกคืน พูดกับฉันน้อยลง บางครั้งทำเหมือนกับไม่มีตัวตน และสนใจลูกน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันพอรู้ว่าอาการอย่างนี้คืออะไร แต่ฉันจับไม่ได้ และไม่เชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะทำสิ่งนี้ได้ สุดท้ายก็เป็นจริงดังคิด เขามีผู้หญิงใหม่ เขาหลงมากถึงขนาดยอมเสียครอบครัว ยิ่งพอเขารู้ว่าฉันรู้แล้วเขาก็ไม่แคร์ จะกลับดึก มีเวลาก็ให้ผู้หญิงใหม่ สุดที่จะเหนี่ยวรั้งได้ บัดนี้เขาเปลี่ยนไปหมด จากที่ไม่เคยทำ เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อหวังแยกทางจากฉัน ฉันหมดอาลัยตายอยาก ฉันรักเขามาก ฝากชีวิตไว้ที่เขา ซึ่งหลวงพ่อสอนว่าโง่มาก ต้องรักตัวเองก่อน ฉันถามตัวเองหลังจากที่เราแยกทางกันว่า ฉันจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีเขา ฉันอยู่กับเขามาเกือบ ๑๐ ปี และถามว่าฉันจะไปอยู่ไหน เหมือนมีเสียงบอกไปอยู่วัดอัมพวันซิ

ฉันตัดสินใจโดยไม่ลังเล โดยฝากลูกไว้กับสามีก่อน ฉันจะระวังไม่ทำผิดเลย และฉันตั้งใจเกินร้อย ยิ่งนั่งเจริญกรรมฐานนานฉันก็ยิ่งปวด ยิ่งปวดก็ยิ่งมีสติปัญญามากขึ้น ยามปฏิบัติฉันก็ทนต่อเวทนาอย่างสุดๆ ฉันทำอย่างตั้งใจ บวกทั้งความเสียใจเรื่องสามีอย่างสุดๆ หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ไข้ขึ้นตั้งแต่วันมา แต่ฉันก็อดทน ฉันไม่ยอมพูดคุยกับใคร ฉันต้องการปฏิบัติ ให้ได้ปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหา

ฉันเป็นคนมีเหตุผลมากขึ้นจากการปฏิบัติกรรมฐาน ฉันไม่โทษใคร ฉันรู้และเห็นความผิดของตัวเอง ฉันให้ อภัยเขา เลิกทิฐิทันที ฉันดีใจและมีความสุข และหลังจาก ปฏิบัติกลับบ้านฉันก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติ ฉันหาโอกาสมากราบขอขมาสามี เขาก็อโหสิกรรมให้ฉัน ฉันรับลูกมาอยู่กับฉันที่หอพักในนครสวรรค์ ฉันอยู่ได้สักพักรวมทั้งปฏิบัติธรรมทุกวัน และมีโอกาสก็พาลูกมากราบขอพรหลวงพ่อด้วย และครั้งนี้หลวงพ่อท่านจ้องหน้าฉันนานมากจนฉันรู้สึกกลัว แต่ในใจก็รู้ว่าท่านแผ่เมตตาให้ และรู้สึกสังหรณ์ใจห่วงลูกมาก แถมในใจฉันแอบอธิษฐานต่อหลวงพ่อว่า “ลูกจะตั้งใจทำกรรมฐาน” แต่ฉันก็ทำผิดสัจจะ กรรมของฉันยังคงตามมา ฉันยังปฏิบัติที่หอพัก ฉันพยายามสวดมนต์แผ่เมตตาให้อดีตสามี ฉันยังตัดใจจากเขาไม่ได้

ชีวิตของฉันต้องล้มลุกคลุกคลาน คนเริ่มมองว่าทำไมฉันปฏิบัติธรรมแล้วครอบครัวถึงเป็นเช่นนี้ ฉันเห็นแก่ตัวไม่สามารถบอกใครได้ แต่ฉันได้อธิษฐานต่อหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อเจ้าขา ใครจะว่าด่าอะไรหนู หนูไม่ว่า แต่ขออย่าให้หนูมาวัดหลวงพ่อมาเปลืองข้าวสาร มาผลาญข้าวสุก ขอให้หนูได้ดีเป็นตัวอย่างแก่ใครบางคนด้วยเถิดนะเจ้าคะ” ฉันเริ่ม ปฏิบัติชนิดแทบไม่ขาดเลย ฉันอธิษฐานขอสามีต่างชาติที่เป็นคนดี ช่วยเหลืออุปถัมภ์ฉันและดูแลแม่พ่อและลูกฉันด้วย

ฉันยังไม่สามารถมีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ เพราะต้องคอยดูแลลูกตลอดเวลา ฉันจะรักการเจริญกรรมฐาน เดินนั่งอย่างสม่ำเสมอ แล้วก็มีผู้ชายต่างชาติติดต่อมาและได้ช่วยเหลือเรื่องเงินให้ฉันใช้ทุกเดือน โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนและยังไม่เคยพบกันมาก่อน ฉันก็นำเงินมาให้พ่อแม่บ้าง ฉันไม่กลัวต่อปัญหา มีอะไรใช้สติกับปัญญาแก้ไขปัญหา ฉันจะไม่ร้อนรน ฉันสวดมนต์นั่งกรรมฐาน ต่อมาพ่อแม่ของอดีตสามีส่งเสียให้ทุกๆเดือน เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท และมีชายชาวเยอรมันมา ฉันก็คุยให้ฟังเรื่องประเทศไทย ฉันให้เขามาทำพิธีตามประเพณีไทย เราก็ทำพิธีผูกข้อมือให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายได้รับรู้ และไปวัดถวายภัตตาหารเพล แล้วก็อธิษฐานขอให้ได้มีบ้านเป็นของตัวเอง สามีชาวเยอรมันของฉันเขาเคยถูกผู้หญิงไทยหลอกมาก่อน แต่ฉันแผ่เมตตาให้ด้วยความจริงใจ แรกๆเขากลัวฉันจะหลอกเขาเหมือนกัน เพราะมีบางคนมาพูดให้เขากลัวและระวังจนเขวไปมาก แต่ฉันก็อธิษฐานขอบ้านนี้เป็นของขวัญให้พ่อแม่ได้เห็น และสามีฉันก็ซื้อบ้านด้วยเงินสด ให้เป็นของขวัญพ่อแม่ฉัน ทุกวันนี้ฉันรักกรรมฐานมากๆ และฉันจะปฏิบัติจนร่างกายและสังขารฉันทำไม่ไหว

ฉันจะหมั่นสร้างความดีตอบแทน พระคุณหลวงพ่อและวัดอัมพวัน ฉันอยากบอกว่ายังไม่สายถ้าคิดจะเกิดใหม่ในร่างเดิม ทุกวันนี้ฉันมีความสุข สามีรักฉันมาก เขาเป็นคนดี ช่วยงานและดูแลลูกให้ฉันเท่าที่เขาจะทำได้






 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:04:54 น.  

 

--เวรกรรมตามสนอง



ข้าพเจ้าเกิดที่จังหวัดประจวบฯ แม่และเตี่ยมีอาชีพทำประมง แม่และเตี่ยข้าพเจ้าเป็นคนใจดี มีเมตตามาก เตี่ยออกทะเลจับปลาได้มาก็จะแจกเพื่อนบ้านก่อน ที่เหลือจึงให้แม่ไปขาย

ช่วงที่เตี่ยทำอาชีพประมงขาดทุนมาก แม่ข้าพเจ้าจึงคิดตั้งบ่อนการพนัน ข้าพเจ้าช่วยไปตามคนมาเล่นการพนัน (ตอนนั้นแม่จำเป็นต้องตั้งบ่อนการพนันเพราะมีหนี้สิน และน้องๆ กำลังเรียนอยู่ แม้แต่ใครจ้างแม่ไปติดคุกวันละ ๕๐๐ บาท แม่ก็เอา) ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปตามคนมาเล่นการพนัน รู้สึกเศร้าใจมาก เพราะพวกเขาต้องหมดตัวเพราะข้าพเจ้า บางคนต้องเลิกกับสามี บางคนถูกออกจากงาน บางคนต้องขายตัว ข้าพเจ้าทุกข์ใจมากๆ

เวรกรรมตามสนอง พอข้าพเจ้ามีสามี สามีชอบเล่นการพนัน เจ้าชู้ กินเหล้า พอมีลูกโตขึ้นก็กินเหล้าเล่นการพนัน ข้าพเจ้ายอมรับกรรม ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เพราะสามีมีหน้าที่การงานที่ดี และลูกก็กำลังเรียนอยู่

ข้าพเจ้ายังสร้างกรรมโดยทำแท้งลูกในท้องอายุ ๖ เดือน เป็นผู้ชาย กรรมทรมานข้าพเจ้าเหมือนกับวิญญาณคอยจ้องมองดูข้าพเจ้ามาตลอด ดวงตานั้นอาฆาตข้าพเจ้ามาก

ข้าพเจ้าได้ขโมยเงินสามีไปทำบุญ เพราะข้าพเจ้าเริ่มเข้าวัดทำบุญสร้างวัตถุ และเริ่มทะเลาะกันแรงขึ้นเพราะข้าพเจ้าขโมยเงินเอาไปทำบุญ แต่ข้าพเจ้านิ่งไม่ตอบโต้อะไรเลย คุณกัลยาณี ได้ชวนข้าพเจ้าไปทำงานที่โต๊ะสนุ๊ก และที่นั้นมีทั้งคนดีและคนเกเรคอยรังแกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตั้งใจสวดมนต์ชินบัญชรมากขึ้น (แต่สวดมนต์ผิด) ตี ๑ ตี ๒ ข้าพเจ้าต้องเดินกลับบ้านคนเดียว คนเกเรคอยดักเล่นงานข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องพยายามสวดมนต์ตอนเดินกลับบ้าน

อยู่มาวันหนึ่งเจ้าของโต๊ะเกิดระแวงข้าพเจ้าเรื่องการเงิน จึงคิดว่า เราทำดีแล้วแต่ท่านระแวงเรา พรุ่งนี้เราจะทำจริงๆ เราจะขโมยเงินไปทำบุญที่วัด นอกจากขโมยเงินของสามีแล้ว ยังได้ขโมยเงินโต๊ะสนุ๊กของคุณกัลยาณีและหุ้นส่วนอีกสองคน ช่วงนั้นข้าพเจ้ารู้สึก เบื่อหน่ายกับการสร้างบาป เพราะต้องคอยโทรศัพท์ตามสามีชาวบ้าน ลูกชาวบ้านให้มาเล่นสนุ๊ก และนั่งมองดูสามี ภรรยา พ่อ แม่ มาตามลูก ต้องทะเลาะกันในโต๊ะสนุ๊ก ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเพราะข้าพเจ้าแท้ๆ ข้าพเจ้าเข้าวัดบ่อยขึ้น รู้บาปบุญมากขึ้น เริ่มเบื่อหน่ายกับการสร้างบาป ขโมยเงินไปทำบุญก็เป็นบาป (เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แถมเอากระดูกแขวนคอ) เป็นบาปชัดๆ ข้าพเจ้าจึงลาออกจากงานโต๊ะสนุ๊ก หันหน้าเข้าวัดเพื่อสร้างความดีใช้หนี้กรรมเก่า

ย้ายมาอยู่กับสามีที่หัวหิน เริ่มฟังธรรมะจากวิทยุและสวดมนต์มากขึ้น ได้บอกคุณถวัลย์ให้ช่วยหาวัดฝึกสมาธิ แต่ไปหาหลายวัดก็ไม่ถูกใจ จนมาพบวัดอัมพวัน ได้พบแม่ชี ขออยู่หนึ่งวันแต่แม่ชีไม่ให้อยู่ จึงกลับและคิดจะไม่มาอีก จะอยู่บ้านสวดมนต์อย่างเดียว

กลับมาอยู่บ้านตั้งใจสวดมนต์ ฟังธรรมะจากวิทยุ ช่วงนี้ข้าพเจ้าอดทนสวดมนต์เพื่อสร้างความดี ได้ฟังวิทยุรายการวัดต้นสนเล่าว่าเห็นหลวงพ่อจรัญเทศน์เสร็จแล้วลุกขึ้นหยิบแต่ดอกไม้ไม่หยิบเงินที่ติดกัณฑ์เทศน์ ข้าพเจ้าจึงให้คุณถวัลย์ช่วยพาไปวัดอัมพวันอีกครั้งหนึ่ง และตั้งใจอยู่ ๗ วัน เตี่ยไม่อยากให้ไปวัด ข้าพเจ้าบอกเตี่ยและแม่ว่าไปวัดนี้แล้วพี่น้องจะรวย (นึกในใจ รวยปัญญา) แม่และเตี่ยจึงยอม

ปฏิบัติหนึ่งปียังไม่ได้ผลอะไร ตอนบ่ายวันหนึ่งหลวงพ่อให้พระกรรมฐาน หลวงพ่อเทศน์ว่ามีคนเขียนจดหมายขอถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ บุญไม่มียังขอถูกรางวัลที่ ๑ อีกหรือ หลวงพ่อบอกบุญเก่าไม่มี แต่สร้างบุญใหม่ในชาตินี้ได้ จดหมายฉบับนั้นข้าพเจ้าเป็นคนเขียนเอง

เมื่อครบ ๗ วัน กราบลาพระในโบสถ์ ข้าพเจ้าได้นั่งใกล้แม่ใหญ่ แม่ใหญ่หันหน้ามาพูดกับข้าพเจ้าว่า ให้พาเพื่อนเข้าวัดปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าจ้องมองหน้าแม่ใหญ่เต็มตาเป็นครั้งแรก แม่ใหญ่บอกว่าปีหน้าคนจะตายเป็นหมู่เยอะมาก ต้องพาเพื่อนๆมาปฏิบัติกรรมฐาน ข้าพเจ้านิ่งเฉยไม่ตอบรับคำแม่ใหญ่ (ตอนนั้นไม่คิดพาเพื่อนมา เพราะตัวเราเองยังเอาตัวไม่รอดเลย)

ต่อมาข้าพเจ้าเริ่มพาน้องๆ ลูก หลาน เข้าปฏิบัติพระกรรมฐาน น้องๆทำงานการค้าดีขึ้นมาก ลูกหลานดีขึ้น แต่เมื่อดีขึ้นน้องๆ ก็ไม่มาวัดอีก

ข้าพเจ้าปฏิบัติพระกรรมฐานจนระลึกรู้กรรมที่ตัวเองทำไว้ในชาตินี้ และต้องใช้ให้หมดในชาตินี้ คือ

กรรมที่ ๑ ฆ่าลูกสุนัข
กรรมที่ ๒ ฆ่างูโดยตั้งใจหลายตัว
กรรมที่ ๓ ทำแท้งลูกในท้องโดยตั้งใจ
กรรมที่ ๔ ตามคนมาเล่นการพนันจนเขาหมดตัว
กรรมที่ ๕ ขโมยเงินไปทำบุญ
กรรมที่ ๖ ทำให้แม่และเตี่ยเสียชื่อเสียง แม่และเตี่ยต้องร้องไห้มากๆ

ข้าพเจ้าเลือกใช้กรรมและตั้งใจอยู่วัดปฏิบัติพระกรรมฐาน ๑๕ วัน ปฏิบัติใช้หนี้กรรมลูกสุนัข ได้มีปัญหากับเจ้าหน้าที่บางคน แต่ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเจ้ากรรมนายเวรมาขวางไม่ให้ทำความดี แต่ข้าพเจ้าอดทนใช้กรรมให้กับลูกสุนัข เจ้ากรรมอโหสิให้

กรรมที่ฆ่างู ข้าพเจ้ามาอยู่วัดปฏิบัติพระกรรมฐาน ๗ วัน ครั้งนี้ทรมานมากขึ้นกว่าเก่า เจ็บปวดตามเนื้อและกระดูก ข้าพเจ้าดูภาพที่ข้าพเจ้ายืนตีงูตาย และกลายเป็นงูมองข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมตลอดที่ปฏิบัติ

กรรมขโมยเงินไปทำบุญ ระหว่างอยู่ปฏิบัติ ๗ วัน ข้าพเจ้านั่งกรรมฐาน ปรากฏว่ามือข้างขวาปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลาที่ปฏิบัติ เห็นภาพพี่ถวัลย์ คุณกัลยาณี สติบอกให้ไปชักชวนสองคนนี้มาปฏิบัติพระกรรมฐาน เพื่อจะได้บุญคืนจากที่ข้าพเจ้าได้เอาเงินเขาไปทำบุญ แต่เพราะข้าพเจ้า ความรู้น้อย การฝึกการเรียนน้อย การไปชักชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องยากมากๆ และข้าพเจ้ายังเอาตัวไม่รอดเลย คิดดังนี้จึงไม่ไปชวนมาดีกว่า ถ้าเขามีบุญก็มากันเอง ระหว่างปฏิบัติมือข้างขวาข้าพเจ้าร้อนขึ้นมากกว่าเดิม แทบหมดความอดทนไม่อยากปฏิบัติพระกรรมฐาน ชักท้อในการใช้กรรม แต่พอคิดว่าถ้าเราต้องตายไปตกนรก คงจะร้อนยิ่งกว่านี้หลายเท่า จึงฝืนใจปฏิบัติจนครบ ๗ วัน

วันพระหลวงพ่อเทศน์ว่าจะช่วยเพื่อนต้องปฏิบัติพระกรรมฐาน เดิน ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมง ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ชวนดีกว่า เพราะเดิน ๒ ชั่วโมง นั่ง ๒ ชั่วโมง ข้าพเจ้าเจ็บปวดแทบจะตายอยู่แล้ว ถ้าเดิน ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมง ต้องเจ็บตายแน่ แต่พอหวนคิดถึงแม่ใหญ่ท่านปฏิบัติผ่านมามากมาย แม่ใหญ่ยังไม่ตายเลย ยังเข้าผลสมาบัติได้ ๔๘ ชั่วโมง ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจอดทนปฏิบัติต่อ

ต่อมาได้ชวนคุณถวัลย์มาปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่ ๗ วัน พอกลับบ้าน คุณถวัลย์ เลิกกินเหล้า-เจ้าชู้ เลิกเล่นการพนัน และได้ชวนคุณกัลยาณี ไปอยู่วัดอัมพวัน ๗ วัน กลับมาจะได้ดีขึ้น ชวนเท่าไรคุณกัลยาณีก็ไม่ไป (ข้าพเจ้านึกถึงตอนเดิน ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมง ทรมานกายแทบตาย และแผ่เมตตาให้ มาชวนไปวัด ไม่ไปก็ช่าง กลับดีกว่า) ตอนเช้าคุณกัลยาณีโทร.มาต่อรองขอไป ๓ วัน เราบอก ได้ ยังดีกว่าไม่ไป
ข้าพเจ้ายังมาวัด ปฏิบัติฯ ๗ วัน แต่มือข้างขวายังไม่หายปวดแสบปวดร้อน และร้อนตลอดทั้งวันทั้งคืน จนข้าพเจ้าต้องกำหนดปวดหนอๆ ครั้งหนึ่งจิตนึกถึงคุณสุจีน และคุณตรง เป็นเจ้ากรรมนายเวร ข้าพเจ้าไม่อยากไปชวนเลย เพราะเป็นคนไว้ตัว-ถือตัวมากๆ คงไม่เชื่อการปฏิบัติพระกรรมฐาน และข้าพเจ้าไม่ชอบเขาเลย เป็นเรื่องยากที่ต้องฝืนใจไปชวนคนที่เราไม่ชอบมาปฏิบัติกรรมฐาน
ข้าพเจ้ากลับบ้านปฏิบัติกรรมฐาน อธิษฐานจิตขอให้ข้าพเจ้าพาคุณสุจีนไปวัดอัมพวันได้สำเร็จ วันหนึ่งตอนค่ำข้าพเจ้าไปบ้านคุณสุจีนอีก ตั้งใจว่าถ้าคุณสุจีนยังไม่ไป คืนนี้ข้าพเจ้าจะไม่กลับบ้านจะอยู่บ้านคุณสุจีนทั้งคืน ข้าพเจ้านั่งดูคุณสุจีนดื่มเบียร์อย่างใจเย็น และพยายามนิ่ง แต่ในใจพูดว่า พี่สุจีนไปวัดกันเถอะ คืนนั้นพี่สุจีนตกลงไปวัดอัมพวัน ข้าพเจ้าจึงได้ใช้กรรมจนครบทุกคน

ต่อมาคุณถวัลย์ได้ลาออกจากงานมาทำการค้าขายทำให้ฐานะดีขึ้น พอมีเงินอยู่ได้อย่างสบาย และตั้งใจปฏิบัติ พระกรรมฐาน แต่กรรมเก่าเริ่มมาตามสนองอีก พี่เล็กเฮียชุ่ยน้องพี่อัมพรมาชวนให้คุณถวัลย์มาเช่าที่พี่อัมพร แต่ข้าพเจ้าไม่อยากไป ข้าพเจ้าทะเลาะกันเรื่องเช่าบ้านใหม่
หลวงพ่อเทศน์ว่าย้ายที่อยู่ใหม่ให้แผ่เมตตาให้เจ้าที่มากๆ สติบอกว่าย้ายที่อยู่ใหม่ต้องหมดตัวแน่ๆ (เพราะกรรมเก่าที่ชวนคนมาเล่นการพนันจนหมดตัวตามสนองแล้ว) และก็เป็นอย่างนั้นจริง ค้าขายไม่พอค่าใช้จ่าย และคนก็โกง บางคนซื้อของ ๔๐,๐๐๐ บาท จ่ายแค่ ๒๐,๐๐๐ บาท วันต่อมาคุณถวัลย์ชวนข้าพเจ้าไปทวงหนี้ เมื่อไปถึงบ้านลูกหนี้ กลับได้ยินเสียงหลวงพ่อดังในหู (เรามีเงินให้เขาโกงดีแล้ว เราจะได้ใช้กรรมเก่า) ข้าพเจ้าบอกคุณถวัลย์ว่าต่อไปนี้เราจะไม่ทวงหนี้ใครอีกแล้ว ข้าพเจ้ายอมหมดตัวเพื่อใช้หนี้กรรมเก่า ดีกว่าต้องใช้ในนรก

ข้าพเจ้าไปวัดอัมพวันปฏิบัติกรรมฐาน ๗ วัน ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานว่าปี ๔๘-๔๙ ขอให้ข้าพเจ้าใช้กรรมที่สร้างไว้ในชาตินี้ให้หมด ตีสองไปรอกราบนมัสการหลวงพ่อลงทำวัตรเช้าในโบสถ์พร้อมกับคุณดวงกมล หลวงพ่อออกมาจากโบสถ์เดินมาหยุดที่หน้าข้าพเจ้าและคุณดวงกมล หลวงพ่อเมตตาให้ข้าพเจ้ามาช่วยสอนผู้ปฏิบัติธรรม แต่ข้าพเจ้าปฏิเสธหลวงพ่อ เหตุผลเพราะมีความรู้น้อย ปัญญาน้อย และกรรมเก่ายังใช้ไม่หมดเลย

ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน ๗ วัน ใช้กรรมที่ทำแท้งลูก ๖ เดือนในท้อง ระหว่างปฏิบัติมีแต่ความทุกข์ทรมานสุดๆ มีแต่ความน่ากลัวมาก ข้าพเจ้าปฏิบัติเที่ยงคืนถึงตี ๔ พอข้าพเจ้าจะนอนหนอ นอนหนอ ก็จะมีคนตัวใหญ่ลอยตัวลงมาจากเพดาน ตั้งใจลงมาทับที่ท้องข้าพเจ้า บางครั้งก็กลายเป็นคนแก่ กลายเป็นกระดูกมานั่งที่ตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถามเขาว่าสบายดีมั้ย ขอให้อนุโมทนาบุญกับข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้ลูกอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้า เขาตอบสบายดี อโหสิกรรมให้ แล้วเขาจากไป ดวงตาที่คอยตามจ้องดูข้าพเจ้าอย่างอาฆาตและภาพหน้าเด็กก็หายไป

ข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติกรรมฐานเกือบทุกวัน กรรมเก่ามาให้ใช้ตลอดเวลา บางครั้งโดนเพื่อนมายึดร้านจนหมดตัว ข้าพเจ้าก็เริ่มต้นอีก พอค้าขายมีเงินเหลือก็หมดอีก เป็นอย่างนี้ตลอดปี ๔๘ ใช้กรรมที่ตามคนมาเล่นการพนันจนหมดตัว

ปี ๔๙ ข้าพเจ้าได้ชดใช้กรรมที่ทำให้แม่และเตี่ยต้องเสียชื่อเสียงและต้องน้ำตาตก แม่และเตี่ยไปทางไหนก็มีแต่เสียงนินทา เพราะข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุ จึงคิดกลับมาอยู่บ้านเตี่ยและแม่เพื่อใช้กรรม กรรมก็มาตามสนองข้าพเจ้าตลอดปี ๔๙ ข้าพเจ้าจะทำอะไรก็ทำผิดพลาดทุกเรื่อง กรรมมาแรงตั้งตัวรับไม่ทันเลย
หลวงพ่อเทศน์สองครั้งว่าทนให้ได้ต่อคำนินทา ข้าพเจ้าน้อมรับคำเทศน์

ข้าพเจ้าทำผิดพลาดมากจนโดนหลวงพ่อทำโทษไม่ทักไม่มอง ไม่ยิ้มให้ แต่เพื่อนบอกว่าหลวงพ่อชำเลืองมองข้าพเจ้า คำพูดของเพื่อนทำให้มีกำลังใจต่อสู้ใช้กรรม และพยายามปฏิบัติกรรมฐาน

ข้าพเจ้าทนใช้กรรมทุกอย่าง ตลอดปี ๔๙ ข้าพเจ้าพบสายตาบางคนมองดูข้าพเจ้าอย่างเย้ยหยันและนินทา ข้าพเจ้าอดทนนิ่งอย่างเดียว ใครจะดูถูกเย้ยหยันหรือนินทาข้าพเจ้าทนได้ เพราะหลวงพ่อสอนไว้ ต้องทนคำนินทาให้ได้ เป็นสมบัติผู้ดี

ข้าพเจ้าได้รับกรรมครั้งนี้ซึ่งเกิดจากการกระทำของข้าพเจ้าเอง สายตาบางคนที่มองดูอย่างเย้ยหยันทำให้ข้าพเจ้านึกถึงสภาพแม่และเตี่ยที่ต้องเสียใจต้องทุกข์ทรมานกับเสียงชาวบ้านนินทาและเย้ยหยัน เพราะข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุ ข้าพเจ้าปฏิบัติ กรรมฐานแก้ไขตัวเอง ใช้กรรมให้แม่และเตี่ย ๑ ปีเต็ม มีความรู้สึกใช้หนี้ท่านน้อยมาก และใช้ได้ไวมาก เป็นเพราะหลวงพ่อแผ่เมตตาช่วยข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมคุณถวัลย์ที่ต้องโดนรับกรรมกับข้าพเจ้า ๑๐ กว่าปี คุณถวัลย์ช่วยข้าพเจ้ามาตลอด ทั้งแรงกายและกำลังเงิน ยามที่ข้าพเจ้าต้องการเงิน ถ้าคุณถวัลย์มีเท่าไรก็ให้ ข้าพเจ้าจะขอให้ขับรถไปวัดอัมพวันเมื่อไรได้ทุกครั้ง บริการเพื่อนทุกคนที่ต้องการมาวัดอัมพวัน และช่วยทำงานหาเงินให้ข้าพเจ้าใช้หนี้กรรมเก่าตลอดเวลา ๑๐ กว่าปี ทุกวันนี้ยังให้เงินข้าพเจ้าใช้หนี้กรรมเก่าอยู่ ส่วนตัวข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานต่อเนื่อง

ย้อนหลังไป ๙ ปี ข้าพเจ้ารับคำหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกว่า พาณิชย์ยกสามีเป็นทานได้มั้ย พระเวสสันดรยังยกพระนางมัทรีเป็นทานบารมี ข้าพเจ้าตอบว่าได้ กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ หลังจากนั้นมาข้าพเจ้าพยายามทำ ครั้งที่ ๑ ไม่สำเร็จ ครั้งที่ ๒ ไม่สำเร็จ ครั้งที่ ๓ ทำได้สำเร็จ ข้าพเจ้ายกให้ผู้หญิงอื่นไปเรียบร้อยแล้ว เราคบกันอย่างเพื่อน แม่และเตี่ยให้อภัยข้าพเจ้าแล้ว

ขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ขอขอบพระคุณในความเมตตาที่ช่วยแผ่เมตตาให้ข้าพเจ้าได้ใช้หนี้กรรมเก่าในชาตินี้จนหมด และได้พบอิสระเสรี



--กรรมติดจรวด


ข้าพเจ้ามาอยู่วัด ๓ เดือน ระหว่างนั้นได้ช่วยหลวงพ่อหาบทรายสร้างหอฉันหลังเก่า และช่วยหุงข้าวเลี้ยงพระ เณร แม่ชี

อยู่มาวันหนึ่ง คนสิงห์บุรีจะมาทอดผ้าป่า หลวงพ่อไม่มีเงินซื้อสีทารั้ววัด หลวงพ่อจึงให้ลูกศิษย์ต้มข้าวเหนียวเพื่อเอาน้ำข้าวเหนียวผสมปูนขาวทากำแพงวัด เพื่อให้ดูสวยงาม
วันหนึ่งแมวทะเลาะกัน ข้าพเจ้าก็เอาไม้ตีโดยไม่ตั้งใจ ตีแมวๆ ก็หนีไปหมด ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามันจะเจ็บจากที่ข้าพเจ้าตี

วันหนึ่งข้าพเจ้าลาหลวงพ่อกลับไปอยู่บ้าน ไม่ได้ปฏิบัติ กรรมฐานต่อเนื่อง วันหนึ่งข้าพเจ้าทะเลาะกับน้องสาว พ่อเข้าข้างน้องสาว เอาไม้หน้าสามตีหัวข้าพเจ้าโดยไม่นึกไม่ฝัน ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงตอนตีแมวในวัด แมวมันคงเจ็บเหมือนข้าพเจ้าตอนนี้ ข้าพเจ้านึกถึงคำว่ากรรมติดจรวดเป็นอย่างนี้

หลังจากนั้นอีก ๔ ปี ข้าพเจ้าก็แต่งงานและมีลูกชาย ๒ คน ชีวิตของข้าพเจ้าลำบาก สามีไม่รับผิดชอบในครอบครัว ไปมีเมียใหม่ ทิ้งภาระทั้งหมดให้รวมทั้งพ่อผัวแม่ผัวอีกด้วย ช่วงนั้นลำบากมาก อยากฆ่าตัวตาย อยากทำร้ายตัวเอง พอเห็นหน้าลูกชายสองคนก็ทำไม่ลง หวนคิดถึงคำหลวงพ่อที่สอนไว้ ฆ่าตัวตายตกนรก ๕๐๐ ชาติ จากนั้นมาข้าพเจ้าตั้งหน้าตั้งตาทำงานรับจ้างทุกอย่างให้ได้เงินมาเลี้ยงลูกและพ่อ-แม่ของสามี

ข้าพเจ้าเช่าสามล้อถีบรับจ้าง ระหว่างถีบสามล้อก็ยังสวดมนต์ไม่เคยขาด แต่ไม่มีเวลาปฏิบัติกรรมฐาน รายได้ที่ได้มาไม่พอที่จะจุนเจือในครอบครัว อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ ต้องขอร้องครูใหญ่ ขอผ่อนส่งค่าเทอม ครูใหญ่ตอบว่าขอไปถามเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แก้วก่อน พอวันรุ่งขึ้นครูใหญ่ตอบว่าได้ ก็เลยพาลูกมาเรียนทั้ง ๒ คน

คิดอยากมากราบหลวงพ่อและพาลูกมาด้วย คุณป้าเตียงได้เมตตาให้ติดรถมาด้วย จากนั้นมาข้าพเจ้าก็ได้มากราบหลวงพ่อรวมทั้งปฏิบัติกรรมฐานทุกวันพระไม่เคยขาด วันธรรมดาก็ยังสวดมนต์สม่ำเสมอ

ด้วยบุญบารมีหลวงพ่อทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าดีขึ้น มีคนช่วยเหลือตลอด การเงินของข้าพเจ้าก็ดีขึ้น การเรียนของลูกดีขึ้น ลูกทั้งสองคนกตัญญู ปัจจุบันได้ทำงานในบริษัทที่มีชื่อ และมีครอบครัวแล้วทั้งสองคน ทั้งสองคนได้ส่งเสียให้เงินข้าพเจ้าใช้เสมอมา

มีสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้นคือ วันนั้นเป็นวันพระ ๘ ค่ำ ตอนที่หลวงพ่อเทศน์เสร็จ เดินลงจากศาลา ข้าพเจ้านึกสงสารว่าหลวงพ่อเท้าบวม คิดไปว่าลูกศิษย์หลวงพ่อทำไมไม่คลายประตูลมที่เท้าทั้ง ๒ ข้างให้หลวงพ่อบ้าง ด้วยเหตุนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนนวดเท้าโดยทางจังหวัดส่งชื่อไป โดยไม่คาดคิดมาก่อน และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย หลังจากเรียนจบได้มาทำงานที่สาธารณสุขได้ ๔ เดือนครึ่ง ก็ได้ลาออกมาค้าขาย อยู่ได้ ๑ เดือนก็ไปเรียนนวดตัวต่อที่สระบุรี เรียบจบก็ได้งานทำต่อเนื่อง จนได้ใบประกาศฯ หมอพื้นบ้านภาคกลาง พร้อมหนังสือการแพทย์แผนไทย ๑ เล่ม

ชีวิตของข้าพเจ้าตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ดีขึ้นในทุกด้านก็ด้วยเมตตาของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเชื่อและเคารพและปฏิบัติกรรมฐาน พร้อมทั้งสวดมนต์สม่ำเสมอไม่เคยขาด



--กรรมที่ต้องใช้



หลังจากที่สามีของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตเพราะโรคร้าย ข้าพเจ้าเองก็ได้เป็นโรคร้ายนั้นด้วย

ตอนไปปฏิบัติในสองปีแรก หลวงพ่อต้องหยุดสอนพระกรรมฐานและบรรยายธรรม เพราะหลอดเสียงมีปัญหา ถึงหลวงพ่อไม่ได้มาสอน ข้าพเจ้าก็ไปปฏิบัติธรรมตลอด เพราะตั้งสัจจะว่าจะไปปีละ ๒ ครั้ง ต้องไปตอนโรงเรียนปิดเทอม เพราะไม่มีคนรับส่งลูกชายไปโรงเรียน ชีวิตของข้าพเจ้าในวัยเด็กลำบากยากจนเหลือเกิน เพราะพ่อกินเหล้า พอเมาก็ทะเลาะกับแม่ ชีวิตไม่มีความอบอุ่นเลย ชีวิตจึงมีปัญหามีความทุกข์มาตลอด ไม่รู้บาปรู้บุญรู้คุณรู้โทษ แต่โชคดี มีแม่ขยันอดทน เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี ลูกของแม่ทุกคนจึงเป็นคนดี ชีวิตของข้าพเจ้าจึง ต้องออกจากบ้าน ประสบเคราะห์กรรม การดำเนินชีวิตจึงไม่มีแก่นสาร มีความรู้น้อยไม่มีสติ ได้สร้างบาปโดยไม่รู้ว่าเป็นบาป ทำตัวตามใจ ข้าพเจ้าได้ทำเรื่องชั่วร้ายที่สุดโดยการทำแท้ง ฆ่าลูกตัวเองถึงสองครั้ง โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นบาป

๑๐ ปีผ่านไป ข้าพเจ้าได้แต่งงานมีครอบครัว สามีเป็นคนดีมาก แต่เป็นกรรมของข้าพเจ้า จึงเป็นสาเหตุให้สามีเป็นโรคร้ายและเสียชีวิต ข้าพเจ้าเสียใจมาก มันเจ็บปวดที่สุดที่ต้องจากคนที่เป็นที่รักไป มีความรู้สึกว่าเจ้ากรรมนายเวรคงสมใจเป็นอย่างมากที่ทำให้เราเสียใจ ข้าพเจ้าขอร้องทุกๆท่านที่อ่านเรื่องนี้ อย่าได้ทำแท้งเพราะเป็นบาปมาก จะเป็นโรคเลือดเป็นโรคร้ายนี้ เป็นแล้วทรมานมาก
เวลากลับบ้านจะซื้อหนังสือกฎแห่งกรรมมาด้วยทุกครั้ง อ่านแล้วรู้สึกว่ามีหลวงพ่ออยู่ใกล้ๆตลอดเวลา
การปฏิบัติธรรมยังไม่ดีเท่าไหร่ เพราะทำบ้างไม่ทำบ้าง พอไปวัดก็ตั้งใจทำ หลวงพ่อบอกให้ทำเสมอต้นเสมอปลายแล้วจะดี พอกลับมาจากวัดเหมือนมีพลัง รีบทำตามหลวงพ่อสอน
วันไหนมีเวลามากก็ปฏิบัติมาก มีเวลาน้อยก็ทำน้อย หลวงพ่อบอกว่าบุญเล็กบุญน้อยก็รวมเป็นบุญใหญ่ได้ ขอ ทุกคนอย่าได้ท้อ ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคเอดส์ ทำกรรมฐานทุกวัน ทำให้จิตใจเข้มแข็งอดทน ทุกวันนี้ข้าพเจ้าสุขภาพดีขึ้น ข้าพเจ้าได้กินยาของหลวงพ่อเป็นยาอายุวัฒนะ ข้าพเจ้าได้นำยาอายุวัฒนะมาสวดพุทธคุณ ๑๐๘ จบ รักษาโรค กินยาและทำกรรมฐาน อาการทรมานในสังขารดีขึ้นอย่างมาก ตลอดเวลาที่ขับรถไปไหนข้าพเจ้าก็สวดพุทธคุณไปเรื่อยๆ ไม่เบื่อในการขับรถ ปัจจุบันนี้ตอนเย็นข้าพเจ้าเดิน ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมง มีอารมณ์ในการเดินและนั่ง เวลาเดินมีเวทนามากได้ปัจจุบัน จิตนิ่งเป็นบางครั้ง บางครั้งก็ฟุ้งซ่าน กำหนดได้บ้างไม่ได้บ้าง เวลานั่งมีสมาธิดีแต่ก็มีเวทนามาก กำหนดจิตแยกรูปแยกนามได้เป็นบางครั้ง

เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้าพเจ้าป่วยต้องนอนโรงพยาบาล เพราะปอดติดเชื้อเกือบเสียชีวิต ทุกข์ทรมานมาก เวลาปวดก็กำหนดไปเรื่อยๆจนหายปวด รู้สึกว่าเราโชคดีที่มีกรรมฐาน จึงกำหนดดูเวทนา สงสารคนที่ไม่มี กรรมฐานต้องทนเจ็บทนปวดกับเวทนา แม่เฝ้าดูแลข้าพเจ้าอย่างดี เห็นแม่ต้องมาดูแลเราแล้วสงสารแม่เหลือเกิน เพราะต้องเดินขึ้นบันได ๕ ชั้น แม่ขึ้นลิฟต์ไม่เป็น

หลังจากกลับจากวัดในเดือนตุลาคม ก็ปฏิบัติธรรมทุกวัน แล้ววันที่ต้องชดใช้กรรมก็มาถึงอีก ขณะกำลังคุยกับแม่เรื่องสามีของข้าพเจ้าที่เสียชีวิต ลูกชายได้เดินมาแล้วถามว่า แม่คิดถึงพ่อหรือเปล่า ข้าพเจ้าก็ตอบว่าคิดถึงบ้าง ลูกชายบอกว่าฝันเห็นพ่อคุยกับแม่ แล้วมีคนใส่ชุดขาวพาพ่อไป แต่ตัวของข้าพเจ้าไม่ได้ไปด้วย ถ้าลูกเห็นว่าข้าพเจ้าไปด้วย ข้าพเจ้าก็คงตายในวันนั้นแล้ว พอ ๔ โมงเย็นข้าพเจ้านอนพักอยู่ก็มีลูกค้ามาทำผม ยังทำไม่เสร็จก็เป็นลม มีอาการปวดท้องและปวดหลังอย่างมาก ยืนไม่ไหวต้องไปนอนหลังบ้านโดยมีแม่และลูกชายดูแล แต่ข้าพเจ้ามีจิตที่เข้มแข็ง บอกตัวเองว่าไม่เป็นอะไร จะต้องไปทำผมลูกค้าให้เสร็จ แต่ลุกไม่ขึ้น มีเวทนาก็กำหนดไป อธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อว่า ถ้าเจ้ากรรมนายเวรไม่อโหสิกรรมให้ ขอให้ข้าพเจ้าตายในวันนี้เลย แต่ถ้าเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ ขอให้หายเจ็บป่วย ข้าพเจ้าเป็นลมหมดสติไป ๑ ชั่วโมง แล้วรู้สึกดีขึ้นลุกขึ้นมาทำผมได้ ทำผมเสร็จแล้วก็เป็นลมอีก ทรมานมาก รู้ถึงความเจ็บปวดที่เราทำกับเจ้ากรรมนายเวร ให้เค้าทรมานจนเสียชีวิต หายใจไม่ออก ตอนเป็นเหมือนจะตาย ตอนหายเหมือนไม่เป็นอะไร

๒๐.๐๐ น. ขึ้นนอน ไม่ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิเลย ยิ่งนั่งยิ่งปวด แล้วลุกขึ้นไปเดินจงกรม หลวงพ่อบอกเดินแล้วจะหายป่วย จึงเดินแต่ไม่ได้ตั้งเวลา แล้วมานั่งสมาธิอีก พอสักพักอาการปวดทั้งหลายหายเป็นปลิดทิ้ง พอหายปวดก็นั่งสมาธิดีมาก มีความสุขสงบดี แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร บอกกับแม่และลูกชายว่าหายดีแล้ว ลูกชายว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์

อานิสงส์ของการสวดมนต์และปฏิบัติธรรม
๑. พ่อเลิกกินเหล้าและมีการทำทาน เมื่อก่อนนี้ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเวรกรรม แต่ตอนนี้เริ่มเชื่อบ้างแล้ว
๒. แม่หายเจ็บป่วย แข็งแรงขึ้น จากที่เดินไม่ได้ หายดีวันดีคืน แม่ได้สวดมนต์และใส่บาตรเป็นประจำ แม่นับถือหลวงพ่อมาก
๓. ลูกชายของข้าพเจ้าเป็นคนว่านอนสอนง่าย พาลูกสวดมนต์ก่อนแล้วเดินจงกรม นั่งสมาธิแผ่ส่วนกุศล ลูกชายบอกว่าเวลานั่งสมาธิแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลแล้ว อ่านหนังสือหรือทำการบ้านได้คล่อง และ ลูกชายก็เรียนหนังสือเก่ง ทำกรรมฐานกับข้าพเจ้าตลอด ทำมากบ้างน้อยบ้าง

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:05:17 น.  

 

--ทำความดีชดใช้กรรมเก่า


ข้าพเจ้าเกิดมาในครอบครัวที่ดู เหมือนว่าจะเคยรวย หรือครอบครัวที่มีอันจะกินมาก่อน เพราะตอนที่ข้าพเจ้าจำความได้ ก็เห็นมีบ้านหลังใหญ่มีที่ดินมากมาย พ่อกับแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นประถม ที่ดินรอบๆบ้านใช้เป็นพื้นที่การเกษตรปลูกพืชผักสวนครัว และปลูกแตงโมหลายไร่ มีเจ้าหน้าที่การเกษตรมาให้คำแนะนำการปลูก การใส่ปุ๋ย ตลอดจนฉีดยาฆ่าแมลง ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันไหนฉีดยาฆ่าแมลงวันนั้นจะเหม็นไปทั้งบ้าน

บ้านของข้าพเจ้าอยู่ริมคลอง อาหารการกินก็หาได้จากการจับปลาในคลอง บางวันก็ฆ่าไก่ฆ่าปลามาทำอาหาร ข้าพเจ้าเองก็ยังถูกใช้ให้ฆ่าไก่ฆ่าปลา ทั้งที่ในใจไม่อยากฆ่าเลย แต่ด้วยความเป็นลูกเป็นหลานเมื่อถูกใช้ก็ต้องทำ เลยไม่รู้ว่าเป็นบุญหรือเป็นบาป เพราะบางวันก็ทำไปวัดด้วย อยู่มาไม่นานพ่อก็ล้มป่วยลง ครอบครัวก็เริ่มขัดสน จนในที่สุดคุณพ่อก็ต้องมาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งที่ปอด ทั้งที่ไม่เคยดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่เลย คุณแม่ต้องรับภาระเลี้ยงลูก ๗ คน ลูกชายคนโตเป็นคนสติปัญญาดีเรียนเก่ง สามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อถึงอเมริกา แต่เขาไม่ได้ให้ทุนทุกปี ก็เป็นภาระของคุณแม่ต้องหาเงินส่งลูกจนจบปริญญาตรี แต่กว่าจะจบได้คุณแม่ต้องเป็นหนี้สินมากมาย ที่ดินที่เคยมีเป็นอันมากก็แบ่งขายจนหมด โดยที่คุณแม่คิดว่าลูกคนนี้เมื่อเรียนจบแล้วคงจะมากอบกู้ฐานะทางบ้านได้ แต่ทุกอย่างเป็นอนิจจัง พอพี่ชายกลับมาถึงประเทศไทยก็มาล้มป่วยลง และก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งอีกเช่นกัน คุณแม่ในตอนนั้นเสียใจฟูมฟายเป็นทุกขเวทนายิ่งนัก หนำซ้ำอีกไม่นาน คุณลุง คุณตา คุณยาย คุณน้า ก็ตายจากไปทีละคน พี่ชายอีกสองคนต้องหยุดเรียนเพื่อหางานทำ ข้าพเจ้าเองได้เรียนต่อโดยมีพี่ชายคนที่สองเป็นผู้ส่งเรียนจนจบ หลังจากนั้นก็ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ ทำอยู่ ๒ ปี ส่งเงินมาช่วยคุณแม่แบ่งเบาภาระหนี้สิน คุณแม่ได้รับความกดดันมาก จึงทำให้เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน แต่คุณแม่ก็ พยายามเข้าหาธรรมะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจตลอดมา

หลังจากที่ข้าพเจ้าแต่งงานมีครอบครัว ข้าพเจ้าได้นึกย้อนถึงอดีตที่ผ่านมา ทำไมคนที่เกิดมาในครอบครัวเดียวกัน ต้องมีกรรมคล้ายๆกัน พอได้เข้ามาศึกษาธรรมะถึงได้เข้าใจว่าเป็นกรรมจัดสรร คนที่มีกรรมคล้ายๆกันก็ส่งให้มาเกิดในครอบครัวเดียวกัน สาเหตุที่ทำให้ตายก่อนวัยอันควร ก็คงเป็นเพราะผิดศีลข้อปาณาติบาตเกิน ๖๐ เปอร์เซ็นต์ พอข้าพเจ้าระลึกได้ดังนี้แล้วก็เลยละบาปทั้งปวง พยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ แต่ชีวิตก็ไม่ราบรื่น ลำบากมากกว่าสบาย ใช้ชีวิตด้วยความประมาท ขาดสติ เพราะตอนนั้นยังไม่เคยฝึกสติ ชีวิตจึงล้มเหลว ต้องลำบาก ต้องสูญเสียทุกอย่าง ต้องเสียชื่อเสียง แต่อาจจะด้วยบุญกุศลที่เราได้ละบาป สร้างกุศล ด้วยการพยายามฝึกสติที่วัดอัมพวันหลายครั้ง ทำให้ไม่นึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะคิดว่ามันคงเป็นเพราะกรรมเก่าที่เราได้ทำเอาไว้ จึงได้อดทนทำความดีเพื่อชดใช้กรรมเก่า หวังว่าสักวันหนึ่งคงจะเบาบางลงบ้าง แต่ในความสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของข้าพเจ้า ก็ยังมีอานิสงส์ของความดีที่ได้สั่งสมมาก็คือ ภรรยาและลูกเป็นคนดี สิบกว่าปีที่ผ่านมา แม้จะได้รับความลำบากขนาดไหน ภรรยาและข้าพเจ้าก็ไม่เคยทะเลาะกัน ยิ่งลำบากก็ยิ่งเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ตลอดจนลูกๆก็เข้าใจพ่อแม่ ไม่ทำให้พ่อแม่ต้องลำบากใจ

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้ามาบวชที่วัดอัมพวัน ๑ เดือน ภรรยาของข้าพเจ้าก็เคยเข้ามาปฏิบัติธรรมหลายครั้ง และครั้งหลังสุดได้เข้าปฏิบัติ ๙ วัน การที่ได้มีโอกาสมาฝึกสติบ่อยๆ ทำให้มีสติควบคุมจิต การดำเนินชีวิตก็เป็นไปด้วยความไม่ประมาท สิ่งที่เคยสูญเสียไปก็ค่อยๆได้กลับคืนมา ถึงตอนนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพร่ำสอนของ หลวงพ่อจรัญที่ให้ทุกคนได้ฝึกสติตามแนวสติปัฏฐานสี่ ซึ่งเป็นทางสายเอกที่จะทำให้เกิดปัญญา เพื่อให้ทุกคนแก้ไขปัญหาชีวิตได้




--ผลของกรรมและอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม

ข้าพเจ้าได้มาปฏิบัติธรรม ณ วัดอัมพวัน เนื่องจากช่วงนั้นประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจ สามีทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ มีรายได้พอสมควรกับครอบครัวเล็กๆที่กำลังสร้างตัว มีรถกระบะ ๑ คันสำหรับส่งของ เราเริ่มจะขยับขยายหาบ้านใหม่ แต่เมื่อได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ ทุกอย่างก็ต้องหยุดลง เกิดภาระหนี้สินมากมาย ธุรกิจไปไม่รอด

ข้าพเจ้าเริ่มเข้าวัด (ปกติเป็นคนชอบทำบุญใส่บาตร แต่ไม่เคยสวดมนต์ปฏิบัติธรรม) ข้าพเจ้าไปเจอหนังสือกฎแห่งกรรมของ หลวงพ่อจรัญหลายเล่ม และเกิดแรงศรัทธา คิดว่าคงเป็นกรรมของครอบครัวเราที่ต้องเจอสภาพเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็เริ่มสวดมนต์และเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ โดยตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าขอชดใช้กรรมที่ทำมา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะยอมรับ มีกรรมอะไรก็เข้ามาเลย จะชดใช้ให้หมด ช่วงนี้สามียังไม่ค่อยศรัทธาเท่าไรนัก ทุกครั้งที่มาวัด สามีก็จะเป็นคนมาส่ง เวลาจะทำบุญข้าพเจ้าก็อยากจะมาทำที่วัดอัมพวัน สามีบ่นในใจทุกครั้งที่มา (สามีเล่าให้ฟังทีหลัง) แต่ก็แปลกนะ บังเอิญหรือเปล่าไม่ทราบ พามาทุกครั้งรถมีปัญหาเกือบทุกครั้ง พอมาถึงวัดแล้ว เวลาจะกลับมักจะเกิดยางแบน ยางแตก ต้องวิ่งหาช่างแถวๆวัดนี้แหละ แต่ก็ยังมาเรื่อยๆ

ช่วงนั้นข้าพเจ้าสวดมนต์เกือบทุกวัน มาวัดแค่ปีละครั้ง ปฏิบัติธรรมที่บ้านแต่ไม่ต่อเนื่องทุกวัน ทำเช่นนั้นได้ประมาณเกือบ ๒ ปี รู้สึกว่าปัญหายิ่งเพิ่มพูนเข้ามา การเงินย่ำแย่ เป็นหนี้สินพัวพันไปหมด สวดมนต์ไปร้องไห้ไป ครั้งสุดท้าย ลูกชายตอนนั้นประมาณ ๖-๗ ขวบ เดินมาถามว่าแม่ร้องไห้ทำไม แม่สวดมนต์แล้วทำไมร้องไห้ ข้าพเจ้าหยุดสวดและก็หยุดไปเลย เลิกปฏิบัติด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพอแล้วนะ รับไม่ไหวแล้ว ปัญหามากมายมีเข้ามาตลอด ยิ่งทำบุญมากกรรมก็ตามมามาก เหมือนที่หลวงพ่อบอกทุกอย่าง เมื่อเราเริ่มสร้างบารมีก็เหมือนเริ่มมีเงิน กรรมก็ตามมาทวงเหมือนเจ้าหนี้มาทวงเงิน

เมื่อข้าพเจ้าหยุดทุกอย่าง ชีวิตครอบครัวก็ใช่จะดีขึ้น สามีไม่มีงานทำ รายได้ไม่มีเข้ามา มีแต่เงินเดือนข้าพเจ้าเพียงเล็กน้อย หนี้ก็ต้องชำระ ทุกอย่างหนักอึ้งไปหมด ได้แต่นอนร้องไห้กับสภาพตัวเอง คืนหนึ่งข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงพ่อ ท่านกำลังนำสวดมนต์ทำวัตรเย็น ก่อนที่ท่านจะจุดธูปเทียน ท่านก็หันมามองข้าพเจ้า มองแบบชำเลืองมองนะ แล้วพูดเสียงดุๆว่า “สวดมนต์ซิ สวดมนต์” ตอนนั้นข้าพเจ้าตื่นมาก็ได้พิจารณาดูว่า การสวดมนต์ไหว้พระอย่างน้อยๆก็ทำให้จิตใจเราสงบ ถ้าเราสวดแบบมีสติไม่คิดไม่ฟุ้งซ่าน สวดอย่างมีสติ จิตก็จะนิ่งเป็นสมาธิ ความคิดดีๆก็จะเกิด นี่เองที่เรียกว่าปัญญา

ข้าพเจ้าคิดย้อนกลับไปเมื่อประสบปัญหาใหม่ๆ ข้าพเจ้าเริ่มสวดมนต์ปฏิบัติธรรม ทั้งๆที่ช่วงนั้นครอบครัวเรามีรายได้น้อย รายจ่ายมาก พอถึงคราวจนจริงๆก็มีคนมาช่วยเหลือ มีงานเล็กน้อยๆเข้ามาให้สามารถอยู่มาได้ตลอด ไม่ถึงขั้นตกอับหรืออดอยาก เป็นเพราะเราทำด้วยจิตอันเป็นโลภะนั่นเอง โดยข้าพเจ้าหวังว่าจะต้องถูกหวย จะต้องรวย จะได้หมดหนี้เร็วๆ จะได้มีบ้านใหม่ เพราะคาดหวังไว้เช่นนี้ ถึงได้มองไม่เห็นผลแห่งบุญนั้น ทำให้เลิกปฏิบัติ

ข้าพเจ้าเริ่มต้นสวดมนต์แล้วกลับมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีกครั้งไม่ทราบว่าเป็นสภาวธรรมหรือไม่ รู้สึกตัวเองเบาสบายมีแสงสว่างรอบกาย เกิดปีติมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แต่เผอิญเคยอ่านหนังสือเจอมาบ้างว่าอย่ายึดติดจะหลงทาง ข้าพเจ้าก็กำหนดรู้แล้วมาดูอาการพองยุบที่ท้องเหมือนเดิม ทุกอย่างก็เป็นปกติ แต่ความอยากมีอยู่ พอถึงเวลาปฏิบัติก็อยากเป็นเช่นนั้นอีก ตั้งแต่นั้นมาไม่มีผลก้าวหน้าในการปฏิบัติเลย จิตเป็นโลภะเช่นเดิม

อานิสงส์เริ่มเกิดกับสามีข้าพเจ้า ก่อนหน้านี้สามีไม่ค่อยสนใจหรือศรัทธาเท่าไร แต่พอเครียดมากๆไม่มีทางออก เขาก็หยิบหนังสือของหลวงพ่อมาอ่านแล้วเริ่มปฏิบัติตามข้าพเจ้า คือสวดมนต์ สวดพาหุงฯ มหากาฯ แล้วสวดบทพระพุทธคุณเท่าอายุบวกหนึ่ง สวดพระคาถาชินบัญชรด้วย ข้าพเจ้าจำได้ว่า สามีสวดมนต์อยู่ได้ประมาณ ๒-๓ เดือน เริ่มพูดคุยปรึกษาหารือกัน ก่อนหน้านั้นเราต่างฝ่ายต่างเครียด ไม่ค่อยคุยกัน จะพูดกันก็ต่อเมื่อมีเรื่องต้องพูด เราเริ่มมีทางออก สามีออกรถแท็กซี่มือสองแล้วผ่อน ทั้งนี้เราได้รับการช่วยเหลือจากพี่ชายและพี่สะใภ้ โดยเฉพาะพี่สะใภ้ซึ่งทำร้านอาหารก็เจอปัญหาเช่นกัน แต่พี่ก็เมตตากับเรามาก ช่วยเหลือทุกเรื่องแม้แต่ของใช้ของกิน ข้าพเจ้าจะไม่ลืมพระคุณเลย

สามีเริ่มตามข้าพเจ้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดรวมทั้งลูกชายด้วย เรามากันทั้งครอบครัว เมื่อครบกำหนดกลับสามีพูดว่าอยากมาอีก ถ้าการเงินดีขึ้นหนี้สินบางเบาลงจะขอมาอีก และทุกปีตั้งแต่นั้นครอบครัวเรามากันบ่อยขึ้น และสามีก็เกิดความรักความศรัทธาในหลวงพ่อจรัญจนเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกับข้าพเจ้า

แต่ก่อนข้าพเจ้าเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย เจ้าอารมณ์ ไม่ยอมใคร แต่พอเราได้สวดมนต์ทุกวัน ได้เข้าปฏิบัติธรรมเจริญกรรมฐาน ทุกอย่างดีขึ้น มองโลกในแง่ดี จิตใจดี ทุกคนเกิดมาตามกรรม ผลที่ได้รับเกิดจากเหตุที่ได้กระทำไว้เอง ไม่ว่าจะในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ เหตุดีผลย่อมดี ปัจจุบันข้าพเจ้ามีความสุข ครอบครัวเรามีความเป็นอยู่ดีขึ้น หนี้สินเบาบางลง และเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะหมดถ้าเราหยุดความอยากลงได้ สามีได้แท็กซี่คันใหม่ดีกว่าเดิมไม่ต้องผ่อนแล้วด้วย เลิกเหล้าเลิกบุหรี่เด็ดขาด ไม่เที่ยว ใช้เวลาว่างอยู่กับครอบครัว ลูกชายก็ดี การเรียนดี เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของกรมพลศึกษา ได้ธรรมศึกษาชั้นโท เมื่ออายุ ๙ ขวบ นี่คือความสุขของข้าพเจ้า นี่คือผลบุญที่ข้าพเจ้าได้รับ นี่คืออานิสงส์ของการสวดมนต์และปฏิบัติธรรมเจริญพระกรรมฐาน ถ้าข้าพเจ้าไม่เจอหนังสือกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อจรัญเมื่อ ๗ ปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าครอบครัวและชีวิตของข้าพเจ้าจะเป็นเช่นไร

กฎแห่งกรรมที่เคยได้รับ
เมื่อตอนเด็กๆข้าพเจ้าเป็นคนชอบรังแกสัตว์ เรียกว่าชอบทดลองมากกว่า เวลาเจอมดชอบเอาน้ำราด คิดว่าถ้าน้ำแห้งไปหมดแล้วมดจะตายบ้างไหม ชอบจุดไฟกับกระดาษ แล้วถือไล่ให้มดมันหนี เคยได้ยินมาว่าไส้เดือนมันตายยาก ต้องใช้ผงซักฟอกโรย ก็ลองบ้าง มันหงิกไปหงิกมา ตายจริงๆ ทำแล้วก็แล้วไปไม่ทำอีก แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นกรรมติดตามมา

ตอนอายุ ๑๒ เริ่มทำกับข้าวหุงข้าว ให้แม่ไปทำงาน ส่วนตัวเองจะใส่บาตรหน้าบ้านทุกวัน จำได้ว่าแม่ให้แกงส้มปลาช่อน ก็ไปซื้อมาตัวเล็กเท่าแขน ตอนเด็กๆทุบหัวมันแบบกล้าๆกลัวๆ สุดท้ายมันไม่ตายดิ้นตกน้ำไปเลย เพราะที่บ้านเมื่อก่อนใต้ถุนเป็นน้ำ จำได้ติดตาว่ามันมองข้าพเจ้า และนั่นก็เป็นตัวเดียวและตัวสุดท้าย ข้าพเจ้าเป็นโรคปวดหัวมาตั้งแต่เด็ก ไปรักษาก็ไม่หาย หมอบอกไม่ทราบสาเหตุ บอกว่าคงเครียด ทั้งๆที่เป็นเด็ก

เมื่อข้าพเจ้าเริ่มมาปฏิบัติธรรมก็ให้นึกถึงอดีตที่ทำไว้ ปัจจุบันได้รับผลหมด ปวดหัวอยู่ข้างเดียวคือข้างขวา หมอบอกเป็นไมเกรน คิดว่ามาจากสภาพครอบครัวเรา แต่ข้าพเจ้ารู้ตัวว่ามันไม่ใช่ มันคือกรรมที่ทำไว้ เพราะจะเห็นภาพปลาช่อนนั้นตลอด ปัจจุบันเลิกกินปลาช่อนแล้ว และมักจะซื้อปลาช่อนตัวโตๆที่คนนิยมกินกันเอาไปปล่อยบ่อยๆ ก็ขออโหสิกรรมกันไป

ส่วนมดนั้นยังจองเวรกันไม่เลิก ครั้งหนึ่งขณะนั่งกรรมฐานชั่วโมงครึ่ง เหลืออีก ๑๕ นาทีจะหมดเวลา มีมดคันไฟมากัดที่แก้มและริมฝีปาก เจ็บมาก กัดฟันเลย กำหนดรู้ตลอด นึกถึงมดที่ทำไว้ก็เลยปล่อยตามสบาย ทนได้ พอนั่งไปสักพักเอาอีกแล้ว ตอนนั้นอยู่ลานดิน รู้สึกว่าเป็นมดตะนอย กัดข้างในเสื้อ ๓ จุด ปวดมากๆ ปวดจนรู้สึกตัวชาไปทั้งแถบ ก็แถบขวานั่นแหละมือซนนัก ก็กำหนดหยิบหนอๆ ปัดหนอๆ ไม่รู้ผิดหรือถูก ทนไม่ไหวแล้ว แต่ไม่เจอมดสักตัว ก็รู้หนอๆ จนหมดเวลา มาดูรอยที่ตัวที่แก้มไม่มีสักจุด ทั้งที่เป็นคนแพ้มด เวลาถูกกัดจะเป็นตุ่มแดงๆ อักเสบจนเป็นหนองเป็นแผลเป็น แต่นี่ไม่มีเลย ก็ขออโหสิกรรมกันไป แต่ยังไม่ยอม คืนนั้นไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ทั้งๆที่คนอื่นที่นอนติดๆกันนอนกันนิ่ง ข้าพเจ้าจับดู โอโห มดเต็มผ้าห่มเลย ไม่รู้มาจากไหน เช้าขึ้นมาก็เลยรู้ เจอของจริง ตุ่มแดงๆเต็มตัวเลย สามีมารับกลับวันนั้นยังขำ เวรกรรมจริงๆ

ยังไม่หมดนะสำหรับมด เพราะทำไว้มาก มาปฏิบัติครั้ง ล่าสุด ตอนเดินรู้สึกว่าวันนี้ร้อนมาก(ช่วงบ่าย) อยู่ลานดิน มีลมโกรกบางช่วง แต่เหงื่อหยดติ๋งๆเลย พอกำหนดนั่ง นั่งไปได้สักพักใหญ่ๆ กำหนดเวทนาตลอด ตอนนั้นไม่ทราบว่านาฬิกาตีไปเท่าไรแล้ว เพลินกับเวทนามาก รู้สึกว่าร้อน เหงื่อชุ่มตัวเลย คิดว่าน่าจะเป็นแดดที่ลอดมาตามใบไม้ ร้อนที่หน้ามาก เหงื่อออกเต็มไปหมด คิดว่าหน้าต้องไหม้ไปแถบหนึ่งแน่ๆแต่ก็ทน ขณะนั้นข้าพเจ้าคิดถึงมดขึ้นมาได้ทันทีว่า ที่เราเอาไฟเผาตอนนั้นพวกเค้าก็คงร้อนแบบนี้เช่นกัน ก็เลยปล่อย ได้แต่กำหนดเวทนา ทรมานมาก จนหมดเวลาก็ขออโหสิกรรม แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล พอออกจากกรรมฐาน น้องที่นั่งอยู่ข้างๆบอกพี่เหงื่อออกเต็มหน้าเลย ก็ตอบว่าสงสัยแดดจะลอดใบไม้ลงมา น้องบอกไม่เห็นมีแดดเลยตรงนี้มันร่มนะ ข้าพเจ้าก็รู้ได้ว่าคงมาทวงหนี้อีกแล้ว

เคยไปแกล้งสุนัขเวลาจะถ่ายหนักถ่ายเบาตามถนน ก็จะทำทุกวิถีทางลองทุกอย่างที่ทำให้สุนัขถ่ายไม่ออก พอมาปฏิบัติขณะเดินจงกรม ปวดท้องอยากจะถ่าย ทนไม่ไหว ก็กำหนดเดินเข้าห้องน้ำ ปวดมากแต่ถ่ายไม่ออก จำได้เลยนั่งอยู่ในห้องน้ำ นึกถึงภาพสุนัขกำลังจะถ่ายแล้วเราแกล้งไม่ให้ถ่าย มันก็วิ่งไปวิ่งมาเราก็ไม่ยอมให้มันถ่าย เวรกรรมจริงๆ ก็ขออโหสิกรรมกับเค้าไป ด้วยความคิดว่าเป็นเด็กมันนึกสนุก ไม่คิดว่ามันจะเป็นกฎแห่งกรรม

กฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ข้าพเจ้าเชื่ออย่างมาก ไม่เคยเห็นกรรมในอดีตชาติ ปัจจุบันนี่แหละเห็นทันตา รังแกสัตว์ ตัวเองก็เจ็บป่วยบ่อย ปวดเนื้อตัวไปหมด ทำกับเค้าอย่างไรก็ได้รับผลเช่นนั้น ปัจจุบันข้าพเจ้าเลิกทุกอย่าง เจอสุนัขที่ไหนก็จะแผ่เมตตาให้ทุกครั้ง ทำกรรมไว้เช่นไรต้องได้ผลกรรมเช่นนั้น ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ผลจากการปฏิบัติ จะทำให้เราระลึกได้ จากการปฏิบัติจะ สำนึกถึงความผิดแล้วก็เลิกสร้างกรรมเวรต่อไป เราก็จะมุ่งสร้างแต่ความดี บารมีจะเสริมให้เราไปสู่ความสุขความสำเร็จในชาตินี้ และไปสู่ภพภูมิที่ดีในชาติหน้า ขอบอกว่าถ้าเราทำจริงตั้งใจจริง เราจะรู้ด้วยตัวเอง อย่างที่เรียกว่า “ปัจจัตตัง” รู้ได้เฉพาะตน

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:07:26 น.  

 

--ผลของการสวดมนต์และปฏิบัติธรรม


เมื่อก่อนดิฉันมีทุกข์มาก พยายามจนได้ไปถึงวัดอัมพวัน ไม่พบหลวงพ่อ พี่ๆที่วัดบอกว่าไม่พบก็ไม่เป็นไรให้อธิษฐาน ดิฉันก็อธิษฐานว่าไปครั้งหน้าขอให้ได้พบหลวงพ่อทีเถิด และก็ได้พบจริงๆตามที่อธิษฐานไว้ ดิฉันได้ฟังหลวงพ่อเทศน์ พอดิฉันฟังจบกราบหลวงพ่อแล้วอธิษฐานว่า ขอให้ดิฉันพ้นทุกข์ ก็ได้ปฏิบัติเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ สวดมนต์เป็นประจำตามหลวงพ่อสอน ใจดิฉันที่เคยร้อนก็เย็นลงมาก กำหนดได้ ไหว้พระเป็น มีสติมากขึ้น ดิฉันบอกลูกๆหลานๆและเพื่อนที่สนิทให้ไปวัดอัมพวัน ฟังหลวงพ่อเทศน์ ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ภูมิใจเป็นที่สุด

ดิฉันสวดอิติปิโส ๑๐๘ จบ และปฏิบัติทุกเช้า เดินครึ่งชั่วโมง นั่งครึ่งชั่วโมง แล้วแต่โอกาส ถ้าเวลาพอก็ปฏิบัตินานหน่อย ชีวิตก็ราบรื่นดีมาตลอด ไปปฏิบัติที่วัดอัมพวัน ๗ วันบ้าง ๓ วันบ้าง

เมื่อปี ๒๕๔๙ ดิฉันมีปัญหาเรื่องโรคกระดูก ปวดหลังมากๆ ทีแรกนึกว่าทำงานหนักหรือยอก ให้หมอนวด นวดเท่าไรก็ไม่หาย ไปพบหมอที่โรงพยาบาลจุฬา หมอให้เอ็กซ์เรย์ กว่าจะรู้เรื่องก็ไปหลายครั้ง จะนั่งจะนอนหรือเดินก็ปวดไม่มีความสุขเลย จิตใจตอนนั้นแย่มากๆ กำหนดแทบไม่รู้เรื่อง เพราะความเจ็บปวด ดิฉันรู้เลยว่าคนที่ฆ่าตัวตายเพราะความปวดเป็นอย่างนี้นี่เอง

กินยามาตลอด ไปหาหมอตามนัด ความปวดทำให้ดิฉันบอกหมอว่าอยากผ่า แต่ญาติก็ห้ามไม่ให้ผ่า กลัวเดินไม่ได้ อีกไม่กี่วันต่อมาหมอนัดเข้าเครื่องตรวจ ปรากฏว่ากระดูกสันหลังข้อที่ ๔-๕ เสื่อม คุณหมอให้มาทำเรื่องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด คิวก็ยาวมาก ต้องรออีก ๒ เดือน

ดิฉันไปกราบหลวงพ่อ ดิฉันไปทุกปี ช่วงใกล้วันเกิดหลวงพ่อ พอดีมีพระเหลนชายบวชอยู่ที่วัดอัมพวันด้วย พระเหลนแนะว่าให้ปฏิบัติมากขึ้น พระเหลนจะช่วยแผ่เมตตาให้ เผื่อไม่ต้องผ่า ปฏิบัติหนักขึ้นสู้กับความเจ็บปวด และความเจ็บปวดก็ค่อยๆจางลง ตอนเจ็บมากก็คิดไปว่าทำกรรมอะไรไว้ถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้ นึกย้อนหลังได้ว่าเมื่อตอนเด็กชอบตีงู และหักก้ามปู มีครั้งหนึ่งดิฉันจำได้แม่นยำว่าตีงูหลังหัก เห็นปูตัวใหญ่หรือก้ามใหญ่เป็นต้องหัก เวลานี้เราทรมานเจ็บปวดหลัง เพราะเราได้ทำกรรมนี้เอง ดิฉันจึงขอใช้กรรมในชาตินี้ ทุกวันนี้สวดมนต์แผ่เมตตาให้งูกับปู อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย

ดิฉันบอกหมอว่าดิฉันไม่ผ่า ดิฉันดีขึ้นมาก คุณหมอยังชมว่าดีมาก และบอกว่าโรคนี้ยืดเวลาได้นานๆ ดิฉันขอรับแต่ยา พอยาหมดดิฉันก็ไม่รับยาอีกเลย ปีใหม่ไปรับพรจากหลวงพ่อกลับมาแล้วรู้สึกดีมากๆ ตั้งแต่ปีใหม่ก็เลิกกินยา

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับดิฉันจริงๆ ดิฉันจึงอยากให้ทุกๆ คนหมั่นสวดมนต์ภาวนา ปฏิบัติธรรมเป็นนิจ ตามที่หลวงพ่อได้สอนไว้ว่า สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน คำพูดหลวงพ่อเป็นความจริง




--ยิ่งปฏิบัติยิ่งชดใช้กรรม


หายจากอาการลิ้นหัวใจรั่ว
สาเหตุที่ดิฉันได้มาวัดอัมพวันนั้น เพราะดิฉันได้ฝันถึงวัดอัมพวันเป็นเวลาเกือบสามปี ในฝันนั้นเขาบอกว่าถ้าไปที่แห่งนี้เจ้าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วดิฉันก็ออกตามหาวัดที่ฝันถึง ใครชวนไปทำบุญวัดไหนดิฉันก็ไปด้วย เพราะคิดไว้ลึกๆว่าฝันอาจเป็นจริง หาอยู่สามปี ไปเหนือ ไปใต้ อีสานก็หาไม่เจอ

ในวันเดียวกันนั้นมีคนมาชวนดิฉันไปวัดพร้อมกันสามคน ดิฉันไม่รู้จัก วัดอัมพวันเลยแต่ก็อยากมาวัดนี้ พอดิฉันเข้ามาในเขตวัด ดิฉันเห็นสิ่งที่ดิฉันฝันเห็นทุกอย่างในความฝัน แล้วดิฉันก็ดีใจว่าต่อไปนี้ดิฉันจะมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับความฝัน

ตอนนั้นดิฉันลำบากมาก เป็นลิ้นหัวใจรั่ว เกลดสี่ ระยะสุดท้าย หมอบอกต้องทำใจไว้นะ พอเริ่มปฏิบัติธรรมก็ลำบากมากกว่าเก่า หัวใจก็เจ็บมากกว่าเก่า ก็เลยทำมั่งไม่ทำมั่ง แต่พอเรามีสติ สติก็เตือนเราว่าให้เราทำจริงๆจังถึงจะได้ผล พอรู้ตัวก็เสียเวลานานพอสมควร ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานว่า ต่อไปนี้ดิฉันจะตั้งใจปฏิบัติและเข้าวัดทุกเดือนให้ครบหนึ่งปี ยิ่งปฏิบัติยิ่งเจ็บมากขึ้นตลอด เป็นลมนับดาวเป็นทางยาวเกือบทุกวัน แต่ก็สู้ เป็นลมพอนั่งก็หาย เดินสู้จนชนะ หายจากเวทนาที่เข้ามาตลอด นึกถึงคำหลวงพ่อท่านบอกว่า ปวดเป็นปวด ตายเป็นตาย ไม่มีใครตายเพราะกรรมฐาน

ตลอดหนึ่งปีที่ดิฉันต้องสู้กับโรคภัยไข้เจ็บและปัญหาชีวิตจนเกิดความท้อ แต่ก็สู้เพื่อไม่ให้เสียสัจจะ ปฏิบัติครบหนึ่งปี ด้วยอำนาจที่ดิฉันได้ทำกรรมฐานและสวดพาหุง คิดดี ทำดี ทำให้ดิฉันหายจากลิ้นหัวใจรั่ว ทั้งที่หมอเขาไม่เชื่อว่าจะหายได้อย่างไร หมอนัดตรวจหลายครั้ง หมอถามว่าไปทำอะไรมา และชีวิตของดิฉันที่เคยลำบากก็ดีขึ้นเรื่อยๆ คงเป็นเพราะผลบุญที่เราทำกรรมฐาน และสวดมนต์ คิดดี ทำดี และคงเป็นบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ทำให้ชีวิตของดิฉันมีความสุขและหายจากลิ้นหัวใจรั่ว ตอนนี้สุขภาพแข็งแรงดีมีความสุข

ใช้กรรมให้ปลา
นอกจากดิฉันเป็นลิ้นหัวใจรั่วแล้ว ยังสายตาสั้นจาก ๑๐๐ จนถึง ๖๐๐ เอียงข้างละ ๑๗๕ พอดิฉันหายจาก ลิ้นหัวใจรั่ว ดิฉันก็ปวารณากับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า จะทำงานรับใช้หลวงพ่อ พอเข้า พ.ศ. ๒๕๔๕ ดิฉันเจ็บคอมาก หมอบอกว่าเป็นทอนซิลอักเสบอย่างหนัก ต้องผ่าตัด เพราะเป็นหนองมาก ดิฉันตัดสินใจไม่ผ่าเพราะกลัวไม่มีที่กรองเชื้อโรค พอทำกรรมฐานมากขึ้น จิตละเอียดขึ้น ก็เห็นตัวเองชอบไปตกปลาเมื่อตอนเป็นวัยรุ่นเพราะความสนุก พอตกได้ก็ปล่อย กรรมที่เราทรมานเขาเป็นเพราะการกระทำของเราโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พอปฏิบัติกรรมฐาน ดิฉันขออโหสิกรรมกับหมู่ปลาฝูงนั้นตลอด และต่อมาอีกสองเดือนดิฉันก็หายจากทอนซิลอักเสบ ไม่ต้องผ่าตัด จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเป็นทอนซิลและเจ็บคออีกเลย

ผลบุญในการปฏิบัติกรรมฐาน
วันนั้นดิฉันได้ทำงานอยู่บนศาลาสุธรรมภาวนา ดิฉันรู้สึกปวดตามากจนบรรยายไม่ถูก คิดในใจว่าดิฉันไม่เคยทำกรรมอะไรเลยในชาตินี้ อย่าให้ดิฉันต้องตาบอดเลย พอถึงเวลากลางคืน พระสวดพาหุงฯ และธรรมจักรฯ ดิฉันก็ยิ่งปวดตามากขึ้นเรื่อยๆจนทนไม่ไหว ดิฉันจึงตั้งจิตเป็นสมาธิ อธิษฐานว่ากรรมอันใดที่ดิฉันได้ทำมากับใคร ตั้งแต่อดีตชาติและปัจจุบัน ด้วยตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้กับดิฉันด้วย แล้วสติก็บอกกับดิฉันว่า เมื่อตอนเป็นเด็กดิฉันเคยเอาปากกาไปแทงตาเพื่อนรุ่นพี่ จนต้องรักษาตาอยู่นาน และดิฉันก็ปวดตาจนถึงเที่ยงคืน พอพระสวดชยันโตดิฉันก็หายปวดตา เหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นกับดิฉันเลย รุ่งขึ้นดิฉันพร้อมทั้งคณะและเพื่อนพร้อมพระที่วัดอัมพวันก็เดินทางไปที่จังหวัดลำพูน เพราะจะนำพระพุทธรูปไปบรรจุที่พระธาตุหริภุญชัย พอรถจะออกจากวัดอัมพวันดิฉันเห็นพี่เจ้าของรถไม่มีหัว ดิฉันเลยคิดว่าตัวเองคิดมากตาฝาด พอไปถึงที่อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน รถคันของดิฉันนั้นเกิดมีปัญหา ตั้งแต่บนภูเขา เบรกแตก และสายพานขาด พวกเราตั้งจิตหาหลวงพ่อช่วยลูกด้วย และเราก็ช่วยกันสวดพาหุงฯ เราโบกมือรถในขบวนหลายคันขอความช่วยเหลือ เขาเห็นว่าให้โบกมือไปก่อน เดชะบุญที่คันสุดท้ายเขาเอะใจ เขาตามเราไป พอไปถึงมอสุดท้ายเห็นรถจอดรอเป็นแถว เราก็ดีใจว่ารอดแล้ว สิ่งที่คิดไม่ถึงมันเป็นปาฏิหาริย์ รถเบรกไม่เคยอยู่ พอเห็นพระยืนอยู่ รถเบรกได้ คนที่นำรถขบวนเขาเล่าให้ฟังว่า รถเขาเสียงดังเหมือนมีคนทำเสียงดังตั้งแต่บนภูเขาแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ จนรถดังมากกว่าเก่า เขาเลยจอดรถดู แต่ก็ไม่มีอะไร เขาเลยแปลกใจ ก็เลยคิดว่ารถคันหลังต้องมีปัญหาแน่ๆ เลยจอดรถรอก่อน พอตามช่างมาดูรถก็บอกว่าไม่น่ารอด เพราะรถเบรกแตก สายพานขาด หม้อน้ำร้อนมาก เขาดูรถแล้วสภาพรถน่าจะระเบิด รอดมาได้อย่างไร แต่พวกเราก็ปลอดภัยกันทุกคน บังเอิญดิฉันทำ ขาแว่นตาหักไม่ได้ใส่แว่นตา แต่มองเห็นชัดไม่ปวดตา ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ไม่เคยใส่แว่นตา จนถึงเดี๋ยวนี้

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:08:29 น.  

 

--เรียนดี เป็นเด็กดี เพราะการเจริญกรรมฐาน



ครั้งแรกที่เข้าปฏิบัติธรรมนั้นค่อนข้างเข้มข้นมาก จะไม่มีการสวดมนต์ทำวัตรทั้งเช้าและเย็น จะเป็นการปฏิบัติอย่างเดียว
กว่าจะนั่งได้ครบ ๑ ชั่วโมง โดยไม่ขยับเลย ช่วงแรกๆต้องฝืนใจมาก แต่เมื่อผ่านช่วงนั้นไปแล้วก็จะสามารถปฏิบัติได้และรู้เท่าทันเวทนา ข้าพเจ้าปฏิบัติครั้งละ ๓ วันบ้าง ๕ วันบ้าง แล้วกลับไปปฏิบัติที่บ้านทุก ข้าพเจ้าอธิษฐานจิตอยากให้สามีกับเพื่อนของเขาปฏิบัติธรรม พอรู้ว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นการละทิ้งครอบครัว การปฏิบัติธรรมเป็นการฝึกฝนตนเอง เรียนรู้ดูตัวเอง ฝึกฝนความอดทนทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ความเจ็บปวดจากเวทนา อดทนที่ต้องตื่นแต่เช้ามืด ต้องรอคอย ต้องเข้าระเบียบต่างๆ และต้องวางทิฐิของตนเองให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นสามีก็เข้าใจและไปรับไปส่งข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันทุกครั้ง หากไม่ติดภารกิจอะไร

บุตรชายคนเล็ก เป็นคนค่อนข้างอดทนน้อย ไม่ชอบรอคอยอะไรนานๆ คุณครูมักฟ้องข้าพเจ้าเสมอว่า น้องยอร์ชชอบคุย ไม่ค่อยมีสมาธิในการเรียน เรียนก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ทำให้ข้าพเจ้าเป็นห่วงเขามาก หลังจากข้าพเจ้าเจริญกรรมฐานเสร็จก็จะอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ ขอให้ลูกๆเป็นเด็กดี มีปัญญา ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเล่าเรียนหนังสือ และขอให้ได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรม

หลวงพี่ประกาศิต ท่านเห็นลูกชายตามข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อบ่อยๆ ท่านจึงแนะนำให้น้องยอร์ชไปบวชเณร ชื่อว่าโครงการสามเณรใจเพชรภาคฤดูร้อน เป็นช่วงที่ปิดเทอมพอดี เพราะท่านบอกว่าเด็กที่ได้มาบวชเณรกลับไปแล้วจะเรียนดีและเป็นเด็กดี
หลังจากที่ลูกชายลาสิกขาไปแล้ว ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก จากที่เคยเป็นเด็กสมาธิสั้นและรอคอยอะไรไม่ได้นาน จากที่เรียนไม่ดีนักก็กลับเรียนดีมากขึ้น ขยันหมั่นเพียร รับผิดชอบตัวเองสูง จึงสามารถสอบคัดเลือกเข้าเรียนในห้องที่เรียนดีที่สุดของระดับโรงเรียนประจำจังหวัด จึงทำให้ข้าพเจ้า มั่นใจในการปฏิบัติธรรมเจริญกรรมฐาน หากเราตั้งใจปฏิบัติสม่ำเสมอ และข้อสำคัญต้องมีศีลในตัวเอง ข้าพเจ้ารับรองว่าได้ผลใน สิ่งที่ดีๆที่เราปรารถนา





--กรรมฐานคลายทุกข์


ฉันสมัครเข้าร่วมปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันกับคณะโรงพยาบาลนครปฐม เป็นปีที่ ๓ แล้ว จุดมุ่งหมายของฉันทุกปีเพื่อเป็นการสั่งสมบุญบารมี ไปฝึกให้เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นกุศลให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข แต่สำหรับการไปปฏิบัติธรรมในปีนี้ จุดมุ่งหมายของฉันต้องเปลี่ยนไปเป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่สามีของฉันที่เสียชีวิต เนื่องจากอุบัติเหตุถูกรถจักรยานยนต์ชน ขณะเดินทางกลับบ้านพักหลังจากการไปเดินออกกำลังกาย ไม่อาจช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว จึงได้เพียงแต่ให้เครื่องช่วยหายใจ ยากระตุ้นหัวใจ และความดันโลหิต เพื่อรอญาติๆ
ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ในใจของฉันเฝ้าถามแต่ว่าทำไม ทำไม ทำไมจึงต้องมาประสบเหตุการณ์เช่นนี้กับครอบครัวของเรา แล้วจู่ๆฉันมีคำตอบด้วยตนเองว่า เพราะวิบากกรรมของสามีที่สมัยหนุ่มๆ ได้ทำปาณาติบาตไปเที่ยวป่าและยิงสัตว์ต่างๆ
ฉันคิดว่าจากความเมตตาของหลวงพ่อและผลบุญที่สามีของฉันได้เป็นผู้พาฉันไปปฏิบัติธรรมครั้งแรกที่วัดอัมพวัน ประกอบกับที่ฉันและลูกๆมีความเชื่อมั่นศรัทธาหลวงพ่อและได้ไปปฏิบัติธรรมเป็นประจำ คงจะมีส่วนทำให้สามีของฉันมีลมหายใจรอเราทุกคนได้ทันเห็นใจก่อนที่จะสิ้นลม
ขณะนี้ฉันกลับบ้านใช้ชีวิตประจำวันปกติแล้ว ยามใดที่ฉันคิดถึงสามี คิดถึงการสูญเสีย การพลัดพราก ฉันจะต้องรีบกำหนดใจว่า เศร้าหนอๆ ทุกข์หนอๆ คิดหนอๆ แล้วก็กำหนดรู้หนอๆ ให้ใจกลับสู่ปัจจุบันขณะทันที ทำให้ฉันคลายความทุกข์ลงได้ ฉันจึงเชื่อมั่นว่ากรรมฐานคลายทุกข์ได้




--กรรมฐานช่วยชีวิต


อดีตที่ผ่านมาชีวิตมีปัญหาสับสนวุ่นวาย มีความทุกข์และเดือดร้อนใจมาก และไม่เคยคิดว่าในอนาคตจะ ยืดอกมองคนอื่นได้ ปัญหาที่หนักอกคือปัญหาหนี้สิน และลูกชายชอบดื่มสุราและสูบบุหรี่มาก ที่ปัญหาหนี้สินเกิดมามากเพราะการค้ำประกันธนาคารให้เพื่อน เมื่อธนาคารเร่งรัดจะยึดบ้านและที่ดิน ไม่มีทางออกหมุนเงินไม่ทัน ก็หันหน้าเข้าหาการพนัน ลูกๆห้ามก็ไม่รับฟัง ยังดึงดันเล่นต่อไป

ต่อมามีเพื่อนชวนไปทำกิจกรรมสินค้าขายตรง โดยนำสินค้ามาขายสดและผ่อนให้ลูกค้า ผลที่ตามมาคือเงินเก็บส่งบริษัทไม่ได้ตามเป้า ต้องกู้หนี้ยืมสินส่งบริษัทเป็นเงินหลายหมื่นบาท ข้าพเจ้าทุกข์ใจมาก รู้เลยว่าทุกข์ใดๆในโลกไม่มีอะไรหนักหนาเท่าการเป็นหนี้ ข้าพเจ้าเครียดมากไม่มีที่ไป ลูกสาวบอกให้ลองไปตั้งสติในวัดสักพัก ข้าพเจ้าจึงไปปฏิบัติธรรม พบคนแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันกับหลวงพ่อจรัญ เมื่อชีวิตถึงทางตัน ข้าพเจ้ามุ่งสู่วัดอัมพวัน ตอนเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ในใจก็อธิษฐานขอให้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม และมองเห็นธรรมบ้าง แม่ชีที่ทำหน้าที่รับลงทะเบียนก็บอกว่า “ถ้ายังไม่ทานข้าวกลางวันก็ไปทานที่โรงครัวก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นชุดขาว” ข้าพเจ้าจำได้ไม่เคยลืม ครั้งนั้นข้าพเจ้าเข้าปฏิบัติ กรรมฐานเป็นเวลา ๗ วัน เมื่อกลับถึงบ้านก็แนะนำให้ลูกสาวและหลานฝึกปฏิบัติตาม จากปีนั้นถึงปีนี้ ชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น บ้านที่เคยคิดจะขายก็ไม่ต้องขาย กลับกลายเป็นได้ปลูกสร้างห้องพักให้คนเช่าเพิ่มอีก ลูกสาวลูกเขยก็เข้าวัดปฏิบัติกรรมฐานกันทุกคน
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าทุกข์ใจมาก คือ ลูกชายชอบดื่มสุราและสูบบุหรี่จัดมาก แม้ว่าลูกจะโตมีครอบครัวแล้ว แม่ก็ยังรู้สึกห่วงลูกและคิดว่า ลูกยังเป็นเด็กอยู่เสมอสำหรับแม่ ข้าพเจ้าเคยพาลูกชาย ไปกราบหลวงพ่อ แต่เขายังไม่เข้ารับกรรมฐาน เขาส่งแม่แล้วก็กลับกรุงเทพฯ เขาชื่นชมหลวงพ่อมาก ครั้งนั้นข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ๓ วัน เมื่อกลับถึงบ้านก็ปฏิบัติทุกเช้าเย็นไม่ได้ขาด และขอบารมีหลวงพ่อแผ่เมตตาให้ลูกชายเลิกดื่มสุราและเลิกสูบบุหรี่ทุกครั้ง ลูกเขย ลูกสาวไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ข้าพเจ้าได้เขียนขอบารมีหลวงพ่อ โปรดแผ่เมตตาให้ลูกชาย โดยเขียนใส่แผ่นกระดาษให้ลูกสาวหย่อนลงบาตรที่ตั้งวางใกล้ๆหลวงพ่อนั่งรับแขก ข้อความที่เขียนมีว่า

๑. ขอให้นายนราธิป ภัทรศุภา ได้มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน
๒. ขอให้นายนราธิป ภัทรศุภา เลิกดื่มสุรา เลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด พร้อมเขียนเลขบ้านที่อยู่ให้เรียบร้อย เพื่อให้หลวงพ่อแผ่เมตตาไปถึง เหมือนการส่งจดหมายถึงผู้รับ

เหตุการณ์ที่เหลือเชื่อเกิดกับตัวข้าพเจ้าคือ ในตอนเย็นวันรุ่งขึ้นลูกชายโทรศัพท์มาถามว่า “แม่ครับผมอยากจะไปฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ถ้าผมจะนั่งรถเมล์จากกรุงเทพฯ ผมจะนั่งรถอะไรไป” ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากที่สุดในชีวิต ลูกชายเข้าฝึกกรรมฐานครั้งแรก ๗ วัน เมื่อออกจากกรรมฐานเขาเลิกดื่มสุราได้ แต่ยังเลิกบุหรี่ไม่ได้ สองเดือนต่อมาเขาตั้งใจฝึกกรรมฐานอีก เขาตั้งใจว่าจะเลิกบุหรี่ให้ได้ แล้วในที่สุดเขาก็เลิกได้จริงๆ ทุกวันนี้ภรรยาและลูกๆ ดีใจมากที่ได้พ่อที่ดีกลับคืนมา สำหรับข้าพเจ้านั้นไม่ต้องพูดถึง แม้ว่าจะเป็นเวลาที่คอยมานานหลายปี

ข้าพเจ้าคิดถึงคำสอนของหลวงพ่อเสมอว่า “พ่อแม่ทำอะไรในทางที่ดี ผลบุญจะแผ่ไปถึงลูกเสมอ กรรมฐานช่วยชีวิต ช่วยลูกตนเองได้” จึงอยากบอกเล่าให้เพื่อนๆที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์หาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ โปรดตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ชีวิตจะมีสุข จิตใจสงบร่มเย็น ปัจจุบันชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวมีความสงบสุขแบบชีวิตพอเพียง ลูกชายลูกสาวลูกเขยลูกสะใภ้ฝักใฝ่ในธรรมทุกๆ คน หลานๆ ทุกคนเป็นเด็กดีเรียนหนังสือเก่ง



--กรรมที่หนีไม่พ้น


ขณะที่กระผมพักอยู่ที่บ้านญาติในกรุงเทพฯ ซึ่งลูกๆ ก็พักอยู่ด้วย เพราะกระผมประกอบอาชีพในต่างจังหวัด หลังจากตื่นนอน อาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้วจึงสวดมนต์และปฏิบัติธรรม ยืนเดินนั่งต่อเนื่องกันไปเป็นเวลาประมาณสามชั่วโมงเศษ หลังจากแผ่เมตตาและแผ่ส่วนกุศลเสร็จแล้ว เกิดมีลมพัดโหม เข้ามาในบ้านอย่างหนักเป็นเวลานานมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มโดยไม่มีเค้ามาก่อน คล้ายกับเป็นลางสังหรณ์สะกิดใจให้ทราบว่า ส่วนบุญกุศลที่เราอุทิศส่งไปให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายนั้น ท่านได้รับไว้แล้ว และคล้ายกับจะบอกว่าถ้าจะประกอบภารกิจอะไรต่อไป ควรเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น

กระผมได้ปีนขึ้นไปจะซ่อมฝ้าเพดาน ซึ่งแตกหลุดร่วงลงมาจนเป็นช่องโหว่ นกพิราบเข้าไปอยู่อาศัยในหลังคาทางช่องนี้ ขี้รดพื้นล่างสกปรกเลอะเทอะ ทั้งยังส่ง เสียงดังรบกวน ทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ จึงใช้บันไดอะลูมิเนียมตั้งบนโต๊ะไม้เก่าๆ ๒ ตัวซ้อนกัน แล้วใช้แผงเหล็กผูกต่อกันให้สูงขึ้นอีก ทำเป็นนั่งร้าน เพื่อจะยืนให้ถึงช่องโหว่ที่จะซ่อม ซึ่งสูงจากพื้นขึ้นไปประมาณ ๔ เมตรเศษ ครั้นเอื้อมมือขึ้นก็ยังไม่ถึงจุดที่จะซ่อมปิดช่องโหว่นั้น จึงเขย่งเท้าให้สูงขึ้น บันไดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเก่ามากและไม่แข็งแรง โยกเยกเสียหลัก บันไดจึงล้มลง แผงเหล็กนั่งร้านที่เหยียบอยู่หล่นตาม จึงทำให้กระผมหล่นลงมากระแทกพื้นคอนกรีตอย่างแรง สลบไปในทันที

ลูกชายเป็นผู้คอยส่งของและดูแลอยู่ด้านล่างตกใจมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร บังเอิญมีชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงได้มาช่วยเหลือปฐมพยาบาลจนฟื้น แล้วช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านที่สุดในขณะนั้น เพื่อดูแลรักษาโดยด่วนที่สุด ได้มีการ X-ray คอ หน้าอก และเย็บแผลแตกที่ศีรษะ ซึ่งยาวประมาณ ๓ นิ้ว ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ในโรงพยาบาลแห่งนี้

หลังจากนั้นโรงพยาบาลนครธนได้ส่งรถฉุกเฉินมารับไปรักษาต่อที่นั่น กระดูกคอส่วนล่างหัก ๒ ข้อ กระดูกไหปลาร้าด้านขวาหัก ๑ แห่ง กระดูกซี่โครงแถบขวาหัก ๕ ซี่ แถบซ้ายหักอีก ๓ ซี่ มีแผลที่สะโพก ที่เข่า และที่เท้าอีกแห่งละ ๑ แผล สังเกตดูสภาพ ร่างกายของตัวเองเห็นว่าเป็นรอยฟกช้ำบวมเขียวคล้ำซีกขวาตลอดถึงเท้า แพทย์จึงให้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลโดยไม่มีกำหนด

ขณะที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น กระผมตั้งจิตอธิษฐานและสวดมนต์บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา ชินบัญชร แล้วแผ่เมตตาแผ่ส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ขออโหสิกรรมหลังเจริญภาวนาทุกครั้ง พร้อมทั้งกำหนดรู้จากอิริยาบถต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเมื่อย-เจ็บ-ปวด-ยืน-เดิน-นั่ง เท่าที่ระลึกรู้ได้ จึงทำให้นอนหลับสบาย ไม่รู้สึกเจ็บปวดทุรนทุราย อาการเจ็บไข้ทุเลาเบาบางลงเร็วราวปาฏิหาริย์

อยู่ในโรงพยาบาลได้เพียง ๗ วัน อาการเจ็บป่วยทุเลาลงไปมาก เห็นว่าพอที่จะช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรส่วนตัวได้ เพราะรู้สึกเห็นใจลูกๆที่คอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเฝ้าดูแล ทั้งเห็นอกเห็นใจญาติผู้ใกล้ชิดที่วิตกกังวลห่วงใย เกรงใจเพื่อนๆที่อยู่ต่างจังหวัดห่างไกลที่รู้ข่าวได้เดินทางมาเยี่ยมเยียน จึงได้ขออนุญาตแพทย์เจ้าของไข้ออกไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านหลังเดิมที่เกิดอุบัติเหตุนั่นเอง
แม้จะฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับผู้สูงวัยอายุ ๖๕ คนในวัยนี้ก็ไม่น่าที่จะมีชีวิตรอดปลอดภัย สรีระร่างกายยังเป็นปกติเหมือนเดิมในระยะเวลาสั้นเกินความคาดหมาย เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุแห่งกรรมของเราทั้งจากอดีตและปัจจุบัน ว่าเราได้กระทำอะไรไว้อย่างไร ดีหรือไม่ดี บุญหรือบาปของเราเป็นไปตามกรรมที่เราได้สร้างไว้ ตั้งแต่อดีตกาลจนกระทั่งปัจจุบันกาล โดยไม่สามารถจะหลีกเว้นกรรมที่เรากระทำไว้นั้นได้





 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:10:00 น.  

 

--การปฏิบัติธรรมถวายพระบิดาแห่งฝนหลวง


ข้าพเจ้าและสามีปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันมาได้ระยะหนึ่ง ก็เห็นร่วมกันว่า “พวกเราได้ทำงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานาน น่าจะมีการทำกิจกรรมเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน” จึงเลือกจัดโครงการนำเพื่อนร่วมงานไปปฏิบัติกรรมฐาน ประกอบกับ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเชิดชูพระเกียรติพระองค์ท่านในฐานะทรงเป็นพระบิดาแห่งฝนหลวง และให้ทุกวันที่ ๑๔ พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันพระบิดาแห่งฝนหลวง

ข้าพเจ้าจึงได้มีหนังสือกราบเรียนหลวงพ่อจรัญ ซึ่งหลวงพ่อได้เมตตาแนะนำให้ไปติดต่อที่วัด ดูวันเวลาที่ว่างที่สามารถเข้าอบรมได้ และแนะนำว่าถ้าจะให้ได้ผลควรเข้ากรรมฐานอย่างน้อย ๕ วัน หรือ ๗ วันก็ดี

คนสมัครมาปฏิบัติธรรมนั้นก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบข้าพเจ้า แต่เขามีศรัทธาในพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทำให้โครงการเริ่มไปได้ด้วยดี จากจำนวน ๒๕ คนในครั้งที่ ๑ เพิ่มเป็น ๔๙ คนในครั้งที่ ๔ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในครั้งต่อๆไป หลายคนมีประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม บางอย่าง บางคนหายจากโรคภัยไข้เจ็บ จากที่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคกระเพาะและภูมิแพ้ ต้องกินยาประจำ บางคน ลูกมีปัญหาจากการกลั่นแกล้งของคนร่วมงาน ก็สามารถแก้ปัญหาได้ และกลับได้รับการสนับสนุนในหน้าที่การงานดีขึ้น บางคนเพิ่งแต่งงาน อธิษฐานขอมีบุตรก็ได้บุตรสมใจ (กรณีนี้ขณะหลับตาทำสมาธิ ผู้ปฏิบัติฯเห็นคน ๒ คน อุ้มเด็กเดินผ่านหน้าไป) บางคนมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้เรียนจบ-ได้งานใหม่ที่ตนเองชอบ แต่คนที่จะได้ผลนั้นเมื่อกลับไปบ้านจะต้องสวดมนต์ทำกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับครอบครัวข้าพเจ้า หลวงพ่อเคยชี้สามีข้าพเจ้าและบอกว่า...คนข้างหลังนั่นจะได้เป็น ผ.อ. ก็ได้เป็นตามนั้น ช่วงนั้นเราทั้งสองคนมักไปปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ

ในปีที่ผ่านมามีวิกฤติศรัทธาจากเพื่อนร่วมงาน สามีเป็นคนขยันทำงาน เกิดเรื่องที่ถูกใส่ร้ายด้วยเหตุผลหลายประการ ก็ได้ไปกราบหลวงพ่อที่ศาลา ร.๕ ในวันลอยกระทง ท่านได้เมตตาเทศน์ให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องคนที่ไม่ได้ทำผิดแต่ต้องรับเคราะห์ ให้ทำกรรมฐานจะช่วยได้
ข้าพเจ้าและสามีได้พาเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติธรรมอีกครั้ง หลวงพ่อท่านได้เทศน์ว่า “เขาร้ายมาอย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมาเอาความดีไปแก้ไข” ซึ่งคตินี้ข้าพเจ้าและสามีได้นำไปปฏิบัติเสมอมา ซึ่งเรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมาก แต่ด้วยอำนาจคุณความดีที่ได้สวดมนต์เจริญจิตภาวนามาตลอด และการนำคนเข้าปฏิบัติธรรม ก็มีผลทำให้มีสติตั้งมั่น ยอมรับผลกรรม แต่หลายอย่างเรื่องร้ายกลับกลายเป็นเรื่องดี บางอย่างกลับกลายเป็นได้ทำกุศลปกป้องชีวิตเพื่อนร่วมงาน

การพาคนเข้าปฏิบัติกรรมฐานถวายพระบิดาแห่งฝนหลวงนี้ เท่ากับข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่เหล่านี้ คือ

เป็นผู้กตัญญูต่อพระบิดาแห่งฝนหลวงที่ท่านมีพระราชดำริให้เกิดโครงการนี้ จนทำให้ข้าพเจ้ามีอาชีพเลี้ยงตัวและครอบครัวจนถึงปัจจุบัน
เป็นผู้กตัญญูต่อหน่วยงานและเพื่อนร่วมงาน
ได้ทำหน้าที่ลูกศิษย์หลวงพ่อ เดินตามรอยท่าน เมื่อเห็นสิ่งดีแล้วต้องการให้ผู้อื่นได้รู้ได้รับสิ่งที่ดีนั้นๆ ด้วย
ทำหน้าที่ชาวพุทธ ส่งเสริมให้ปฏิบัติตัวเป็นชาวพุทธที่ถูกต้อง
สร้างสมความดีและบุญกุศลให้ ตัวเอง ให้ครอบครัว ให้หน่วยงาน





--ของดีจากหลวงพ่อ



ดิฉันได้เคยเล่าไว้ในหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๘ ว่ามีปัญหาลูกชายติดยาบ้า จนดิฉันได้มาเจอกับสิ่งวิเศษคือพระกรรมฐาน อีกทั้งความเมตตาของหลวงพ่อจรัญ จึงทำให้ลูกชายที่ติดยาบ้านั้นพ้นจากวงจรของยาบ้าได้ ปัจจุบันลูกชายคนนี้เป็นทหารเกณฑ์รับใช้ชาติที่จังหวัดยะลา

ชีวิตช่วงที่ผ่านมา ดิฉันพบมรสุมถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย ไม่มีรอยยิ้มที่แสดงถึงความสุขเลยแม้แต่น้อย หากวันนั้นไม่ได้เรียนรู้นำกรรมฐานมาปฏิบัติ ชีวิตดิฉันก็ต้องตกอยู่ในมรสุมนั้นต่อไป

หลังจากที่ดิฉันปฏิบัติมา ๓ ปีเต็ม สามีที่หย่าร้างกันไปก็กลับมาขอคืนดี ดิฉันพาสามีไปวัดอัมพวันให้ทำ กรรมฐาน และเมื่อกลับมาก็ให้สวดมนต์ด้วย จนสามีดิฉันเริ่มมีความ เข้าใจ เรื่องกุศลผลบุญ เขาปรับปรุงตัวเอง พยายามดูแลครอบครัว ห่วงใยลูก สร้างฐานะกันตามสภาพ เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนคนรอบข้างที่เคยเห็นดิฉันและสามีทะเลาะกันแทบทุกวัน ก็แปลกใจ คิดว่าใครคนหนึ่งคนใดต้องทำของ (คงจะเรียกว่ามหาเสน่ห์) เมื่อดิฉันและสามีรู้เข้าก็รู้สึกขัน ก็เลยเออออกับเขาเหล่านั้นว่า “โดนของจริง” หากแต่ของที่ดิฉันและสามีโดนนั้น คือการได้สวดมนต์และการปฏิบัติกรรมฐาน จึงทำให้เรารู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัย ตักเตือนซึ่งกันและกัน เราเดินทางในทางเดียวกัน คือเรามีธรรมะนำหน้าในการดำเนินชีวิต

เมื่อก่อนนี้ตั้งแต่แต่งงานจนมีลูกโต ดิฉันไม่เคยมีความสุขเลย แต่วันนี้ถ้าชีวิตจะสะดุดบ้าง ก็ไม่ทำให้ดิฉันท้อถอย เพราะดิฉันมี “ของดี” สิ่งนี้คือ “สติ” ละความโกรธ ละกิเลส ละความชั่ว ไม่ยึดติดในลาภยศ คำเยินยอ ชีวิตก็มีสุขได้



--ข้าพเจ้าผู้มืดบอด



แรงบันดาลใจ

ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย มีเวลาว่างชอบอ่านหนังสือธรรมะทั่วไป อ่านประวัติพระสงฆ์สายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต มีโอกาสก็จะไปกราบและทำบุญกับพระสงฆ์สายปฏิบัติ เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุยส์ เป็นต้น โดยเฉพาะชอบประวัติของหลวงปู่มั่น ซึ่งรวบรวมผ่านการบอกเล่าโดยหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน แห่งวัดป่าบ้านตาด รู้สึกชอบในปฏิปทา ของหลวงปู่มั่นมาก ทำให้นึกอยากบวชสักครั้งในชีวิต ให้สมกับนับถือศาสนาพุทธ เพื่อเรียนรู้พระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝึกจิตให้สงบ จะได้มีหลักยึดของชีวิตต่อไป

เมื่ออายุ ๒๕ ปีครบเบญจเพส ตอนนั้นอยากเปลี่ยนงานอยู่พอดี จึงลาออกจากงานและได้อุปสมบทที่บ้านเกิดจังหวัดปราจีนบุรี อยู่ที่นั่น ๑๐ วัน จากนั้นขออนุญาต เจ้าอาวาสไปฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่นั่นเป็นเวลาเกือบ ๓ เดือน จึงได้ลาสิกขาบท ช่วงที่บวชได้รับความรู้ทางธรรม มีความสงบใจดี ได้รับประสบการณ์แปลกๆอยู่เสมอ มีโอกาสเดินทางไปกราบนมัสการพระปฏิบัติในสายหลวงปู่มั่น คือ หลวงปู่สิม ที่วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ด้วย

วันหนึ่งได้ไปนั่งสมาธิในโบสถ์เป็นเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เมื่อออกจากสมาธิภาวนาแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า ขออานิสงส์แห่งการบวชและตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของข้าพเจ้านี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าอย่าได้ตกไปอยู่ในความเสื่อมหรือในทางชั่ว ขอให้มีจิตคิดสร้างแต่บุญกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไปด้วยเถิด

ผมมีโรคประจำตัว คือโรคภูมิแพ้ เมื่ออากาศเปลี่ยนโดยเฉพาะอากาศเย็นจะเป็นหวัด แน่นจมูก ทำให้อยู่ในห้องแอร์ไม่ค่อยได้ แพ้พวกไรฝุ่น เกสรดอกไม้ อาหารบางชนิด และเป็นโรคหอบหืด (ที่จริงต้องเรียกว่าโรคหืด เวลาหืดจับทำให้หอบเหนื่อย หายใจไม่สะดวก)

ได้รู้จักวัดอัมพวัน เริ่มปฏิบัติธรรม
ก่อนที่จะได้รู้จักหลวงพ่อจรัญ เพื่อนหญิงผมรับหนังสือขวัญเรือนประจำ ผมอ่านพบเรื่องสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม พออ่านแล้วรู้สึกชอบ นามปากกาของ ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม ในเรื่องพูดถึงกรรม ผลของกรรม การฝึกสติ อ่านแล้วให้ข้อคิดดีมาก ชอบวิธีสอนธรรมะของหลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง ตัวละครที่อยู่ในนิยาย ผมบอกกับแฟนว่า “ถ้าหลวงพ่อเจริญมีตัวตนอยู่จริง อยากไปกราบท่านและร่วมทำบุญกับท่าน” หลังจากจบเรื่องมีการเฉลยว่าหลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง คือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ผมปีติยินดีเป็นที่สุด

ผมก็หาโอกาสไปทำบุญและไปเข้ากรรมฐานอยู่เป็นระยะๆ
ผู้ที่ไปเข้ากรรมฐานแล้วพบกฎแห่งกรรมของตน ได้เขียนเล่าลงในหนังสือกฎแห่งกรรมของวัดอัมพวัน บางคนมาครั้งแรกก็มีเรื่องเล่าแล้ว นึกน้อยใจอยู่เหมือนกัน ว่าเราก็รู้จักวัดอัมพวันตั้งนานแล้ว (ถ้าปัจจุบันร่วม ๑๕ ปีเต็ม) จากที่มีหนังสือไม่กี่เล่ม(๕-๖ เล่ม) ปัจจุบันเป็น ๒๐ เล่มแล้ว ยังไม่มีโอกาสเขียนกฎแห่งกรรมของตัวเองมาลงกับเขาเลย การปฏิบัติของเราอาจจะยังเข้มข้นไม่พอ จึงไม่เห็นกฎแห่งกรรมของตัวเอง

ครั้งหนึ่งที่เข้ากรรมฐาน จำได้ว่านั่งนานมากจนปวดขาไปหมด เป็นเหน็บปวดมากจะทนไม่ไหวแล้ว (กำหนดปวดหนอก็ไม่หาย ยิ่งปวดมากขึ้น) ก่อนจะหมดชั่วโมงนั้นรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่หลังเท้าอย่างมาก เหมือนใครเอาไฟมาลนที่หลังเท้า ทั้งร้อนทั้งแสบ ปวดจะทนไม่ไหวเกือบจะลืมตาและขยับขาแล้ว นั่งตัวเกร็งสั่นไปหมด พี่เลี้ยงที่คอยดูผู้เข้ากรรมฐานคงเห็นอาการ เข้ามากระซิบบอกให้ทนอีกนิดนึงใกล้จะหมดเวลาแล้ว ยังไม่หมดเวลาก็จะลืมตาและขยับตัว เพราะทนไม่ไหวจริงๆ เสียงนาฬิกาเตือนหมดเวลาดังขึ้น ผมโล่งอก ค่อยลืมตาขยับขาที่ปวดอยู่มาก เหงื่อชุ่มตัวเลย เสื้อผ้าขาวที่ใส่เปียกหมด จากนั้นจึงแผ่เมตตาและแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร นึกว่ากรรมฐานจะรั่วเสียแล้ว รอดมาได้อย่างหวุดหวิด

หลังจากออกกรรมฐานช่วงนั้น ผมไม่ได้สังเกตเท้าของผม แต่เมื่ออาบน้ำตอนเย็น ผมมองดูที่หลังเท้าพบเป็นจุดแดงเป็นจ้ำๆ ๒-๓ จุด จู่ๆผมก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง ซึ่งผมไม่คิดว่าจะจำได้ ในสมัยเด็กผมเคยจับปลิงควายมายืดเล่น โดยใช้ไม้เสียบลูกชิ้นขึงไว้ที่หัวและหาง ปักลงไปพื้นดิน จากนั้นเอาก้นบุหรี่ที่มียาเส้นมาโรยใส่ตัวปลิงแล้วยังปัสสาวะใส่มัน มันคงปวดแสบปวดร้อน ทรมานทุรนทุรายมากก่อนมันจะตาย ผมนึกไม่ถึงจริงๆว่าบาปกรรมที่ทำกับสัตว์เล็กๆ จะส่งผลให้เจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้ นับประสาอะไรถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ เราต้องรับวิบากกรรมมากเพียงใด คิดแล้วน่ากลัวที่สุด เหตุการณ์นี้ผมลืมไปหมดแล้ว ไม่นึกว่าความทรงจำนี้จะผุดขึ้นมาได้

หลังจากนั้นผมแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้าปลิงควายตัวนั้นอีกครั้ง ขออโหสิกรรมที่ทำไว้โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าได้จองเวรกรรมกันอีกต่อไป

อาการประหลาดที่แสนจะทรมาน
ช่วงแรกๆที่ไปปฏิบัติธรรม ร่างกายยังแข็งแรงพอสมควร การปฏิบัติกรรมฐานระยะ ๓-๔ ปีแรก รู้สึกว่าดี มีสติในชีวิตประจำวันมากขึ้น ช่วงนั้นหลวงพ่อยังไม่อาพาธมาก ยังเทศน์ได้เสียงใส บางครั้งหลวงพ่อเทศน์ชวนหัวเราะแฝงไปด้วยคติธรรมเสมอ

ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๖ ผมมีอาการหอบหืดมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากงานที่มักพบแต่เรื่องเครียดอยู่ตลอด ระยะหลังผมมีอาการแปลก คือ กระสับกระส่าย หงุดหงิด คอแข็งกลืนน้ำลายยากเหมือนคนหายใจลำบาก หน้าท้องเกร็งแข็ง ใจสั่น มือซีดขาว เหงื่อออก ปวดปัสสาวะบ่อย แต่ปัสสาวะไม่ค่อยออก จะรู้สึกทรมานมากเหมือนคนหายใจไม่ได้ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกทรมานขนาดไหน ถ้าเวลานั้นแลกได้กับการตัดแขนตัดขาทิ้งแล้วให้หายจากอาการนี้จะยอมแลกทันที มักเป็นช่วงเวลากลางคืน ผมอยู่ในที่แคบๆไม่ได้ อยู่ห้องแอร์ไม่ได้ เหมือนเป็นโรคอุปาทานทางด้านอารมณ์ผสมอาการทางร่างกายที่ผิดปกติ เป็นแล้วทรมานมาก หลายครั้งคิดอยากฆ่าตัวตายหนีความทรมานนี้

ครั้งหนึ่งได้กราบนมัสการขอเมตตาจากหลวงพ่อจรัญ ท่านให้สูตรยาสมุนไพรแก้หอบหืด คือใช้ต้นตำแยแมวเอามาทั้งต้นทั้งราก ล้างน้ำให้สะอาด เอามาโขลกตำในครก พร้อมน้ำซาวข้าว แล้วกรองเอาแต่น้ำมาดื่มรับประทานช่วยบรรเทาอาการโรคหอบหืดได้ ผมก็ดื่มอยู่พักใหญ่ อาการทุเลาลงบ้าง ส่วนอาการที่เป็น หลวงพ่อบอกว่ามันเป็น “กรรม” ให้หมั่นทำกรรมฐาน ผมได้พยายามทำเป็นประจำและแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร

ผมต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย มีวันหนึ่งไปทำงานที่จังหวัดภูเก็ต เดินทางโดยเครื่องบินเป็นไฟลท์กลางคืน ประมาณทุ่มเศษ กำหนดถึงประมาณเกือบ ๓ ทุ่ม ใช้เวลาบินประมาณชั่วโมงกว่า ระหว่างรอเครื่องออกอยู่บนเครื่องที่ดอนเมือง แอร์คอนดิชั่นบนเครื่องเสีย ๑ ตัว ทำให้ไม่ค่อยมีอากาศ อากาศร้อนและรู้สึกอึดอัดมาก คนบนเครื่องหาอะไรที่พอจะพัดได้ขึ้นมาโบกพัดกันใหญ่ ใจผมหวั่นว่าจะเกิดอาการ สักพักก็เป็นจริง เริ่มใจสั่น มือซีดขาว เหงื่อตก คอแข็งกลืนน้ำลายยาก เริ่มหายใจไม่สะดวก นั่งอยู่กับที่ไม่ได้ ผมนั่งตอนท้ายเครื่องเนื่องจากที่ค่อนข้างว่าง จนมีแอร์โฮสเตสผ่านมา ผมบอกว่าผมต้องการออกซิเจน

แอร์โฮสเตสเห็นอาการแล้วรีบหาถังออกซิเจนพร้อมหน้ากากมาให้ผมสูดหายใจอยู่พักใหญ่ ช่วงนั้นมีสจ๊วตมายืนดูอยู่หลายคน อาการผมแย่มาก ระหว่างสูดออกซิเจนอยู่นั้น ผมอธิษฐานจิตว่าถ้ารอดชีวิตกลับไป ผมจะไปเข้ากรรมฐานอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเป็นเวลา ๗ วัน หลังจากที่อาการค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว แอร์โฮสเตสนำน้ำอุ่นมาให้ดื่มและหาลูกอมให้อม เมื่อซ่อมแอร์เสร็จก็ทำการบินไปภูเก็ต ไปถึงภูเก็ตประมาณ ๔ ทุ่มกว่า เลยเวลากำหนดไปประมาณ ๑ ชั่วโมง

หลังกลับจากภูเก็ตไม่นาน ผมจึงลาพักร้อนเพื่อไปเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๗ วัน ตามที่ตั้งสัจจะไว้ ไม่ลืมอุทิศผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ตั้งแต่นั้นมาอาการยังเป็นๆ หายๆ มาตลอด

ขณะจะเข้ากรรมฐานหลายครั้งมีอาการเกิดขึ้นมา ผมยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายภายในวัด และขอบารมีขอเมตตาจากหลวงพ่อจรัญ ขอให้อาการหายไปก่อนเข้ากรรมฐาน มิฉะนั้นจะไม่ได้สร้างบุญกัน สักพักอาการค่อยๆทุเลาลง ทันเวลาชั่วโมงเข้ากรรมฐานได้อย่างหวุดหวิด เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นวันละ ๑-๒ ครั้ง ในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนมีอาการอยู่เกือบทุกคืน ต้องชงยาหอมบำรุงหัวใจดื่มทุกคืน ขณะที่คนอื่นๆนอนกันหมด มีผมคนเดียวที่ยังไม่นอนและนอนไม่ได้ ต้องออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงนอกห้อง ใช้ยาหม่องนวดคอ สูดดมและชงยาหอมดื่ม ทานยาแก้หวัด กว่าอาการจะหาย ผมจะนอนได้ประมาณตีสองตีสามทุกคืน ผมทรมานมากไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำตาไหลทุกคืนเช่นกัน ได้นอนคืนละชั่วโมงสองชั่วโมง

เมื่อกลับมาจากวัดครั้งนั้น ผมเริ่มปฏิบัติกรรมฐานถี่ขึ้นโดยทำอยู่ที่บ้านทุกคืน ผมจะสวดมนต์ก่อน สวดเสร็จเริ่มเดินจงกรม หลังจากนั้นจะนั่งสมาธิ เมื่อออกจากสมาธิก็แผ่เมตตาและแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง

ผมพยายามพากเพียรทำกรรมฐาน และหมั่นสร้างบุญกุศลต่างๆ อาการประหลาดนั้นเริ่มจางไป นานๆจะเป็นที พอนึกขึ้นได้จะรีบหยุดคิดเรื่องอาการ พยายามเปลี่ยนอิริยาบถจากที่นั้นทันที เช่น ลุกเดินไปที่อื่น ทายาหม่องนวดหรือรีบรับประทานยาหอม หาเพื่อนคุย ไม่อยู่คนเดียว ซึ่งก็ช่วยได้มากทีเดียว

ทาน ศีล ภาวนา ทางแห่งบุญกุศล
หลังจากตั้งจิตอธิษฐานสร้างความดีประกอบบุญกุศล พยายามลด ละ เลิก สิ่งที่เป็นอกุศลกรรมทั้งปวง หมั่นสวดมนต์ทำกรรมฐานทุกวัน อุทิศบุญกุศลให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณทั้งหลาย เทวดา เปรต เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งปวง อาการของผมดีขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งยังมีอยู่บ้างแต่รู้สึกว่าทนได้

ผมยึดหลักการสร้างกุศล ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา หลวงพ่อจรัญกล่าวไว้ว่า มีทานเหมือนเดินทางโดยเรือไปทางน้ำ ถึงจุดหมายช้าหน่อย แต่ยังดีกว่าไม่สร้างบุญกุศลใดๆเลย คนไทยเราชาวพุทธมักจะสร้างบุญจากทานกันเป็นส่วนมาก เช่น ตักบาตร ถวายสังฆทาน ผ้าป่า กฐิน ให้ของ ให้เงิน ช่วยเหลือสงเคราะห์ต่างๆต่อผู้คนทั่วไป หรือผู้ประสบภัยพิบัติ หรือพระสงฆ์ เป็นต้น

ถ้ามีทานและศีลเปรียบเหมือนเดินทางโดยรถยนต์ไปทางบก จะเร็วกว่าทางน้ำมาก เพราะศีลเป็นบุญอีกขั้นหนึ่ง ยากขึ้นมาอีกหน่อย เพราะต้องอาศัยการฝึกฝนฝืนใจตนเอง ยิ่งปฏิบัติตามข้อห้ามของศีลห้าได้ทุกข้อ และละเอียดประณีตได้มากเท่าไหร่ ความสมบูรณ์บุญกุศลก็จะทวีมากขึ้น ถ้าทุกคนปฏิบัติและยึดมั่นในศีลห้า ประเทศชาติจะสงบร่มเย็น มีแต่สันติภาพ มีแต่ความเอื้ออาทร น้ำใจไมตรี ไม่มีขโมยโจรและไม่มีสงคราม

มีครบทั้งทาน ศีล และภาวนา หลวงพ่อบอกว่าเปรียบเหมือนเดินทางโดยเครื่องบิน ไปทางอากาศถึงจุดหมายเร็วกว่าทางบก ทางน้ำ เพราะภาวนาเป็นการฝึกฝนทางจิตใจ ให้มีความสงบระงับจากกิเลสทั้งปวง โดยมีทานและศีลเป็นฐานช่วยส่งเสริมภาวนาให้สำเร็จโดยไม่ยากเย็นนัก หากจะมุ่งแต่ภาวนาโดยไม่มีทานและศีลเป็นฐาน ย่อมไม่สามารถฝึกฝนการภาวนาให้บรรลุผลได้ ดูแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากนัก ต้องฝึก
เป้าหมายของชีวิตและแนวทางปฏิบัติที่จะไปถึงเป้าหมาย
เรารู้ชัดแล้วว่าการปล่อยชีวิตไปตามกระแสโลกที่มุ่งแต่เรื่องวัตถุนิยม ไม่มองย้อนเข้ามาดูตัวตนของเราอย่างจริงจัง มีแต่เรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์ อย่างที่หลวงพ่อกล่าวไว้ “จิตที่ปล่อยไปตามกิเลสจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ฉะนั้นการฝืนใจยกระดับจิตให้สูงขึ้น ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยความพากเพียรอย่างมีสติสัมปชัญญะนั้น ย่อมจะพาตัวเราให้ล่วงออกจากทุกข์ แก้ปัญหาของชีวิตได้” เราควรมาเริ่มที่สติปัฏฐานสี่ ฝึกสติให้รู้เท่าทันกิเลสที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ โดยไม่ปรุงแต่ง



--คำอธิษฐานของบุษบา


หลายคนที่เคยไปวัดอัมพวัน และได้ไปปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ว่าจะ คงคุ้นเคยกับคำพูดของหลวงพ่อจรัญที่ว่า “ให้ตั้งใจปฏิบัติ ตายเป็นตาย อย่าเสียสัจจะ แล้วจะได้เห็นของจริง ได้ของดีกลับไป”

ดิฉันได้พบและสัมผัสเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยตนเอง และก็เป็นจริงอย่างที่หลวงพ่อพูดทุกคำ ตอนแรกดิฉันไม่เข้าใจอะไรเลย ศิษย์พี่สอนให้เดินจงกรมก็เดิน บอกให้นั่งก็นั่ง ถามอะไรที่สงสัยก็ไม่ยอมตอบ บอกแต่ว่าเดี๋ยวก็รู้เอง ศิษย์พี่บอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญหรือเปล่า ถ้าเป็นไม่ต้องถาม ปฏิบัติไปอย่างเดียว

โดยเริ่มจากเดือนแรก เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง เดือนที่สอง เดิน ๒ ชั่วโมง นั่ง ๒ ชั่วโมง เดือนที่สาม เดิน ๓ ชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมง ทนเจ็บปวดอย่างมาก ในใจเคยถามตัวเองเสมอว่า “เอ๊ะ ตัวเราทำไมต้องมานั่งทนให้มันเจ็บๆ ปวดๆ แบบนี้ทำไม ไม่เห็นได้อะไรเลย ดูจะเป็นการเสียเวลาไปเปล่า” แต่ก็ไม่กล้าถาม ได้แต่อดทนรอดูผลต่อไปจนครบตามเวลาที่ตั้งใจปฏิบัติทุกครั้ง ไม่เคยเลิกกลางคัน

ตอนเดินจงกรม ๓ ชั่วโมง หัวไหล่ปวดเหมือนจะหลุด แขนชามากจนไม่รู้สึก จนมาถึงนั่ง ๓ ชั่วโมง ปวดขามาก กระดูกเชิงกรานแทบจะหัก กระดูกข้อเท้าแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ นั่งปวดจนน้ำตาไหลเป็นเผาเต่า
ระหว่างนั่งเกิดอาการท้อมากจนอยากจะเลิก อยากเอาขาลงนั่งแบบไม่ปวด แต่เหมือนหูจะได้ยินเสียงหลวงพ่อเตือนมาเสมอว่า “อย่าเสียสัจจะ อีกนิดเดียว อดทน ตายเป็นตาย อย่าเสียสัจจะที่ตั้งใจไว้” อดทนต่อไปก็ปรากฏว่าความเจ็บปวดมันหายไป (มันคงปวดจนถึงขีดสุดแล้ว คงไม่มีปวดมากไปกว่านี้แล้ว) ทำให้ไม่รู้สึกปวด ตอนนั้นนึกถึงที่หลวงพ่อพูดว่าแล้วจะได้พบของจริงหากเราอดทน
เวลาผ่านไปชีวิตทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งการงานและครอบครัว ทุกอย่างกลับมาหาเราเหมือนความฝัน เหมือนที่เราตั้งจิตอธิษฐานไว้ ตอนที่ดิฉันได้ทุกอย่างกลับมาภายในเวลาเพียงปีเดียว ทุกคนรอบข้างประหลาดใจมาก รวมทั้งตัวดิฉันเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ความไม่เข้าใจก็ยังมีอยู่ว่า จนเมื่อดิฉันได้ฟัง CD บรรยายธรรมของท่านอาจารย์ผู้หนึ่ง ท่านบรรยายเรื่อง “ปรมัตถ์อธิษฐาน” ซึ่งเป็นการอธิษฐานขั้นสูงสุด โดยเอาชีวิต เลือดเนื้อ และจิตใจ ทุกอย่างเท่าที่เรามีทั้งหมด ทุ่มเทใจไปตรงนั้นถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งมีอานิสงส์มากมาย แรงและเร็ว

หากคนคนหนึ่งสามารถมอบกายถวายชีวิตเป็นพุทธบูชาแล้ว จะมีของสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าชีวิตเขาอีกหรือ นั่นหมายถึงทานสูงสุดเท่าที่มีในชีวิตนี้แล้ว พอดิฉันฟังบรรยายตรงนี้ทำให้นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อจรัญ ที่ท่านพร่ำสอนเสมอว่า “ตายเป็นตาย อย่าเสียสัจจะ” เพราะกายตรง จิตตรง คิดอะไรทำอะไรก็เป็นเช่นนั้น นี่คือคุณสมบัติของนักปฏิบัติ แล้วสัจจะมันจะเกิด พูดอะไรก็มีคนฟังมีคนเชื่อถือ

จึงรู้เลยว่าหลวงพ่อจรัญท่านแอบสอน “ปรมัตต์อธิษฐาน” ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดให้กับพวกเรา
บางครั้งจะนำชิ้นงานของเล่นชนิดต่างๆ แล้วแต่โครงการที่กำลังริเริ่มทำ มาให้หลวงพ่อแผ่เมตตา เพราะดิฉันรักเคารพและศรัทธาหลวงพ่อจรัญมากที่สุด

หลายต่อหลายครั้งที่มีปัญหาและอุปสรรคจากเรื่องงานที่ทำ เช่นผลิตได้ไม่ทันที่ลูกค้าต้องการ ทุกปัญหาถูกแก้ไขได้อย่างอัศจรรย์ ยอดขายสินค้าวิ่งชนิดถล่มทลาย ไม่เคยมีในประวัติการขายของลูกค้ามาก่อน ได้รับคำสั่งซื้อซ้ำ บางงานสูงถึง ๗ ครั้ง และ ๙ ครั้ง ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน จนลูกค้าเองก็แปลกใจ ถามดิฉันเสมอว่า “บุษเธอพกพระอะไรมา” ดิฉันก็ตอบว่า “พกพระหลวงพ่อจรัญ สิงห์บุรีมาค่ะ”

ดิฉันนำธรรมะมาใช้ในการค้าขายและทำให้ดีที่สุด ดังที่หลวงพ่อสอน หลวงพ่อสอนของจริง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าท่านสอนอะไร หนทางที่ท่านสอนเป็นทางสายตรง ไม่อ้อม ไม่เสียเวลา ท่านไม่สอนให้พวกเราหลงผิด หลงติดกับอะไรบางสิ่ง ซึ่งท่านเองก็เคยพูดเสมอว่า หากติดหลงแล้วถอนยาก ตัวหลง เป็นตัวยากที่สุด ในคำว่ากิเลสของมนุษย์ ความหลงนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ดิฉันพบเห็นในผู้คนมากมายที่มาวัด เช่น หลงทาน หลงว่ามาปฏิบัติ (แต่พฤติกรรมมิได้ลด ละ หรืองดสิ่งที่ไม่ควร เช่น การนินทาว่าร้าย อิจฉาริษยา เบียดเบียนผู้อื่น) สิ่งที่หลวงพ่อสอน ท่านปรารถนาให้เกิดสังคมกัลยาณมิตรขึ้น เป็นสังคมที่มีแต่การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จริงใจ ไม่เบียดเบียนกันให้เป็นทุกข์

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:10:34 น.  

 

--ชีวิตใหม่ที่หลวงพ่อให้


ได้รู้จักวัดอัมพวันและหลวงพ่อ โดยการชักชวนและแนะนำจากภรรยาของผมเอง

ก่อนหน้านี้ผมกับภรรยาหย่าร้างกัน เพราะผมเป็นคนเจ้าชู้ มั่วสุมกับอบายมุขต่างๆ คบเพื่อนมากกว่าอยู่กับครอบครัว จนชีวิตครอบครัวต้องแตกแยก

ในช่วงที่ผมยังไม่ได้พบกรรมฐาน ชีวิตเร่ร่อนไปตามกฎแห่งกรรมจริงๆ คือได้งานอะไรเป็นต้องออกจากงานทุกครั้ง ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไม่ทราบว่าเป็นด้วยสาเหตุใด จนเพื่อนตั้งฉายาว่า “แดงเก้าชีวิต” คือหาความแน่นอนในอาชีพไม่ได้ ช่วงที่ผมมีงานทำและตกงาน คนที่อุปถัมภ์ค้ำชูผมก็คือแม่ผมเอง แม่มีโรคประจำตัวอยู่ และเข้าออก โรงพยาบาลอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดผมเริ่มได้เดินสู่ความสว่างอีกครั้งหนึ่ง ผมได้พูดคุยกับภรรยา ก่อนหน้านี้เขาโกรธและเกลียดผมมาก ผมรู้ทีหลังว่าเขาได้ปฏิบัติกรรมฐาน เขาละความโกรธความอาฆาตลงไป พูดดีกับผม แนะนำให้ผมรู้จักสวดมนต์ และพูดคุยเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐาน

ผมเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองและครอบครัว ลูกยอมรับในตัวผม แม่ที่เคยเข้า-ออกโรงพยาบาลก็ไม่เข้าอีกเลย ผมแนะนำให้แม่สวดมนต์ด้วย การงานของผมก็ดีขึ้น ผู้ร่วมงานก็อุปถัมภ์ป้อนงานให้ทำตลอด นี่คือความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับผม ผมมีความศรัทธาในคำสั่งสอนของหลวงพ่อที่สอนให้มีศีล มีสัจจะ มีความเพียรพยายาม เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและไม่ประมาท

ต่อจากนี้ไปผมและภรรยาตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว ว่าจะไม่ทิ้งสมบัติที่วิเศษเป็นมงคลต่อชีวิตที่หลวงพ่อมอบให้ และจะรักษาไว้ตลอดไป



--ชีวิตดีได้ด้วยบุญกรรมฐาน


หลวงพ่อได้เมตตาเรียกให้ข้าพเจ้าและสามีปฏิบัติ กรรมฐาน ท่านบอกว่า “เรื่องผัวมีชู้เมียมีชู้ กรรมฐานเท่านั้นช่วยได้” ถ้าไม่ทำระวังประสาทมันจะกิน เราจะช่วยอะไรไม่ได้ ท่านถามข้าพเจ้าว่า “รอวาสนาหรือ” ข้าพเจ้าก็นึกตอบในใจ “รอสิเจ้าคะ” “มันไม่เกิดหรอกในสิ่งที่คิดไว้ ถ้าหากไม่ปฏิบัติกรรมฐาน จำไว้นะ ชีวิตจะดีได้ด้วยกรรมฐานเท่านั้น”

ทุกวันนี้ข้าพเจ้าคิดเสมอว่าจะทำอะไรต้องมีต้นทุนคือบุญด้วย ถ้าบุญเก่าไม่มี บุญใหม่ไม่เสริมให้ต่อเนื่อง บุญก็หมดได้ หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า มีวาสนา แต่ถ้าไม่มีบุญ วาสนามันก็ไม่เกิด

ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเกียจคร้านหรือไม่รู้จักทำมาหากิน ที่จริงทำมามากพอประมาณแล้ว ตื่นตี ๕ ก็เริ่มไปซื้ออุปกรณ์วัตถุดิบในการทำขนม กลับถึงบ้านก็ลงมือทำกับลูกน้อง กว่าจะเสร็จก็มืดค่ำ จากนั้นก็ต้องขับรถนำขนมที่ทำไปส่งขายตามสถานที่ต่างๆ กว่าจะได้นอนประมาณตี ๒ ตี ๓ บางวันมีเวลาพักผ่อนแค่ ๑-๒ ชั่วโมง คนเราจะสู้ชีวิตขยันทำมาหากินอย่างเดียวไม่ได้ บุญสำคัญ ต้องมีบุญด้วย ถ้าบุญเก่าไม่ส่ง บุญใหม่ไม่เสริมให้ถูกต้อง ทำให้ตายสู้ให้ตายก็ไปไม่รอด

ประมาณ ๗ ปีแล้วที่ข้าพเจ้าไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบัติกรรมฐาน วันพระก็จะไปทำบุญใส่บาตร ฟังธรรมบรรยายของหลวงพ่อ เย็นก็กลับบ้าน เมื่อก่อนโบสถ์จะเปิดทุกวัน ไปกราบหลวงพ่อรับพรที่กุฏิ เวลา ๑๐.๐๐ น. แล้วก็ไปปฏิบัติกรรมฐานในโบสถ์ ถึงเวลา ๑๔.๐๐ น. ก็ไปที่กุฏิ รับพรหลวงพ่อแล้วก็โมทนาบุญกับญาติธรรมที่ไปถวายสังฆทาน เวลา ๑๗.๐๐ น. ข้าพเจ้าก็จะเข้าไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นในโบสถ์ ข้าพเจ้าจะเข้าปฏิบัติกรรมฐานที่วัดเกือบทุกเดือน อย่างน้อย ๗ วัน

ช่วงเข้าพรรษาที่วัดอัมพวัน จะมีระยะเวลา ๔ เดือน หลวงพ่อท่านจะลงโบสถ์ สวดมนต์ทำวัตรทุกวัน ตอนเวลาตี ๒ - ตี ๓ ข้าพเจ้าและสามีจะขับรถจากบ้านจังหวัดสระบุรี ไปสวดมนต์ทำวัตรเช้า ฟังหลวงพ่อสอนพระในไตรมาสเป็นประจำ รุ่งเช้าก็จะนำอาหารไปใส่บาตรพระตอนเช้า ข้าพเจ้าจะเก็บเกี่ยวบุญทุกอย่าง บุญใดที่หลวงพ่อทำ ข้าพเจ้าจะไปร่วมโมทนาทุกครั้ง

มีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งได้นำพระที่เขาได้รับจากหลวงพ่อมาให้ข้าพเจ้าดู และเขาบอกข้าพเจ้าว่าให้อธิษฐาน อยากได้อะไรก็ให้ขอ รุ่งขึ้นเป็นวันพระ ข้าพเจ้าเข้ากรรมฐาน เวลาหลวงพ่อท่านให้พร ข้าพเจ้าก็สาธุ ขอให้รวยๆ ขอให้ขายที่ดินได้ พอหลวงพ่อท่านบรรยายธรรม ท่านได้พูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า “บุญไม่คิดสร้างให้ตัวเองเสียก่อน จะมาขอนั่นขอนี่ มันจะได้อย่างไร” ตั้งแต่วันนั้นมาข้าพเจ้าไม่เคยคิดขออะไรเลย ตั้งหน้าตั้งตาทำกรรมฐาน
หลวงพ่อท่านเมตตาเรียกข้าพเจ้าไปพบ ท่านให้คุณชำนาญหยิบกระเป๋ามา ๒ ใบ และบอกข้าพเจ้าว่าหลวงพ่อให้เอาไปใส่เงิน ข้าพเจ้าเกิดปีติดีใจมาก หลวงพ่อบอกว่าโชคดีนะ ข้าพเจ้ากราบบอก หลวงพ่อว่า “จะเป็นคนดี จะปฏิบัติตามหลวงพ่อสอน และจะตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน” หลวงพ่อบอกว่าจำไว้ “กรรมฐานดีที่สุด”

ประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปช่วยงานหลวงพ่อ เป็นระยะเวลาประมาณ ๑ เดือน คืนหนึ่งข้าพเจ้าฝันว่าหลวงพ่อไปบ้านข้าพเจ้า ผู้คนตามไปมากมาย หลวงพ่อไปถึงท่านก็พักผ่อน มีคนจะเข้าฟังธรรมจากหลวงพ่อมาก ขณะนั้นมีคนหนึ่งบอกว่าบ้านของข้าพเจ้ามืดมาก เปิดไฟไม่สว่าง จากนั้นหลวงพ่อท่านก็ลุกขึ้นจับหลอดไฟฟ้า ไฟก็สว่างขึ้นทันที

หลังจากนั้นประมาณ ๒ อาทิตย์ ได้มีคน โทรศัพท์ติดต่อขอซื้อที่ดิน ทำให้ทุกวันนี้ครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ต้องทุกข์กับหนี้สินต่างๆอีกต่อไป

จากอานิสงส์ที่ข้าพเจ้าสวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐาน ตามที่หลวงพ่อสอนอย่างต่อเนื่องและเป็นประจำ ทำให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้นและมีความสุขตลอดมา ทุกวันนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากเป็นแม่บ้านและแม่ที่ดีของลูก



--ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง


ได้รับการชักชวนจากเพื่อนกัลยาณมิตร ให้เขียนเรื่องประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อบางคนที่เริ่มปฏิบัติแล้วท้อหรือคิดว่าปฏิบัติแล้วไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น เมื่อได้อ่านเรื่องของข้าพเจ้าและตรงกับตัวเอง อาจจะมีกำลังใจมีจิตใจแน่วแน่ในการปฏิบัติ เพื่อให้สมกับที่ได้เกิดมาในพระพุทธศาสนา และเข้าถึงพระพุทธศาสนา มิใช่เป็นเพียงชาวพุทธในบัตรประชาชนเท่านั้น

เพียงแค่ฟังเขาบอกหรืออ่านหนังสือ ย่อมไม่รู้ว่าของดีที่ดีจริงๆเป็นอย่างไร แต่ต้องปฏิบัติบ่อยๆแล้วคอยสังเกตสิ่ง ที่เกิดขึ้น ถ้าเรามีกรรมน้อยย่อมเห็นผลของการปฏิบัติว่ามีอานิสงส์มาก

ก่อนเข้าเจริญวิปัสสนาข้าพเจ้าเป็นคนร่าเริง รักสวยรักงาม อ่อนไหว อารมณ์ร้อน ใครทำให้เจ็บหรือเสียใจต้องเอาคืน(เจ็บฝังใจ) พูดจาเสียงดัง ขี้บ่น มีแฟนก็รักจนหมดใจ อยากใช้ชีวิตคู่จนแก่เฒ่า เอาแต่ใจตนเอง ยึดมั่นถือมั่นว่าแฟนเราเป็นของเรา ขาดเขาไม่ได้ ไปไหนต้องไปด้วยกัน ถูกใจก็ชื่นชม ไม่ถูกใจก็ด่า เห็นแก่ตัวบ้างบางโอกาส ชอบทำบุญแต่ไม่ชอบทำทาน ชอบเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนๆ ดื่มสุราบ้าง สูบบุหรี่บ้าง ใช้ชีวิตแบบมีความสุขไปวันๆ เห็นมดอยู่ที่ห้องต้องหาแหล่งที่มาเพื่อทำลายรังมด เห็นยุงอยู่ที่ห้องต้องตบ แมลงกัดต้องฆ่าให้ตาย เพราะทำให้เจ็บให้คัน ไปไหนมีของแจกของกินฟรีต้องเอามามากๆ ไว้ก่อนกลัวหมด

เข้าปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนาครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็มิได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเมื่อปลายปี ๔๘ ข้าพเจ้าประสบปัญหาชีวิตเกี่ยวกับเรื่องแฟน เนื่องจากมีปากเสียงกันบ่อยและรุนแรงขึ้น เขาเป็นคนชอบดื่มสุรา ทำงานได้เงินมาก็มักจะหมดไปกับสุรา พูดง่ายๆคือ วงไม่เลิก ร้านไม่ปิด ไม่กลับ ถ้ายังสนุกอยู่ก็ต้องหาที่ดื่มต่อ หรือกลับมาดื่มที่ห้อง ดื่มแล้วก็ขับรถเร็วน่าหวาดเสียว เมื่อดื่มสุราก็สูบบุหรี่จัดตามมาด้วย โทรศัพท์ตามให้กลับก็โกหกว่ากำลังจะกลับ กลับมาก็มีปากเสียงกัน ขณะที่เขายังไม่กลับข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองเป็นคนอ่อนแอ อยู่คนเดียวไม่ได้ต้องรีบตามให้เขากลับมาอยู่กับเรา จนบางครั้งขาดสติ คิดจะฆ่าตัวตายเพราะความน้อยใจ แต่พอเขากลับมาเราก็เกรี้ยวกราดใส่ บ่นและด่า หลายครั้งที่ข้าพเจ้าน้อยใจและเคยลงมือฆ่าตัวตายทำลายชีวิตตนเองให้จบสิ้น จะได้ไม่ต้องเสียใจเพราะเขาอีก บ่วงกรรมของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้อยู่หลายปี

จุดเริ่มต้นของการเข้าปฏิบัติธรรมคือ แฟนของข้าพเจ้าหนีกลับบ้าน (ต่างจังหวัด) ทำให้ข้าพเจ้าเสียใจมากคิดว่าเขาไม่กลับมาอีก ข้าพเจ้าก็คิดถึงเพื่อนๆ คิดว่าจะชวนเพื่อนๆไปเที่ยวกลางคืน ดื่มสุราหาความสุขให้ตนเอง จะได้ลืมเรื่องเสียใจ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเพื่อนๆได้ อาจจะเป็นเพราะบุญเก่าหรือบารมีหลวงพ่อจรัญ ที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความคิดว่าเราจะทำร้ายตัวเองไปทำไม ไปเที่ยวดื่มสุราก็เสียเงินเสียทอง เที่ยวกลับมาพอหายเมาก็เศร้าโศกเหมือนเดิม และเรื่องที่เพื่อนร่วมงานเคยเล่าให้ฟังเรื่องไปเข้ากรรมฐานกับหลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ก็เข้ามาในความคิดทันที วันรุ่งขึ้นจึงได้สอบถามเพื่อนว่าจะไปวัดได้อย่างไร หลังจากนั้น ๒ วัน ข้าพเจ้าก็เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน

ครั้งแรกที่ไปถึงที่วัดอัมพวัน รู้สึกได้ถึงความศรัทธา เพราะว่ามีผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมกันมาก
๗ วันที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดอัมพวัน ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความสงบกาย สงบใจ ความสับสนวุ่นวายในใจเกี่ยวกับเรื่องแฟนของข้าพเจ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในอารมณ์หรือความคิดของข้าพเจ้าเลย ในขณะเดียวกันมีแต่ความอบอุ่น ความเป็นมิตรที่ได้จากกัลยาณมิตร ความเมตตาของหลวงพ่อจรัญและครูบาอาจารย์ ถึงแม้ว่าจะถูกดุบ้าง แต่ก็มีมุมมองว่า นี่อาจจะเป็นการทดสอบอารมณ์ว่าเราจะทนได้หรือไม่ ใน ๗ วันนี้ข้าพเจ้าติดสุข ติดคุย เพราะว่าเจอกัลยาณมิตรที่คุยเก่ง (แต่ตอนปฏิบัติก็ปฏิบัติอย่างเต็มที่ไม่คุย) ทำให้ไม่ค่อยจะได้อะไรเท่าไรนัก หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอยู่อีกหลายครั้ง
ครั้งแรกที่ไปปฏิบัติธรรมเพราะว่าเสียใจ แต่การไป ครั้งที่ ๒,๓,๔... ข้าพเจ้าไปด้วยจิตศรัทธา และทุกครั้งที่ไปปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติด้วยความตั้งใจ พยายามไม่พูดคุยกับใคร ยิ้มอย่างเดียว ทำตามคำสอนของหลวงพ่อจรัญที่ว่า กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติมาก ส่วนธรรมบรรยายจากหลวงพ่อจรัญนั้นข้าพเจ้าฟังจาก MP3 ทุกครั้งที่เปิดฟังมีความรู้สึกเหมือนหลวงพ่ออยู่ใกล้ๆ ตัวเรา

ในบทสวดมนต์ทำวัตรสอนให้เรารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเหตุที่ทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะว่าเราไปยึดติดในอุปาทานขันธ์ ๕ ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเที่ยงเป็นของๆ เรา เมื่อเกิดความไม่เที่ยง คือวันหนึ่งเขาจากเราไป ความทุกข์ก็เกิดขึ้นกับเรา แต่เมื่อวันหนึ่งเรามีธรรมะชำระจิต เราก็จะมองออกว่า สิ่งที่ว่าไม่เที่ยง สิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ล้วนแต่ไม่มีตัวตน เมื่อนั้นเราก็วางสิ่งนั้นได้และทุกข์ก็น้อยลง และคิดว่าเหตุที่เป็นทุกข์เรื่องแฟนอาจเป็นเพราะว่าสมัยยังเป็นวัยรุ่น ชอบเที่ยวกลางคืน แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อเป็นห่วงออกไปยืนรอ อาจเป็นเพราะกรรมที่เราทำกับพ่อ จึงเป็นเหตุให้เราได้รับกรรมจากแฟนที่ทำให้เราเป็นห่วงเป็นใย

หลังกลับจากการปฏิบัติธรรมครั้งแรก ดูเหมือนเป็นคนจิตใจดี แต่พอมีสิ่งที่เข้ามากระทบก็กำหนดไม่ได้ กลายเป็นคนขี้หงุดหงิด อารมณ์ร้ายขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เป็นคนที่ไม่ยอมคน ซื้อของใครอย่ามาแซงคิว ไม่พอใจก็ด่า เป็นคนที่ใครทำให้ไม่พอใจจะต้องได้รับการตอบแทน แต่หลังจากที่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง นิสัยใจคอกลับเปลี่ยนแปลง กลายเป็นคนที่มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อโหสิกรรมให้กับคนที่คิดร้ายหรือทำให้เสียใจ เป็นคนใจดีขึ้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้น มีน้ำใจมากขึ้น เสียสละมากขึ้น ทำบุญมากขึ้น

หลังจากที่ได้ปฏิบัติธรรมเป็นเวลาประมาณปีกว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับนอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าสังเกตได้ก็คือ ข้าพเจ้ารู้กตัญญูต่อบิดามารดา ต่อครูบา อาจารย์มากขึ้น กำหนดสิ่งที่เข้ามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทันบ้างไม่ทันบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่กำหนดเลย เพื่อนฝูงก็รักมากขึ้น ศัตรูก็ต่างคนต่างอยู่ เพราะเราอโหสิกรรมให้เขาหมดแล้ว มีเมตตามากขึ้น ไม่ผูกพยาบาทใคร โกรธก็หายเร็ว มีสติในการดำเนินชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินก็ไม่เผลอไปเหยียบขี้หมา ไม่เดินตกท่อ ไม่เดินตกบันได ข้ามถนนก็มีความระมัดระวังขึ้น เรื่องเวทนาต่างๆ เช่น ปวดเมื่อย ปวดหัว ก็ตั้งสติรู้ว่าปวดเมื่อยหรือปวดหัวจะได้ไม่ฝืน เมื่อจิตรับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าชอบใจถูกใจก็ตั้งสติรู้และไม่หลงในสิ่งที่ชอบใจ ไม่ชอบใจก็ตั้งสติรู้จะได้ลดความไม่ชอบใจหรือความโกรธให้เบาบางลง

ปัจจุบันแฟนได้เดินจากชีวิตของข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าไม่เสียใจมากเหมือนเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะว่าเราหมดเวรหมดกรรมซึ่งกันและกัน ถ้าเขายังอยู่กับเรา เราก็ปฏิบัติได้น้อยลง เขาอยู่กับเราก็มีแต่เรื่องบ่นเรื่องด่า มีแต่เรื่องที่รบกวนจิตใจเรา

ทุกวันนี้ข้าพเจ้าอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ความจริงที่ว่าทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่มีตัวตน เพราะเมื่อไรที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่า นั่นเป็นของเรา นี่เป็นของเรา แฟนเป็นของเรา เขาจะต้องอยู่กับเราไปจนวันตาย ตายแล้วจะได้ไปอยู่กับเขา เมื่อนั้นเราก็จะต้องเป็นทุกข์ การอยู่ตัวคนเดียวทำให้เราปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่ ไม่หลงระเริงกับกามตัณหา ชีวิตก็ดูมีความสุขขึ้น หน้าตาดูสดใสขึ้น อารมณ์ดีขึ้น สิ่งอันเป็นมงคลทั้งหลายที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับก็ได้รับ รู้สึกรักพ่อรักแม่มากขึ้น รู้จักการให้อภัย มุมมองชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ใช้ชีวิตได้อย่างมีสติ

ปัจจุบันข้าพเจ้าตั้งใจมั่นว่าจะพยายามถือศีล ๕ ไปจนตลอดชีวิต และจะพยายามถือให้ได้ศีลที่บริสุทธิ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

การที่ได้ถือศีล ๕ ก็มีความรู้สึกว่าเรายกระดับจิตใจของเราขึ้นมาระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่ทำร้ายใคร

ท้ายที่สุดขอเชิญชวนเพื่อนๆ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายเข้าปฏิบัติธรรมกรรมฐานกัน จะเป็นวัดไหนก็ได้ที่คิดว่าวิธีการสอนถูกกับจริตของเรา การปฏิบัติบ่อยๆ เชื่อว่าทุกคนคงได้อานิสงส์ไม่มากก็น้อย ประเทศของเราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข คนเข้าสู่อบายมุขก็จะลดน้อยลงไปด้วย





--ชีวิตนี้มีค่ายิ่ง


ดิฉันไปวัดอัมพวันเพราะเพื่อนชวนไปทำบุญช่วงเข้าพรรษา เพื่อนที่ไปด้วยก็ไม่เคยไป ต่างคนต่างก็ไม่รู้เรื่อง อยู่ได้ ๓ วันก็กลับ

แต่ขณะเดินทางกลับบ้าน หูได้ยินแต่เสียงสวดมนต์ตลอดเวลา ดิฉันเกิดความกลัวจึงจุดธูปแล้วอธิษฐานว่าหากมีบุญลูกจะขอ กลับไปอีกสักครั้ง จะไปเป็นผู้ให้บ้างตามกำลังที่จะให้ได้ ที่ไปครั้งนี้หากลูกทำอะไรผิดไป โปรดอภัยให้ลูกด้วย เสียงหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัว ดิฉันจึงตั้งใจว่าอย่างไรเสียต้องไปอีกครั้งแน่นอน แล้วดิฉันก็ได้กลับไปอีกครั้ง

ดิฉันฟังแล้วคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินหรือว่าเคยรู้เรื่อง และแม่ใหญ่ก็ให้โอวาท ดิฉันกลับมาดูหนังสือเล่มหนึ่งที่ดิฉันเคยอ่านนานมาแล้ว หน้าปกเขียนว่าวิปัสสนาสื่อวิญญาณ กฎแห่งกรรม ดิฉันเลยถึงบางอ้อว่า หลวงพ่อรูปนี้มีจริง ตอนแรกที่อ่านก็เข้าใจว่าเขาเขียนเป็นนิยายเป็นเรื่องๆ พอรู้ว่าหลวงพ่อรูปนี้มีจริง ดิฉันก็เริ่มหัดสวดมนต์ อ่านไปเรื่อยๆ แรกๆยังสวดไม่ได้ แต่ในใจคิดไว้ว่าจะขอไปปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จ และนึกไว้ว่าจะขอเป็นศิษย์หลวงพ่อให้ได้ ดิฉันเป็นคนต่างจังหวัดอยู่ในกรุงเทพฯ บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ ลูกทั้งสองยังเรียนหนังสือ ดิฉันมีความรู้แค่ ป.๔ ต้องดิ้นรนทุกอย่าง ก่อนเข้าวัดอัมพวันดิฉันดำรงชีพอยู่ด้วยแรงกายที่มีลมหายใจเป็นที่ตั้ง ทำงานทุกอย่างขอให้เป็นงานสุจริต ไม่ว่าจะหนักแค่ไหนอย่างไร บางครั้งดิฉันท้อจนยืนร้องไห้ แต่พอนึกถึงว่าลูกต้องได้เรียน ดิฉันก็ทำต่อไปได้

อยู่มาไม่นานลูกคนโตต้องหยุดเรียน เพราะเวลาเรียนเขาจะปวดหัวมาก ดิฉันเสียใจอยู่นาน ไม่ยอมคุยกับเพื่อนเรื่องการเรียนของลูก ตอนนั้นดิฉันก็สวดมนต์ภาวนาอยู่เรื่อยๆ พอลูกไม่เรียนจริงๆดิฉันก็ให้เขาช่วยขายของแทน ส่วนดิฉันก็หาโอกาสไปวัดบ่อยขึ้น ได้ฟังหลวงพ่อเทศนาธรรม นำมาใช้ ได้ผล เลิกเสียใจ “มือสอง เท้าสอง สมองหนึ่ง เวลาทุกคนมีเท่ากัน” นี่แหละที่ดิฉันยึดมั่นมาตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งสวดมนต์ภาวนาแล้วเป็นผล ตอนที่หลวงพ่อจรัญ อายุครบ ๗๒ ปี ลูกศิษย์หลวงพ่อที่เขารู้เขาก็สมัครเข้า ปฏิบัติกันจนเต็ม ดิฉันสวดมนต์ทุกคืน และก่อนไปวัดหนึ่งวันคิดไว้ว่าหากไม่ได้เข้าก็จะปฏิบัติที่ภาวนา และแล้วก็มีคนสละสิทธิ์ ดิฉันก็เลยได้เข้าไปปฏิบัติร่วมกับกลุ่มบนศาลาสุธรรมฯ ในการปฏิบัติธรรมมีอยู่ตอนหนึ่งหลวงพ่อกล่าวว่า เอาของมาถวายฉันไปก็อิ่ม แต่ก็หิวอีก แต่การปฏิบัติถวายนั้นทำได้ยาก คำนี้แหละที่ดิฉันดีใจมากที่ดิฉันคิดไม่ผิด เพราะดิฉันไม่มีอะไรจะถวายท่าน ด้วยอานิสงส์ผลบุญนั้นทำให้ดิฉันคิดหวังอะไรจะได้สิ่งที่หวังเสมอ แม้บางครั้งจะมีเหตุแต่ดิฉันก็จะผ่านไปได้ด้วยดี

ดิฉันไปวัดทุกครั้งก็จะนึกว่าหากน้องได้บวชได้เรียนรู้ศาสนาก็คงจะดีไม่น้อย ด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็มิอาจบอกได้ อยู่ๆน้องชายก็มีเรื่องไม่สบายใจ ดิฉันก็เลยชวนมาอยู่วัด แต่พอกลับมาถึงบ้าน เกิดอาการซึม พอดิฉันกลับมาถึงบ้านก็ตกใจมาก เพราะคำพูดบางอย่างที่ดิฉันไม่คิดว่าจะได้ยิน คือ เขาพูดว่า “คนเรานะหากเกิดมาแล้วไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย หายใจทิ้งหายใจขว้างเปล่าๆ” ทั้งที่เขาก็ทำงานเลี้ยงแม่อยู่ เขาบอกว่าชีวิตของเขาที่เหลือจากวันนี้เขาจะยกให้พี่ พี่จะเอาไปทำอะไรก็ได้ ดิฉันตกใจมาก กอดน้องแล้วร้องไห้ บอกน้องว่าถ้าจะให้พี่ พี่ให้บวชเอาหรือไม่ เขาตอบตกลง ส่งน้องกลับต่างจังหวัด จากวันนั้นถึงบัดนี้เป็นเวลาแปดพรรษาแล้วที่น้องได้เป็นพระภิกษุ ดิฉันจึงเชื่อว่าการสวดมนต์นี้ทำให้ได้ในสิ่งที่เราหวัง เหมือนบังเอิญ แต่ดิฉันคิดว่านี้คือผลบุญ

เรื่องของครอบครัว คำที่หลวงพ่อบอกว่า แม่ต้องเป็นแม่แบบแม่แผน ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา ลูกจะได้อยู่อย่างอุ่นใจ นี่คือสิ่งที่ดิฉันได้จากรู้หนอ อดทน อดกลั้น

เมื่อก่อนดิฉันมีชีวิตอยู่อย่างเหนื่อยและหนักมาก เปรียบเหมือนมีรถแต่ขับไม่เป็น แล้วแถมไม่รู้จักทาง แต่พอดิฉันได้ปฏิบัติธรรมและได้ฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ ดิฉันก็เหมือนขับรถเป็น รู้จักทางและแถมมีช่างแก้ยามติดขัด ปัจจุบันลูกคนโตก็เข้าปฏิบัติธรรมบ้าง และเป็นผู้เกื้อหนุนปัจจัยให้แม่ใช้จ่าย ลูกคนเล็กเรียนจบปริญญาตรีทำงานแล้ว แบ่งเงินเดือนให้แม่ใช้ทุกเดือน หากแม่จะทำบุญลูกก็สนับสนุนมิได้ขาด นี่คือความสุขตามอัตภาพที่ดิฉันได้รับ ดิฉันก็พอใจและปฏิบัติตามสติกำลังที่พอจะทำได้ต่อไป ขอให้ท่านตั้งใจและยึดมั่นในคำสอนของหลวงพ่อ ดิฉันเชื่อมั่นว่าท่านจะพบกับความสุขอย่าง แน่นอน แม้จะเจอทุกข์บ้างแต่เราก็จะมีกำลังที่จะต่อสู้ได้ ด้วยสติปัญญาและคำสอนของหลวงพ่อนี่แหละ เพราะดิฉันได้พบมาแล้ว




--ทำความดีนั้นแสนยาก


ที่ผ่านมาข้าพเจ้าใช้ชีวิตไปตามกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ไม่เคยสวดมนต์ ไม่เคยไหว้พระก่อนนอน

คงถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะได้ใช้หนี้กรรมเก่า และจะได้สร้างกรรมใหม่ โดยการนำพาของหลวงพ่อไม่เคยรู้จักข้าพเจ้ามาก่อนเลย ท่านทักและหยุดการกระทำของข้าพเจ้า ก่อนที่ข้าพเจ้าจะหลงผิดมากไปกว่านี้

สามีของข้าพเจ้าเป็นคนใจดี ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัว เขาพร้อมที่จะเป็นผู้ตามเสมอ ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องตกอยู่ในภาวะเป็นผู้นำครอบครัว ทั้งยังเป็นคนที่อ่อนต่อโลก ใช้อารมณ์และความคิดสั้นๆ อาจจะเพราะใจยังอ่อนแอ หรือวัยที่ไม่พร้อมจะเป็นผู้นำ

บางครั้งข้าพเจ้ารู้สึกหนักหนาเหลือเกินทั้งภาวะเศรษฐกิจ และภาวะเป็นผู้ตัดสินใจนำพาครอบครัวให้อยู่รอด แต่เป็นบุญที่บันดาลให้ข้าพเจ้าได้พบกับหลวงพ่อ ซึ่งท่านนำให้ข้าพเจ้าสวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมแล้วค่อยแผ่เมตตา พร้อมทั้งธรรมะที่หลวงพ่อให้ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดปัญญาที่จะน้อมนำมาปฏิบัติตามด้วยการเจริญกรรมฐาน เวลาผ่านไปไม่นานชีวิตของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไป ความสำเร็จทางโลกเริ่มก่อตัวให้เห็น ทั้งอริยทรัพย์และโภคทรัพย์เริ่มตามมา เกิดแสงสว่างแห่งปัญญา เริ่มมีความเพียรในทางโลก เริ่มประสบความสำเร็จ จากแม่บ้านกลายมาเป็นผู้นำทางธุรกิจ เริ่มมีความเข้มแข็งทางด้านจิตใจในการเป็นผู้นำในครอบครัว

ทำความดีนี้แสนยาก
แต่ที่ผ่านมาข้าพเจ้าปฏิบัติอย่าง “จิ้มๆ จ้ำๆ” เหมือนที่หลวงพ่อเคยพูด คือปฏิบัติธรรมไม่ต่อเนื่อง

วันหนึ่งข้าพเจ้าเข้าไปปวารณาตัวกับหลวงพ่อว่า ต่อไปนี้ลูกจะกระทำความดีเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณของหลวงพ่อ ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง และด้วยความศรัทธา หลวงพ่อพยักหน้ารับรู้ในความตั้งใจ

ข้าพเจ้ากลับไปตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อเนื่องได้ ๓ วัน รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน ง่วงนอน ปวดเมื่อยทั่วกาย เป็นไข้ตัวร้อนทันทีที่เริ่มจะปฏิบัติธรรม เริ่มจะสวดมนต์ก็ง่วง ตื่นเช้าไม่ได้ กำลังใจตกมาก ข้าพเจ้าจึงปล่อยตามใจตัวเอง ไม่ฝืนใจ ไม่ไหว้พระ ไม่สวดมนต์ ไม่ปฏิบัติธรรม เป็นเวลาเกือบ ๒ เดือน สัจจะกับหลวงพ่อขาดหายไปแล้ว

กฎแห่งกรรมตามมาให้เห็น ข้าพเจ้าทุกข์แสนสาหัส เพราะทุกอย่างรุมเร้าประดังเข้ามา ปัญหารอบข้างเริ่มเกิด ธุรกิจที่ทำอยู่เกิดความขัดแย้ง ยอดขายลดลง ทำให้ทำงานยากขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจก็ตามมาในขณะที่จิตตก

สามีของข้าพเจ้าทั้งๆ ที่ทำแต่ความดี เป็นพนักงานดีเด่นของการรถไฟ ก็เกิดขัดกับคนที่เข้ามาหาผลประโยชน์ในพื้นที่ของการรถไฟฯ จึงถูกกลั่นแกล้งและถูกฟ้อง กลายเป็นจำเลย ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะบริหารงานผิดพลาด ทำให้มีช่องโหว่ ต่อสู้คดีเสียค่าใช้จ่ายมากมาย

เหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นมีแต่เรื่องที่จะเสียเงิน ทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด ทั้งๆ ที่ทำงานได้เงินมากมาย มีเงินเป็นล้าน มีบ้านหลังใหญ่ แต่ก็เก็บเงินไว้ไม่อยู่ รักษาบ้านไว้ไม่ได้ ข้าพเจ้ามานั่งทบทวนด้วยสติ รู้ได้เลยว่าตอนเด็กๆ เคยทำให้ยายและพี่สาวเดือดร้อน เพราะชอบหยิบเงินโดยไม่ได้บอกกล่าวอยู่บ่อยๆ และทำเป็นประจำด้วยความไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ความทุกข์ของข้าพเจ้าที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้น ไม่รวมอดีตชาติที่เคยเอาของใครมาบ้างก็ไม่ทราบ เบียดเบียนคนอื่นขนาดไหน ถึงได้รับวิบากกรรมอยู่ในขณะนี้ และอีกหลายๆ อย่างที่รู้ขึ้นมาเองว่า “กรรมได้ตามสนองตัวเองแล้วในชาตินี้” ได้แต่ขออโหสิกรรมว่า “กรรมใดๆ ที่ข้าพเจ้าได้ทำแก่ใครในชาตินี้หรือชาติใดๆ ขอให้เจ้ากรรมนายเวรอย่าได้จองกรรมจองเวรแก่ข้าพเจ้าเลย จงอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด”

ความอัศจรรย์เกิดขึ้น ข้าพเจ้าลุกขึ้นมาปฏิบัติกรรมฐานได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เหนื่อยไม่เพลีย กิเลสลดน้อยลง ทุกวันข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรม ถวายหลวงพ่อ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผลของการปฏิบัติทำให้ข้าพเจ้ามีพลังจิตเข้มแข็ง สงบ ไม่ท้อแท้ ไม่หวั่นไหว ทำให้มีบุคลากรเข้ามาช่วยงานเป็นที่อัศจรรย์ ดลบันดาลให้คดีความจากร้ายกลายเป็นดี จากหนักเป็นเบา มองเห็นโอกาส มีบ้านหลังเล็กๆ อยู่แบบพอเพียงและสันโดษ หลวงพ่อเมตตาตั้งชื่อบ้านให้ว่า “บ้านอุดมสมบูรณ์”

บทเรียนให้เมตตาตัวเองให้พ้นจากทุกข์ เมตตาที่จะให้คนอื่นพ้นทุกข์ด้วย ปรารถนาดีกับทุกคนด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ นี่คือธรรมข้อแรกที่ข้าพเจ้าได้เดินตามรอยเท้าของหลวงพ่อ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า




 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:12:22 น.  

 

--ทำดี ได้ดี


“การสร้างความดี ถ้าทำถูกสถานที่ ถูกตัวบุคคล ถูกกาลเวลา เสมอต้นเสมอปลาย รับรองได้ดีแน่” หลวงพ่อจรัญสอนเช่นนี้อยู่เป็นประจำ
ในระหว่างที่ข้าพเจ้ารับราชการในกรุงเทพฯ พี่ดามักจะชวนข้าพเจ้าไปเป็นเพื่อนในวันหยุด เพื่อรักษาศีลให้คุณพ่อและคุณแม่บ่อยๆ ข้าพเจ้าได้ยินว่าวัดอัมพวันปฏิบัติเคร่งครัด จึงไม่อยากไปเพราะไม่เคยปฏิบัติธรรม แต่ในที่สุดก็ได้ตกลงกันจะไปวัดอัมพวันเพียง ๒ วันเพื่อทดลองดู

ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรม เมื่อเดินจงกรมได้ไม่นานก็เกิดอาการเวียนศีรษะ จึงได้นั่งลง นั่งได้สักพักก็นั่งไม่ได้ จึงคิดว่าจะไม่มาวัดนี้อีกแล้ว ทำไมทรมานเช่นนี้

ในระหว่างกำลังเรียนในคณะนิติศาสตร์ (ภาคบัณฑิต) ข้าพเจ้าได้ทำขนมวุ้นส่งห้างแถวบางลำพู เนื่องจากไม่กล้ารบกวนขอเงินจากทางบ้าน ได้รับเงินจากห้างฯ อาทิตย์ละครั้งซึ่งไม่มากนัก เพราะส่งห้างเดียว ข้าพเจ้ารู้จัก GIFFARINE โดยไปซื้อสินค้าให้สมาชิกในช่วงวันหยุด ข้าพเจ้าได้รับเงินจากบริษัทพอๆ กับการส่งขนม และไม่เหนื่อยมากนัก จึงได้เลิกทำขนมส่ง

ในระหว่างศึกษา ปรากฏว่าข้าพเจ้าอ่านหนังสือจำไม่ได้หมด (อาจจะล้าเนื่องจากทำงานด้วย) น้องอัมพวัน บอกข้าพเจ้าว่าสามเณรที่สอบได้ที่ ๑ ของประเทศไทยมาจากวัดอัมพวัน เขาเรียกว่าสามเณรใจเพชร ทำให้ข้าพเจ้าต้องการจะไปฝึกสมาธิ จึงได้ไปวัดอัมพวันอีกครั้ง และหาโอกาสปฏิบัติธรรมหลายครั้ง แต่ข้าพเจ้าปฏิบัติไม่ได้ (เดิน-นั่ง ไม่ครบชั่วโมง)

วันหนึ่งก่อนกลับบ้าน ข้าพเจ้าเห็นน้องทหารเรือ ช่วยพี่อรซักผ้าของผู้ปฏิบัติธรรมข้างเรือนปริปุณณะ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปช่วยซักผ้า และเกิดความคิดว่าเมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติไม่ได้ ไปช่วยซักผ้าให้ผู้ปฏิบัติก็น่าจะดีกว่า หลังจากนั้นเมื่อถึงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และมีเวลาจะเข้าไปช่วยพี่อรซักผ้าแต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเนื่องจากมีเวลาน้อย ข้าพเจ้าและพี่ฐาปณี และวรรณี ได้ตกลงทำวุ้นถวายพระและแจกแก่ผู้ที่มากราบนมัสการหลวงพ่อเป็นครั้งแรก

หลังจากนั้น พี่อรบอกข้าพเจ้าว่า ตั้งแต่หลวงพ่อออกโทรทัศน์มีผู้ปฏิบัติธรรม มากขึ้น พี่อรซักผ้าไม่ไหว ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจซื้อเครื่องซักผ้าเพื่อช่วยให้พี่อรเบาแรง โดยผ่อนชำระร่วมกับน้องศิริวรรณ และผู้ร่วมทำบุญ โดยขนเครื่องซักผ้าไปกับรถประจำทาง
ในที่สุดข้าพเจ้าก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมกับได้บรรจุเลื่อนระดับในตำแหน่งหัวหน้างานที่สำนักงานสรรพากรภาค ๕ จังหวัดชลบุรี ในตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมาย เมื่อถึงวันหยุดข้าพเจ้าก็ไปวัดเช่นเดิม

ก่อนเข้าพรรษาในปี ๒๕๔๕ ข้าพเจ้าได้ยินหลวงพ่อพูดว่า ใครพอมีเวลามาช่วยประเคนของให้พระด้วย เนื่องจากมีพระบวชเป็นจำนวนมาก และได้ยินอีกว่าใครตั้งใจจะทำอะไรในระหว่างเข้าพรรษา ถ้าทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ก็จะประสบความสำเร็จ ข้าพเจ้าจะไปวัดในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เพื่อช่วยงานวัดตลอดพรรษา และในพรรษานี้ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนบวชเป็นพระอยู่

ข้าพเจ้าเดินทางจากชลบุรีโดยรถตู้ประจำทาง ไปวัดในวันศุกร์ตอนเย็นหลังเลิกงาน ถึงวัดประมาณ ๓ ทุ่ม และได้นำขนมหรือผลไม้ถวายพระในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ฝากปัจจัยร่วมทำบุญด้วยทุกครั้งตลอดพรรษา
ช่วงน้ำท่วมชาวบ้านที่เคยเป็นแม่ครัวให้วัดไม่ได้ไปวัด เนื่องจากประสบปัญหาน้ำท่วม ข้าพเจ้าจึงได้เข้าไปช่วยทำอาหาร มองเห็นคนมารับประทานข้าวในโรงทานของหลวงพ่อมาก คิดอยากจะทดแทนพระคุณหลวงพ่อจรัญบ้าง จึงตั้งจิตอธิษฐานขอได้ช่วยโรงครัวหลวงพ่อ หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ต่างๆให้ข้าพเจ้าได้เข้ามาช่วยโรงครัว และได้ออกโรงทานอยู่เป็นประจำในวันสำคัญๆของทางวัด ทำงานครัวก็มีความรู้สึกว่าเสียดายหากเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม จึงตั้งจิตว่าในพรรษาปีถัดไปจะปฏิบัติธรรมอย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมง และสวดมนต์ทุกวันตลอดพรรษา และข้าพเจ้าก็ทำได้

หลังจากออกพรรษาจึงได้ทำติดต่อกันทุกวัน ถ้าวันไหนขี้เกียจปฏิบัติก็จะนึกว่า หากเรานอนหลับและไม่ตื่นขึ้นมาก็จะไม่ได้อะไรติดตัวไปเลย ทันใดนั้นก็จะลุกขึ้นมาเดินจงกรมและปฏิบัติธรรมทันที ทุกวันศุกร์ข้าพเจ้าจะกลับบ้านนครศรีธรรมราชถ้าไม่ไปวัด เมื่อไปถึงบ้านก็พบว่าคุณแม่ไม่สบาย จึงขอย้ายกลับบ้านนครศรีธรรมราช โดยตั้งจิตอธิษฐานไว้หากได้กลับบ้านขอให้พ่อแม่อนุโมทนา และส่งเสริมให้ข้าพเจ้าได้ไปวัดบ่อยๆ ปรากฏว่าได้ย้ายกลับไปทำงานที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่นครศรีธรรมราช
ตอนเช้าดิฉันสังเกตเห็นคุณพ่อยกแก้วกาแฟดื่มแต่มือสั่นๆ จึงถามว่าคุณพ่อเป็นอะไร คุณพ่อบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ช่วงนี้ไม่หิวข้าว คงจะไม่มีแรง เวลาประมาณบ่าย ๒ โมง น้องข้าพเจ้าโทรบอกว่าคุณพ่อเข้าโรงพยาบาลอยู่ในห้องฉุกเฉิน ไม่ต้องบอกให้คุณแม่รู้ เพราะคุณหมอบอกให้ทำใจ แต่คุณหมอกำลังช่วยอยู่โดยใส่ยาใต้ลิ้น ข้าพเจ้าเดินทางไปโรงพยาบาล น้อมนึกถึงหลวงพ่อโดยตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้หลวงพ่อช่วยให้คุณพ่อของข้าพเจ้ามีทางรักษาหาย หากคุณพ่อต้องสิ้นอายุขัยขอให้จากไปอย่างไม่ทรมานและไปสู่ที่สุคติ
ข้าพเจ้าไปวัดอัมพวัน ได้เริ่มปฏิบัติธรรมเวลา ๑ ทุ่ม ถึง ๓ ทุ่ม ระหว่างที่นั่งสมาธิ ได้ยินเสียงมีคนมาบิดลูกบิดประตูห้องที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่ ข้าพเจ้าก็กำหนดเสียงหนอ แต่ไม่ได้ลืมตา และได้ยินอีกครั้ง ตอนที่ผู้ปฏิบัติธรรมได้เลิกจากการปฏิบัติ ประมาณ ๓ ทุ่ม ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติต่อในคืนนั้นอีก ๑ ชั่วโมง ระหว่างนั้นได้ยินเสียงสุนัขเห่า แต่ก็ไม่ได้สนใจ วันรุ่งขึ้น ตื่นเมื่อได้ยินเสียงระฆังตีประมาณตี ๒ รีบลุกขึ้นเตรียมตัวไปทำวัตรเช้ากับหลวงพ่อ ประมาณตี ๓ ครึ่งได้กลับมาปฏิบัติที่ห้องต่ออีก ๔ ชั่วโมง และตั้งใจจะปฏิบัติต่อประมาณ ๘ โมงเช้า แต่ปรากฏว่าพี่นกได้มาบอกว่าทางบ้านโทรศัพท์มาให้กลับบ้านด่วน เนื่องจากพ่ออาการทรุด ทราบทีหลังว่าคุณพ่อได้หมดลมหายใจในคืน เป็นเวลาเดียวกับที่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน

ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อจรัญที่ท่านได้สอนสั่งให้ทำความดี ส่งผลให้ข้าพเจ้าได้กระทำหน้าที่ของลูกในชาตินี้ได้ดีที่สุดแล้ว ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต คุณพ่อได้กระทำแต่สิ่งที่เป็นบุญ และได้จากไปในขณะลูกได้ปฏิบัติธรรมให้

เหตุการณ์ต่างๆที่ข้าพเจ้าได้ประสบ เป็นเหตุการณ์ที่ลงตัวประจวบเหมาะ คล้ายๆจะเป็นเหตุบังเอิญ แต่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนไม่น่าจะเป็นความบังเอิญ น่าจะเป็นผลจากการสร้างความดี เนื่องจากข้าพเจ้ากระทำเสมอต้นเสมอปลาย





--บารมีหลวงพ่อมากล้นรำพัน


ข้าพเจ้าเคยเป็นพยาบาล หลังการแต่งงานชีวิตข้าพเจ้าประสบความล้มเหลวทั้ง ๒ ครั้ง เกิดมรสุมชีวิตนานัปการ แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ทำให้พยายามหนีปัญหาด้วยวิธีฆ่าตัวตาย ข้าพเจ้าเป็นคนไกลวัดห่างวัด ทำบุญใส่บาตรบ้าง ใช้ชีวิตและเวลาเกือบทั้งหมดอยู่กับการขวนขวาย ทำมาหาเลี้ยงครอบครัว ทำงานสองที่มาโดยตลอด ก่อนพบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าแทบจะไม่รู้จักการใช้ธรรมะแก้ปัญหาเลย แต่ข้าพเจ้ายังโชคดีที่มีลูกๆ เป็นเด็กดี ส่วนดีที่ติดตัวข้าพเจ้ามา คือมีความเมตตาและชอบ ช่วยเหลือผู้คนและสัตว์ ไม่อิจฉาริษยาอาฆาตพยาบาท พร้อมให้อภัยทุกคนเสมอ มักลงโทษตัวเองเป็นผู้ผิดเสมอมา

ข้าพเจ้าอธิษฐานจิตเสมอว่าจะทำความดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่วิบากกรรมต่างๆหนักๆยังตามติดให้ข้าพเจ้าได้ชดใช้ตลอด หลังจากข้าพเจ้าได้หย่าขาดกับสามีคนที่สองแล้ว ข้าพเจ้ายังถูกระรานรังควาญไม่หยุดหย่อน ทำให้ท้อแท้มาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ ควบคุมสติไม่ได้ ประกอบกับมีโรคประจำตัวคือท่อปัสสาวะตีบ สุดท้ายข้าพเจ้าต้องนอนรักษาตัวและอยู่ในความดูแลของแพทย์จิตเวช และต้องรับประทานยาเป็นปี

วันหนึ่งลูกสาวคนที่สองนำหนังสือ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” มาให้อ่าน แรกๆ ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจแม้แต่จะชายตามอง จะด้วยบารมีของหลวงพ่อหรือย่างไรไม่ทราบ ทำให้ข้าพเจ้าสะดุดกับชื่อหนังสือ หวนคิดไปถึงคุณ ท.เลียงพิบูลย์ ผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “กฎแห่งกรรม” (เคยได้อ่านนานมาแล้ว) แล้วจึงพลิกหาภาพดูในเล่ม ปรากฏว่าไม่มีภาพ จึงเริ่มอ่าน และสามารถอ่านได้จนจบเล่ม ทั้งๆ ที่เป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือ และยังอยากอ่านต่ออีก ลูกสาวซื้อเล่มใหญ่มาให้เป็นฉบับรวมเล่ม เมื่ออ่านทำให้เกิดความสงสัยว่า “พระเจริญ” ในเรื่องรถคว่ำคอหักตายจริงหรือไม่ ทำให้อยากรู้จักท่านขึ้นมาทันที พร้อมกับสืบเสาะหาท่าน โดยไม่ได้สังเกตตัวเองว่ามีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ

วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ฟังรุ่นพี่ที่ทำงานบอกว่า มีเจ้าอาวาสวัดอัมพวันชื่อหลวงพ่อจรัญ แต่ไม่ได้บอกว่าอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้านำมาทบทวนวิเคราะห์ดูชักเข้าเค้า เพราะชื่อ ชื่อหลวงพ่อจรัญกับพระเจริญ ก็มีอักษร จ.จาน นำหน้าเหมือกัน น่าจะเป็นวัดเดียวกัน ข้าพเจ้าก็ถามเส้นทางไปวัด และวันแห่งความสงสัยก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อข้าพเจ้ามีโอกาสได้ไปวัดอัมพวัน

วันนั้นเป็นวันเทศกาลสงกรานต์ ข้าพเจ้าชวนลูกบุญธรรม (เคยมาบวชกับหลวงพ่อ ชื่อผาสุโก) เมื่อถึงบริเวณด้านหน้ามองเห็นรถราและผู้คนร้านค้าแน่นขนัดไปหมด พร้อมกับนึกในใจว่าคงไม่มีที่จอดรถแน่ๆ แต่ด้วยบารมีหลวงพ่อทำให้ได้จอดรถในที่ว่างช่องหนึ่งใกล้อุโบสถ ข้าพเจ้าเห็นผู้คนทั้งชุดขาวและชุดทั่วๆ ไป ยืนเข้าแถวกันยาวเหยียดเป็นกิโล สอบถามได้ความว่าทุกคนกำลังเข้าคิวสรงน้ำหลวงพ่อจรัญ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกตื่นเต้นและปีติอยู่ในใจ พร้อมกับนึกว่าวันนี้ล่ะเราจะได้รู้เสียทีว่า “หลวงพ่อจรัญ” กับ “หลวงพ่อเจริญ” จะเป็นรูปเดียวกันหรือไม่

ข้าพเจ้าเข้าไปต่อคิวด้วยใจที่เต็มอิ่มไม่เมื่อยไม่หิว มีความเบิกบานอยู่ในใจ เมื่อถึงคิวข้าพเจ้าถามท่านว่า “หลวงพ่อจรัญ” กับ “หลวงพ่อเจริญ” องค์เดียวกันหรือเปล่า หลวงพ่อท่านยิ้มพร้อมก้มหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นอารามดีใจข้าพเจ้าเผลอเอามือปัดลูกศิษย์ท่านที่ทำหน้าที่คอยส่งขันน้ำออกไปข้างๆ พร้อมพูดว่า ขอกราบหลวงพ่อสักสามครั้งเถิด แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบท่าน นับว่าเป็นบุญของข้าพเจ้าอย่างยิ่งที่จะได้ปฏิบัติธรรมในวันข้างหน้า

นับแต่นั้นมาเมื่อข้าพเจ้ามีเวลาและโอกาส จะชวนลูกบุญธรรมไปวัดเพื่อฟังธรรมฟังเทศน์ และฟังท่านตอบปัญหาต่างๆ แล้วซื้อหนังสือ เทป ของท่านไปฟังต่อที่บ้าน วันหนึ่งได้มีโอกาสได้ทำบุญสร้างสำนักปฏิบัติธรรมศูนย์เวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น และได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรม ๓ วัน ที่วัดอัมพวัน พร้อมลูกบุญธรรมเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากและเป็นบุญที่ได้มาปฏิบัติ แม้จะเข้าใจได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

หลังจากนั้นมาข้าพเจ้าก็หมั่นสวดมนต์และฝึกปฏิบัติ พร้อมทั้งอ่านหนังสือหลวงพ่อ และหนังสือประวัติหลวงพ่อทุกเล่ม และฟังเทปต่างๆ ข้าพเจ้ายิ่งศรัทธาหลวงพ่อมากขึ้นๆ เชื่อเรื่องกรรมและเข้าใจความเป็นไปเป็นมาของกรรมมากขึ้น ข้าพเจ้าเริ่มเห็นทางสว่างในการที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในปัจจุบัน และนำคำสอนมาปฏิบัติเพื่อใช้กับชีวิตตัวเอง ยินดีชดใช้กรรมต่างๆ ด้วยความเต็มใจ ข้าพเจ้ามีความสุขมาก เมื่อได้ไปกราบและเห็นหน้าหลวงพ่อ ทำให้มีกำลังใจมากขึ้น บุตรธิดาข้าพเจ้ามีความสุขที่เห็นแม่มีอาการดีขึ้นและสุขภาพแข็งแรงขึ้น

ครั้งหนึ่งลูกบุญธรรมเคยถามข้าพเจ้าว่า ทำไมหลวงพ่อไม่ทักทายเราบ้าง ท่านทักแต่คนรู้จัก ตอบลูกไปว่าเรามาได้พบท่านทุกครั้งก็เป็นบุญเป็นมงคลกับชีวิตเราแล้ว ท่านแผ่เมตตาให้ทั่วถึงทุกคนแหละ ท่านรู้วาระจิตทุกคน ถ้าเรามีปัญหาหรือความทุกข์เราก็ใช้วิธีอธิษฐานจิตถึงท่าน ท่านก็จะแผ่เมตตาพร้อมให้คำแนะนำเองแหละ ท่านเห็นหนอ เหมือนเราอ่านในหนังสือไงล่ะ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านหลายๆ ครั้ง ข้าพเจ้ามีโอกาสปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ศูนย์เวฬุวัน ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ เมื่ออยู่บ้านก็พยายามสวดมนต์ อ่านหนังสือ ฟังเทป ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีวิบากกรรมหนักกับลูกบุญธรรมและสะใภ้ซึ่งเป็นพยาบาล ข้าพเจ้าเป็นผู้จัดการให้ คิดว่าจะอาศัยใบบุญลูกบุญธรรมให้ช่วยสอนธรรมและเป็นเพื่อนไปวัด ตลอดเวลาให้ความเป็นแม่ด้วยใจบริสุทธิ์ ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ สอนอบรมเหมือนลูกเล็กๆ เพื่อให้เป็นคนดีมีน้ำใจ กตัญญู กตเวทิตา
บัดนี้ข้าพเจ้ามีชีวิตใหม่ที่มีหนทางเดินด้วยแสงสว่าง หลุดจากคนที่เป็นบัวอยู่ในตม มีสติควบคุมรู้ตัวตลอด โดยยึดการปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ ไม่ว่าจะเป็นการตามรู้ลมหายใจ เข้า-ออก อิริยาบถต่างๆ จากการที่ข้าพเจ้ามีความทุกข์มากๆ เคยนอนไม่หลับ วิตกกังวล ขาดสติ พัฒนาเป็น ไม่ยอมหลับไปกับความทุกข์ ข้าพเจ้ามาถึงวันนี้ได้เพราะบารมีของ “หลวงพ่อ” ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่ศิษย์ทุกคนสามารถจะตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์ได้อย่างดียิ่ง นั่นก็คือการนำคำสั่งสอนของท่านไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจริงจังด้วยความเพียรและอดทน

สำหรับวิบากกรรมเกี่ยวกับการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า และสามารถหายหลุดพ้นจากกรรม มีเรื่องใหญ่ๆ ๒ เรื่องคือ

๑) ข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคประจำตัว คือ ท่อปัสสาวะตีบ เป็นเวลากว่าสิบปี (หลังทำผ่าตัดมดลูกทิ้งประมาณ ๕ ปี) ปฏิบัติธรรมจนหายขาด เดิมข้าพเจ้าต้องขยายท่อปัสสาวะบ่อยๆ ทรมานมาก นิมิตต่อมารู้ว่าเกิดจากตอนเด็กๆ เคยเอาหญ้าเจ้าชู้สอดก้นแมลงปอ เวลาบินจะเห็นพู่เป็นทางสวยงาม

๒) ไปทำงานต่างประเทศครั้งที่สอง อยู่ๆ ขณะยกถ้วยแกง ปรากฏว่าหล่น มือข้างซ้ายไม่มีแรง ต่อมาขาข้างซ้ายอ่อนแรง ก้าวขึ้นบันไดไม่พ้น บางครั้งก็มีปวดแสบปวดร้อนร่วมด้วย มีอาการรับความรู้สึกได้น้อยมาก ต่างจากแขนขาข้างขวา (รวมทั้งมือ) ข้าพเจ้าตกใจมาก ร้องไห้ ยกมือท่วมหัวอธิษฐานจิตให้หลวงพ่อช่วยให้ได้กลับประเทศไทยโดยเร็ว เพราะค่ารักษาที่ต่างประเทศแพงมาก ยังไม่ทันได้พบแพทย์ก็ต้องจ่าย ๑๐๐ ดอลล่าร์สหรัฐ ข้าพเจ้าเปลี่ยนตั๋วกลับได้รวดเร็ว เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยได้ไปกราบหลวงพ่อ อธิษฐานให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้หายปวดแสบปวดร้อน และไปหาแพทย์ตรวจเช็ค

ผลการเอ็กซ์เรย์และทำ เอ็ม.อาร์.ไอ พบกระดูกทับเส้นประสาท(กระดูกคอข้อที่ ๕) กับกระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว ปลายเส้นประสาทอักเสบ และมีจุดเนื้อตายบริเวณเนื้อสมองด้านขวา เส้นเลือดตีบ ทำกายภาพบำบัดสองสัปดาห์ไม่ดีขึ้น แพทย์ให้ทำต่ออีกหนึ่ง-สองสัปดาห์ ถ้าไม่หายจะผ่าตัด ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตอาจารย์นายแพทย์สันติไปปฏิบัติธรรมแทน ถ้าสองเดือนไม่ดีขึ้นจะผ่าตัด (เพราะข้าพเจ้าทราบว่า ผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตขนาดเดินไม่ได้ และมีอายุถึงเจ็ดสิบแปดสิบปียังมีโอกาสหายหลังมาปฏิบัติธรรม) ปรากฏว่าอาการดีขึ้นๆ จนข้าพเจ้าเดินได้คล่อง และอาการปวดแสบปวดร้อนหายไป อ่อนแรงน้อยลงมาก มีแรงมากขึ้น รับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้น ปัจจุบันปกติแล้ว สามารถยกของมีน้ำหนักได้ ขึ้นสะพานลอยและเดินขึ้นเขา-ลงเขา ได้สบายๆ




--บุญเพราะกรรมฐาน

กลับไปบ้านก็ปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง และจะไปวัดอัมพวันทุกเดือน ครั้งละ ๕-๗ วัน ทำอยู่หลายเดือน แต่ตอนหลังขาดความเพียร จึงหยุดไป

ดิฉันทำธุรกิจเหล็กดัด มุ้งลวด งานเหล็กทุกชนิด พอเข้ากรรมฐานก็มีงานเข้ามาเยอะทำไม่ค่อยทัน

วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๔ สามีดิฉันได้รับหมายศาลเรื่องบ้านของพี่สาวที่ซื้อไว้ โดยดิฉันกับสามีได้ช่วยกู้ร่วมกัน ๓ คน แต่พี่สาวจะเป็นผู้ส่งเอง ตลอดเวลาดิฉันไม่เคยถามเรื่องบ้าน และเขาก็ไม่เคยบอกว่าไม่ได้ส่งค่าบ้านเลยเป็นเวลา ๑ ปีเต็ม จนกระทั่งมีหมายศาลมา สามีโกรธมาก ด่าว่าพี่สาวดิฉัน ดิฉันจึงต้องขายบ้านแบบขายขาดทุนใช้หนี้ธนาคาร และเอาทองไปจำนำเพื่อจ่ายธนาคารด้วย เรื่องก็จบไป

ช่วงปี ๒๕๔๗ ลูกชายคนโตอยู่ชั้น ม.๓ เทอมแรกติดเกม หนีเรียน ดิฉันทราบเมื่ออาจารย์ที่โรงเรียนโทรมาบอก ดิฉันเสียใจมาก คิดไม่ถึงว่าลูกจะทำตัวแบบนี้ ลูกทุกคน จะกราบพ่อแม่ก่อนไปโรงเรียน อย่างที่หลวงพ่อเคยเทศน์สอน และดิฉันจะให้พรลูกตลอด พูดแต่สิ่งดีๆ แต่ทำไมลูกถึงมาทำให้แม่เสียใจ ดิฉันไปตามลูกชายที่ร้านเกม ถอดเสื้อมีกระเป๋าอยู่ ถามลูกว่าหนูไม่ได้ไปโรงเรียนใช่ไหม เขาบอกว่าครับ ดิฉันตีลูกจากร้านเกมจนกลับถึงบ้าน ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ตีลูก ตามคำสอนของหลวงพ่อ

ดิฉันได้เข้าโครงการ “แสงธรรมนำชีวิต” ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมขอนแก่น พร้อมลูกสาวคนที่ ๒ และได้ชวนเพื่อน ๓ คนที่เขาอยากจะไปปฏิบัติ แต่ไม่มีเงินไป และมีเพื่อนนักปฏิบัติธรรมพร้อมหลานอีก ๓ คน รวมครอบครัวของดิฉันเป็น ๙ คน ดิฉันได้เหมารถตู้ไปส่งและวันกลับก็ให้เขาไปรับกลับบ้านด้วย ดิฉันเห็นเขามีความสุข ปฏิบัติได้ ดิฉันพอใจ

หลังจากกลับมาจากขอนแก่น ลูกชายก็เปลี่ยนไป ไม่ไปเล่นเกมส์อีกเลย ผลการเรียนก็ดีขึ้น ปกติเรียนได้เกรดไม่ถึง ๓ แต่ครั้งนี้เขาได้ ๓.๕ และไม่ต้องสอบซ่อมด้วย ดิฉันดีใจมาก คิดว่าเพราะบุญพระกรรมฐาน และความเมตตาของหลวงพ่อลูกชายจึงได้ดีขึ้น ทุกปีลูกชายและลูกสาวจะไปปฏิบัติกรรมฐานที่ศูนย์เวฬุวันขอนแก่นพร้อมดิฉัน บางปีมีเพื่อนไปด้วย
ดิฉันพูดชวนลูกง่ายกว่าสามี เคยชวนสามีหลายครั้งแล้วเขาไม่ค่อยสนใจ ไม่เชื่อ แต่ไม่อยากขัดใจดิฉัน ดิฉันนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อว่า คนมีกรรมมากจะไม่ไปวัด มีบุญเมื่อไหร่เขาก็จะไปเอง

ดิฉันจะอธิษฐานขอให้ลูกของดิฉันและสามี ได้รับในส่วนบุญส่วนกุศลที่ดิฉันตั้งใจปฏิบัติ เพื่อเขาจะได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติกรรมฐานเร็วขึ้น
ช่วงวันมาฆะบูชาที่ผ่านมา มีผู้มาปฏิบัติกรรมฐานจำนวนมาก ทุกศาลาแน่นไปหมด เป็นที่นอนและที่ปฏิบัติด้วย แต่ดูจากสีหน้าทุกคนแล้ว ไม่มีใครย่อท้อให้เห็นเลย เพราะมีแต่คนที่ตั้งใจจริงที่จะอยู่ปฏิบัติ บารมีของหลวงพ่อทำให้มีผู้ศรัทธาเข้าวัดกันมาก แล้วก็นึกสงสารหลวงพ่อว่าคงจะมี ค่าใช้จ่ายมากมาย ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร เป็นเงินทั้งนั้น แต่ท่านก็ไม่เรียกร้องจากผู้ใดเลย มีแต่ให้ ดิฉันจึงตั้งใจว่ากลับไปบ้านครั้งนี้ ขอให้มีงานเข้าร้านเยอะๆ ได้สักสามแสน จะแบ่งมาช่วยค่าน้ำค่าไฟหลวงพ่อหนึ่งหมื่นบาท ดิฉันไม่ได้บนบานศาลกล่าว แต่ตั้งใจจะช่วยหลวงพ่อบ้าง

ขณะนี้มีรายได้เกือบสามแสนแล้ว ดิฉันจะมาวัดกราบหลวงพ่อ ก็จะกราบถวายหลวงพ่ออย่างที่ตั้งใจไว้ โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เพราะเท่าที่หลวงพ่อเมตตาแก่ดิฉันมาก็มากพอแล้ว และตั้งใจไว้ว่า นับแต่นี้ไปจะพยายามปฏิบัติกรรมฐานและไหว้พระสวดมนต์ตลอดไปไม่ขาด ตามคำสอนของหลวงพ่อ

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:12:43 น.  

 

--ปฏิบัติธรรมดับไฟทุกข์


ดิฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมาแล้ว ๑๐ ปี แต่ลงมือปฏิบัติธรรมจริงจัง ๒ ปี ส่วน ๘ ปีทำแบบ “จิ้มๆ จ้ำๆ” ไปตามสภาวะ ว่างก็ทำ ไม่ว่างไม่ทำ เมื่อเราลงมือทำเหมือนมีบุญเป็นกำไร เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง มีกำไรเจ้ากรรมนายเวรเอาไปหมด ครอบครัวต้องชดใช้กรรมในอดีต บุญหมด บุญใหม่ทำไม่ทัน ทำกิจการเจ๊งไม่เป็นท่า เป็นหนี้หลายล้านบาท แก้ปัญหาไม่ได้

หลวงพ่อจะเทศน์เสมอว่า ให้ทำแบบจริงจัง อย่าทำส่งเดชจะเกิดโทษ ดิฉันเป็นช่างเสื้อรับออกแบบเสื้อ งานไม่ราบรื่นติดขัดตลอดเวลา ปฏิบัติธรรมไม่ต่อเนื่อง เพราะหมดเนื้อหมดตัว ต้องทำงานตั้งแต่เช้า เลิกตี ๑ ตี ๒ หมดแรงปฏิบัติ แบ่งเวลาให้การปฏิบัติไม่ได้ หลวงพ่อบอกว่าสามีและลูกจะ ดีได้เพราะแม่ดี สามีเป็นคนดีมาก ลูกก็เป็นคนดี สามีก็หาเลี้ยงคนเดียว มีทางออกอยู่ทางเดียวดิฉันต้องตัดสินใจปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทุกวันไม่มีวันหยุด เพื่อลูกและสามี การปฏิบัติบางครั้งก็เบื่อหน่ายเมื่อยล้า ไม่สู้ ไม่มีกำลังใจ จิตใจก็หมองหม่นตลอดเวลาไม่ผ่องใส จะหาอุบายอย่างไรให้ตัวเองเข้มแข็ง

หลวงพ่อบอกว่า ต้องปฏิบัติชดใช้กรรมที่เหลือให้เบาบาง ต้องอดทนในความลำบากให้ได้ หลวงพ่อจะแผ่เมตตาช่วย จะเปิดร้านเสื้อได้ต่อเมื่อโยมปฏิบัติต่อเนื่อง ครอบครัวจะพบความพร้อมสมบูรณ์ได้ เมื่อโยมลงมือทำกรรมฐานอย่างเข้มแข็ง
ดิฉันก็ตั้งใจตั้งแต่นั้นว่า ตายเป็นตาย ไม่มีใครตายในกรรมฐาน เวลาตีห้าสวดมนต์แล้วต่อด้วยปฏิบัติกรรมฐาน ทำแบบนั้นทุกวัน ก้มหน้าก้มตาทำ แต่งชุดขาวห่มสไบ ทั้งเช้าเย็น ๖ เดือนผ่านไป อย่างแรกที่เห็นกรรมมาทันตาอีกเหมือนเดิม คือเรื่องการเงินฝืดเคืองทั้งสามีและดิฉัน แต่กำลังใจนั้นดีมาก เข้มแข็งที่จะต่อสู้ ไม่บ่นไม่ร้องไห้ กินน้อยเพราะไม่มี นอนน้อยเพราะทำงานมาก เอาเวลานอนดูโทรทัศน์ไปปฏิบัติธรรม ทำอยู่เช่นนั้น ๖ เดือน ฝันไปว่ามีคนมาบอกว่าจะคืนบุญให้ใช้เบิกได้ ๙,๐๐๐ บาท เป็นจริงดังฝัน เริ่มลืมตาอ้าปากได้ เปลี่ยนงานจากทั่วไปมารับงานจากอาจารย์ในมหาวิทยาลัย มีอาจารย์ที่ใส่ผ้าไหมมาตัดชุดเยอะมาก สามีก็มีงานเข้ามามากพอเลี้ยงครอบครัวให้สุขสบาย ลูกเรียนหนังสือเก่ง สอบได้ที่ ๑ ของโรงเรียน เป็นที่รักของคุณครูและเพื่อน

“เมื่อลูกอายุครบ ๑๔ ปี ให้มาบวชเณรในโครงการสามเณรใจเพชร ลูกโยมจะเป็นดอกเตอร์ ถ้าแม่ยอมปฏิบัติ ๒ ชั่วโมง ตลอดชีวิตของโยม พร้อมกันโยมจะเป็นเศรษฐี ให้จำคำอาตมาไว้” ลูกสวดพาหุงฯ ทุกวัน สวดมนต์เองไม่ต้องเตือน ผลที่ได้แก่ตัวลูกคือ เรียบร้อย ไม่ดื้อ ไม่โกหก เรียนเก่ง ไม่ติดเกม เอื้อเฟื้อเพื่อนเรื่องการเรียน เป็นที่ยอมรับของครูและเพื่อนฝูง ช่วยงานบ้าน ซักผ้า ทำกับข้าว ยามแม่ไม่ว่าง ให้เงินเท่าไรใช้เท่านั้น ประหยัด กราบเท้าพ่อแม่ก่อนนอน สิ่งเหล่านี้ได้จากสามเณรใจเพชร
ลูกชายได้เป็นสามเณรดีเยี่ยมติดกันเป็นปีที่ ๒

หลวงพ่อสั่งให้สามีสวดพาหุงฯ ก่อนออกไปทำงาน สามีสวดทุกวัน แล้วลูกและดิฉันสวดต่อ หิ้งพระไม่ว่าง ตอนเย็นสวดกันทั้งครอบครัว เรามีกินมีใช้ไม่อด ครอบครัวของเพื่อนเห็นครอบครัวดิฉันว่าสวดจริงทำจริงจึงทำบ้าง จากหน้าแห้งตอนนี้เพื่อนเพิ่งฟื้นตัว สามียอมทำงานและทำทนด้วย ไม่ออกจากงานบ่อย เพราะภรรยาสวดพาหุงฯ และแผ่เมตตาให้สามี เราเลยเป็นสองครอบครัวที่พ้นทุกข์

ดิฉันดับไฟดอกเบี้ยด้วยพาหุงฯ หาความผาสุกปลอดภัยทั้งครอบครัวด้วยการสวดธรรมจักรฯ เข้าหาผู้ใหญ่ให้เมตตาเรื่องงานด้วยการสวดมหาเมตตาใหญ่ หนังสือสวดมนต์ที่หลวงพ่อแจกตอนสวดมนต์ปีใหม่ วันที่ ๓๑ ธันวาคมของทุกปี มีหลายบท สวดทั้งเล่มนั้นมา ๒ ปี เมื่อสวดจนจิตสงบนิ่ง สม่ำเสมอ ถ้ามีเหตุเภทภัยอันตรายอะไรจะเกิดกับครอบครัว ดิฉันจะรู้ก่อน นี่คือสิ่งที่หลวงพ่อบอกว่า ไม่ต้องดูหมอดู ปฏิบัติธรรมแล้วช่วยเหลือตัวเองให้ได้เมื่อยามคับขัน และเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ดิฉันเคยล้มจนหมดตัว บัดนี้ยืนอยู่ได้ด้วยความภูมิใจที่เป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม



--ผลแห่งกรรมตามไปที่เยอรมนี


กลับไปที่ประเทศเยอรมนีได้ ๑ สัปดาห์ ข้าพเจ้าเวียนศีรษะมาก เหมือนมีอะไรมากดทับที่ศีรษะทำให้ปวดมาก ทรุดเข่าลง ใจจะขาด แต่สติคิดจะต้องเดินไปเอาเหรียญหลวงพ่อมาห้อยคอ เพราะถอดวางไว้ที่หิ้งพระ และนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่บอกว่าให้เอาไว้คุ้มครอง และก็นั่งสวดมนต์ กำเหรียญหลวงพ่อและอธิษฐานจิตว่า ถ้าลูกตาย ลูกขอเกิดในศาสนาพุทธ เป็นลูกของหลวงพ่อ จิตใจก็ยังห่วงว่าภาระรับผิดชอบก็ยังไม่หมดยังไม่อยากตาย มือกำเหรียญหลวงพ่อแนบที่อกตรงหัวใจ และหลับไปไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีกำลังลุกขึ้นทำงานต่อ

พอวันที่สองเป็นอีกตอน ๙ โมงเช้า แฟนเรียกให้ช่วยเอาน้ำมันทาขาให้เขาหน่อย เพราะหัวเข่าไม่ดี ข้าพเจ้าก็เอาน้ำมันว่านจากเมืองไทยเทใส่ฝ่ามือ แล้วพยายามเงยหน้าขึ้น ๒ ครั้ง เห็นของในบ้านหมุนไปมา แฟนถามว่าเป็นอะไร ข้าพเจ้าก็ตอบว่าไม่เป็นอะไร และเดินเข้าห้องพระนั่งสวดมนต์ รู้สึกเหมือนใจจะขาดไม่มีกำลัง หลับตาสวดมนต์ ลืมตาก็เกิดอาการหน้ามืดเวียนศีรษะ สติบอกให้นอนลงสวดมนต์ ภาวนาอิติปิโส พร้อมกับกำเหรียญหลวงพ่อและคิดถึงแต่หลวงพ่อ ไม่คิดเอายาอะไรมาทาน อยู่ในห้องพระคนเดียว และอธิษฐานจิตกับเหรียญหลวงพ่อว่า เมื่อวานลูกไม่อยากตายเพราะห่วง แต่วันนี้ลูกไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว ตายก็ตาย เพราะง่วงมากๆ หัวใจก็เต้นช้าและร่างกายก็เพลีย ก่อนหน้านั้นไม่มีอาการแบบนี้ เพราะยังแข็งแรง และก็นึกว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ก็ตายและหลับไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เชื่อว่าหลวงพ่อท่านช่วยต่ออายุให้ข้าพเจ้าแน่นอน

เดือนเมษายน แฟนข้าพเจ้าบอกว่าเราจะต้องย้ายออกจากบ้านวิลล่าไปหาอพาร์ทเมนท์เช่าอยู่ ซึ่งเป็นบ้านมรดกจากพ่อแม่ จะขายในราคา ๑ ล้านยูโร ประมาณ ๕๐ ล้านบาท เพราะรับภาระภาษีไม่ไหว แบ่งให้คนเช่าก็มีปัญหามาตลอด ข้าพเจ้าเรียนถามหลวงพ่อ ลูกทำอะไรไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับเจ้าที่เจ้าทางพระภูมิหรือเปล่า หลวงพ่อตอบว่าไม่เกี่ยว ก็แสดงว่าเป็นกรรมของข้าพเจ้ากับแฟน

ยิ่งข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมก็จะพบแต่กรรมให้ชดใช้ วันหนึ่งข้าพเจ้าเตรียมเก็บของ เปิดเทปฟังหลวงพ่อเทศน์ไปด้วย มีตอนหนึ่งข้าพเจ้าฟังแล้วสะดุ้ง หลวงพ่อท่านพูดว่าท่านลำบากมาตั้งแต่เด็ก เดินวันหนึ่ง ๒๑ กิโล ทำงานบ้าน หาบน้ำไปโรงเรียน มาเป็นเจ้าอาวาสทุกวันนี้นอนวันละ ๑ ชั่วโมง ก็หายาก มีคนบางคนหมดอายุขัย แต่บุญช่วยให้มีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าฟังก็เกิดปัญญา ใช่แล้วเดือนที่แล้วเราตายไปแล้ว หลวงพ่อช่วยต่ออายุให้เพื่อให้ทำความดีใช้หนี้กรรมเก่า
เดือนกันยายน ข้าพเจ้ากับคณะญาติธรรมที่วัดไทย ไปทอดผ้าป่าที่ฝรั่งเศส ๓ วัน พอกลับมา แฟนบอกว่าเขานอนไม่ได้เพราะมีตัวอะไรไม่รู้สีดำตัวเล็กๆ มากัดในที่นอน ตอนตี ๒ ลุกขึ้นมาเปิดไฟดู เห็นวิ่งมุดเข้าไปในฟูกที่นอนทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเห็น แฟนบอกว่ากลางวันหาไม่เจอก็คิดว่ามีไม่มาก พอตกกลางคืนข้าพเจ้านอนฝันว่าเห็นหลวงพ่อมารักษาเป่ากลางกระหม่อม เป่าหลังให้ พอข้าพเจ้าเปิดไฟสว่างเห็นตัวเล็กๆ เหมือนเหาอยู่บนที่นอน พองัดฟูกออกจากเตียง เห็นตัวเล็กตัวใหญ่เป็นร้อยตัววิ่งกระจายออกจากฟูกที่นอนเร็วมาก วิ่งมุดหนีลงแผ่นไม้กระดานเป็นรูเป็นช่องเล็กๆ ใส่ขวดไว้ แฟนบอกจะเอาไปให้สัตวแพทย์ดูว่าเป็นตัวอะไร แฟนเล่าให้ฟังว่าตัวนี้แหละที่กัด แต่ไม่แพ้เป็นรอยแดงเหมือนยุงกัด ตอนเย็นแฟนบอกว่าหมอเอาไปตรวจดูและพูดว่าเป็นตัว DIE WANZE บ้านเราเรียกว่าตัวเรือดหรือตัวเหม็น เพราะไข่ทีเป็น ๑๐๐ ตัว อยู่ได้นานถึง ๓ เดือน ไม่ตายง่ายและชอบอยู่ที่มืด จึงรู้ว่าที่คันตุ่มแผลเก่าใช้หนี้กรรมกับตัวเลือดอยู่เป็นเดือน

เดือนตุลาคมแฟนก็บอกว่าพี่ชายคนโตบอกว่าไม่ขายบ้านวิลล่าแล้ว ให้ย้ายกลับไปอยู่บ้าน ไม่ต้องเช่าอพาร์ทเมนท์ และให้แฟนรับผิดชอบดูแลบ้านต่อ
ข้าพเจ้ามาเมืองไทยและเขียนจดหมายถึงหลวงพ่อ ว่าอยากจะลงทุนค้าขายอะไรดี เพราะอยากมีรายได้เสริม หลวงพ่อสั่งให้ข้าพเจ้าสวดมนต์ แต่ไม่พูดถึงเรื่องทำงานและค้าขายอะไร ข้าพเจ้าจะพิมพ์หนังสือกฎแห่งกรรมเพื่อแจกงานฉลองครบรอบวัดไทยพุทธวิหาร ๑๑ ปี เผยแพร่เป็นวิทยาทานเพราะคนไทยอยู่เยอรมนีประมาณ ๕๐,๐๐๐ กว่าคน สติบอกถ้าทำทั้งทีก็พิมพ์มากหน่อย และก็โทรสั่งพิมพ์ ๖,๐๐๐ เล่ม พอหนังสือพิมพ์เสร็จน้ำหนัก ๙๐๐ กว่ากิโล ค่าขนส่งเป็นแสนกว่า พอๆ กับค่าพิมพ์ ข้าพเจ้าได้จัดการส่งหนังสือไปทางเรือ ด้วยบุญบารมีหลวงพ่อช่วย ทางวัดไทยออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเลย

เดือนพฤษภาคม ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อบอกท่านว่าลูกจะเดินทางกลับเยอรมนี ตอนนี้ลูกมีปัญหากับแฟนอีกแล้ว กลับไปครั้งนี้ปัญหาที่มีอยู่ก็ขอให้ลูกสามารถแก้ไขปัญหาไปในทางที่ดีได้ พอข้าพเจ้ากลับเบอร์ลินก็แวะไปพักกับหลานสาวอยู่ ๑ สัปดาห์ ได้โทรศัพท์ไปพูดกับแฟนว่าจะเอายังไง แฟนก็บอกว่าให้กลับมาบ้านและขอโทษข้าพเจ้า แฟนเล่าให้ฟังว่าช่วงที่กลับไปจากเมืองไทย นอนในบ้านไม่ได้ เป็นช่วงหน้าร้อนต้องออกไปนอนระเบียงบ้าน และนอนวันละ ๓ ชั่วโมง ไม่พูดถึงเรื่องผู้หญิง หลวงพ่อแผ่เมตตาช่วย เอาบุญบารมีท่านคุ้มครองแฟนข้าพเจ้าไม่ให้มีปัญหา

เดือนธันวาคม ข้าพเจ้ากับแฟนป่วยพร้อมกัน ไปหาหมอตรวจ พบว่าข้าพเจ้าจะต้องผ่าตัดเอามดลูกออก เพราะประจำเดือนมามากกว่าปกติ เวลาทานยาบำรุงเกี่ยวกับเลือดจะถูกขับออกทางประจำเดือน ช่วงที่ไม่สบายต้องสวดอิติปิโส ๑๐๘ และสวดพาหุงมากๆ ช่วย เพราะจะทำให้จิตใจมีพลังและมีกำลังใจ
พอต้นเดือนกุมภาพันธ์ แฟนบอกข้าพเจ้าว่าหมอตรวจเจอต่อมที่คอหรือเป็นโรคไทรอยด์ ระยะเริ่มต้น ตอนเช้าข้าพเจ้าไหว้พระสวดมนต์เสร็จก็อธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อว่าให้ลูกได้ไปเมืองไทยปฏิบัติกรรมฐานต่ออายุด้วย เพราะช่วงที่ไม่สบายจะฝันเห็นจรเข้อ้าปากอยู่ในห้องครัว พร้อมกับหมาแมวมานอนเต็มห้องนอนอยู่ ๒ ครั้ง
เดือนมีนาคมข้าพเจ้าได้เดินทางมาเมืองไทยเพื่อมากราบหลวงพ่อสมปรารถนาทุกๆ ปีไม่เคยขาด เหมือนกับว่ามาเชื่อมต่อบุญอย่าให้แสงเทียนดับ



--ผลจากการเจริญสติ


เมื่อสิบกว่าปีก่อน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้ไปวัดอัมพวัน ข้าพเจ้าพบมรสุมชีวิต คงเป็นเพราะกฎแห่งกรรมส่งผลให้เกิดวิบากกรรม ไม่มีสติปัญญาที่จะคิดแก้ไขปัญหา เพราะไม่เคยปฏิบัติธรรม ไม่มีคนคอยชี้แนะ ตอนเป็นเด็กๆคุณยายเคยสอนวิธีนั่งสมาธิ ให้กำหนดพุทโธ โดยกำหนดที่ลมหายใจเข้าออก ตอนนั้นก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะคุณยายไม่ได้อยู่ด้วย นานๆคุณยายจะมาเยี่ยมสักครั้ง และพักอยู่ด้วยไม่กี่วัน คุณยายก็ไม่ได้บังคับให้ทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจที่จะทำต่อ
จิตตกถึงขั้นเคยกินยาฆ่าตัวตายมาแล้ว บางครั้งมีปัญหาเล็กๆน้อยๆอย่างเช่นทะเลาะกับ พี่สาวคนที่ ๔ ก็คิดสั้นจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา ขาดสติยั้งคิดแล้วก็ได้ประชดชีวิตตัวเอง ๓-๔ ครั้ง โชคดีที่มีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

การทำความดีนี้ทำยากจริงๆ และต้องฝืนใจตัวเองมากๆ เพราะว่าเราเคยตามใจตัวเองมานาน ปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ ตกเป็นทาสของกิเลส ดำเนินชีวิตด้วยความประมาท แต่พอได้ไปวัดอัมพวันปฏิบัติพระกรรมฐาน สิ่งแรกที่ได้จากการปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันก็คือทำให้ใจเย็นขึ้นกว่าเดิม เคยเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย ก็เริ่มรู้จักบังคับจิตใจตัวเองได้ ข่มใจตนเองได้ ทำให้สำนึกรู้ว่าเคยทำไม่ดีกับคุณแม่และคนอื่นๆมากมาย เคยหนีออกจากบ้านทำให้คุณแม่คุณพ่อต้องเสียใจ จึงเริ่มกลับตัวกลับใจ แล้วก็ค่อยๆ เลิก ค่อยๆ ตัดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่เป็นสาเหตุทำให้ต้องผิดศีล หันหลังให้อบาย

ปฏิบัติกรรมฐานช่วงแรกๆ ทำๆ หยุดๆ แล้วก็หยุดไปเลยพักหนึ่ง เคยสวดมนต์ก็ไม่สวด เคยกำหนดก็ไม่กำหนดแล้ว วันหนึ่งอยู่ดีๆ ก็ถูกแฟนเก่าเมาแล้วทำร้ายร่างกายด้วยการทุบตี เพราะความหึงหวง เลยกลายเป็นคนขี้กลัว หวาดระแวง หวาดผวา ขี้ตกใจ จิตตก

ต่อมาไม่นานก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้คิดฆ่าตัวตายแต่ก็เกือบตาย เพราะถูกผีเข้าสิง แล้วผูกคอตายกับหน้าต่าง ตาเหลือก ลิ้นจุกปากมีเลือดออกมาแล้วนิดหน่อย แฟนเก่าเล่าให้ฟัง ทีแรกก็ไม่เชื่อคิดว่าเขาล้อเล่น
หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นประมาณ ๒ อาทิตย์ ก็ยังไม่มีสติจำอะไรไม่ค่อยได้ รู้สึกเหมือนตัวเองล่องลอย และรู้สึกแปลกๆ ชอบกล เหมือนมีความสุข เหมือนฝัน

จากการที่เคยได้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานทำให้รู้ว่าเมื่อไม่กำหนดสติ

- ไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือสถานการณ์ได้
- ทำอะไรก็ใช้แต่อารมณ์
- ไม่รู้จักคิดประหยัด ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักคุณค่าของเงิน
- เป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อยๆ ใจร้อน ใจเร็วด่วนได้
- ทำข้าวของตกแตกหักเสียหาย ต้องเสียเงินเสียทองเสียข้าวของ
- จิตตก ถึงขั้นกินยาฆ่าตัวตาย
- ทำไม่ดีทำบาปกับคุณพ่อตอนที่ท่านป่วยหนัก เพราะเคยคิดอยากให้ท่านตายๆไปเสีย จะได้ไม่ต้องทนทรมาน เพราะความสงสาร โดยไม่รู้ว่าเป็นกรรมหนัก โชคดีที่พี่สาวคนโตไปปฏิบัติกรรมฐานและได้เตือนสติข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าคิดได้และกลับมาตั้งจิตสวดมนต์
- ทำให้เจ็บตัว เดินสะดุดบันไดบ้านหกล้มหัวเข่าแตก
- ทำให้ปิดประตูบ้านหนีบหางแมวขาด โดยไม่ได้มีเจตนา และอื่นๆ อีกมากมาย
อานิสงส์ของการสวดมนต์ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ
ข้าพเจ้ายื่นเรื่องขอ Citizenship (ขอเป็นพลเมืองของอเมริกา) มีจดหมายตอบรับกลับมาว่ารอให้เรียกตัวไป Interview (สอบสัมภาษณ์) ภายในระยะเวลา ๔๕๐ วัน ห้ามโทรติดต่อโดยเด็ดขาด หากพ้นกำหนดไม่ได้รับการตอบรับ ถึงโทรติดต่อกลับมาได้ ช่วงที่รอเรียกตัวนี้จะไปไหนไม่ได้เลย ข้าพเจ้ากลับมาสวดมนต์ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ อีกครั้งเพราะอ่านเจอเรื่องของผู้ว่าฯ พาหุงเข้า คราวนี้ตั้งใจทำจริงและมีจิตศรัทธา ทำมาได้ประมาณหนึ่งเดือน มีจดหมายเรียกตัวให้ข้าพเจ้าไปสอบสัมภาษณ์ สามีของข้าพเจ้าถึงกับงง และบอกว่าแปลกและเร็วมาก เขาคิดว่าอย่างเร็วก็คงประมาณ ๓-๔ เดือน การสวดมนต์ยังทำให้ข้าพเจ้ามีสมาธิและความจำดีขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าสามารถสอบผ่าน

พอข้าพเจ้าสอบผ่านได้ประมาณ ๒-๓ วัน บริษัทเก่าที่สามีเคยทำงานอยู่ก็ขอร้องให้สามีไปช่วยงานประมาณ ๑-๒ เดือน ที่เมือง Houston เท็กซัส ข้าพเจ้าและสามีเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ช่วงที่ออก เดินทางก็มีพายุหิมะ ถนนบางแห่งก็เป็นน้ำแข็ง สามีค่อยๆขับและบอกว่าเหมือนกับวิ่งเล่นสเก็ตน้ำแข็งยังไงยังงั้น ระหว่างทางมีรถเกิดอุบัติเหตุหลายที่ ที่ละหลายคัน ช่วงที่ข้าพเจ้าเดินทางก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา และสามีก็ขับรถมาด้วยความระมัดระวัง เลยทำให้พวกข้าพเจ้าสามารถเดินทางถึงที่หมายได้โดยปลอดภัย

ของดีของหลวงพ่อ ของดีจากวัดอัมพวัน ก็คือ กรรมฐานนั่นเอง
เคยมีคนมาขอของดีจากหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็เทศน์บอกว่าอาตมาไม่มีหรอกของดี ของดีก็อยู่ที่โยมนั่นแหละ (ของดี ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรานั่นแหละ) แต่จะมีใครบ้างที่สามารถนำเอาของดีที่ว่านั้นออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หลวงพ่อจรัญท่านเทศน์และเน้นย้ำอยู่เสมอๆ ว่า
“เราพูดอยู่เสมอว่า สติ ปัญญา เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง แต่สตินั้น แท้จริงแล้วเรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สติมีคุณค่าแก่ชีวิต มีคุณค่าอย่างเหลือที่จะประมาณได้”

คำเทศน์ของหลวงพ่อจรัญพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง เมื่อเราปฏิบัติอย่างเคร่งครัด มีศรัทธาและตั้งใจจริงๆ




--พระคุณหลวงพ่ออันประมาณมิได้


ลูกชายของผมเมื่อตอนยังเด็กมีอาการสมาธิสั้น อยู่เฉยไม่ได้และต้องพบแพทย์เป็นระยะ แต่เมื่อลูกชายเริ่มสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ภรรยาผมเห็นการพัฒนาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี มีความอดกลั้น รู้จักใช้เหตุผลได้ดี การเรียนก็ดีขึ้นอย่างมาก มีความสนใจในธรรมะ โดยสามารถเป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าร่วมตอบปัญหาธรรมะ ทุกวันนี้ถ้าหากวันไหนลูกชายขาดสวดมนต์ วันรุ่งขึ้นก็จะสวดเพิ่มเพื่อชดเชยให้ครบ ในวันเกิดของตัวลูกชายเองหรือพ่อแม่ก็จะสวดพุทธคุณ ๑๐๘ จบ และเมื่อเร็วๆ นี้ตอนคุณตาป่วย ลูกชายผมก็สวดพุทธคุณ ๑๐๘ จบและอธิษฐานขอให้คุณตาหายเร็วๆ

ทั้งสองคนพี่น้องจะสวดมนต์ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สอนคือ พาหุงมหากาฯ และตามด้วยพุทธคุณเท่าอายุบวกหนึ่ง หากวันไหนใครขี้เกียจ อีกคนก็จะคอยเตือน เมื่อปีที่แล้วลูกทั้งสองคนได้ย้ายโรงเรียน และก็สามารถเรียนได้ผลการเรียน ค่อนข้างดี ทั้งที่เป็นโรงเรียนสองภาษา

เมื่อลูกทั้งสองได้ทราบว่าหลวงตาให้เขียนเรื่องลงในเล่มนี้ จึงได้เขียนเรื่องของตนเองดังต่อไปนี้

อานิสงส์จากการสวดมนต์
ผมชื่อ ด.ช.จิรายุ ตระการพฤกษ์ เมื่อตอนอายุประมาณ ๗ ขวบ โดยเห็นแม่สวดมนต์จึงสนใจและอยากสวดด้วย จึงสวดมนต์ตลอดมา แม่และพ่อได้พาผมไปวัดอัมพวันบ่อยๆ ตอนเริ่มสวดมนต์ใหม่ๆมีอาการแปลกๆ เช่น ตอนสวดในความคิดช่วงหนึ่งมักจะมีเสียงพูดรบกวนในสิ่งต่างๆที่ไม่ดี แต่พอผมได้คำแนะนำจากพ่อและแม่ว่าสวดมนต์ไปเรื่อยๆ และอธิษฐานว่าให้มีสติ สมาธิก็ดีขึ้นก็จะหายเอง และหลวงตาก็บอกด้วยว่าเป็นมาร ถ้ามารไม่มีบารมีไม่เกิด ผมจึงทำตาม และหลังจากนั้นเสียงนั้นก็หายไป

ผมเริ่มใฝ่ธรรมะ รู้จักบุญบาป การเรียนก็ดีขึ้น แม่สอนให้ผมสวดมนต์บทพาหุงมหากา โดยบอกว่าเป็นบทสวดที่พระพุทธเจ้าชนะมารต่างๆ จะสามารถคุ้มครองเราได้ พอผมสวดแล้วอุบัติเหตุหรือเพื่อนที่คิดหาทางแกล้งเราก็น้อยลง เมื่อผมอายุ ๑๒ ปีทางโรงเรียนได้คัดตัวแทนนักเรียนไปสอบแข่งตอบปัญหาธรรมะระดับประเทศ ผมได้เป็นหนึ่งในตัวแทนด้วย โดยตอบคำถามในเรื่องมงคลชีวิตและได้รางวัลชมเชยอันดับ ๑ เมื่อผมย้ายโรงเรียนหลังจากจบ ป.๖ อยู่โรงเรียนใหม่ก็มีสมาธิมากขึ้นในการเรียน ผลการเรียนดี และมีสติปัญญาในการไตร่ตรองปัญหาต่างๆ ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ ซึ่งผมคิดว่าเป็นอานิสงส์ที่ได้รับจากการสวดมนต์ครับ

ผลจากการสวดมนต์
หนูชื่อ ด.ญ.อรกานต์ ตระการพฤกษ์ อายุ ๑๓ ปี คุณพ่อคุณแม่ของหนูพยายามจะปลูกฝังนิสัยที่ดี จึงพาหนูและพี่ชายเข้าวัดตั้งแต่อายุประมาณ ๖ ขวบ หนูเริ่มสวดมนต์เมื่อประมาณอายุ ๖ ขวบ หนูมักจะเห็นคุณแม่นั่งสวดมนต์เป็นประจำ เกิดความสงสัยตามประสาของเด็ก จึงถามคุณแม่ว่าคุณแม่ทำอะไร คุณแม่จึงบอกว่าคุณแม่สวดมนต์และสอนให้หนูสวดมนต์ด้วย โดยตอนแรกๆก็จะสอนแค่สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพราะเห็นว่าหนูยังเด็ก แต่เมื่อหนูโตขึ้นจึงเริ่มหัดสวดบทพาหุงมหากา นับแต่นั้นมาหนูก็เริ่มสวดมนต์ทุกวัน ด้วยผลจากการสวดมนต์ทุกวันทำให้การเรียนดีขึ้น ควบคุมอารมณ์และสติได้ดีขึ้น รู้จักบุญรู้จักบาป รู้ว่าสิ่งไหนควรสิ่งไหนไม่ควร มีเมตตากรุณาต่อสัตว์และคนรอบข้าง หนูตั้งใจว่าจะเรียนให้ถึงระดับปริญญาเอก และใฝ่ฝันที่จะเป็นคุณหมอ

หลวงตาเคยพูดไว้ว่าหนูจะเรียนได้ถึงระดับปริญญาเอกหรือดอกเตอร์ หนูดีใจมาก เวลาหนูอยู่โรงเรียนก็จะมีทั้งเพื่อนที่ดีและที่ไม่ดี คุณพ่อคุณแม่ก็จะสอนเสมอว่าให้คบแต่เพื่อนที่ดี เพื่อนที่ไม่ดีก็อย่าไปคบ เพราะจะทำให้เราไม่ดีไปด้วย เวลาไปฟังเทศน์หลวงตาก็จะมีเทศน์การแยกดีชั่ว การแยกแยะบุญและบาป หนูจึงดูว่าเพื่อนคนไหนน่าคบคนไหนไม่น่าคบ บางทีเพื่อนไม่ดีชอบมาแกล้งหรือชวนเราทำในสิ่งที่ไม่ดี หนูก็จะพยายามหลีกเลี่ยงทุกครั้ง
บางวันที่หนูไม่สวดมนต์หนูก็จะพยายามเตือนสติตัวเองว่าต้องสวดมนต์ เพราะผลจากการสวดมนต์นั้นทำให้ชีวิตหนูดีขึ้นในหลายๆ ด้าน และหนูตั้งใจว่าจะแนะนำคนอื่นๆ ให้สวดมนต์ด้วย เพราะการสวดมนต์ก็เหมือนการชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีออกจากจิตใจเรา ทำให้จิตใจเราสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส





 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:14:27 น.  

 

--มีสติเป็นหลักสู้ชีวิต


เรียนจบชั้น ป.๔ ไปเรียนตัดเสื้อต่อ แล้วรับตัดเสื้ออยู่กับบ้าน ช่วยพ่อแม่ขายกาแฟ

ข้าพเจ้าได้พบกับสามีที่มาทานน้ำที่ร้าน รู้จักกันอยู่ระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้ไปทำงานเย็บเสื้อที่ร้านตัดเสื้อเพื่อฝึกงาน มีอยู่วันหนึ่งสามีได้ไปรับข้าพเจ้าเป็นครั้งแรก เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีชาวบ้านบอกคุณแม่ว่าเห็นข้าพเจ้าซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับผู้ชาย เย็นวันนั้นคุณแม่ คุณพ่อและพี่สาวได้ด่าเสียๆ หายๆ ว่าไปเสียตัวให้เขาแล้ว อธิบายก็ไม่ฟังว่าข้าพเจ้ายังไม่มีอะไรกัน ตอนเช้าคุณพ่อด่าอีกมาก เอาปืนขึ้นมาขู่จะยิงข้าพเจ้า และข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น

อีกสองวันต่อมาสามีได้โทรบอกให้ข้าพเจ้าออกไปหาหน่อยมีเรื่องจะคุยด้วย ข้าพเจ้าได้แอบออกไปหา คืนนั้นข้าพเจ้าไม่กล้ากลับบ้าน ข้าพเจ้าต้องไปอยู่กินกับสามี โดยไม่มีอะไรเลย มีหมอนใบ เสื่อผืน ต้องเช่าห้องอยู่ ออกไปทำงาน ๒ คน มีความสุขมาก พอเดือนที่ ๘ ตั้งท้อง ได้คลอดลูกสาว ๑ คน

สามปีผ่านไป สามีก็เปลี่ยนไป ไปติดผู้หญิง ไม่ให้เงินข้าพเจ้า ไม่สนใจข้าพเจ้าและลูก ข้าพเจ้าต้องลำบากเลี้ยงลูก ทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว ไม่กล้าบอกใคร แม้กระทั่งคุณแม่คุณพ่อ

๑๒ ปีหลังจากนั้น สามีก็แยกไปอยู่กับภรรยาคนที่สอง ข้าพเจ้าทุกข์ทั้งเรื่องสามี และพี่สามี แม่สามีเริ่มเข้ากันไม่ได้ หลังจากสามีแยกไปอยู่กับภรรยาคนที่สองได้ ๑ ปี สามีซื้อจักรเย็บผ้าให้ ๕ คัน และส่งงานมาให้ทำ รับจ้างเย็บผ้าโหล พี่สาวสามีได้ลงจักรร่วมหุ้น โดยแบ่งรายได้คนละครึ่ง ทำได้ ๕ ปีก็แยกหุ้นกับพี่สามีเพราะมีปัญหา ข้าพเจ้าก็หยุดทำงานระยะหนึ่งเพราะเครียดมาก

ต่อมาสามีบอกว่าจะขายจักรทั้งหมด ข้าพเจ้าก็เสียใจ ถามสามีว่า “ขายจักรแล้วฉันจะเอาอะไรทำกิน” พอรุ่งขึ้นสามีก็มาขนไปหมด ไม่สนใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีเงินใช้จ่าย ถึงขั้นไม่มีกิน ลูกน้องเก่าที่อยู่ใกล้บ้าน มีน้ำใจหิ้วอาหารใส่หม้อไปให้กิน ให้เงินใช้ก่อน มีแล้วค่อยคืนให้ คอยให้กำลังใจ

วันหนึ่งลูกน้องบอกให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นสู้ต่อ อย่าท้อถอย ยุให้ตั้งจักรขึ้นมาทำใหม่ โดยที่ข้าพเจ้าไม่มีเงินทุนสักบาท ตัดสินใจไปขอยืมเงินคุณแม่ซื้อจักร ทำไปเพิ่มไปทีละคันสองคัน รับงานที่อื่นมาทำ โชคดีที่ทางโรงงานช่วยเหลือให้ยืมจักรอีก ๕ คัน เพราะมีงานเข้ามามาก มีคนงานสิบกว่าคน ทำได้ ๒ ปี ก็เกิดปัญหา เรื่องลูกน้องเข้า-ออกจนเหลือคนเดียว ข้าพเจ้ารู้สึกท้อแท้ทุกข์ใจมาก เครียดมากเลยเลิกกิจการ

หลังจากนั้น ๒ ปี ข้าพเจ้าได้จองที่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งเพื่อขายอาหารยำ ยืมเงินสามีไปวางมัดจำแผงและซื้ออุปกรณ์ ๓ เดือนก็โดนโกง ร้านค้าไม่เปิดให้ขาย เงินมัดจำ ก็ไม่ได้คืน เครียดมาก ทุกข์มาก ไม่กล้าบอกสามี ต้องโกหกไปเรื่อย กลัวว่าสามีจะเอาเงินคืน

อีกปีหนึ่งต่อมา เพื่อนลูกสาวช่วยเหลือโดยให้ไปขายที่ตึกเขา ข้าพเจ้าก็เอาอุปกรณ์ที่ซื้อไว้ ไปขายกาแฟโบราณ ขายขนมปังปิ้ง พอขายอยู่ระยะหนึ่ง ขายไม่ค่อยดี ก็เลิกกิจการ

ช่วงที่ขายกาแฟ คุณสุณิสา จิระพัฒน์พิศาล แวะไปที่ร้าน ได้ชวนให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ชวนอยู่หลายครั้งข้าพเจ้าก็ไม่ไป

ต่อมาไม่นานภรรยาคนที่สองจับได้ว่าสามีไปมีผู้หญิงคนที่ ๓ ภรรยาคนที่สองไม่ให้สามีไปหาข้าพเจ้าและให้เอาบ้านคืน ให้ข้าพเจ้าไปเช่าบ้านอยู่ สามีโทรมากวนบ่อยๆ ให้ขายบ้านหลังนี้เพื่อจ่ายหนี้ ข้าพเจ้ากับลูกสาวไม่ยอมย้ายออก ข้าพเจ้ากับลูกเครียดมาก ร้องไห้ทุกคืน ลูกไม่มีใจที่จะเรียน วันหนึ่งพี่สาวสามีโทรถึงลูกสาว พูดเรื่องขายบ้านและขอให้ลูกสาวช่วยไปสืบว่าผู้หญิงคนที่ ๓ อยู่ที่ไหน จะได้ไปปราบให้เลิกกับสามีข้าพเจ้า บอกว่าขอความร่วมมือเพราะสงสารภรรยาคนที่สอง ให้เราสองแม่ลูกเห็นใจภรรยาคนที่สอง ข้าพเจ้ากับลูกไม่ร่วมมือด้วย ก็โกรธเราสองแม่ลูก และยังมีปัญหาอื่นตามมาอีกมากมายหลายเรื่องจนข้าพเจ้าหมดที่พึ่ง

ข้าพเจ้าตัดสินใจไปวัดอัมพวัน ก่อนบวชข้าพเจ้าได้ตัดกังวลออกหมด ไม่ห่วงลูก ไม่คิดถึงใคร ไม่รับโทรศัพท์ใครเลย
ข้าพเจ้าไปกราบที่เรือนแม่กาหลง เล่าความทุกข์ใจหมดอาลัยตายอยาก สิ้นหวังทุกอย่าง เรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องลูก พูดไปร้องไห้ไปโดยขาดสติ สะอึกสะอื้นอยู่พักใหญ่ ก็ตั้งสติได้
อานิสงส์ที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมครั้งแรก เมื่อกลับถึงบ้านลูกน้องเก่าพักอยู่ที่บ้านหนึ่งคน บอกว่าสามีข้าพเจ้าได้โทรศัพท์มาหาทุกวัน วันละหลายครั้ง ตลอด ๗ วันที่ข้าพเจ้าอยู่ที่วัด ตั้งแต่นั้นมาสามีก็เปลี่ยนไปและดีกับข้าพเจ้ามาก และให้เงินข้าพเจ้าใช้

ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีก เป็นครั้งที่ ๕ มีอยู่วันหนึ่งขณะนั่งกรรมฐานอยู่ นิมิตเห็นภาพถ่ายคุณพ่อซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ท่านมองตาขวางมาที่ข้าพเจ้า และได้เห็นคุณแม่นั่งอยู่ที่เตียงนอน มีอ่างน้ำโรยด้วยดอกมะลิวางอยู่ มีเสื้อ ๑ ชุด พวงมาลัย ๑ พวง แล้วข้าพเจ้าล้างเท้าแม่กราบเท้าแม่ ขออโหสิกรรมที่คิดไม่ดีทำไม่ดีกับแม่ ได้กอดแม่บอกแม่ว่ารักแม่นะ และยังได้เห็นสามีนั่งอยู่ที่เตียงนอนที่บ้าน ข้าพเจ้าได้นำพวงมาลัยกราบขออโหสิกรรมกับสามี ในภาพนิมิตบอกว่า แล้วข้าพเจ้าจะโชคดีมีความสุข ทำมาค้าขึ้น ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ข้าพเจ้าร้องไห้น้ำตาไหลไม่หยุด จนแม่ครูได้มาบอกให้กำหนดว่า รู้หนอ รู้หนอ

หลังจากปฏิบัติธรรมกลับมา ข้าพเจ้าก็ได้ทำตามภาพนิมิตที่ข้าพเจ้าได้เห็นในพระกรรมฐาน ข้าพเจ้าทำกับข้าวที่เห็นไปไหว้คุณพ่อที่บ้าน และได้ล้างเท้าให้คุณแม่ กราบเท้าคุณแม่ และขออโหสิกรรมกับคุณแม่และคุณพ่อที่เสียชีวิต

อีกไม่กี่วันสามีบอกว่าจะมาหาข้าพเจ้า พอช่วงบ่ายสามีมาที่บ้าน ก็นำพวงมาลัยไปกราบสามี ขอให้สามีอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้า สามีข้าพเจ้าก็อโหสิกรรมให้ ข้าพเจ้ามีความสุขที่ได้ขออโหสิกรรม ข้าพเจ้าใจเย็นขึ้น สงบนิ่ง มีสติมากขึ้น และให้อภัยสามีมากขึ้น ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ผูกพยาบาท และข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรม อยู่ที่บ้านด้วย

หลังจากที่นั้นสามีก็ดีกับข้าพเจ้ามาก ให้เงินใช้ และยังทำกำไลเพชรให้ด้วย

อยู่มาวันหนึ่งสามีโทรศัพท์มาบอกว่า แม่ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ตับขั้นสุดท้าย
แม่สามีเห็นข้าพเจ้าก็ดีใจ กอดและบอกข้าพเจ้าว่า “ขออโหสิกรรมที่ทำกับเธอไว้” เธอก็ยังเป็นลูกสะใภ้แม่อยู่ ข้าพเจ้าและ ลูกสาวก็กราบขออโหสิกรรมท่าน
ไม่กี่วันแม่สามีก็เสียชีวิต หลังเสร็จงานศพสามีข้าพเจ้าได้บอกลูกสาวว่า “พ่อก็จะไม่ทิ้งแม่เจ้านะ บอกแม่เจ้าด้วย” ข้าพเจ้าปล่อยวางไม่คิดเอาสามีกลับ เพราะสงสารภรรยาคนที่สองที่ต้องทุกข์เรื่องข้าพเจ้า ระแวงข้าพเจ้าตลอดเวลา

ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ที่แผ่เมตตาให้ข้าพเจ้าและให้กำลังใจมีสติต่อสู้ชีวิต สอนให้ข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานใช้หนี้กรรมเก่า และขอกราบขอบพระคุณญาติธรรมทั้งหลายที่ได้ช่วยเหลือให้คำแนะนำเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าตลอด ๔ ปี



--สวดมนต์เป็นนิจ ชีวิตดีขึ้น


มีผู้หญิงคนหนึ่งมาชวนเข้าปฏิบัติกรรมฐาน หลังจากนั้นข้าพเจ้าไปอยู่วัด ๗ วัน คืนแรกนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงดนตรีไทย ก็นึกว่า เอ๊ะ! วัดเขาไม่ให้มีมหรสพ แล้วสักพักก็เปลี่ยนเป็นเสียงเปรต เสียงมันแหลม ลอยมาแต่ไกล คนข้างๆ เขาก็นอนไม่หลับ พอวันที่ ๓-๔ ข้าพเจ้าปวดหัว จึงไปถามแม่ใหญ่ แม่ใหญ่ก็บอกว่าให้กำหนดไป ข้าพเจ้าทำไม่ได้เลยฟุ้งซ่านอย่างมากและอยากจะกลับบ้าน พอเห็นใครเขากลับบ้าน ข้าพเจ้าก็ขอกลับด้วย มีน้องที่นอนข้างๆบอกว่าถ้าพี่อยู่ไม่ครบ ๗ วัน กลับก่อน เป็นการผิดสัจจะ ข้าพเจ้าก็กลัวตาย อยู่จนครบ ๗ วัน


มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปวัด ๓ วัน ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งขยันสวดมนต์ ข้าพเจ้าก็สวดบ้าง สวดพาหุง อิติปิ โส ๑๐๘ จบ เช้า กลางวัน เย็น จนครบ ๓ วัน คืนวันที่ ๒ ตอนกลางคืนข้าพเจ้าหลับไปแล้วสะดุ้งตื่น มีอาการเหมือนผึ้งต่อยที่นม ปวดจี๊ดขึ้นมา และวิ่งไปตามแขนถึงปลายนิ้วออกไป และนมก็หายปวดเลย ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้าเจ็บที่นมบ่อยๆ ได้ไปหาหมอตรวจแบบแมมโมแกรม ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ แต่ก็ยังเจ็บๆ อยู่

ข้าพเจ้าพาลูกพาน้องและเพื่อนไปปฏิบัติกรรมฐาน ลูกปฏิบัติแล้วกลับไปตั้งใจสวดมนต์ ลูกสาวเรียนเก่ง ลูกชายก็ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ ตอนเช้าทั้งสองคนจะสวดมนต์เกือบทุกวัน
สามีข้าพเจ้าเป็นคนดี ก่อนไปทำงานสามีจะตั้งใจสวดมนต์เสมอ

ตอนข้าพเจ้าร่วมทำบุญวันปิยมหาราช ๒๓ ตุลาคม ได้เกิดมีอาการคล้ายลมหมุนมาปะทะข้าพเจ้าอย่างแรงมากๆ ถึง ๒ ครั้ง ข้าพเจ้ากำหนดตั้งสติหนอตั้งสติหนอตลอดเวลา และแปลกใจที่ข้าพเจ้าโดนคนเดียว ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงพ่อขึ้นมาทันที เพราะข้าพเจ้านั่งกรรมฐานให้พ่อ ก่อนหน้าที่พ่อจะเสียชีวิต พ่ออยู่โรงพยาบาล อาการสาหัส เส้นเลือดในสมองใหญ่แตก หลวงพ่อพูดว่าคนเราวาสนาไม่เหมือนกัน ข้าพเจ้าใจเสียเลย เพราะรู้ว่าพ่อไม่ค่อยทำบุญ มาทำตอนอายุมากแล้ว หลวงพ่อบอกว่าในอนาคตคนจะเป็นโรคนี้กันมาก
ข้าพเจ้าตั้งใจสวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐานอย่างตั้งใจ ได้เห็นผลบุญ ชีวิตดีขึ้นมากทั้งครอบครัว และได้เจริญขึ้น ทั้งทางโลกและทางธรรม ข้าพเจ้าคิดว่า ไม่ต้องรวยมาก แต่ขอให้มีความสุขก็พอ



--หลวงพ่อผู้ให้สติและปัญญาแก่ข้าพเจ้า


พ่อจากไปโดยโรคหัวใจวาย ชีวิตของข้าพเจ้าต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ที่บ้านของข้าพเจ้ามีอาชีพค้าขาย ข้าพเจ้าได้ช่วยแม่ทำงานและเรียนหนังสือไปด้วย ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักความทุกข์ใจตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ก็ไม่รู้จะพูดคุยกับใครได้ ได้แต่เขียนบันทึกลงในสมุด เป็นการบรรยายความรู้สึกของตนเอง จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง และได้ไปสอนเด็กๆ ที่โรงเรียนคาทอลิคในกรุงเทพฯ เขาก็แนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักการอธิษฐานจิตต่อพระเจ้า ข้าพเจ้าก็อธิษฐานจิตทั้งเมื่อมีความทุกข์ และมี ความสุข จนกระทั่งข้าพเจ้าแต่งงานมีครอบครัว

ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ หอบหืด ไซนัสอักเสบ และโพรงจมูกอักเสบอย่างรุนแรง ข้าพเจ้าเป็นทุกข์และกลุ้มใจมาก เพราะลูกๆยังเล็กอยู่ นอนร้องไห้ทุกคืน หมอที่รักษาประจำบอกว่าเข้าข่ายเป็นมะเร็งโพรงจมูก
ตอนนั้นหมอที่กรุงเทพฯนัดไปเอ็กซเรย์โพรงจมูก เจ้าหน้าที่เลื่อนนัดออกไปอีก ๑ อาทิตย์ น้องสาวก็เลยชวนนั่งรถประจำทางจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ปากทางเข้าวัดอัมพวัน น้องสาวบอกว่า “เรามาเข้ากรรมฐานเพื่อรอเวลาหมอนัดดีกว่า จะกลับบ้านให้ขาดทุนทำไม”

ข้าพเจ้าไม่กลัวและไม่กังวลสงสัยอะไรอีกแล้ว เพราะชีวิตของข้าพเจ้านั้นแม้ยังไม่ตาย แต่ก็เหมือนคนใกล้ตาย เพราะความเจ็บป่วย ข้าพเจ้าได้ตั้งใจทำกรรมฐานเป็นอย่างดี ต่อสู้กับทุกขเวทนามาก อดทนจนหมดเวลา แล้วทุกอย่างก็โล่งเบาสบาย

ข้าพเจ้าอยู่ที่วัดครบ ๓ วัน ก็เข้าไปกราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดว่า “มะเร็งที่จมูกน่ะหายแล้ว ไม่ได้เป็นหรอก”
หลังจากเอ็กซเรย์โพรงจมูกแล้วหมอให้รอฟังผลเดี๋ยวนั้นเลย หมอบอกว่า “แผลมันเริ่มแห้งแล้วละ ไม่ได้เป็นมะเร็งหรอก ถ้าเป็นมะเร็งแผลจะไม่แห้ง มันจะเหวอะออกไปเรื่อยๆ” ข้าพเจ้าดีใจมาก
แม่ป่วยหนักต้องเข้ารักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู ข้าพเจ้าและน้องๆไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่อธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ ขอให้ท่านช่วยแม่ด้วย ข้าพเจ้าเอารูปหลวงพ่อวางไว้ที่หัวเตียงที่แม่นอนอยู่ ข้าพเจ้าและน้องๆสวดมนต์และสวดบทพุทธคุณตลอด ไม่ได้นับว่าจะได้กี่จบ กี่รอบ ข้าพเจ้าจับมือแม่ไว้ตลอดเวลาขณะที่สวดมนต์ เสร็จแล้วก็แผ่เมตตา น้องๆ ก็มาช่วยกันสวดมนต์ทุกวัน จนแม่ออกจากโรงพยาบาล ขณะนี้แม่อายุ ๖๙ ปีแล้ว

ต่อมา ความทุกข์ก็เกิดกับน้องสาวคนที่ ๔ หมอบอกว่าน้องรุ่งทิพย์เป็นมะเร็งที่กระเพาะปัสสาวะ หลังจากปรึกษาหารือกันพักใหญ่ ก็อธิษฐานกับรูปหลวงพ่อว่า “ลูกจะพาน้องรุ่งทิพย์ไปเข้ากรรมฐานก่อน ๗ วัน ก่อนที่จะทำการรักษาใดๆในทางการแพทย์”
ผลของการรักษาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้หายเป็นปรกติแล้ว ส่วน น้องสาวก็ไม่เคยทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานเลย
หลังจากผ่านมรสุมหลายๆครั้ง ทำให้ลูกๆและสามีเลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อ อยากสวดมนต์ และไปวัดกับข้าพเจ้าด้วยทุกครั้ง เพราะหลวงพ่อเป็นศูนย์รวมใจของทุกๆคน ในครอบครัว รวมทั้งเรื่องธุรกิจการค้าของข้าพเจ้าก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองและขายดีตลอดมา
บ้านของข้าพเจ้าหลังนี้ ข้าพเจ้าได้สติและปัญญามาจากหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม เพราะว่าหลวงพ่อได้แผ่เมตตาให้ข้าพเจ้าสร้างบ้านสำเร็จ สวยงาม ถูกใจทั้งผู้อยู่อาศัยและผู้ที่ได้พบเห็น



--อานิสงส์การปฏิบัติธรรมทุกวัน


ข้าพเจ้าพร้อมเพื่อนสนิทก็อยู่ปฏิบัติและฟังธรรมของหลวงพ่อบ่อยมาก แต่ละครั้งก็เหมือนกับท่านเจาะเข้าไปในจิตของผู้ฟัง เมื่อฟังแล้วต้องนำมาปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น และนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ครอบครัวก็จะดีขึ้น ประกอบกับต้องนำตัวเองปฏิบัติธรรม ให้สามารถดูจิตตัวเองให้ได้ โดยมีคุณแม่ใหญ่เป็นผู้ฝึกสอน และดูแลแทนหลวงพ่อ จวบจนแม่ใหญ่เสียชีวิต ข้าพเจ้าและเพื่อนๆก็ห่างเหินไปนาน แต่ก็ยังนำการปฏิบัติไปทำที่บ้านแต่ก็ไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร จนได้ข่าวว่าหลวงพ่อผู้เป็นที่เคารพรักไม่สบาย เทศน์ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน

ข้าพเจ้าทิ้งกรรมฐาน ความทุกข์ก็เกิดขึ้น สามีได้งานน้อยลงมาก ลูกกำลังต้องใช้เงินเพราะเรียนระดับมหาวิทยาลัย ห้องเช่าก็ว่างมาก ข้าพเจ้าเครียดมากไม่รู้จะพึ่งใคร จึงย้อนกลับไปพึ่งหลวงพ่ออีกครั้ง ประจวบกับข้าพเจ้าได้รับความทุกข์อย่างสาหัส สามีและลูกชายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างร้ายแรง เกือบเอาชีวิตไม่ นี่แหละเขาถึงพูดกันว่าไม่เห็นทุกข์ก็ไม่ไฝ่หาธรรมะ

ผลของการปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งดีๆ ได้เกิดขึ้น สามีได้งานเพิ่มมากขึ้น ลูกชายคนโตก็ได้เรียนปริญญาโทสมความตั้งใจของเขา ลูกชายคนเล็กก็กำลังศึกษาที่ธรรมศาสตร์ ลูกทั้งสองคนเป็นคนดีและน่ารักมาก เห็นอกเห็นใจพ่อแม่ ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ

อานิสงส์การปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน ที่บ้าน เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ทำให้ครอบครัวข้าพเจ้ามีความสุข



 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:15:17 น.  

 

--อานิสงส์ของการสวดพาหุงมหากาฯ


ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่สนใจการปฏิบัติธรรม แต่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติ อันถูกต้อง จึงได้ไปบวชเนกขัมมะที่วัดอัมพวัน ๓ วันแรกดิฉันเกือบจะ เสียสัจจะ เพราะขาแข็งปวด เดินไม่ไหว เดินก็จะล้ม ตกกลางคืนดิฉันคิดว่าวันที่ ๔ คงปฏิบัติไม่ได้แน่นอน จึงอธิษฐานจิตว่าถ้าลูกไม่หาย ลูกคงไม่มีบุญได้ปฏิบัติธรรมต่อ รุ่งเช้าเหมือนปาฏิหาริย์ อาการต่างๆ หายไปสิ้น ได้ปฏิบัติต่อจนครบ ๗ วัน
หลังจากที่บวชเนกขัมมะกลับบ้านแล้ว ทำกิจการใดก็ประสบความสำเร็จ บอกขายสิ่งใดก็ได้ขายตามต้องการ ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรมแน่นอน ดิฉันสอนลูกชายสวดพาหุง พูดกับลูกชายว่าแม่จะขอร้องให้ลูกสวดมนต์พุทธคุณ พาหุงมหากา ได้หรือเปล่า ถ้าลูกสวดมนต์บทนี้แล้ว แม่จะสบายใจมากที่สุด เพราะมนต์บทนี้ จะคุ้มครองลูกแม่ให้เป็นเด็กดี เทวดาก็คุ้มครองลูกแม่ ไม่มีภัยอันตรายใดๆ ลูกชายดิฉันสวดมาจนทุกวันนี้เป็นเวลา ๑๐ กว่าปีแล้ว

คงจะด้วยบุญกุศลจากการสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ พาหุงมหากา เกินอายุ ๑ จบของลูกชายนี้ ทำให้เขาเป็นเด็กเรียนดี ไม่ขาดโรงเรียน คบเพื่อนดี เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ ความจำดี เป็นลูกกตัญญู ดูแลพ่อแม่ ซักเสื้อผ้าให้พ่อแม่ หาเงินมาเลี้ยงดูพ่อที่เป็นอัมพฤกษ์ ดิฉันมีลูกคนเดียว เป็นกำลังใจให้แม่ทุกเรื่อง ลูกชายดิฉันไปทำงานมา ถ้าได้เงินมากก็จะส่งให้คุณตา ส่วนคุณยายเสียแล้ว ส่งเงินให้คุณปู่คุณย่าไว้ใช้จ่ายเมื่อจำเป็น และยังมีจิตเมตตาซื้ออาหารมาเลี้ยงสัตว์ในหมู่บ้าน เช่น สุนัขและแมวจรจัดที่อดยากหิวโหยทุกวัน ซึ่งทำให้ดิฉัน สามี และลูกชายมีความสุขมาก บางครั้งก็โดนคนที่ ไม่ชอบว่าเรา แต่ดิฉันก็ไม่สนใจ สัตว์พวกนั้นรอเราอย่างหิวโหย พอได้กินอิ่มแล้วก็มีความสุข เราเห็นแล้วเราก็สุขใจ แมวเจ็บป่วยถ้าเราช่วยได้ก็ช่วยตามสภาพ ใส่ยารักษาแผล ตาเจ็บก็หยอดยา พาไปหาหมอรักษาเท่าที่ทำได้ ดิฉันคิดว่าด้วยอานิสงส์ของการสวดมนต์นี้ทำให้เราคิดแต่สิ่งดีๆ และทำให้ลูกชายดิฉันเป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา ดิฉันอยากชักชวนคุณพ่อคุณแม่ทุกๆคน สอนลูกๆสวดมนต์พาหุงมหากา อิติปิโส เกินอายุ ๑ ปี ลูกๆจะได้เรียนหนังสือเก่ง มีสติปัญญาดี และเป็นลูกที่ดีกตัญญูต่อพ่อแม่



--อานิสงส์ของการสวดมนต์


เมื่อเป็นเด็กฉันไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บป่วยอยู่เสมอ อีกทั้งยังมีโรคประจำตัว อย่าง โรคลิ้นหัวใจรั่ว ฉันเป็นเด็กที่เข้ากับญาติไม่ได้ และออกจะดูแก่นแก้วก้าวร้าวนิดๆ ไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งด้วย ตอนเช้าก่อนซ้อมนักเรียนทุกคนจะต้องสวดมนต์ มีคาถาชินบัญชรด้วย เวลาเรียนบางทีต้องใช้ดาบจริง ซึ่งมีอันตรายมากสำหรับเด็กอายุแค่ ๑๑ ขวบ การสวดมนต์ก่อนเริ่มเรียนนั้นทำให้มีสมาธิมาก ตั้งแต่เรียนฟันดาบที่นี่ฉันไม่เคยได้รับอันตรายหรืออุบัติเหตุเลยสักครั้ง จำอะไรได้เร็วกว่าเด็กคนอื่น จนดูเหมือนมีพรสวรรค์ ฉันคิดว่าคงเป็นผลมาจากการที่เราสวดมนต์ก่อนเริ่มเรียนทุกครั้ง
พอขึ้น ม.๑ ฉันก็ย้ายไปอยู่กับยายที่ต่างจังหวัด โรงเรียนที่เรียนเป็นโรงเรียนคริสต์ ทำให้ฉันหยุดสวดมนต์มา ๒ ปี

พอขึ้น ม.๓ ฉันย้ายไปอยู่กับแม่ ตอนนั้นแม่ฉันเริ่มเข้าวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี และไปนั่งกรรมฐานที่วัดนี้บ่อยมาก กลับจากวัดก็บังคับฉันสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน สวดทั้งบทอิติปิโส เท่าอายุบวกหนึ่ง บทชินบัญชร บทพาหุงมหากา ทำให้ใช้เวลานาน จึงทำให้ฉันเกลียดการสวดมนต์ บางครั้งฉันขี้เกียจสวดมนต์มากก็แกล้งหลับ แต่แม่ก็ยังปลุกบังคับให้ฉันตื่นมาสวดมนต์ แม่ฉันบอกว่าสวดเสร็จให้อธิษฐานด้วยทุกครั้ง

ฉันเป็นคนชอบเล่นกีฬามาก เวลาสวดมนต์เสร็จฉันมักจะอธิษฐานตามประสาเด็กที่บ้ากีฬาบาสเกตบอลว่า ขอให้ได้เป็นนักบาสทีมชาติ ซึ่งภายหลังก็ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติเหมือนกัน แต่เป็นนักฟันดาบ

แม่บังคับฉันไปนั่งปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ซึ่งฉันไม่เต็มใจเลย แต่แม่ก็มีวิธีทำให้ฉันยอมไปโดยการยอมลงทุนซื้อรองเท้าบาสคู่ละ ๓,๐๐๐ กว่า ฉันจึงยอมไป พอไปอยู่วัดซึ่งมีกฎระเบียบมาก ฉันจึงร้องกลับทันที ฉันโทรหาพ่อ
ตอนนั้นแม่ฉันไปวัดนี้บ่อยมาก จนเจ้าหน้าที่บางคน คิดว่า แม่ฉันมาวัดเพื่อมาหาที่อยู่ที่กินฟรี พยายามไล่ให้แม่ฉันกลับบ้านไป แต่แม่ฉันถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการได้ทำบุญทางพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่มีใครหยุดได้ ฉันดีใจมากที่แม่โดนไล่ เพราะฉันอยากกลับบ้านมาก แต่อีกใจหนึ่งก็สงสารแม่ที่โดนดูถูกแบบนี้ ฉันจึงลองตั้งใจนั่งกรรมฐานครั้งหนึ่ง ฉันเห็นภาพตัวเองเป็นเด็กน้อยชาวอินเดีย ผมจุก นั่งพนมมืออยู่กับพ่อแม่ ซึ่งนั้นฉันรู้สึกได้ว่านั่นคือพ่อกับแม่ฉันในชาตินี้แน่ๆ ถึงในภาพนั้นจะหน้าไม่เหมือนกันก็ตาม

พอขึ้นชั้นมัธยมปลาย ฉันย้ายไปเรียนอีกจังหวัด ฉันจำเป็นต้องอยู่หอ ของขวัญวันเกิดในตอนนั้นที่แม่ซื้อให้ฉันก็คือปลอกหมอน ซึ่งมีบทสวดคาถาชินบัญชร ซึ่งก็เป็นผลดีคือก่อนนอนทุกครั้งเหมือนจะคอยเตือนฉันว่าอย่าลืมสวดมนต์นะ คราวนี้พ่อกับแม่บังคับฉัน สวดมนต์ โดยใช้วิธีให้ฉันจำบทสวดให้ได้ทั้งหมดโดยห้ามดูหนังสือสวดมนต์ ถ้าฉันยังสวดมนต์โดยไม่ดูหนังสือไม่ได้ก็จะไม่โอนเงินรายอาทิตย์มาให้ ถ้าอยากได้อะไรเป็นพิเศษก็จะไม่ได้ ทำให้ฉันตั้งใจสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน จนเริ่มจำบทสวดมนต์ได้ทั้งเล่ม

พอขึ้นมหาวิทยาลัย ช่วงนั้นฉันขยันสวดมนต์มาก เพราะอยากติดทีมชาติมากๆ และฉันก็ได้ติดทีมชาติจริงๆ ทั้งๆ ที่ฝีมือยังไม่ได้เก่งมากมาย แต่ก็มีคนสนับสนุนส่งเสริมให้ฉันได้ซ้อมกับคนเก่งๆ มีแต่คนดีๆ คอยให้ความช่วยเหลือ จนฉันได้เป็นมือวางระดับต้นๆ ของทีมชาติ กีฬาฟันดาบเป็นกีฬาที่ต้องใช้สมาธิมาก การสวดมนต์ส่งผลให้ฉันก้าวหน้าในด้านกีฬามากๆ ซึ่งฉันรู้ได้ด้วยตัวเอง

ก่อนลงแข่งฉันนึกถึงหน้าหลวงพ่อ ว่าหลวงพ่อช่วยด้วย ปรากฏว่ามีอยู่ถึง ๓ ครั้งที่อยู่ๆ คู่ต่อสู้ก็ฟันฉันไม่ถูก ปาฏิหาริย์มีจริง

ฉันเป็นคนเรียนไม่เก่ง แม่ฉันปฏิบัติกรรมฐานมาก จำคำที่หลวงพ่อจรัญสอนทุกคำพูด หลวงพ่อมักเทศน์บอกว่าอย่าให้ลูกเรียนจบแค่ปริญญาตรี พอจะเรียนต่อปริญญาโท ฉันมีอุปสรรคมาก ทำท่าเกือบจะไม่ได้เรียนต่อปริญญาโท ฉันเริ่มหมดหวังกับการเรียนต่อ ช่วงนั้นฉันสวดมนต์ แม่ก็จะบอกให้อธิษฐานว่าขอให้ได้เรียนต่อ ขอให้ได้จบปริญญาเอก แล้วอยู่ๆ ก็มีมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังติดต่อชวนฉันไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนั้น ซึ่งก็แปลกอีก โดยให้ทุนนักกีฬาเรียนฟรี ซึ่งการที่ฉันได้เรียนต่อโทอย่างไม่น่าเป็นไปได้นี้ ฉันคิดว่าเป็นผลจากการที่ฉันสวดมนต์อธิษฐานทุกวัน

ตอนนี้ฉันได้รับการอุปถัมภ์ทางด้านการเงินจากญาติซึ่งเป็นน้องแม่ เนื่องจากบ้านฉันไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะส่งฉันเรียนโทได้ ฉันรู้สึกสำนึกบุญคุณของญาติๆ มาก นี่คงเป็นผลบุญจากการที่ฉันสวดมนต์ ทำให้เวลาไปไหนก็ไม่ตกยาก มีแต่คนดีๆ คอยให้ความช่วยเหลือ คอยค้ำจุนครอบครัวฉัน




--อานิสงส์จากการปฏิบัติธรรม


ข้าพเจ้าและสามี ขาดการปฏิบัติธรรมมาระยะหนึ่ง ด้วยเหตุจำเป็นบางประการ จึงทำให้เกิดปัญหาในชีวิตประจำวัน จากคนรอบข้างมากพอสมควร การเงินก็เริ่มจะมีปัญหา ลูกสาวที่อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โทรศัพท์มาขอร้องให้ข้าพเจ้ากลับมาปฏิบัติธรรมอีก (ช่วงนี้สวดมนต์อย่างเดียว)

อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาประมาณตี ๓ กว่าๆ มีเสียงบอกว่า ทำไมไม่ปฏิบัติธรรมต่ออีก อย่างน้อยเดินครึ่งชั่วโมงนั่งครึ่งชั่วโมงก็ยังดี ข้าพเจ้านอนไม่หลับ เลยเดินจงกรมครึ่งชั่วโมงนั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง

ตั้งแต่วันนั้นก็พยายามปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ เท่าที่โอกาสอำนวย อานิสงส์ก็เกิดอีก การเงินก็เริ่มดีขึ้น ไม่เดือดร้อน คนรอบข้างก็ไม่มาสร้างปัญหาให้ทุกข์ใจอีก สติก็มีมากขึ้น จิตใจดีขึ้น

ข้าพเจ้าสวดมนต์เป็นเวลานานหลายปีแล้ว และขอพรจากพระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้กับลูกๆ มาตลอด บัดนี้เห็นอานิสงส์แล้ว ลูกๆ ทุกคนมีธุรกิจที่ดีขึ้น



--อานิสงส์จากการปฏิบัติธรรมทำให้มีบ้าน


กระผมเช่าบ้านเขาอยู่ เจ้าของบ้านจะเอาบ้านคืน เพราะต้องนำคนงานมาอยู่เพื่อทำธุรกิจ เดิมกระผมอาศัยบ้านพักของทางราชการ ต่อมาได้ออกไปเช่าบ้านอยู่หลายแห่ง ไม่มีบ้านเป็นของตนเอง กระผมพยายามหาบ้านเช่าหรือซื้อบ้านพร้อมที่ดิน บางแห่งจะได้แต่ไม่ได้
บุตรสาวจึงซื้อที่ดินให้ประมาณ ๒ ไร่เศษ และได้กู้เงินจากธนาคาร ให้กระผมอีกด้วย จึงมีบ้านเป็นของตนเอง
กระผมนึกทบทวนดูว่า เหตุที่มีบ้านเป็นของตนเองได้ ทั้งๆ ที่เลยเวลาแล้ว ธนาคารก็ไม่ให้กู้ เป็นเพราะกระผมได้ทำบุญถวายอาหารพระสงฆ์ทุกวัน วันละ ๔ รูป เป็นเวลากว่า ๔ เดือน และถือศีล ๘ ปฏิบัติธรรม ตั้งแต่วันวิสาขบูชา ติดต่อไปจนกระทั่งออกพรรษา คงเป็นเพราะผลการสร้างบุญสร้างกุศลไว้ จึงทำให้กระผมมีบ้านพักอาศัยที่ดีได้ และคิดว่าเมื่อบ้านเสร็จแล้วจะปฏิบัติธรรมต่อไป เพื่อเป็นอานิสงส์ของตนเองและครอบครัวบุตรหลานต่อไปในอนาคตและในภพชาติต่อไป และเพื่อครอบครัวและบุตรหลานได้อยู่เย็นเป็นสุข มีชีวิตครอบครัวเจริญรุ่งเรืองต่อไป



--อานุภาพการฝึกสติ

มีแม่ป่วยเป็นโรคไต ต้องฟอกไตอาทิตย์ละสองครั้ง นั่นหมายถึงต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมาก พี่สาวอยู่ต่างประเทศช่วยค่ารักษาพยาบาลแม่มาตลอด ให้กำลังใจแม่ ขอให้อยู่เป็นร่มโพธิ์ของลูก ถึงจะต้องรักษาตลอดชีวิต ดิฉันกับพี่สาวก็สู้รักษาและมีกำลังใจที่จะรักษาแม่

ดิฉันได้มีโอกาสไปวัดอัมพวัน จากคำแนะนำของเพื่อนที่เขาพูดถึงหลวงพ่อจรัญเกี่ยวกับธรรมะของหลวงพ่อ ดิฉันรู้สึกศรัทธามาก จึงได้มาเข้าอบรมปฏิบัติธรรม ไปคนเดียวโดยไม่รู้ว่าวัดอัมพวันอยู่ตรงไหนของสิงห์บุรี รู้แต่ว่าให้ไปขึ้นรถที่หมอชิต ครั้งแรกอยู่วัด ๗ วัน ได้ปฏิบัติทุกรอบ
ในชีวิตประจำวันดิฉันก็ใช้หลักธรรมที่อยู่ในใจก็คือสติ คือให้รู้ว่าตัวเอง “รู้หนอ” ว่าทำอะไรอยู่ ทุกๆครั้งที่ดิฉันเดินเหมือนกับว่าเราเดินกำหนดให้มีสติให้ถึงเส้นชัยที่ตัวเรากำหนดขึ้นมา ระหว่างที่อยู่ภาคสนามที่ตัวเราปฏิบัตินั้น จิตมันก็รับรู้อารมณ์ต่างๆ เช่น ปวดหนอ เหมื่อยหนอ ชาหนอ ง่วงหนอ ตกใจหนอ เมื่อไรจะถึงเส้นชัยหนอ แต่พอดิฉันปฏิบัติกำหนดได้ ดิฉันอโหสิกรรม แผ่เมตตาเสร็จเรียบร้อย ก็รู้สึกว่าตัวเองมี ดวงตาสดใส ตัวเบามาก

ดิฉันขออนุญาตยกตัวอย่างตอนที่ดิฉันทุกข์กายทุกข์ใจ และก็บาดเจ็บที่แขนด้วย นิ้วมือก็บวมมาก ดิฉันมีปากเสียงกับพี่ชายจึงถูกทำร้ายบาดเจ็บ แต่ดิฉันโชคดีมากที่ไม่โกรธเขา เพราะเข้าใจว่าดิฉันไปทำให้เขาโกรธ เจ็บใจ ดิฉันยืนให้เขาเอาเก้าอี้ฟาด ตอนนั้นดิฉันคิดว่าเป็นการใช้กรรมที่ดิฉันทำให้เขาทุกข์ใจ ดิฉันได้อโหสิกรรมให้พี่ ดิฉันไม่ไปหาหมอ ได้ไปเข้ากรรมฐาน อโหสิกรรม แผ่เมตตาให้พี่ตลอด ถึงได้รู้ว่ากรรมฐานให้อะไรได้หลายอย่าง ทำให้ชีวิตดีขึ้นมาก ดิฉันมีงานทำที่ดี พอมีรายได้นำปัจจัยไปทำบุญ
หน้าที่การงานที่ทำอยู่คือบริการนวดแผนโบราณ ตัวดิฉันเองก็ภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่แบ่งชั้นวรรณะ ในความรู้สึกของดิฉันคิดว่าวิชาชีพนี้มีเกียรติสูง ดิฉันถือว่าผู้รับการนวดเป็นอาจารย์ใหญ่ ดิฉันต้องขอบารมีพ่อปู่ชีวก และขอหลวงพ่อจรัญแผ่เมตตาให้ด้วย ดิฉันจะได้มีสุขภาพพลังกายใจที่แข็งแรง มีสติ สมาธิ มีปัญญา มีความจำดี เรียนรู้ได้เร็ว รู้เขารู้เรา ให้มีจิตใจอ่อนโยน งดงาม

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:15:51 น.  

 

--กฎแห่งกรรมที่ประจักษ์
“กำลังใจ” “๕ ได้” ดีได้...ได้ดี


ถ้าใครมากราบหลวงพ่อที่กุฏิเก่าหรือใหม่จะเห็นคำสอน “๕ ได้” เป็นป้ายแดงๆตั้งอยู่ที่ท่านนั่ง เขียนไว้ว่า “รอได้ ช้าได้ นิ่งได้ ทนได้ ดีได้” เพื่อลูกศิษย์หรือใครที่จะรอพบหลวงพ่ออาจต้องรอนาน บางคนบ่นว่าช้า บางคนหงุดหงิด บางคนอดทนรอไม่ได้ ท่านอยากจะบอกว่า ถ้าทุกคนใช้ธรรมะ “๕ ได้” นี้แล้ว จะดีได้และได้ดีในที่สุด คือได้พบอริยสงฆ์คือหลวงพ่อ และก็ได้ฟังธรรมเกิดความปีติเป็นมงคลกับชีวิต ที่กล่าวมายาวหน่อยเพราะอยากสื่อให้เห็นว่า ธรรมะนั้นเรานำมาใช้กับงานและชีวิตประจำวันได้อย่างดี

ใครก็ตามที่ทำอะไรกับเราไว้ด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ใจ คิดชั่วกับเราด้วยวิถีใดก็ตามแต่ ขอให้เราตั้งสติไตร่ตรองทบทวนว่า สิ่งที่ถูกกล่าวหา-ถูกกระทำนั้นๆ เราได้ทำชั่วจริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ และเราทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ให้ตั้งสติ ซื่อตรง มั่นคง อดทนต่อกระบวนการที่คิดร้ายต่อเรา ด้วยธรรมะ “๕ ได้” ต่อปัญหาต่างๆที่จะรุมเร้าทางจิตใจสารพัดเกิดทุกข์ทางใจทางกายแก่ตัวเราและองค์กร คนข้างเคียง ลูกน้องผู้ร่วมงาน ญาติ และครอบครัว

ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อบอกเสมอว่า “เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ” เพราะกำลังใจสำคัญมาก เป็นพลังภายในที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำให้เราต่อสู้ด้วยสติปัญญา แก้ไขปัญหาต่างๆด้วยความสุขุมเยือกเย็น มั่นใจ และให้ “รอได้ ทนได้” รอเวลาความจริงปรากฏ ถึงครานั้นก็จะเกิดความภาคภูมิใจในเกียรติศักดิ์และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ตลอดจนชื่อเสียงครอบครัววงศ์ตระกูล สมกับได้ชื่อว่าเป็น “ลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญ” ดังเรื่องราวตอนหนึ่งของชีวิตที่จะเล่าให้ทราบ

ขณะเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลสิงห์บุรี คืนวันหนึ่งประมาณ ๔ ทุ่ม ได้ขับรถขึ้นไปทางอินทร์บุรีด้วยความเซ็งในชีวิตราชการ ตั้งใจจะลาออกจากราชการ เนื่องจากขณะนั้นปัญหาในโรงพยาบาล มีมาก มีการแบ่งแยกเชิงบริหาร

ขณะขับรถนึกถึงหลวงพ่อจรัญขึ้นมา เลยหันรถกลับ ขับรถเข้าไปในวัดอัมพวัน เกือบ ๕ ทุ่มแล้ว ตอนนั้นยังเป็นกุฏิเก่าอยู่ ขณะนั้นหลวงพ่อขึ้นไปข้างบนเตรียมจำวัดแล้ว ลูกศิษย์ได้ไปบอกหลวงพ่อ ท่านก็เมตตาลงมาข้างล่าง ได้เล่าให้หลวงพ่อฟังถึงความรู้สึก-เหตุการณ์ และอยากจะลาออก หลวงพ่อบอกทันทีว่า “ขอบิณฑบาต อาตมารู้ว่าหมอเป็นคนดี มีคนอิจฉาเยอะ ให้ทนอยู่ไปจะดีเอง อาตมารู้ว่าเป็นใครและขอไม่บอกชื่อ” ผมจึงไม่ได้ลาออกและปฏิบัติตามคำของหลวงพ่อ ทำงานต่อเนื่องมาจนกระทั่งปี ๒๕๓๐

เมื่อประมาณ ๒๐ ปีเศษ ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาสูงสุด แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าส่วนราชการ (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด) ที่จังหวัดในภาคกลาง ด้วยความดีใจภูมิใจและตั้งใจที่จะปฏิบัติงานด้วยความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญคือความซื่อสัตย์สุจริต และจะบริหารงานริเริ่มสร้างสรรค์นำพาองค์กรให้มีชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏ และเป็นที่ยอมรับของจังหวัดและส่วนราชการต่างๆ

ในการทำงานราชการนั้น แนวทางการดำเนินงานยึด “๓ บ” คือ มีระบบ มีระเบียบ และบรรลุ ทำงานเป็นทีมและเป็นเอกภาพ และดูแลบริหารคนผู้ร่วมงานทุกระดับด้วย
- พรหมวิหาร ๔ (ใจงามด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)
- สังคหวัตถุ ๔ (ผูกใจด้วย ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา)
- ฆราวาสธรรม ๔ (ครองใจด้วย สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ)
- อิทธิบาท ๔ (ธรรมนำไปสู่ความสำเร็จ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)

วันแรกๆ ของการทำงานได้เชิญผู้บริหารระดับรองฯ หัวหน้ากลุ่มงาน หัวหน้างานฯ ต่างๆ มาชี้แจงพูดคุยกันให้ทราบแนวคิดแนวทางในการทำงานตามเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้ และพร้อมเปิดใจรับฟังข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะทุกเรื่อง เพื่อยืดหยุ่นปรับกระบวนการทำงาน การงานทุกอย่างดำเนินอย่างราบรื่นไปได้ ๔-๕ เดือนเศษ ก็ปรากฏว่าเริ่มมีกระบวนการทำบัตรสนเท่ห์ กล่าวหาผมในหลายๆ เรื่อง เช่น ไปอบรมแล้วกลับมาทำงานเบิกเบี้ยเลี้ยงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ใช้รถส่วนตัวปฏิบัติราชการแล้วเติมน้ำมันหลวง ใช้รถหลวงกลับบ้านพัก ทอดผ้าป่ายักยอกเงินเข้าส่วนตัว และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง รวม ๑๕-๑๖ ฉบับ

จนมีวันหนึ่งพบท่านผู้ว่าฯ (ท่านประกิต) ท่านทราบเรื่องทั้งหมดว่า มีกระบวนการทำลายเกียรติยศชื่อเสียงผม จนกระทั่งท่านผู้ว่าฯ เอ่ยปากถามผมว่า “คุณหมอทนอยู่ได้อย่างไร?” ผมก็ได้ตอบท่านผู้ว่าฯ ไปว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมรู้หมดครับท่าน และข้อเท็จจริงต่างๆ ผมรู้ตัวผมเองว่าได้ทำอะไรไป (ขณะที่พูดก็นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อตลอดเวลา...) ดีชั่วอย่างไรก็รู้ แต่ที่ผมทนอยู่ได้คือ มุมานะตั้งใจทำงานอย่างเดียวด้วยความบริสุทธิ์ใจ อะไรจะเกิดก็ให้เกิด ผมยอมรับต่อสภาพเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ ขณะนั้นรู้สึกเครียดไหม ตอบได้ว่ามีบ้าง ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตของผมที่ต้องตั้งหิ้งพระบูชา จุดธูปเทียน สวดมนต์ ตามบทสวดของหลวงพ่อทุกเช้า เมื่อขึ้นทำงาน

แล้ววันแห่งความยุ่งยากก็เกิดขึ้นจริงๆ สมตามที่เขาคิดทำลายล้างเรา คือ ถูกย้ายจากจังหวัดใหญ่ไปจังหวัดเล็ก ทั้งที่เพิ่งทำงานได้ ๒ ปี ซึ่งผมเองเตรียมใจอยู่แล้วก็ยังอดทนไม่ได้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา รู้สึกน้อยใจ-เสียใจ-โกรธ-เสียความรู้สึก เสียกำลังใจ ที่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดไม่ให้ความเป็นธรรมกับผมเลย ผมเคยเสนอท่านว่าย้ายทั้งคู่ เป็นการย้ายและแก้ปัญหาที่เป็นธรรม หากยังไม่ได้ข้อสรุป ท่านก็ไม่ฟังเพราะท่านมีอำนาจ

ในที่สุดต้องปฏิบัติตามคำสั่ง เดินทางไปรับราชการที่จังหวัดเล็ก (บ้านเกิด) รู้สึกโกรธแค้นคนที่ออกคำสั่งไม่เป็นธรรมกับเรา

วันแรกที่ขึ้นทำงานที่สำนักงานแห่งใหม่ ด้วยพลังอะไรไม่ทราบ จึงได้ตั้งสติใคร่ครวญขึ้นมา นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่กล่าวมาข้างต้น “กฎแห่งกรรม” “อย่าเสียกำลังใจ” “๕ ได้” ดีได้ เมื่อตั้งสติได้ทำให้เกิดกำลังใจมุ่งมั่นทำงาน พัฒนาให้บ้านเกิดสิงห์บุรีของเราเต็มกำลังความสามารถให้ดีที่สุด เพื่อสนองคุณแผ่นดินถิ่นวีรชนบ้านเกิดของเรา ลืมอดีตให้หมด ถืออดีตเป็นบทเรียน ตั้งใจแน่วแน่ ปรารถนาดี ไม่โกรธ ไม่เคียดแค้น มุ่งทำงานสนองนโยบายผู้ว่าฯ(อุทัย ใจหงษ์) ทุกอย่างทุกเรื่อง ประกอบกับผู้ร่วมงานทุกระดับทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี งานต่างๆ ที่ผู้ว่าฯ มอบหมายก็บรรลุผลตามเป้าหมายที่ท่านผู้ว่าฯ สั่งการ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาชุมชน เรื่องการเน่าเสียในแม่น้ำน้อย กระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก จนเป็นเหตุให้ส่วนกลางนำไปใช้เป็นต้นแบบในการเฝ้าระวังควบคุมป้องกันปัญหาแม่น้ำเน่าเสียทั่วประเทศ ทำงานอยู่ที่นี่ ๒ ปีผ่านไป เริ่มรู้สึกว่าต้องศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มพูนความรู้และสร้างทางเลือกสร้างโอกาสให้ชีวิต จึงตั้งใจเรียน MBA ต่อ และสอบได้ที่ NIDA ตั้งใจว่าเรียนจบแล้วจะทำธุรกิจส่วนตัว ขยายกิจการที่มีอยู่ให้เจริญและลาออกจากราชการในที่สุด

ได้ไปเรียนที่ NIDA ได้ ๑ เดือนเศษ ท่านอธิบดีกรมอนามัย (นายแพทย์ปรากรม วุฒิพงษ์) ได้ให้ความไว้วางใจ แต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการกองอนามัยครอบครัว กรมอนามัย

เมื่อไปทำงานที่กองฯ ได้ ๒ เดือน การศึกษาที่ NIDA ไม่สะดวก เพราะจะต้องออกจากที่ทำงานบ่าย ๓ โมงครึ่ง เพื่อที่จะไปเรียนให้ทัน ๖ โมงเย็น ซึ่งเบียดเบียนเวลาราชการและจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกน้อง จึงต้องยุติการศึกษาต่ออย่างสิ้นเชิง

เวลาผ่านไป ๔ ปีเศษ จึงปรากฏผลการสอบข้อเท็จจริง เรื่องราวที่ทำให้ต้องถูกย้าย ว่าไม่มีมูลตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด

ได้ทราบภายหลังว่าฝ่ายที่สร้างเรื่องกล่าวหานั้นได้รับกรรมตามสนองถ้วนทั่ว คือ คนระดับรองฯ ได้ถูกออกจากราชการ เนื่องจากถูกกล่าวหาทุจริต ระดับหัวหน้างานครอบครัวแตกแยกระส่ำระสาย ถูกลดตำแหน่ง บ้างก็ถูกโรคร้ายเล่นงาน เช่น มะเร็ง ความดัน เบาหวาน เป็นต้น หัวหน้างานท่านหนึ่งได้มาพบและขอขมา ผมได้ให้อภัยทุกเรื่องที่ผ่านมา และขอให้ลืมเรื่องเก่าๆ ทั้งหมด อโหสิกรรมต่อกัน ผมได้มอบหนังสือบทสวดมนต์ของหลวงพ่อ พร้อมรูปหล่อสมเด็จโตพรหมรังสีของหลวงพ่อแพให้อีก ๑ องค์ ต่อมาท่านผู้นี้ก็มีสุขภาพแข็งแรง หายป่วย และไปมาหาสู่กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ผลของการปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ โดยเฉพาะ “๕ ได้” “อย่าเสียกำลังใจ” “เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม” ทำให้เกิดสติปัญญา ด้วยการทำความเข้าใจตัวของเราให้ถ่องแท้ เมื่อเราไม่ได้ทำตามที่ถูกกล่าวหา ก็ให้ตัดประเด็นไม่ดีออกไปจากสมองและจิตใจ เราจะเกิดความสงบนิ่ง แล้วมุมานะทำงานให้ได้ผลงานเป็นที่ประจักษ์และยอมรับ อานิสงส์ของการเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ เรื่องกฎแห่งกรรม อย่าเสียกำลังใจ ๕ ได้ รอได้ ช้าได้ นิ่งได้ ทนได้ ดีได้ ผมขอต่อท้ายว่า จะ “ได้ดี” ในที่สุด แต่ต้องอดทนรอ เพราะความดีนั้นกว่าจะเกิดผลนั้นใช้เวลานาน แต่เมื่อดีแล้วจะยั่งยืน ภูมิใจในชีวิตของเรา ซึ่งก็เป็นจริงตามที่หลวงพ่อกล่าว คือ “มารไม่มี บารมีไม่เกิด”

จากการต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์สุจริตใจ ส่งผลให้การงานส่วนตัวและหน้าที่ราชการเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ ตามขั้นตอนที่พึงจะเป็น จากผู้อำนวยการกองก้าวขึ้นเรื่อยไปจนถึงตำแหน่งสูงสุด (ปลัดกระทรวงสาธารณสุข) ในสายข้าราชการประจำ และสำคัญยิ่งคือ “ครอบครัว” ภรรยา (คุณสิริเนตร) มีความสุข ลูก ๓ คนจบการศึกษาวิชาชีพแพทย์ ๒ คน (นายทะนงสรรค์ นายทะนงเกียรติ) และลูกสาวคนเล็ก (นางสาว ธีรเนตร) ศึกษาคณะสถาปัตย์ฯ จุฬา ปี ๓ ผมดีใจและภูมิใจในความสำเร็จของลูก ซึ่งมีค่ายิ่งกว่ายศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้เสียอีก

ที่เล่าเกร็ดชีวิตการต่อสู้ การครองคน ครองตน ครองงาน ปัญหาอุปสรรค ผิดหวัง สมหวังทั้งหลายทั้งปวงนั้น เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อว่า “ผมได้ทำตามคำสอนของหลวงพ่อด้วยแรงเคารพนับถือศรัทธาอย่างสูง” และอยากจะบอกแก่สาธุชนทั่วไปว่า “คำสอนของหลวงพ่อจรัญนั้นประเสริฐ เป็นจริง ประจักษ์แล้ว” ให้หยิบธรรมข้อใดข้อหนึ่งที่คิดว่าดีชอบเริ่มทำได้เลยตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องผลัดวัน

 

โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 25 สิงหาคม 2554 13:16:50 น.  


ใจรัก Jairuk Channel
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 91 คน [?]








ติดตามดูต่อที่YouTube

ใจรักJairukChannel



ติดตามดูต่อที่Facebook

ใจรักJairukChannel



แนะนำให้ชม

บัวหิมะ
บัวหิมะ
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
ติดอันดับTOP Page Views
อาหารและการดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยมะเร็งและคนทั่วไป
เที่ยวขอนแก่น
Michael Jackson
คอนเสิร์ตบอย Peacemaker
คลิปเจ้าขุน
การกลับมาของX Japan

ท่องเที่ยว

UFOที่เคยเห็น
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
หาดใหญ่และปัตตานี
ไข่มุกอันดามัน
อะ พีพี
เกนติ้ง
กัวลาลัมเปอร์
หาลิงเข้าถ้ำทะเลภูเขาเลยจ้า นอนดูหมอกที่ปราจีนบุรี
เที่ยวปราจีนบุรีต่อ
เลยจะถึงไหมละนี่
พักค้างแรมที่เลย
เลยจนเกือบถึงลาว
ขุดกรุเขื่อนป่าสัก
บึงแก่นนคร ขอนแก่น
พระธาตุขามแก่น
เดินทางไปลพบุรี
กินข้าวอิงภูชัยภูมิ
ลาว เวียงจันทร์
ลาว2
ปิดทริปเที่ยวลาว
ล่องเรือเจ้าพระยา
รถไฟลอยฟ้า ฟ้า ไทย
รถไฟใต้ดินไทย
ทะเลน้ำจืดหาดวังโกขอนแก่น บ้านปราสาทโคราช
วังน้ำเขียวโคราช
ชอปปิ้งหนองคาย
ตัวเมืองขอนแก่น
น้ำผุดทับลาว ชัยภูมิ
สนามหลวง2
ไปดูงานศิลป
สายน้ำกับปลาที่ไปปล่อย
งานExpro
เขื่อนอุบลรัตน์
เที่ยวป่าวัดพรไพรวัลย์
ล่องแพอ่างเก็บน้ำห้วยไร่
ทะเลหมอกภูพานน้อย
วัดเจดีย์ชัยมงคล
ครั้งหนึ่งที่เคยโบกรถ
น้ำหนาว,เพชรบูรณ์
พระพุทธชินราช,พระธาตุลำปางหลวง
น้ำพุร้อน,วัดร่องขุ่น
มหาลัยแม่ฟ้าหลวง,น้ำตกก้างปลา
เวียงแก่น,ภูชี้ฟ้า
ดอยแม่สลอง
อุทยานฯขุนแจ
สวนโลกราชพฤกษ์
วัดเจดีย์7ยอด,วัดเจดีย์หลวง
ดอยสุเทพ,ทุ่งสแลงหลวง
โครงการครูบ้านนอก
วัดหลวงพ่อโตใหญ่ที่สุดในโลก
ที่พักปากช่อง
เลย-ลาว-ท่าลี่
ถึงระยองแล้วจ้า
ทะเลตอนเช้า
งานเที่ยวภาคใต้






Friends' blogs
[Add ใจรัก Jairuk Channel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.