Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
13 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ 22


เล่มที่ 22

กฏแห่งกรรม
พระธรรมสิงหบุราจารย์



ในปัจจุบัน ความเชื่อของคนไทยในเรื่องกฏแห่งกรรม หรือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กำลังสั่นคลอน เราจะเห็นว่าคนหลายคนที่ประกอบกรรมชั่ว เป็นผู้ทุจริตประพฤติผิดศีลธรรม กลับมีอำนาจวาสนาและทรัพย์สมบัติ มีคนเคารพยกย่องนับถือ ในขณะเดียวกัน คนซึ่งอยู่ในศีลธรรมกลับเป็นคนยากจนได้รับความยากลำบาก ถูกหัวเราะเยาะและถูกกลั่นแกล้ง ทำให้คนเริ่มสงสัยในเรื่องกฏแห่งกรรม และบางคนก็ไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้


คนที่เชื่อในเรื่องกรรมย่อมได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ คนที่เชื่อในเรื่องกรรมย่อมสามารถอดทนรับความทุกข์ยากลำบาก ความผิดหวัง ความขมขื่นและเคราะห์ร้ายที่เกิดแก่ตนได้ เพราะถือว่าเป็นกรรมที่ทำมาแต่อดีต ไม่ตีโพยตีพายว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำดีแล้วไม่ได้ดี คนที่เชื่อในเรื่องกรรมจะยึดมั่นอยู่ในการทำความดีต่อไป จะเป็นผู้สามารถให้อภัยแก่ผู้อื่น จะเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ
คนที่ประกอบกรรมทำชั่วทั้งกาย วาจา และใจ ส่วนใหญ่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องบุญและบาป ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด คนพวกนี้เกิดมาจึงมุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติ และความสุขสบายให้แก่ตัวโดยไม่คำนึงว่า ทรัพย์สมบัติหรือความสนุกสนานที่ตนได้มาถูกหรือผิด และทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนหรือไม่


เมื่อเราทำกรรมใดลงไป กรรมนั้นย่อมเป็นของเราโดยเฉพาะและเราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น จะโอนให้ผู้อื่นไม่ได้ เช่นเรากระทำกรรมชั่วอย่างหนึ่ง เราจะต้องรับผลของกรรมชั่วนั้น จะลบล้างหรือโอนไปให้ผู้อื่นไม่ได้ แม้ผู้นั้นจะยินดีรับโอนกรรมชั่วของเราหรือไม่ก็ตาม
การฆ่าสัตว์บูชายัญด้วยคิดว่าเป็นการโยนบาปที่ทำไปให้แก่สัตว์ที่ถูกฆ่า จึงเป็นการกระทำที่โง่เขลาไร้เหตุผล และแทนที่จะเป็นการล้างบาปกลับเป็นการสร้างบาปให้เพิ่มขึ้นอีก
สำหรับกรรมดีก็เช่นเดียวกัน ผู้ใดทำกรรมดี กรรมดีย่อมเป็นของผู้ทำโดยเฉพาะ จะจ้างหรือวานให้ทำแทนกันหาได้ไม่ เช่นเราจะเอาเงินจ้างผู้อื่นให้ประกอบกรรมดี แล้วขอให้โอนกรรมดีที่ผู้นั้นทำมาให้แก่เราย่อมไม่ได้ หากเราต้องการกรรมดีเป็นของเรา เราก็ต้องประกอบกรรมดีเอง เหมือนกับการรับประทานอาหาร ผู้ใดรับประทานผู้นั้นก็เป็นผู้อิ่ม เราจะเอาเงินไปให้ผู้อื่นซื้ออาหารรับประทาน แล้วโอนความอิ่มให้แก่เรานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ หากเราต้องการความอิ่ม เราก็ต้องรับประทานอาหารเอง


จริงอยู่ความชั่วบางอย่างที่ทำลงไป อาจจะคิดว่านำผลดีมาให้ เช่นเราลักทรัพย์ ทำให้ได้ทรัพย์มาใช้ แล้วจะว่าความชั่วให้ผลชั่วอย่างไร แต่นั่นก็ไม่ผิดอะไรกับคนกินขนมซึ่งเจือยาพิษ ตราบใดที่ยาพิษยังไม่ให้ผลก็เข้าใจว่าขนมนั้นเอร็ดอร่อย เช่นเดียวกับการคบเพื่อนซึ่งมาในรูปของมิตรอุปการะ ในครั้งแรกเราอาจเข้าใจผิดว่าเป็นกัลยาณมิตร แต่เมื่อเพื่อนผู้นั้นหักหลังเรา หรือพาเราไปสู่ความหายนะแล้ว เราจึงได้รู้สำนึก
ฉะนั้นผู้ใดที่ต้องการกัลยาณมิตร หรือที่พึ่งอาศัยที่ดีก็ต้องประกอบกรรมดี หากผู้ใดประกอบกรรมชั่ว ก็จะได้เพื่อนชั่วเป็นที่พึ่งอาศัย ซึ่งย่อมมีแต่จะนำผู้นั้นไปสู่ความทุกข์ และความหายนะในที่สุด


คนส่วนมากเข้าใจว่ากรรมคือการกระทำ ความเข้าใจนี้ก็ไม่ผิด แต่ยังไม่เป๊นความเข้าใจที่รัดกุมและถูกต้องทั้งหมด เพราะมีการกระทำบางอย่างที่ไม่นับว่าเป็นกรรม
การกระทำที่นับว่าเป็นกรรมจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ๒ ประการ คือ
๑. ผู้ทำมีเจตนา
๒. การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป
ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา คือใจไม่ได้สั่งให้ทำ ไม่จัดว่าเป็นกรรม เช่น คนเจ็บซึ่งมีไข้สูง เกิดเพ้อคลั่ง แม้จะพูดคำหยาบออกมา หรือเอามือหรือเท้าไปถูกใครเข้าก็ไม่เป็นกรรม ในทางวินัยก็ยกเว้นให้พระที่วิกลจริต ซึ่งล่วงเกินสิกขาวินัยไม่ต้องอาบัติ ทั้งนี้ก็โดยหลักเกณฑ์ที่ว่า ถ้าผู้ทำไม่มีเจตนากระทำแล้ว การกระทำนั้นก็ไม่เป็นกรรม


ยกเว้นการกระทำของพระอรหันต์ออกจากการกระทำของปุถุชน เนื่องจากพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ไม่มีความยึดถือในตัวตน การกระทำก็สักแต่ว่าทำ ที่เรียกว่าอัพยากฤต ไม่นับว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว บุญและบาปก็ไม่มี การกระทำของพระอรหันต์จึงไม่เรียกกว่ากรรม แต่เรียนกว่ากิริยา
ส่วนปุถุชนยังมีความยึดมั่นในตัวตนอยู่ จะทำอะไรก็ยังยึดถือว่าตนเป็นผู้กระทำ การกระทำของปุถุชนจึงเป็นกรรม ซึ่งย่อมจะก่อให้เกิดวิบากหรือผลเสมอ กรรมดีก็ก่อให้เกิดบุญ ส่วนกรรมชั่วก็ก่อให้เกิดบาป


กรรมอาจจะจำแนกออกแป็นหลายประเภท หากแบ่งตามทางที่ทำก็แบ่งเป็น ๓ ซึ่งได้แก่
๑. กายกรรม กรรมที่ทำทางกาย
๒. วจีกรรม กรรมที่ทำทางวาจา และ
๓. มโนกรรม กรรมที่ทำทางใจ

ตามกรรมบท ๑๐ แบ่ง กายกรรม ออกเป็นฝ่ายละ ๓
๑. ฝ่ายอกุศล ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และผิดประเวณี
๒. ฝ่ายกุศล ได้แก่ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และผิดประเวณี

สำหรับวจีกรรม แบ่งเป็นฝ่ายละ ๔ คือ
๑. ฝ่ายอกุศล ได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
๒. ฝ่ายกุศล ได้แก่ การเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ

ส่วนมโนกรรม แบ่งเป็นฝ่ายละ ๓
๑. ฝ่ายอกุศล ได้แก่ เพ่งเล็งทรัพย์ผู้อื่น ปองร้าย และเห็นผิดจากคลองธรรม
๒. ฝ่ายกุศล ได้แก่ ไม่เพ่งเล็งทรัพย์ผู้อื่น ไม่ปองร้าย และเห็นผิดจากคลองธรรม


ในหนังสือวิสุทธิมรรค ซึ่งแต่งโดยพระพุทธโฆสาจารย์ พระเถระชาวอินเดีย ได้แบ่งกรรมไว้ ๑๒ ประเภท โดยแบ่งตามกาลเวลาที่ให้ผล ตามหน้าที่ และตามความแรงในการให้ผล

กรรมให้ผลตามกาลเวลา
๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตินี้
๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติหน้า
๓. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป
๔. อโหสิกรรม กรรมที่เลิกให้ผล คือให้ผลเสร็จไปแล้ว หรือหมดโอกาสจะให้ผลต่อไป

กรรมให้ผลตามหน้าที่
๕. ชนกรรม กรรมที่แต่งมาดี หรือ ชั่ว
๖. อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่สนับสนุน คือ ถ้ากรรมเดิมแต่งดี ส่งให้ดียิ่งขึ้น กรรมเดิมชั่วก็แต่งให้ชั่ว ก็ส่งให้ชั่วยิ่งขึ้น
๗. อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น หรือขัดขวางกรรมเดิม เช่นเดิมแต่งมาดี เบียนให้ชั่ว เดิมแต่งมาชั่วเบียนให้ดี
๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน เป็นกรรมพลิกหน้ามือ เป็นหลังมือ เช่นเดิมชนกกรรมแต่งไว้ดีเลิศ กลับทีเดียวลงเป็นขอทาน หรือตายไปเลย เดิมชนกรรม แต่งไว้เลวมากกลับทีเดียวเป็นพระราชาหรือมหาเศรษฐีไปเลย

กรรมให้ผลตามความหนักเบา
๙. ครุกรรม กรรมหนัก กรรมฝ่ายดี เช่น ทำสมาธิจนได้ฌาน กรรมฝ่ายชั่ว เช่น ทำอนันตริยกรรม มีฆ่าบิดามารดา เป็นต้น เป็นกรรมที่จะให้ผลโดยไม่มีกรรมอื่นมาขวางหรือกั้นได้
๑๐. พหุลกรรม หรืออาจิณณกรรม กรรมที่ทำจนชิน ฝ่ายดี เช่น ตักบาตรทุกวันตั้งแต่เด็กจนแก่ ฝ่ายชั่วก็เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำ
๑๑. อาสันนกรรม กรรมที่ทำเมื่อใกล้ตาย หรือ ที่เอาจิตใจจดจ่อในเวลาใกล้ตาย อาสันนกรรมย่อมส่งผลให้ไปสู่ที่ดีหรือชั่วได้ เปรียบเหมือนโคแก่ที่อยู่ปากคอกแม้แรงจะน้อย แต่เมื่อเปิดคอกก็ออกได้ก่อน
๑๒. กตัตตากรรม กรรมสักแต่ว่าทำ คือ เจตนาไม่สมบูรณ์ อาจจะทำด้วยความประมาทหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ก็อาจส่งผลดีร้ายให้ได้เหมือนกัน ในเมื่อไม่มีกรรมอื่นจะให้ผลแล้ว

เหตุที่คนคิดว่าทำดีไม่ได้ดี
มีคนบางคนที่ทำกรรมชั่วแต่กลับปรากฏว่าเป็นคนร่ำรวย มีอำนาจวาสนา มีคนเคารพยกย่อง ส่วนคนบางคนทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขยันขันแข็งกลับยากจน มีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก หรือคนบางคนไม่ค่อยทำงานอะไร คอยประจบสอพลอและรับใช้เจ้านาย กลับได้ดี ได้เลื่อนเงินเดือนและตำแหน่ง ส่วนคนบางคนตั้งใจทำงาน แต่ไม่ประจบเจ้านาย ไม่ไปหาเจ้านาย ไม่คอยรับใช้คุณหญิงคุณนายของเจ้านาย กลับไม่ได้ดี จึงทำให้คนคิดไปว่า กฎแห่งกรรมจะไม่จริง

การที่คนทำความชั่วยังได้ดีมีสุขอยู่ จึงเป็นเพราะกรรมชั่วยังไม่ให้ผล กรรมดีที่เขาเคยทำยังเป็นอุปัตถัมภกกรรมคอยสนับสนุนอยู่ เมื่อใดที่กรรมดีอ่อนกำลังลง กรรมชั่วก็จะมาเป็นอุปฆาตกกรรม ทำให้ผู้นั้นต้องเปลี่ยนสภาพไปอย่างพลิกหน้ามือ เช่น เศรษฐีอาจจะต้องเป็นยาจก เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจวาสนา อาจจะถูกฟ้องต้องโทษจำคุก หรือต้องเที่ยวหนีเร่ร่อนไม่มีแผ่นดินจะอยู่

บุคคลเหล่านี้มักจะเป็นคนไม่เชื่อในเรื่องตายแล้วเกิด คิดว่าคนเราเกิดมาเพียงชาตินี้ชาติเดียวก็สิ้นสุดลง คนพวกนี้เมื่อทำความชั่ว และความชั่วยังไม่ให้ผล ก็คิดว่าตนเป็นคนฉลาด ดูถูกพวกที่เชื่อเรื่องกรรมว่าเป็นคนโง่งมงาย คนพวกนี้เหมือนคนที่กินขนมเจือยาพิษ ตราบใดทียาพิษยังไม่ให้ผลก็คิดว่าขนมนั้นเอร็ดอร่อย

การให้ผลของกรรม อาจแบ่งเป็นการให้ผลทางจิตใจ และการให้ผลทางวัตถุ
การให้ผลทางจิตใจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ทำโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น เมื่อทำไปแล้วก็ได้รับผลทันที คือ เมื่อทำกรรมดีก็จะได้รับความสุขความปีติ แต่ถ้าทำกรรมชั่วก็จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง เป็นทุกข์ส่วนการให้ผลทางวัตถุ เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับผู้อื่น จะทำให้ได้ดียากมาก
คนทำดีจะให้ได้ดีทางวัตถุต้องประกอบด้วยหลัก ๔ ประการ คือ
๑. คติสมบัติ ทำดีก็ต้องให้ถูกสถานที่
๒. อุปธิสมบัติ ทำดีให้ถูกตัวบุคคล
๓. กาลสมบัติ ทำดีให้ถูกับเวลา
๔. ปโยคสมบัติ ทำดีต้องทำให้ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ

การที่คนทำกรรมดี และหวังผลดีในทางวัตถุ เช่น หวังลาภ ยศ และสรรเสริญ แต่ไม่ได้รับผลดีตามต้องการ เป็นเพราะเราไม่ทำดีตามหลัก ๔ ประการข้างต้น คือไปทำความดีกับบุคคลที่ไม่มีความดี เช่นเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่เจ้านายของเราเป็นคนคอรัปชั่น การทำความดีของเราย่อมไม่เป็นที่ชื่นชมของเจ้านายของเรา การทำความดีกับบุคคลเหล่านี้ ก็ไม่ผิดอะไรกับเอาเมล็ดพืชทิ้งลงไปบนหินหรือพื้นดินแห้งแล้ว ฉะนั้นการทำความดีเราควรจะหวังผลในทางจิตใจมากกว่าวัตถุ

คำว่าได้ดี และ ได้ชั่ว ในทางโลกและทางธรรม มีความหมายแตกต่างกัน
ในทางโลกมักจะมองเห็นการได้ดีและได้ชั่วเป็นเรื่องทางวัตถุ เมื่อกล่าวว่าคนนั้นได้ดีก็มักจะหมายถึงว่าผู้นั้นได้ลาภและยศ เช่นได้ทรัพย์สมบัติ ได้อำนาจวาสนาหรือได้ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น เมื่อไม่ได้สิ่งเหล่านี้ก็เข้าใจว่าไม่ได้ดี
ในทางธรรม การได้ดีหรือได้ชั่วเป็นเรื่องของจิตใจ
การได้ดี หมายถึง การทำให้จิตใจดีขึ้น ทำให้ธาตุแห่งความดีในตัวของเราพิ่มมากขึ้น ทำให้จิตใจของเราสะอาด สว่าง สงบยิ่งขึ้น
ส่วนการได้ชั่ว หมายถึง การทำให้จิตใจต่ำลงเลวลง ทำให้จิตใจมืดมัวยิ่งขึ้น




Create Date : 13 พฤษภาคม 2555
Last Update : 13 พฤษภาคม 2555 15:08:30 น. 26 comments
Counter : 2606 Pageviews.

 
น้ำตาล
การบริหารจิต
พระธรรมสิงหบุราจารย์


คนที่มีสุขภาพจิตดี ย่อมเรียนหนังสือได้ดี หรือสามารถทำงานได้มากและได้ผลดีมีประสิทธิภาพสูง ทั้งสามารถเข้ากับเพื่อนๆ และช่วยสังคมได้ดี เพราะคนมีสุขภาพจิตดีย่อมมีความสุขและความสำเร็จในชีวิตมากกว่าผู้ที่มีจิตเสื่อมและอ่อนแอเช่นเดียวกับผู้ที่กำลังกายสมบูรณ์แข็งแรงย่อมมีความสุขและความก้าวหน้าในชีวิตมากกว่าคนที่มีร่างกายอ่อนแอและเป็นโรค

ร่างกายจะแข็งแรงและมีพลานามัยดีได้นั้น ก็เพราะเจ้าของกายรู้จักรักษาสุขภาพของตน เช่น ออกกำลังกาย รู้จักบริโภคอาหารที่ถูกสุขลักษณะ พักผ่อนให้เพียงพอและได้อากาสบริสุทธิ์ จิตของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน จะมีสุขภาพสมบูรณ์ได้ ก็เพราะเจ้าของรู้จักบริหารจิตของตน โดยฝึกฝนอารมณ์ด้วยวิธีอันถูกต้อง
การบริหารจิต ก็คือ การฝึกฝนอบรมจิต หรือการทำจิตให้สงบ ให้สะอาดปราศจากความวุ่นวายเดือดร้อน ให้เข้มแข็ง ให้มีสุขภาพจิตดี

คำว่าจิตมีลักษณะต้องสังเกตจึงรู้ได้ ท่านกล่าวลักษณะอาการของจิตไว้ดังนี้
1.ดิ้นรน คือ รับรู้อารมณ์ มีรูปและเสียง เป็นต้น
2.กวัดแกว่ง คือ ไม่หยุดอยู่กับที่คืออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
3.รักษายาก คือ บังคับให้อยู่กับที่ได้ยาก
4.ห้ามยาก คือ ป้องกันมิให้คิดได้ยาก
5.ข่มยาก คือ ฝึกได้ยาก ไม่ค่อยยอมให้ฝึก
6.ไปเร็ว คือ เกิดดับเร็ว ต้องค่อยจับค่อยกำหนดจึงรู้
7.ไปตามอารมณ์ คือ ชอบเรื่องใดคิดเรื่องนั้น ไม่ชอบเรื่องใดก็คิดถึงเรื่องนั้น
8.ไปได้ไกล คือ รับอารมณ์ในที่ไกลๆ ยากจะดึงกลับมาให้อยู่กับที่ได้
9.อยู่ผู้เดียว คือ เกิดกับแต่ละวาระ
10.ไม่มีรูปร่าง คือ ไม่มีรูป ไม่มีสี ไม่มีสัณฐาน
11.มีที่อยู่คือถ้ำ คือ ที่อยู่ในกายของเรานี้

ส่วนการบริหารจิต เป็นการฝึกจิตให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทางศาสนาเรียกว่ามีอารมณ์เดียว บังคับไม่ให้ดิ้นรน กวัดแกว่ง ทำให้ความคิดอยู่กับที่นานๆ ทำบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ
วิธีการฝึกคือให้กำหนดรู้ลมหายใจ ลมหายใจเข้า-ออก ยาวหรือสั้นให้กำหนดรู้ เพราะมีลมหายใจด้วยกันทุกคน
ฝึกฝนทำอย่างนี้บ่อยๆ นานเข้ามีความชำนาญแล้วจะเป็นจิตบริสุทธิ์ สะอาดผ่องใส มีความตั้งมั่นไม่คลอนแคลน เกิดความพร้อม คือพร้อมที่จะทำงานได้ตลอดเวลา



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:54:11 น.  

 

ชีวิตและความตาย
พระธรรมสิงหบุรนาจารย์

ธรรมดาของสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วคราว แล้วดับไป ภาษาสามัญว่า“ตาย” ในขณะที่ดำรงอยู่ก็อยู่ด้วยความยุ่งยากลำบากนานาประการ ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเพื่อประคองชีวิตไว้ ต้องมีภาระหนักในการประคับประคองรักษาชีวิตทั้งสิ้น หรือมิฉะนั้นก็พบความทุกข์ซ้ำซากไปตลอดชีวิต ความตายเป็นทางออกจากทุกข์ชั่วระยะหนึ่ง หรืออาจเปลี่ยนจากทุกข์อย่างหนึ่งไปสู่ทุกข์อื่นที่แปลกและใหม่อีกอย่างหนึ่ง



ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง ยากจนหรือมั่งมี สวยหรือขี้เหร่ ล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของความทุกข์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ

มนุษย์และสัตว์ทั่วไปจึงมีลูกศรสองดอกเสียบอยู่ดอกหนึ่งที่กาย คือทุกข์ทางกาย อีกดอกหนึ่งเสียบใจ คือความทุกข์ใจ ซึ่งมีสาเหตุอยู่มากมายสุดจะพรรณนาได้บางคนบีบคั้นจนทนไม่ไหว ต้องมาฆ่าตัวตายด้วยวิธีต่างๆเพื่อหนีทุกข์ แต่ก็หาหนีได้พ้นไม่ เขาต้องได้รับทุกข์ในภพหน้าอีก และอาจจะรุนแรงยิ่งกว่าทุกข์ในภพนี้ที่เขาได้รับอยู่แล้วเสียอีก จนกว่าเมื่อใดเขาได้กำหนดรู้ทุกข์และเหตุทุกข์แล้ว ละเหตุแห่งทุกข์เสีย การติดตามแห่งทุกข์จึงจะสิ้นสุดลง

บุคคลจะมียศใหญ่อย่างไร มีทรัพย์มากเพียงใดมีบริวารล้นหลามอย่างไร ก็ไม่พ้นที่จะต้องตกอยู่ในอำนาจของ ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตาย ในระหว่างมีชีวิตอยู่ก็ถูกความทุกข์ต่างๆรุกรานเบียดเบียนจนหาความสุขสำราญใจที่แท้จริงได้ยาก ความทุกข์เหล่านั้น เช่น ความทุกข์ใจ คับแค้นใจเพราะเหตุต่างๆ ความหนาว ร้อน หิวกระหาย ปวดอุจจาระปัสสาวะซึ่งต้องบำบัดอยู่เสมอ โรคภัยไข้เจ็บ ความถูกกิเลสแผดเผาให้เร่าร้อน ความต้องทนทุกข์ทรมานเพราะผลกรรมของตน ความต้องร่วมทุกข์ด้วยผู้เกี่ยวข้อง การต้องการแสวงหาอาหาร การทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นที่ขัดแย้งกัน เหล่านี้ล้วนเป็นทุกข์ของชีวิตทั้งสิ้น

เมื่อมาถึงจุดนี้ ความยิ่งใหญ่ของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็จะกลายเป็นเพียงนิยายไว้เล่าสู่กันฟังเท่านั้น
มงกุฎประดับเพชรก็มีค่าเท่ากับหมวกฟาง พระคทาอันมีลวดลายวิจิตรก็เป็นเสมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่า เมื่อความตายมาถึงเข้า พระราชาก็ต้องถอดมงกุฎเพชรลงวางทิ้งพระคทาไว้แล้วเดินเคียงคู่ไปกับชาวนาหรือขอทาน ผู้ได้ทิ้งจอบทิ้งเสียมหมวกฟางและคันไถ

แต่ถ้าไม่มีความตายแล้วมนุษย์ทั้งหลายก็จะมัวเมาประมาท และมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากกว่านี้ เมื่อมองในแง่นี้แล้ว พญามัจจุราชคือความตายก็มีบุญคุณต่อมนุษย์มากอยู่ เพราะเพียงแต่นึกถึงท่านบ่อยๆเท่านั้น ก็ทำให้ความโลภ โกรธ หลง สงบระงับลง และแม้เพียงแต่เอาชื่อของท่านไปขู่เท่านั้น ก็ทำให้บุคคลบางคนวางมือจากความชั่วทุจริตที่เคยทำมาก่อนแต่ก็พญามัจจุราชอีกเหมือนกันที่กระชากเอาชีวิตของคนดีมีประโยชน์บางคนไปอย่างหน้าตาเฉย แม้ในโอกาสอันยังไม่ควร หรือเป็นเพราะควรจะไปมีความสุขในโลกหน้ามากกว่าปล่อยให้มีความทุกข์อยู่ในโลกมนุษย์อันเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยความสุขและทุกข์นี้ก็ได้

เด็กร้องไห้พร้อมด้วยกำมือแน่น เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อหลับตาลาโลกนั้นทุกคนแบมือออก เหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่า มิได้เอาอะไรไปเลย

เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรประมาทในวัย ว่ายังหนุ่มสาว หรือยังไม่แก่ ในความไม่มีโรคและในชีวิต ว่าชีวิตของเรายังยืนยาว มีอยู่เสมอมิใช่หรือ ที่เห็นกันอยู่ตอนเช้า ตอนสายตายเสียแล้ว เห็นกันอยู่ตอนสาว บ่ายตายเสียแล้ว

พึงรีบทำความดี (รีบดับทุกข์)

พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทุกคนทุกวัย พิจารณาเนืองๆว่า เรามีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นไปได้
นอกจากนี้ให้พิจารณาถึงความที่จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง และพิจารณาถึงกรรมว่าเรามีกรรมเป็นของของตน ต้องรับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด เป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่วเพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ความตายไม่อาจพรากความรักของคนที่รักได้ ยังทำคนที่รักอยู่แล้วให้รักมากขึ้น ความดีที่เคยทำไว้และยังไม่ค่อยปรากฏเมื่อยังมีชีวิตอยู่ จะปรากฏมากขึ้นเด่นชัดขึ้น คนที่เคยริษยาก็จะเลิกริษยา และหันกลับมายกย่องชมเชย

ลดละความเพลินเพลินหลงใหลมัวเมาต่าง ๆ ให้เบาบางลง อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนไว้ว่า
“ร่าเริงอะไรกันนัก เพลิดเพลินอะไรกันนัก เมื่อโลกนี้ลุกโพลงอยู่ด้วยเพลิง คือความเจ็บ ความแก่ และความตาย ท่านทั้งหลายอยู่ท่ามกลางความมืดมนคือความหลง เหตุไฉนจึงไม่แสวงหาดวงประทีบคือ ปัญญาเล่า”



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:54:43 น.  

 

เยาวชนกับครอบครัว
การแสดงปาฐกถาธรรม
พระพุทธศาสนาท่านไม่ได้เน้นว่าไปทำบุญตักบาตรกันนะ ไปสร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร แต่ท่านเน้นการสร้างคน แก้ปัญหาให้แก่คน สร้างวัดสร้างศาลา มันก็ง่าย แต่สร้างคนมันยากเหลือกิน ศาลาพังไปหลายหลัง กุฏิพังไปหลายหลังไม่เป็นไร ถ้าคนพังสร้างอะไรก็ไม่ได้
อดีตนั้นเป็นเหมือนความฝัน อย่าเอามาระลึก ปัจจุบันเป็นความจริง รีบทำงานให้มันเสร็จไปได้ไหมในปัจจุบัน อย่าไประลึกถึงอดีตที่ผ่านมา ไม่เกิดประโยชน์ อนาคตไม่แน่นอน อย่าจับมั่นคั้นให้ตาย ผิดหวังจะเสียใจตลอดชีวิต
คนดีเหมือนผึ้งบินสูง คนเลวคนชั่วเหมือนแมลงหวี่แมลงวัน ชอบบินต่ำ ๆ ชอบของเหม็น ชอบของชั่ว ผึ้งนี้มันบินสูงมาก มันกินน้ำต้อย*--น้ำต้อยคือน้ำหวานที่หล่ออยู่ในดอกไม้
คนเราถ้าฝืนใจไม่ได้ ดีไม่ได้ ผู้หญิงที่น่าเกลียดคือผู้หญิงที่ตามใจตัว ผู้ชายที่น่ากลัวคือไม่รู้จักเกรงใจคน ขึ้นบ้านใครเปิดประตูครัวเลย ยังไม่คุ้นกับเขาเลย

ถ้ามีลูกสาวอย่าให้เขาตามใจตัว คนจะดีได้ต้องฝืนใจได้ ถ้าฝืนใจไม่ได้ดีไม่ได้ ทำอย่างไรก็ดีไม่ได้ จะส่งไปอบรมที่ไหนก็ดีไม่ได้ จิตใจมันเหลวเหมือนน้ำ เทลงไปที่ไหนมันก็ไหลลงสู่ที่ต่ำ มันไม่ขึ้นบนภูเขาได้

สรุปว่า ความดีต้องมีอุปสรรค ความดีนี้ทำยาก สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากได้ สร้างความชั่วนั้นสบายไม่ต้องลงทุนอะไร

คนที่ไร้ธรรมะจะขี้เกียจ ไม่เอาการเอางานเลย ขี้โกง ขี้อิจฉาริษยาอยู่ในตัวของคนประเภทนี้


ไปไหนปากอย่าไว ใจอย่าเบา เรื่องเก่าอย่ามารื้อฟื้น เรื่องอื่นอย่าไปคิด กิจที่ชอบ ทำไมไม่ทำ
คนที่เลวร้ายเพราะมันตามใจตัว มันกลัวลำบาก กลัวความยากจะเกิดขึ้น คนที่ไม่ตามใจตัว ไม่กลัวลำบาก ฝืนใจเข้าไปสู่ความดีได้ สมมุติว่าเราติดเหล้า ฝืนใจไม่กินซะ ถือสัจจะ รับรองแก้ได้แน่นอน
คนที่ทำไม่ดีนั้นน่าสงสาร สมัยก่อนอาตมาเกลียดคนทำชั่วมาก เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้ว คนทำชั่วนี่น่าสงสาร เขามีปัญหามาก ควรจะแก้ไขช่วยเหลือเขาให้พ้นเสียจากความชั่ว หาวิธีการแก้ไขให้เขาได้พ้นจากปัญหาเหล่านั้น ช่วยกันให้เขากลับร้ายกลายเป็นดีในสังคมให้จงได้
สามีภรรยาที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกในอนาคตนั้นตอนตั้งครรภ์สวดมนต์ไหว้พระตักบาตรทุกวัน รับรองลูกท่านมาจากสวรรค์

บ้านไหนจิตใจสกปรก สัตว์นรกมาเกิด เถียงพ่อเถียงแม่คำไม่ตกฟาก มาจากนรกทั้งนั้น ถ้าพ่อแม่สกปรกเขาก็ส่งคนอย่างนี้มาเกิดในบ้านนั้น



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:55:12 น.  

 

“วันเกิดของลูกคือวันตายของแม่”
กฏแห่งกรรมตามคำสอนของหลวงพ่อ
นพ.วิชัย เทียนถาวร
อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

พ่อแม่บางคนถูกลูกทองทิ้ง ต้องไปอยู่สถานที่สำหรับเลี้ยงคนแก่ หรืออยู่บ้านลำพังคนเดียว ต้องว้าเหว่เหงา ซึมเศร้า (บางคนแก้เหงาด้วยการเลี้ยงสุนัขไว้เป็นเพื่อน) บุตรธิดาประเภทนี้ยึดวัตถุนิยม มีความเจริญทางด้านวัตถุมากมาย มักจะเล่าเรียนและทำงานตัวเป็นเกลียว แต่อยู่แบบตัวใครตัวมัน เพราะคิดว่าทำไมจะต้องช่วงเหลือกัน ในเมื่อต่างคนต่างก็ทำมาหากินของตนเองได้
อีกพวกหนึ่งอาจไม่คิดสร้างวัตถุมากมายนัก ชอบเลี้ยงชีพสร้างตัวด้วยการบำรุงจิตใจให้สบายมากกว่า พวกนี้จะสร้างและมีความผูกพันระหว่างมารดา บิดา กับบุตร-ธิดาอยู่ตลอด มารดาบิดาซึ่งมักจะเห็นบุตรธิดาของตนเป็นเด็กอยู่เสมอ ก็มีความห่วงใยกันเรื่อยไป บุตรธิดาก็ไม่ทอดทิ้งท่านให้ว้าเหว่ บ้างก็มีลูกซึ่งเป็นหลานของท่านให้ท่านเลี้ยง ท่านจึงไม่ต้องไปหาสุนัขมาเลี้ยงเป็นเพื่อนมีลูกหลานมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว บางครั้งออกจะมีมากเกินไปเสียอีก พวกนี้มักจะมีแนวคิดแตกต่างจากพวกแรกค่อนข้างชัดเจน เช่น จะชอบชีวิตเรียบง่าย แบบอยู่กระท่อมหลังเล็กๆกลางไร่กลางทุ่ง เป่าขลุ่ยร้องเพลงกันอย่างสบายใจ เพราะเห็สว่าจะหาเงินมากกมายกันไปเพื่ออะไรเพราะการอยู่กระท่อมหรือ่บ้านหลังเล็กๆ ด้วยความเป็นอยู่อย่างพอเพียง ก็มีความพอใจ มีความสุขแล้ว ไม่ต้องทะเยอทะยานหาบ้านหลังใหญ่ หารถยนต์คันโต ข้าวของเครื่องใช้หรูหราใหญ่โตให้ลำบาก ซึ่งหลายครั้งการขวนขวายอย่างนั้นทำให้เกิดทุข์อย่างมหันต์ก็มี
การเลือกเดินเส้นทางชีวิตที่ดี ทางพระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า ให้ก่อร่างสร้างตนให้มีความเจริญและความสุขทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ ทั้งในส่วนตัวและทางสังคม
คำสอนหนึ่งที่ผมจำได้แม่นคือ เงินทองคืออสรพิษ ไม่ใช่ของเราอย่าไปเอา จะต้องเป็นพิษเป็นภัยอย่างแน่นอน ได้มาโดยไม่ชอบธรรมมันจะทำให้ร้ายทีหลัง



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:55:43 น.  

 

The Precious Human Life
Ng-en Xin
ชีวิตมนุษย์อันประเสริฐ
เง็น ซิน

ระหว่างปีค.ศ.๒๐๐๖ (พ.ศ.๒๕๔๙) จากการชี้แนะของแม่ชีซูง้อผู้เป็นอาจารย์ของเรา ข้าพเจ้าไปวัดอัมพวันพร้อมกับแม่เพื่อปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๗ วัน และเป็นครั้งที่ ๒ ที่ข้าพเจ้าและแม่ไปปฏิบัติที่วัดด้วยกัน การปฏิบัติธรรมครั้งแรกได้ผลดี ทำให้ข้าพเจ้าตั้งตาคอยการฝึกกรรมฐานในครั้งนี้
การปฏิบัติธรรมในแต่ละวันเริ่มตั้งแต่ตี ๔ เราต้องไปพร้อมกันที่อาคารหลักเพื่อทำวัตรเช้า กิจวัตรของเราคือต้องฝึกกรรมฐาน ๓ ช่วง ช่วงละ ๓ ชั่วโมง ในแต่ละช่วงมีทั้งการเดินจงกรมและนั่งสมาธิ และเราจะได้นอนเวลา ๔ ทุ่มทุกคืน ในความเห็นของข้าพเจ้า คิดว่า ๓ วันแรกของการฝึกน่าจะเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าปรับตัวเพื่อให้ชินกับการฝึกที่เข้มข้น โดยทั่วไปในวันที่ ๔ ข้าพเจ้าน่าจะคุ้นเคยกับการฝึกมากขึ้น และน่าจะทนกับความง่วงและความล้าในวันแรกๆได้แล้ว

หลังจากฝึกสมาธิในช่วงเช้าของวันที่ ๔ ข้าพเจ้าเห็นแม่ร้องไห้
แม่ก็ได้เอ่ยกับข้าพเจ้า “แม่เห็นอาม่า (คุณยาย) ตอนนั่งสมาธิช่วงที่ผ่านมา”

ข้าพเจ้าเห็นน้ำตาไหลอาบแก้มของแม่ รู้สึกหนักอึ้งในอก ข้าพเจ้าสูดหายใจลึกแล้วพยายามจะกำหนดอาการต่อไปอย่างเท่าทัน

ก่อนที่แม่จะพูดต่อข้าพเจ้าก็พูดด้วยน้ำเสียงปกติ“ไม่ต้องทำอะไรแล้วกำหนดอารมณ์ของแม่ให้ดี”

แล้วข้าพเจ้าก็เดินกลับไปยังห้องพัก แม้การเห็นแม่ในสภาพอารมณ์นั้นทำให้ข้าพเจ้ากังวล ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่แม่เห็นขณะนั่งสมาธินัก ข้าพเจ้าคิดว่าต้องเป็นสิ่งที่ท่านจินตนาการขึ้น และหวังว่าสิ่งนั้นจะไม่ทำให้ความตั้งใจปฏิบัติของแม่ไขว้เขวหลังจากเริ่มปฏิบัติได้ไม่กี่วันข้าพเจ้าปล่อยให้เหตุการณ์ที่ได้รู้เห็นนั้นผ่านไปแล้วปฏิบัติตามปกติ
คืนนั้นเอง ข้าพเจ้านอนหลับตามปกติ ข้าพเจ้านอนในห้องตามลำพัง
ขณะอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียกชื่อข้าพเจ้า เงาในรูปร่างของผู้หญิงปรากฏขึ้นข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่าเธอเดินจากระเบียงเข้ามาในห้อง สิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรคุกเข่าข้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าระลึกได้เดี๋ยวนั้นนี่คือคุณยายของข้าพเจ้าเอง
อาม่าปรากฏกายในรูปร่างที่น่าเวทนา และขอให้อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน ในตอนนั้นข้าพเจ้าพยายามกำหนดสติรู้ แม้ว่าจะอยู่ในท่านอน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนสงบแต่ก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้และถูกทำให้รู้สึกถึงชะตากรรมที่คุณยายได้รับ

“ไม่ต้องกลัว อาม่าผมจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ขอให้อยู่ในวัดนี่แหละ” ข้าพเจ้ากล่าวอย่างมีสติ

ในทันทีหลังจากนั้นข้าพเจ้ารู้สึกอุ่นขึ้นตรงลิ้นปี่แล้วก็หลับลึก เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าเหตุการณ์ทั้งหมดทบทวนอยู่ในหัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากำหนดและปล่อยให้เหตุการณ์นั้นผ่านไป
แม้ว่าท่านจะใจดีและใจกว้าง แต่ก็ไม่ได้นับถือศาสนาใด ท่านไม่รู้จักศาสนาพุทธ มีได้ฝึกปฏิบัติท่านมักกล่าวว่ามีจิตใจดีก็พอแล้ว ประสบการณ์เมื่อคืนทำให้เชื่อว่าสิ่งที่คุณยายกล่าวอาจไม่จริง ท่านเส้นเลือดในสมองแตก และนอนอยู่กับที่ ๕ ปี ก่อนจะเสียชีวิต แม่ของข้าพเจ้าลาออกจากงานเพื่อจะได้ดูแลท่านตลอดเวลา ในช่วงสุดท้ายของชีวิตท่านเป็นแผลกดทับที่หลังอย่างรุนแรงจิตใจของท่านถูกรบกวนด้วยความเจ็บปวดจากอาการป่วยข้าพเจ้าคิดว่าช่วงสุดท้ายของชีวิตนี่เองที่ทำให้ท่านเกิดในภูมิที่ต่ำกว่าเดิม เวลาที่ผ่านมาสูญเปล่าเพราะท่านไม่เคยได้ฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิเป็นการฝึกเราเพื่อเตรียมตัวสำหรับขณะเวลาอันสำคัญนี้ – ขณะเวลาแห่งความตาย การฝึกสมาธิทำให้จิตของเราเข้มแข็ง และ ทำให้อุเบกขาเกิด ดังนั้นเราจึงเผชิญหน้ากับแต่ละขณะของชีวิตได้อย่างปราศจากความกลัว
ก่อนที่การฝึกในช่วงเช้าจะเริ่ม ข้าพเจ้ามองหาแม่ชีซูง้อและเล่าให้เธอฟังเรื่องเมื่อคืน หลังจากท่านได้ฟังก็เรียกแม่มาด้วย ท่านบอกให้ข้าพเจ้าและแม่รวมพลังกันแผ่เมตตาให้คุณยาย แม่ของข้าพเจ้าสะเทือนใจและร้องไห้หลังจากได้รับคำแนะนำจากแม่ชีซูง้อ ท่านเชื่อมโยงเข้ากับเสียงคุณยายเรียก ที่ท่านได้ยินอีกครั้งระหว่างการฝึกในช่วงเช้าตรู่ ท่านพรรณนาสภาพของคุณยายว่าเป็นหนึ่งในพวกที่ทุกข์หนัก – ไม่มีเสื้อสวม และดำรงอยู่ในสภาพที่เลวร้ายที่สุด

“อย่างน้อยท่านก็มีลูกสาวและหลายชายที่กำลังปฏิบัติธรรม และสามารถช่วยท่านได้” แม่ชีซูง้อกล่าวอย่างสงบเย็น เมื่อได้ยินเสียงของท่านแม่ก็สงบลง
เราทั้งคู่ใช้เวลาทั้งวันฝึกวิปัสสนาเพื่อที่จะแผ่เมตตาให้คุณยาย หลังการฝึกแต่ละช่วง ข้าพเจ้าระลึกถึงความกตัญญูที่ข้าพเจ้ามีต่อคุณยายเพราะท่านให้อะไรแก่ข้าพเจ้ามากมาย และแผ่เมตตาให้ท่านปรารถนาให้ท่านมีสุขอย่างแท้จริง ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดก็ตาม

ส่วนแม่ของข้าพเจ้าหลังจากปฏิบัติท่านฝันว่าคุณยายใส่เสื้อผ้าและ
การพบประสบการณ์ดังกล่าวพลิกชีวิตของข้าพเจ้าและทำให้เข้าใจความสำคัญของการเกิดเป็นมนุษย์ที่ช่วยให้ฝึกสมาธิได้ ต้นทุนที่ทำให้ฝึกสมาธิได้คือการมีร่างกายมนุษย์ที่สมบูรณ์ นี่คือสิ่งจำเป็นที่ต้องมีก่อนจะพายเรือด้วยระยะทางยาวไกล เพื่อให้เรามีความพิสุทธิ์เพียงพอจะไปถึงพระนิพพาน ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความสมดุลระหว่างความเจ็บปวดและความยินดี เพื่อจูงใจให้เดินในทางสายกลาง

ชีวิตในภูมิอันต่ำเป็นทุกข์อย่างยิ่งยวด และจะไม่มีกำลังเหลือพอให้ปฏิบัติธรรมชีวิตเช่นเทพเทวาก็มีความสุขมากเสียจนไม่จูงใจให้ปฏิบัติธรรม



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:56:20 น.  

 

ครอบครัวของข้าพเจ้า
โจเซฟีน ลี วาย.ซี.
ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวชาวพุทธ แต่เมื่อยังเล็กก็มิได้เข้าใจศาสนาพุทธนัก เป็นพุทธศาสนิกชนที่ไม่มีความรู้ และไม่ได้เรียนธรรมะ เมื่อครั้งยังเด็ก สิ่งที่จำได้ก็คือ ต้องเป็นเด็กดี เป็นลูกที่ดี กตัญญูต่อพ่อแม่และทำดีต่อผู้อื่น แต่ก็เป็นเด็กหญิงอารมณ์ร้าย มักอารมณ์เสีย มีโทสะทำร้าย หุนหันพลันแล่น และขี้อิจฉา
ครอบครัวยากจนและต้องการเงินมาจุนเจือ เพราะมีพี่น้อง อีก ๕ คน นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังเป็นเด็กหญิงอ่อนไหว ที่ต้องการความรักความเอาใจใส่ กำลังใจและแรงสนับสนุนอย่าง
ช่วงเวลาที่ยากลำบากมาถึงเมื่อน้องๆ ต้องไปโรงเรียน ครอบครัวขัดสนเงินทองอย่างหนัก การทะเลาะกันเรื่องเงินเป็นเรื่องประจำวันสำหรับครอบครัวข้าพเจ้า เมื่อไรก็ตามที่น้องๆของเงินจากพ่อแม่ ข้าพเจ้าจะมีปฏิกิริยาก้าวร้าวและอารมณ์ร้อน ที่สุดก็กลายเป็นคนก้าวร้าวและขี้โมโห ความคับข้องใจทั้งหมดส่งผลร้ายแก่ข้าพเจ้าและทำให้หันหลังให้ครอบครัว
ข้าพเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา และพูดโดยไม่ยั้งคิดว่าสิ่งที่พูดจะถูกต้องหรือไม่ หรือจะทำให้คนอื่นอับอายหรือเปล่าซึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตของข้าพเจ้าอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับการแสวงหาความรักและความสนใจจากครอบครัวอย่างสิ้นหวัง
กระทั่งพบชายหนุ่มชาวฟินแลนด์ผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าก็ไปประเทศฟินแลนด์เพื่อคว้าโอกาสเรียนต่อหลังจากไม่ได้เรียนต่อเมื่อจบชั้นมัธยม วันเวลาผ่านไปข้าพเจ้ารู้สึกโดดเดี่ยวเพราะสามีต้องเดินทางไปทำธุรกิจอยู่ ข้าพเจ้าคิดถึงบ้าน ข้าพเจ้าไม่กล้าโทรกลับบ้าน เพราะจากไปอย่างดื้อรั้น ออกจากบ้านเพราะต้องเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียว เหนื่อยและอ่อนล้ากับอารมณ์ที่ไม่น่ายินดี พ่อแม่โกรธมากและไม่ให้อภัยเมื่อข้าพเจ้าโทรถึง
สามีของข้าพเจ้าสังเกตได้ว่าข้าพเจ้าลำบากในสิ่งแวดล้อมใหม่ เขาจึงทำสัญญาธุรกิจเพื่อไปอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ๒ ปี เพื่อให้ข้าพเจ้าได้อยู่ใกล้บ้าน สามีของข้าพเจ้าเริ่มต้นเป็นพนักงานฝ่ายขายอย่างยากลำบากในบริษัท และไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ ชีวิตที่ย้ายมาในฝันใหม่ไม่ง่ายสำหรับทุกคนข้าพเจ้าทำงานไม่ได้ ดังนั้นจึงอยู่เปล่าๆไปวันๆ ทำให้เหนื่อยใจในภายหลัง เพราะตารางทำงานของสามีที่ยุ่งจนน่าใจหาย เขาเครียด เหนื่อยล้าและอารมณ์เสียง่ายมาก ในเวลาว่างเรามักโต้เถียงและทะเลาะกันเป็นส่วนใหญ่ วันเดือนผ่านไปความสัมพันธ์ของเราแย่ลงมาก ๒ ปีผ่านไปเราก็สร้างกำแพงกั้น ระหว่างกัน ทั้งความสัมพันธ์กับทางบ้านของข้าพเจ้าก็ไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด
เรากลับไปฟินแลนด์อีกครั้ง เป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสกว่าเดิม ข้าพเจ้าเข้าเรียนสาขาสห
วิทยาการในแผนการเยน ข้าพเจ้าดีใจมากและเรียนจบใน ๓ ปี แต่อีกทางหนึ่งข้าพเจ้า ไม่ไยดีและละทิ้งครอบครัวแล้วโดยสิ้นเชิง ข้าพเจ้าขังตัวเองอยู่ในโลกของข้าพเจ้าโดยไม่ให้ใครเข้ามา ข้าพเจ้าสิ้นศรัทธาสิ้นความไว้วางใจ และสิ้นเรี่ยวแรงต่อสู้ยืนหยัดเพื่อตัวเองข้าพเจ้าจมลึกและป่วยหลังเรียนข้าพเจ้าต้องกลับสิงคโปร์ ใช้เวลา ๓ เดือนคิดทบทวนระหว่างการรักษา
ข้าพเจ้าได้รับการผ่าตัดสามีของข้าพเจ้าสนใจในทางพุทธศาสนาและการทำสมาธิเราไปวัดหลายแห่งแต่ยังไม่พบวัดที่เหมาะสม วันหนึ่งเราเห็นวัดไทยจึงไปยังวัดนั้นในบ่ายวันหนึ่ง เริ่มที่วัดอนันดานี้
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากถูกสอนให้มีสติรู้และกำหนด ไม่ว่ามีอะไรมากระทบสัมผัสขณะเดินจงกรมและนั่งสมาธิ
เดือนหนึ่งผ่านไป เราได้ทราบว่ามีโอกาสที่จะได้ไปฝึกสมาธิที่ประเทศไทย ณ วัดอัมพวัน เป็นเวลา ๗ วัน ข้าพเจ้ากังวลอย่างยิ่งสับสมและกลัว เมื่อได้ยินว่าต้องอยู่ในสถานที่ฝึกและประพฤติสันโดษตลอด ๗ วัน จินตนาการเพี้ยนๆ
กระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้สิ้นหวังและยังสนใจจะไปฝึกที่วัดอัมพวันอยู่ เพื่อค้นหาความจริงว่าการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน จะทำให้ได้ประสบการณ์ตามที่กล่าวไว้ในหนังสือ “ผลแห่งกรรม” (Fruits of Karma) จริงหรือไม่
เมื่อเราไปถึงวัดอัมพวัน เราได้อยู่ในห้องสำหรับสองคน และถูกให้ไปรวมกันที่อาคารฝึกรวมเพื่อรับศีลแปดและรับพรจากท่านเจ้าอาวาส อาจารย์สอนให้เราทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดในการฝึกสมาธิ กำหนดเท่าทันทุกอารมณ์และทำตามกฎของวัด เราไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยหรือเดินเล่นบ่าย
วันแรกเราเริ่มการฝึกครั้งแรก ขณะเดินจงกรม ข้าพเจ้ารู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ และน้ำตาไหลพราก ร้องไห้อยู่นานในที่สุดน้ำตาก็หยุดไหลและรู้สึกดีขึ้น สองวันถัดมาการฝึกสมาธิของข้าพเจ้าล้วนทุกข์ทนแม้หัวใจไม่ได้รู้สึกหนักอึ้ง แต่ยามนั้นราวกับอารมณ์ต่างๆที่ซ่อนอยู่ในตัวข้าพเจ้ากำลังรอโอกาสที่จะถูกปลดปล่อย หลังการฝึกแต่ละช่วงข้าพเจ้ารู้สึกผ่อนคลาย
ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่าตัวของข้าพเจ้าถูกทำร้ายและเสียหายมากจากการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะความคาดหวัง ความกังวล การไม่ใส่ใจ และการยึดติดสิ่งต่างๆข้าพเจ้าสำนึกถึงความก้าวร้าวและการกระทำรุนแรงที่ได้กระทำกับพี่น้องและเพื่อนๆในครั้งเยาว์วัย จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดและมีรอยบาดเจ็บที่ผิวตามร่างกายของตัวเองขณะฝึกสมาธิ ครู่เดียวหลังจากนั้นความคำนึงของข้าพเจ้าก็กลับไปสู่ความทรงจำเก่าๆ ข้าพเจ้าละอายตนเองอย่างยิ่งและเสียใจอย่างสุดซึ้งกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ข้าพเจ้าขออภัยต่อผู้ที่ข้าพเจ้าเคยทำให้เจ็บปวด

ขณะที่การฝึกเข้มข้นขึ้นระหว่างวันที่ ๓ ถึงวันที่ ๔ ตระหนักได้ว่าข้าพเจ้ามีความละเลย ความกลัว และยึดติดสิ่งต่างๆ มากเพียงใด
การปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันให้ผลสำเร็จอย่างประเสริฐ ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายพื้นฐานของการมีสติปัญญา เมตตากรุณา การไม่ถือตน ความพยายามชอบ และการมีสมาธิ ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะอ่านความคิดของข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะฟังเสียงจากจิตใจเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์โกรธความเศร้า ความรุ่มร้อน ความฟุ้งซ่าน และอื่นๆ ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ยามนี่ข้าพเจ้ารู้สึกสงบสุขกับตัวเองและผู้อื่น ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะละทิ้งความคาดหวังที่มีต่อผู้อื่นไป ตอนนี้ข้าพเจ้าสื่อสารกับผู้อื่นด้วยน้ำเสียงที่สงบเย็นมากขึ้น เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าคิดถึงสองครั้งก่อนจะพูดสิ่งที่หากพูดออกไปแล้วอาจทำให้คนอื่นเจ็บปวด ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นสุขขึ้นแล้ว ไม่ได้เป็นคนขี้โมโหและช่างกระทบกระเทียบอีกต่อไป ข้าพเจ้ารักความสงบและความปรองดอง ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของอนิจจังที่ว่า ไม่มีอะไรคงที่ตลอดกาล ผู้คนเปลี่ยนไปเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะทำชีวิตให้มีแก่นสารและมีความหมายทุกขณะโดยไม่ตัดสินผู้อื่น

สองวันหลังจากปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าไปเยี่ยมครอบครัวเพื่อให้รู้ว่าทุก อย่างไปได้ด้วยดี ข้าพเจ้าพูดคุยเรื่อง การฝึกสมาธิที่วัด อันทำให้ข้าพเจ้าตื่นจากวิถี
ชีวิตเก่าๆที่เป็นมาหลายปี
ให้พอใจกับชีวิตที่เรียบง่าย แล้วแม่ก็พูดขึ้นว่าสักวันหนึ่งจะไปอยู่กับข้าพเจ้าเมื่อแก่ตัวลง ข้าพเจ้าดีใจและแปลกใจที่ได้ยินข่าวดีจากแม่ ผู้ซึ่งไม่ยอมรับข้อเสนอของข้าพเจ้าเพราะไม่ชอบสิ่งที่ข้าพเจ้าทำในสมัยก่อน

ในที่สุดข้าพเจ้าเข้าใจปรัชญาพื้นฐานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เหตุและผลคือกรรม ข้าพเจ้าปราศจากความสงสัยและความเคลือบแคลงในพระพุทธศาสนาข้าพเจ้ามีศรัทธาและความเชื่อเต็มเปี่ยมในพระพุทธศาสนาวิปัสสนากรรมฐาน และพระธรรมคำสอนยิ่งนัก



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:56:50 น.  

 

กว่าข้าพเจ้าจะเป็นชาวพุทธ
ข้าพเจ้าเกิดที่ประเทศฟินแลนด์ซึ่งมีคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาหลัก ในฐานะที่เกิดมาเป็นชาวคริสเตียนข้าพเจ้าเคยมีปัญหามากในการยอมรับ “สัจสมบูรณ์” (Absolute Truths)* ซึ่งส่วนมากเป็นคำตอบระดับผิวเผิน ข้าพเจ้าเชื่อว่าน่าจะต้องมีคำตอบที่มีตรรกะลึกซึ้งกว่านั้น ข้าพเจ้ามักถามตนเองเสมอว่า “เราคือใคร จุดหมายของชีวิตคืออะไร ตายแล้วเป็นอย่างไรทำไมบางคนจึงทุกข์มากขณะที่บางคนอยู่อย่างเป็นสุข
เมื่อยังเป็นวัยรุ่นเพื่อนของข้าพเจ้าแนะให้อ่านเรื่องราวชีวิตของ สิทธารถะ** ซึ่งเขาบอกว่าเป็น “เรื่องเล่า” ที่ดี ข้าพเจ้าอ่าน และบทสุดท้ายนั้นจับใจข้าพเจ้ายิ่งจนต้องหลั่งน้ำตา ในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้ว่านี่คือเรื่องจากชีวิตจริงขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อยังเรียนชั้นมัธยมปลาย ข้าพเจ้าสนใจการฝึกสมาธิเป็นอย่างยิ่ง หลังจากได้อ่านบทความโฆษณาเรื่องการฝึกสมาธิเป็นอย่างยิ่ง หลังจากได้อ่านบทความโฆษณา ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น แต่ค่าเรียนนั้นแพงเกินกำลังของข้าพเจ้า
โชคไม่ดีที่ขณะนั้นประเทศฟินแลนด์ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง วิศวกรจบใหม่เช่นข้าพเจ้าจึงมีความน้อยที่จะได้งานในทันที แม่แนะให้ข้าพเจ้าลงทะเบียนเรียนหลักสูตรธุรกิจที่สิงคโปร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่นานก็ได้จดหมายตอบรับและนั่งเครื่องบินตรงไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง ๘ เดือนเพลิดเพลินราวดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ได้พบเพื่อนใหม่ชาวสิงคโปร์ อาหารเลิศรสและมีงานสังสรรค์อยู่บ่อย ๆ เป็นต้น ข้าพเจ้าได้ไปบางวัดเพื่อท่องเที่ยว แต่มิได้รู้สึกสัมผัสธรรมะแต่ประการใด กลับพบสุภาพสตรีแสนดีชาวสิงคโปร์และแต่งงานกัน
ชีวิตในฟินแลนด์โหดร้ายสำหรับชาวเอเชีย อากาศหม่นหมองและเย็นเยียบในฤดูใบไม้พลิและฤดูหนาว ทั้งยังมีกำแพงทางภาษา ค่านิยมวัฒนธรรมของเราแตกต่างกันอย่างที่สุด เธอตัดสินใจว่าเราควรกลับไปเอเชีย และข้าพเจ้าก็ได้ทำสัญญาทำงานในกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเป็นเวลา ๒ ปี ข้าพเจ้าเครียดจัดเพราะชั่วโมงทำงานยาวนานความรับผิดชอบสูง และต้องเดินทางเพื่อทำธุรกิจบ่อย ๆ
ข้าพเจ้าหาวิธีผ่อนคลาย โดยหาวิดีโอการฝึกโยคะและหนังสือสอนฝึกสมาธิด้วยตนเองบางเล่มมาอ่าน ในที่สุดข้าพเจ้าก็นอนหลับได้อย่าสงบ จนเย็นวันหนึ่งเกิดสิ่งผิดปกติอย่างที่สุดขึ้น ในระหว่างที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิ ข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างวาบและภาพนิมิตที่น่ากลัว ทำให้ข้าพเจ้าหยุดการฝึกการฝึกสมาธิที่ผ่านมานี้ไม่ช่วยให้ข้าพเจ้าเข้าใกล้พุทธศาสนามากขึ้นแต่อย่างใด
เมื่อกลับไปประเทศฟินแลนด์ในปี เราทั้งคู่ยุ่งอยู่กับการศึกษา ทำให้ไม่มีเวลาคุยอะไรกันมากกว่าการสนทนาทั่ว ๆ ไป ความสัมพันธ์ของเราจึงไม่ค่อยดี วันหนึ่งข้าพเจ้าพบหนังสือของทิเบตเรื่อง “ชีวิตและความตาย” ให้ความเข้าใจเรื่องชีวิตและความตายแก่ข้าพเจ้าใหม่ ไม่นานข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาทุกประเภท
สองปีต่อมาตรงกับ ค.ศ. ๒๐๐๔ ภรรยาของข้าพเจ้าป่วยหนัก เธอต้องกลับสิงคโปร์เพื่อรักษาตัว ข้าพเจ้าประกาศขายห้องพักและรถยนต์ในเวลาสั้น ๆ บ่ายวันเสาร์วันหนึ่งภรรยาข้าพเจ้าชี้ให้ดูวัดอนันดาซึ่งเป็นวัดไทยแม่ชีซูง้ออาจารย์ของข้าพเจ้าแนะนำตัวท่านและสอนบทเรียนแรกสำหรับผู้เริ่มต้น
ชาวยุโรปส่วนมากมีข้อต่อที่แข็ง ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าปวดขามากเมื่อพยายามนั่งท่าขัดสมาธิราบ แต่ก็พยายามจะ “เข้มแข็ง” และใช้อาสนะรองนั่งบาง ๆ เหมือนผู้ปฏิบัติชาวเอเชียคนอื่น ๆ อันที่จริงอาจารย์ได้แนะตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่า
ชาวยุโรปควรนั่งบนอาสนะที่สูงกว่าที่คนเอเชียใช้อยู่ เพื่อให้นั่งได้ถูกท่า โชคไม่ดีที่ข้าพเจ้าลืมคำแนะนำของท่าน ในปีแรกของการฝึกข้าพเจ้าจำได้แต่เพียงความเจ็บปวดเท่านั้น หลายครั้งข้าพเจ้าถามตนเองว่า ความทรมานนี้มีเป้าหมายอะไรหรือ
ในที่สุดเวลาที่ข้าพเจ้าจะได้ไปวัดอัมพวันที่ประเทศไทยก็มาถึง
การไม่มีสติทำให้นั่งสมาธิอย่างทุกข์ทรมาน ข้าพเจ้ามองย้อนไปยังสมัยที่ข้าพเจ้ายังวัยเยาว์เวลาที่ครูโมโหข้าพเจ้า เวลาที่น่าละอายหรือช่วงเวลาที่เสียหน้า ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่าเป็นเพราะความกลัวของข้าพเจ้าเอง ระหว่างฝึกสมาธิช่วงค่ำ ข้าพเจ้าทนปวดต่อไปไม่ไหวแล้ว และยอมแพ้อย่างสิ้นรูป ข้าพเจ้าน้ำตาไหล ตัวสั่นไปหมด นี่คือการเริ่มต้นการเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง หลังการฝึกรอบค่ำ ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าข้าพเจ้าต้องการอาสนะที่สูงขึ้นเพื่อให้นั่งได้ถูกต้อง ไม่นานนักก็รู้สึกง่วงนอน
เมื่อตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้ารู้สึกสดชื่นระหว่างการฝึกช่วงเช้า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย มีสติในการเดินจงกรมและในการกำหนดอื่นๆระว่างสองสามวันสุดท้าย
ข้าพเจ้ารู้จักตนเองหลายประการ ความถือตนส่วนมากของข้าพเจ้าละลายหายไป และได้ละทิ้งโทสะ ความดื้อรั้น และความเห็นแก่ตัวไปไม่น้อยข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจความหมายของความเจ็บและความตายได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าพบความแจ่มกระจ่าง ความสงบ และความมั่นใจในหัวใจของข้าพเจ้ายามนี้ข้าพเจ้าพบว่าความสุขที่จริงแท้มิได้ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินเงินทองข้าพเจ้าพบบางสิ่งอันมีคุณค่าสูงกว่า นั่นคือพระธรรมคำสอน และการเจริญวิปัสสนากรรมฐานแห่งพระพุทธศาสนา



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:57:19 น.  

 

สวดมนต์และปฏิบัตธรรมเป็นประจำทำให้ชีวิตพ้นภัย
สุนีย์ อัสนีศานติวงษ์


ดิฉันเป็นลูกคนจีน ตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีแฟน แฟนก็เลิก มาเจอสามีตอนเข้าทำงาน คบกันอยู่ไปอยู่บ้านสามี ตั้งท้องทั้งๆที่ยังไม่พร้อม ต้องเอาออกถึง ๒ ครั้ง ต่อมาดิฉันกับสามีได้แต่งงานกันปี พ.ศ.๒๕๓๔ มีแต่เรื่องร้ายๆเข้ามา สามีกินเหล้า เจ้าชู้ โกหก ดิฉันทุกเรื่อง ทำเป็นโกรธหาเรื่องตบตี เพื่อจะได้หนีไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่น ดิฉันทนทุกข์ทรมานมาก แต่ชอบทำบุญและทำสังฑทานตามวัดบ่อยๆ
ตั้งท้องได้ ๖-๗ เดือน ดิฉันให้คนมาฉีดยากำจัดปลวก ได้ทำบาปแล้วโดยไม่รู้ตัวพอคลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิง มีแต่เรื่อง สามีไม่กลับบ้าน ทะเลาะกันทุกวัน สามีไปอยู่กับผู้หญิงคนใหม่ บางครั้งเขากลับบ้านมาหาลูก ดิฉันพูดกับสามีได้ไม่เกิน ๓ คำ สามีหาเรื่องทะเลาะทุกครั้ง พอลูกคลอดออกมานิสัยก้าวร้าว เลี้ยงยาก เจ็บป่วยบ่อย ไม่เชื่อฟัง เถียงทุกเรื่องเอาแต่ใจตัวเอง ดิฉันทุกข์มาก ร้องไห้ทุกวัน ไปหาหมอดูและคนเข้าทรงบ่อย แม้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่ขณะนั้นเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด ดิฉันเคยไม่เชื่อฟังเถียงพ่อ-แม่ ทะเลาะกับพี่ชาย ทำให้ท่านไม่สบายใจเสมอ เคยขโมยเงินไปใช้ หรือเล่นพนันบ้างแบบเด็กๆ กรรมจึงส่งผลให้ดิฉันเจอลูกแบบนี้

ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ สามีกลับมาอยู่บ้าน เมาทุกวันหาเรื่องทะเลาะ ทำร้ายร่างกายดิฉันจนแท้งลูกอีก รวมลูกที่แท้งทั้งหมด ๓ คน

ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ดิฉันอ่านหนังสือกฎแห่งกรรมฯของหลวงพ่อจรัญ มีศรัทธาจึงไปถวายชุดขาวกับแม่ใหญ่ท่านบอกว่าถ้าว่างๆมาปฏิบัติธรรมนะลูก ดิฉันตอบในใจว่า มาไม่ได้หรอกค่ะ สามีไม่ให้ไปนอนค้างคืนที่ไหน ถ้าไปต้องมีปัญหาแน่
ดิฉันเริ่มสวดมนต์ชินบัญชร ทำบุญบ่อยมาก ช่วงที่ตั้งท้องดิฉันได้ไปกราบและถวายปัจจัยหลวงพ่อจรัญ และคิดในใจขอให้หลวงพ่อให้พรด้วย ท่านเมตตาให้พรว่า โชคดีนะ ดีฉันดีใจมาก ศรัทธามากๆที่หลวงพ่อรู้ความในใจได้ พอคลอดลูกชายคนนี้ เดือนพฤศจิกายน บริษัทเลิกกิจการ ยุค IMF ดิฉันตกงาน มีตลาดนัดเปิดท้ายขายของที่ฮิตมากขณะนั้น จึงหาของไปขายตามสถานที่ต่างๆ และมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ
ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ เดือนพฤศจิกายน ตัดสินใจเริ่มเข้าปฏิบัติครั้งแรก ๓ วัน เจอเหตุการณ์คือ ในห้องนอนรวมกัน ๘ คน ตอนประมาณตี ๓ มีมดคาบไข่เดินบนตัวน้องที่นอนข้างๆดิฉันเกือบร้อยกว่าตัว แต่น้องเขาไม่รู้สึกตัวเลย นอนห่มผ้าอยู่ ทุกคนตื่นหมดยกเว้นน้องคนนี้ ดิฉันปลุกเรียกเขาบอกว่ามดเต็มตัวเลย ให้ไปสะบัดผ้าห่มข้างนอกห้อง เขาลุกแบบไม่มีเรี่ยวแรง วันลาศีลหลวงพ่อเทศน์ว่า มดปลวกขึนตัวผู้ใด ผู้นั้นมักเป็นคนก้าวร้าว ไม่เชื่อฟังพ่อ-แม่ วันรุ่งขึ้น ทุกคนเริ่มกลับบ้าน แต่น้องคนนี้เหมือนรู้ตัวว่าหลวงพ่อเทศน์เรื่องเขา จึงอยู่ที่วัดต่อ ส่วน
ปี พ.ศ. ๒๕๔๒-๒๕๔๓ ปฏิบัติแบบเครียดๆ ปวดหัวตลอดเวลาอย่างที่เคยเป็นมาหลายปีแล้ว แต่ดิฉันมีความเพียรมาก ตั้งใจทำทั้งที่บ้านและที่วัด ถึงแม้ว่าจะปวดจะป่วยเป็นไข้ก็ลงปฏิบัติ เพราะเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้ดีที่สุด มีช่วงหนึ่งหายปวดหัว รู้สึกว่าศีรษะจากหนักกลับเบาโล่งขึ้นทำให้คิดถึงเรื่องที่ไปสั่งฆ่าปลาดุกปลาช่อนไปทำบุญวันเกิดของสามี เป็นการทำบาปก่อนได้บุญ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันไม่กินปลาสองชนิดนี้อีกเลย
ดิฉันปฏิบัติกรรมฐานต่อเนื่องไม่ขาด มีอยู่วันหนึ่ง สามีดิฉันไปต่างจังหวัดทางภาคอีสานระหว่างทางขากลับเข้ากรุงเทพฯรถที่ขับตกเขา สามีกลับมาบ้านร่างกายสภาพปกติ เขาบอกว่ารถพังทั้งคัน และเห็นดิฉันใส่ชุดขาวยืนอยู่ตรงหน้าเขา ดิฉันเห็นเขาปกติก็ไม่ได้คิดอะไร
ดิฉันกับเพื่อนไปกราบหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน ท่านชี้มาทางดิฉัน แล้วพูดว่า ผัวตายร้องได้ยังไม่ครบ ๗ วัน มีผัวใหม่ หลังจากนั้นก็ไปขายของตามปกติ ขับรถอยู่ น้ำตาไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว จึงรีบโทรหาสามีจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม สิ่งที่หลวงพ่อบอกว่าพี่ชะตาขาด ต้องไปบวชอย่างน้อยที่สุด ๗ วัน
สามียอมไปบวชที่วัดอัมพวัน ๗ วัน ดิฉันเคยอ่านพบว่าคนชะตาขาดห้ามออกจากวัดเด็ดขาด ดิฉันบอกสามี สามีก็เชื่อ ในระหว่างอยู่วัดเป็นวันที่สาม ยายของสามีเสีย สามีได้โทรกลับมาบ้าน จึงบอกเขา เขาก็บอกว่าตอนปฏิบัติได้กลิ่นศพเหมือนกัน

สิ่งที่เกิดขึ้น ดิฉันมั่นใจว่าเป็นตัวตายตัวแทนกันแน่นอน ถ้าไม่ได้หลวงพ่อคอยตักเตือนแล้ว ดิฉันคงแย่แน่ๆ ถ้าสามีตาย การเงินดิฉันก็จะมีปัญหา ทั้งตกงาน ค่าเล่าเรียนลูก ค่าใช้จ่ายในบ้านมากมาย ถึงสามีจะเจ้าชู้ กินเหล้า แต่ความดีของเขาที่มีต่อครอบครัวก็มีมาก
ปัญญาจากการปฏิบัติสามารถแก้ไขปัญหาได้ คือกรรมฐานที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต
ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้งานทำที่จังหวัดภูเก็ต อำเภอถลาง ในใจคิดว่าจะอยู่แค่ ๔ เดือน ไปทำงานอยู่ที่นั่นก็ไม่ราบรื่นเท่าไหร่ ดิฉันปฏิบัติกรรมฐานและสวดมนต์พาหุง อิติปิ โส เท่าอายุบวกหนึ่ง บอกกับเพื่อนว่าเรามาสวดเมตตาใหญ่และธรรมจักรเพิ่มกันดีกว่าเพื่อนอธิษฐานจิตของสามีกลับมาคืนดี ดิฉันก็เช่นกัน
เพื่อนสำเร็จในสิ่งที่ขอไว้ ส่วนดิฉันได้ชีวิตรอดตายแทนคือวันที่ ๒๕ ธ.ค. ๔๗ มีงานทำบุญวันเกิดเจ้านายและเลี้ยงขอบคุณลูกค้า ได้นิมนต์พระมาสวดมนต์ในโครงการ ท่านสวดกรณียเมตตสูตรด้วย พอวันที่ ๒๖ ธ.ค. ๔๗ ดิฉันนั่งกรรมาฐานและสวดมนต์ปกติ เพื่อนๆและเจ้านายเรียก “ใครจะไปเที่ยวทะเลหาดกระรน จะออกเดินทางแล้ว” ดิฉันยังสวดมนต์ไม่เสร็จ จึงตัดสินใจไม่ไปเที่ยวด้วย
พอสวดมนต์เสร็จ ดิฉันชวนเพื่อนไปเที่ยวห้างฯ ระหว่างเดินไปรอรถเมล์ ตำรวจบอกไม่ให้ไปทะเล เกิดคลื่นยักษ์สึนามิถล่มตึกพัง แผ่นดินไหวอยู่ พอกลับบ้านพักที่อำเภอถลาง เพื่อนร่วมงานร้องไห้บอกว่าเจ้านายและเพื่อนที่ไปทะเลติดอยู่ที่หาดกระรนไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ บ่าย ๔-๕ โมงเย็นเพื่อนที่ไปหาดหรดะรนกลับมา ร้องไห้ว่ารอดตายอย่างไม่เชื่อ ต้องทิ้งรถที่ขับไปทั้ง ๔ คัน วิ่งขึ้นตึกอนามัย น้ำสูงขึ้นชั้น ๒ เกือบไม่รอด ต้องปีนขึ้นไปบนหลังคา พอน้ำลดรีบลงจากตึกขึ้นไปบนเขาสูงให้เร็วที่สุด ดิฉันเชื่อว่าที่รอดตายมาได้ทั้งหมด เพราะผลแห่งการทำบุญ ส่วนดิฉันเป็นเพราะการปฏิบัติกรรมฐานและสวดมนต์เป็นประจำ
คุณแม่ดิฉันเป็นคนจีนแท้ๆ อ่านหนังสือไม่ออก แต่เป็นคนอารมณ์ดี มีลูกหลานไปมาหาสู่เสมอ ทำบุญใส่บาตรทุกวัน และชอบทำบุญตามวัดต่างๆบ่อยมาก สุขภาพท่านไม่ดี มีโรคภัยไข้เจ็บอยู่หลายโรค ผ่าตัดหลายอย่างดิฉันไม่อาจอยู่ปฏิบัติท่านได้อย่างใกล้ชิด แต่ได้พาท่านไปปฏิบัติธรรมที่วัดผาณิตาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา ๓ ครั้ง แล้ว สุขภาพของท่านดีขึ้นเรื่อยๆ
ทุกวันนี้สามีดิฉันดีขึ้น ลูกสาวสวดมนต์และนั่งสมาธิทุกวันพระ การเรียนดีขึ้น ลูกชายก็ชอบสวดมนต์ การเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ เวลาเห็นแม่สวดมนต์หรือปฏิบัติอยู่ ทั้งสองคนจะเข้ามากราบขออโหสิกรรมและอนุโมทนาด้วยทุกครั้ง



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:57:54 น.  

 

ชีวิตใหม่หลังการปฏิบัติธรรม
น้ำเพ็ชร
ครั้งหนึ่งดิฉันมีอาชีพรับเหมาขนส่งปูนซีเมนต์ ให้กับริษัทหนึ่งในกลุ่มผู้มีชื่อเสียงทางสังคมธุรกิจในขณะนั้นดิฉันมีรถปูนป้ายแดง ๒๐ คัน และมีโรงงานผลิตท่อคอนกรีตขายให้แก่บริษัทรับเหมาทำถนนให้กับกรมทางหลวง
ธุรกิจดำเนินไปด้วยดี ดิฉันมีรายได้จากการทำธุรกิจเป็นกอบเป็นกำ ฟุ่มเฟือยได้ทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้ ดิฉันทำธุรกิจด้วยตัวเองโดยไม่มีใครหยุดดิฉันได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว ทำอะไรก็ทำได้อย่างสบาย เงินทองดิฉันหามาได้ก็ไม่รู้จักเก็บรักษา เพราะหามาได้โดยง่ายได้ทีละมากๆ และกล้าบ้าบิ่นที่จะใช้ อะไรที่ผู้หญิงอยากได้ดิฉันจะมีแทบทุกอย่าง ซื้อความสุขด้วยเงินโดยไม่เคยเสียดาย
มาวันหนึ่งวิบากกรรมตามมาถึงดิฉันโดยไม่รู้ตัวดิฉันได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่ง เขาชักชวนเข้าไปเล่นการพนันที่บ่อนใหญ่ในกรุงเทพฯ พกเงินเข้าไปทีละมากๆ ได้มาเสียไป และหนักๆเข้าก็เสีย เสียจนหมด ขายรถปูนทีละ ๕ คัน จนไม่เหลือสักคัน หมดแบบไม่มีแม้แต่จะกินจะใช้ ชีวิตเริ่มโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ

พอหมดจากธุรกิจขนส่ง ดิฉันก็หันมาจับธุรกิจผลิตท่อคอนกรีตให้แก่บริษัทรับเหมาทำถนน และขายตรงให้กับริษัทนั้นๆ แรกเริ่มทำงาน ๑๐ เดือน กำไร ๘ ล้านกว่าบาท ชีวิตทำท่าจะดีเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม แต่แล้วไม่นานก็ประสบกับการขาดทุนด้วยเหตุมาจากประเทศประสบกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ขณะนั้นดิฉันโดนเข้าเต็มที่ และวิบากกรรมดิฉันก็ซ้ำซ้อน ดิฉันถูกโกงโรงงานทำท่อไปทั้งหมด เงินทองที่เคยให้คนรู้จักและนับถือยืมก็โกงดิฉันไปง่ายๆ แบบไปหาก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทุกคนรอบข้างต่างเข้ามารุมแทะดิฉัน คนงานก็รื้อบ้านพักไปขายของในโรงงานใครหยิบอะไรได้ก็หยิบ ดิฉันโดนชนิดแทบขาดใจตาย มันเป็นการหมดแบบสนิท ไม่มีโรงงานก็ทำงานต่อไปไม่ได้อีก แต่ยังดีที่ขณะนั้นดิฉันมีสามีซึ่งเป็นที่รักดูแลและให้กำลังใจตลอดเวลา

ดิฉันแต่งงานกับนายทหารผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในค่ายธนะรัจต์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีบุตร-ธิดา ๒ คน ในขณะนั้น แม้นมีความทุกข์คละเคล้าบ้าง แต่สามีก็รักดูแลดิฉันและลูกน้อยทั้ง ๒ ด้วยดี และแล้ววิบากกรรมของดิฉันก็เกิดขึ้น สามีเริ่มนอกใจและเริ่มทำร้ายจิตใจดิฉันเขาทอดทิ้งลูกน้อยแบบไม่สนใจใยดี และพยายามทำทุกอย่างให้สาหัสที่สุดเท่าที่พวกเขาจะกระทำได้ เพื่อบีบบังคับให้ดิฉันหย่า ดิฉันได้รับความทุกข์ทรมานใจอย่างสาหัส ชีวิตของดิฉันในขณะนั้นมืดสนิท น้ำตาเท่านั้นที่เป็นเพื่อน ดิฉันต้องทนทุกข์อย่างที่สุด โหยหาสามีแบบไร้สติ ทั้งที่เขาไม่สนใจดิฉันและลูกน้อย ดิฉันก็อดทนทุกอย่างเพื่อคงไว้ซึ่งครอบครัวอันเป็นที่รัก แม้ต้องทนอย่างไรก็สู้อยู่อย่างนั้นเรื่อยมา
ชีวิตคู่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และที่สุดของความอดทน ดิฉันพร้อมลูกน้อยทั้งสองออกจากค่ายธนะรัขต์ด้วยดวงใจที่แตกสลาย พร้อมกับความแตกแยกแบบสมบูรณ์ตอนที่จากมาแรกๆดิฉันทำใจไม่ได้เลยแม้เพียงวันเดียวทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส รับรู้ข่าวของสามีด้วยดวงใจที่แตกสลาย ต้องเลี้ยงดูลูกน้อยแต่เพียงผู้เดียว แต่บนความโชคร้ายนั้นดิฉันก็โชคดีอยู่บ้าง ดิฉันมีลูกสาวฝาแฝดคอยช่วยเหลือทุกอย่าง ส่งเสียเลี้ยงดูทั้งเงินทั้งแรงอีกทั้งยังเข้าปฏิบัติธรรมกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อก่อนดิฉันด้วย ที่โชคดีนั้นเพราะดิฉันสวดมนต์อิติปิโส พาหุง มหากา มาเกือบตลอดช่วงชีวิต แต่ก็สวดแบบจิ้มๆจ้ำๆ ไม่เสมอต้นเสมอปลาย อานิสงส์ก็เกิดขึ้นกับชีวิตฉันได้ด้วยการสวดมนต์โดยแท้ขณะที่ดิฉันสวดมนต์เสร็จก็นั่งกรรมฐานแบบงูๆปลาๆ แต่จิตก็แวบไปที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ด้วยเหตุใดดิฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าดิฉันจะต้องไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันทันทีก่อนที่ดิฉันจะไปปฏิบัติพระกรรมฐาน ดิฉันอ่านหนังสือกฎแห่งกรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่สอดแทรกการสอนปฏิบัติพระกรรมฐานมาก่อนบ้างพอสมควร
ครั้งหนึ่งขณะร้องไห้อย่างหนักก็เอาหนังสืออนุสาสนีและใบไม้ในกำมือของหลวงพ่อมาเปิดอ่าน หน้าแรก หลวงพ่อสอนว่า “ใจของเราต้องอยู่กับตัวเรา อย่าเอาใจเราไปฝากไว้กับคนอื่น อย่าโง่เหมือนทศกัณฐ์ที่เอาหัวใจตัวเองไปฝากไว้กับฤาษี สุดท้ายหนุมานก็หลอกฤาษีฆ่าทศกัณฐ์ได้” และนี่แหละเป็นคำสอนที่ทำให้ดิฉันได้สติและหยุดตัวเองลงได้ขณะที่จิตโหยไห้เรื่องครอบครัว พยายามลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งให้อภัยและแผ่เมตตาให้สามีและผู้หญิงคนนั้นเรื่อยมาจนทุกวันนี้ พร้อมบอกชื่อและนามสกุลของพวกเขาอานิสงส์เกิดขึ้นกับดิฉันคือ จิตใจตัวเองเริ่มดีขึ้น ความทุกข์เริ่มเบาบางลง คลายลง และเย็นลงในที่สุด ขณะนี้ดิฉันมีจิตใจปกติเหมือนเดิมบ้างแล้ว สามคนแม่ลูกผลัดกันไปปฏิบัติที่วัด อยู่บ้านก็สวดมนต์ ไปวัดกันทุกคน

ในการปฏิบัติครั้งหนึ่ง ขณะเดินจงกรมอยู่ที่อาคารคามวาสี ดิฉันนึกออกว่าครั้งหนึ่งที่บ้านพักในค่ายธนะรัชต์ขณะที่ดิฉันเลี้ยงดูลูกน้อยอยู่บนบ้าน มีตะขาบตัวใหญ่มากยาวราวศอก ขาสีแดง ตรงเข้ามาที่ที่นอนของลูกน้อยอารามตกใจกลัว ดิฉันก็ร้องเรียกสามีให้มาดู สามีมาถึงก็ตีตะขาบตัวนั้นตาย ขณะนั้นดิฉันก็เห็นตะขาบอีกตัวพร้อมลูกตะขาบวิ่งลงไปรวดเร็วเหมือนตกใจ สามีดิฉันไม่ทันเห็นตะขาบตัวนั้น ดิฉันเข้าใจในนามีนั้นเองว่าสามีดิฉันฆ่าคู่ของตะขาบตัวนั้นตาย และกรรมนั้นตกมาที่ดิฉันและลูกน้อย ดิฉันต้องพรากจากสามี ลูกต้องพรากจากพ่อ เช่นเดียวกับตะขาบพวกนั้น เพราะกรรมใหม่ที่ดิฉันและสามีได้กระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อออกจากกรรมฐาน ดิฉันร้องไห้แบบสุดๆ สงสารตะขาบที่มีชีวิตอยู่และความรู้สึกสูญเสียนั้นดิฉันรับมาเต็มๆ เพราะนี่คือกฎแห่งกรรมที่ดิฉันได้รับขณะนี้นั่นเอง

ดิฉันแผ่เมตตาให้ตะขาบพวกนั้นทุกครั้งหลังปฏิบัติธรรม ไม่เคยลืมพวกมันเลย และขณะนี้ดิฉันปฏิบัติพระกรรมฐานพร้อมสวดมนต์อิติปิโส พาหุงมหาหาและธัมจักรฯ ปัจจุบันอานิสงส์แห่งบุญก็เกิดขึ้นกับดิฉัน เมื่อลูกฝาแฝดซึ่งปฏิบัติธรรมอย่างตั้งใจเช่นกัน ได้พบคนดีมีความรู้ เป็นชาวฝรั่งเศส มารักและแต่งงานด้วย และด้วยความกตัญญูของลูกสาว เขามอบสินสอดเป็นเงินสดให้ดิฉัน ทำให้ดิฉันมีชีวิตที่ดีขึ้น มีเงิน มีรถ ไปวัดได้ตามปรารถนาพี่น้องญาติธรรมของดิฉัน สหธรรมมิกผู้ปฏิบัติชอบก็เมตตาไปร่วมงานแต่งงานลูกสาวดิฉันเกือบทุกคนและเกือบทั้งวัดก็ว่าได้ และล้วนแต่มีรอยยิ้มให้ดิฉันทุกคนที่สำคัญลูกสาวดิฉันได้ทำบุญแต่งงานในวัดอัมพวันแห่งนี้ วันนั้นพระเพชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาประสิทธิ์ประสาทพรให้ลูกสาวว่า “โชคดีนะ” และเมื่อท่านเดินผ่านหน้าดิฉัน ท่านก็พูดกับดิฉันว่า “โชคดีแล้ว” นั่นเป็นที่สุดแห่งความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิตดิฉันและลูกๆทุกคน
ปัจจุบันดิฉันตื่นนอนราวตี ๒ กว่า สวดมนต์ทำวัตรเช้า สวดอิติปิโส พาหุงมหากา และสวดธัมมจักรฯแล้วเดินจงกรม ๑ ช.ม. นั่ง ๑ ช.ม. ทุกวันไม่เคยขาดปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันมาได้ปีกว่าแล้ว และจะปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไป จนกว่าจะปฏิบัติไม่ไหว ความทุกข์เรื่องครอบครัวที่ถาโถมเหมือนทะเลคลั่งก็เบาบาง จิตใจดิฉันสงบขึ้นด้วยบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อโดยแท้



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:58:23 น.  

 

ดาบตำรวจ “อดเหล้า”
สุชา สุขมงคล

ได้อ่านหนังสือสวดมนต์แล้วมีศรัทธาอยู่มาวันหนึ่งน้องสาวดิฉันโทรศัพท์มาบอกว่าพี่ชายซึ่งเป็นดาบตำรวจอยู่ที่สถานีตำรวจชนะสงคราม จะถูกไล่ออกเพราะดื่มเหล้ามากหน้าที่การงานเสียหาย
ตอนเล็กๆพวกเราพี่น้องอยู่ด้วยกันครอบครัวเรายากจนเพราะพ่อตาย มีแม่เพียงคนเดียวเลี้ยงดูพวกเราด้วยความลำบาก พวกเราจึงรักกันมาก ดิฉันทำงานอยู่ที่สำนักฝนหลวงการบินเกษตร กระทรวงเกษตร ด้วยความห่วงใยที่ดิฉันมีต่อพี่ชาย จึงไปหาเจ้านายของพี่ชายที่สถานีตำรวจชนะสงคราม และขอร้องขอผ่อนผันไม่ให้ลงโทษ ตอนกลางคืนสวดมนต์บทพระพุทธคุณทุกคืนคืนละ ๙ จบ เวลาสวดดิฉันตั้งจิตอธิษฐานขอบทสวดมนต์นี้ และบุญที่ข้าพเจ้ามี ขอยกให้พี่ชายได้รับบุญนั้นขอบทสวดนี้ดลใจให้พี่ชายได้รับ
สวดมนต์มาเป็นระยะเวลาประมาณ ๓-๔ เดือน อยู่มาวันหนึ่งเป็นเดือนที่เข้าพรรษา พี่ชายมาหาดิฉันที่กระทรวงเกษตรฯ และบอกว่าพี่อดเหล้าแล้ว ดิฉันถามว่าทำไมอดเหล้าได้โดยที่ไม่ต้องหาหมอเลย พี่ชายดิฉันตอบว่า “สงสารน้อง” ที่ห่วยใย ขณะนี้เป็นเวลาประมาณ ๑๖ ปีแล้ว ที่พี่ชายดิฉันอดเหล้าได้ และไม่ดื่มอีกเลย ฐานะทางครอบครัวก็ดีขึ้น



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:58:51 น.  

 

จิตที่เป็นอิสระโดยพระกรรมฐาน
ส่งศรี
เมื่ออายุ ๒๗ ปี ได้อ่านสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เล่ม ๑-๒ เมื่ออ่านแล้วจึงถามทางไปวัด หลวงพ่อให้กรรมฐาน และเทศน์สอนด้วยคำง่ายๆไม่ซับซ้อน ว่า
- ให้มีสัจจะ ตายให้มันตาย
- เดินนั่งต้องเท่ากัน
- เดินก่อนนั่งเสมอ นั่งอย่างเดียว ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ธรรมะ
- ทำให้ช้าที่สุด เหมือนคนจะตาย สติจะได้ตามจิตทัน
- เดินจงกรมหรือนั่งอยู่ก็ดี มีอะไรเกิดใน ๖ อายตนะ หยุดเดิน กำหนดให้เป็นปัจจุบัน ถ้ากำหนดไม่ทัน ให้กำหนด รู้หนอๆ ที่ลิ้นปี่ อย่าปล่อยปละละเลย การกำหนดเป็นการตั้งสติ
- ให้หายใจยาวๆ จากจมูกถึงสะดือ จะเกิดปัญญามีอะไรให้หายใจยาวๆ กำหนดที่ลิ้นปี่ ไม่ว่าจะโกรธหนอๆ ฟุ้งซ่านหนอๆ หงุดหงิดหนอๆ เราจะเป็นคนอารมณ์เย็น ไม่โกรธง่าย
- กินน้อย นอนน้อย ทำความเพียรให้มากๆ
ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตลอด ๗ วัน ต้องพบกับเวทนาแรงกล้า และคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาจับใจขณะแผ่เมตตาอุทิศกุศล
คำสอนของหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจต่อสู้ชีวิตและทำกรรมฐานมาได้ตลอดรอดฝั่ง

หลวงพ่อสอนว่า
- พระพุทธเจ้าของเราจบ ๑๘ ดอกเตอร์ ร่ำรวยมหาศาล เป็นกษัตริย์ พระองค์ท่านก็ทิ้งทิ้งหมด มาเจริญสติปัฏฐานสี่ ซึ่งเป็นทางพ้นทุกข์
- ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี
- ปลูกมะม่วมปีนี้ ปีหน้าต่อไปจึงได้เก็บผล เป็นการสะสมบุญไว้
- การทำความดีต้องฝืนใจ เพราะปกติจิตจะไหลลงสู่ที่ต่ำอยู่เสมอ
- สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมกันก่อน แล้วจึงแผ่เมตตา
- ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ไม่มีใครได้ของสองอย่างในเวลาเดียวกัน (อยากได้ธรรมะก็ต้องยอมเสียสละเวลาและทรัพย์เดินทางมาปฏิบัติ)
- คนทำกรรมฐานเหมือนคนค้าขายมีกำไร เจ้าหนี้มาทวงหนี้ ให้ใช้เขาไปอย่าปฏิเสธ เพราะใช้ในชาตินี้จะกินเวลาน้อยกว่าไปใช้ในนรก
- ให้ตั้งใจทำมากๆไม่ต้องถามใคร เดี๋ยวจะเป็นวิปัสสนึก และไม่ให้ใครสอบอารมณ์ให้นอกจากครูบาอาจารย์
- ทำให้เหมือนเด็กเลี้ยงควาย มีหน้าที่ทำไปโดยความตั้งใจ โดยความสม่ำเสมอ
- เวทนาเป็นครูใหญ่ ครูไม่มาสอนจะรู้วิชาได้อย่างไร
- เส้นไหนมันชามันปวด เส้นนั้นมันจะหาย เป็นอัมพาต
- คนไม่เสียสัจจะ ต่อไปทำอะไรก็สำเร็จทุกประการ อธิษฐานจิตจะขึ้น จะสมปรารถนา
- ให้ทำตลอดชีวิต เมื่อเกิดภพใหม่อย่างน้อยก็มีอุปนิสัยติดตัวไป และมีนักปราชญ์อยู่ล้อมตัว มหาวิทยาลัยดีอยู่ใกล้ตัว โรงพยาบาลดีอยู่ใกล้ตัว
- หนี้กรรมไม่มีอะไรจะใช้ได้นอกจากกรรมฐาน
- การเจริญสติปัฏฐาน ๔ จะระลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรม และเกิดปัญญาแก้ไขปัญหาได้ และมีรูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ตลอดชีวิต

ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่ต้องทำงานหนักมาก ข้าพเจ้าได้แต่เก็บความสงสารท่านไว้ในใจ พอจบมัธยม ๖ อายุ ๑๙ ปี ก็มาช่วยท่านเข็นรถขายของ บอกกับตัวเองว่า ต่อไปนี้ลูกจะเป็นหลังคากันแดดกันฝนให้ท่านเอง ขอเพียงให้ท่านมีแต่ความสุขกาย สุขใจ ลูกก็มีความสุขแล้ว ข้าพเจ้าขายของตากแดดตากฝนอยู่คนเดียว สิ่งใดที่ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้ ข้าพเจ้าทำให้ท่านทุกอย่าง กลางคืนก่อนนอนก็คุยธรรมะกับท่านเสมอ และพากันทำบุญตลอดมา ปี ๔๐ ถึง ๔๒ พ่อและแม่ก็จากข้าพเจ้าไป
การต้องทำงานหนักทำให้สะบักหลังข้างขวาสะโพกขวา และขาข้างซ้าย รวมถึงปลายเท้า มีอาการชาและปวดมาตลอด และมีเส้นเลือดขอดโปนออกมาเหมือนเส้นเลือดจะแตก การทำกรรมฐานของข้าพเจ้าทุกครั้ง เวทนาจะสาหัสมากเหนือตายไปหน่อยหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ระลึกได้ว่า ไปทำใครไว้บ้าง เมื่อแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ ทุกเส้นที่เคยปวดเคยชาก็หายเป็นปลิดทิ้ง และเส้นเลือดขอดที่โปนก็ยุบหายหมด และยังทำให้เกิดปัญญาแก้ไขปัญหาได้ทันเวลาเปลี่ยนวิกฤตของชีวิตให้เป็นโอกาสมาก็หลายครั้ง



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:59:17 น.  

 

ทำกัมมัฏฐานแล้วหายปวดเข่า
รัตนา อ่อนรอด

ดิฉันนางรัตนา อ่อนรอด อายุ 53 ปี วันหนึ่งในเดือนกันยายน 2550 ตอน 2 ทุ่ม ลูกสาวทำการบ้านอยู่และกินฝรั่งด้วย เปิดกระติกน้ำแข็งจะกินน้ำ พบเส้นขนประมาณหยิบมือหนึ่งในกระติกน้ำแข็ง ที่บ้านดิฉันทำน้ำแข็งจากตู้เย็นกินเอง และก็ใช้น้ำจากเครื่องกรองน้ำ ดิฉันบอกกับลูกสาวว่าสงสัยเป็นหนวดผลฝรั่งที่เรากิน ลูกสาวบอกแม่มาดูซิ เหมือนขนรักแร้ พอดิฉันไปดูก็เป็นเส้นขนจริงๆ เลยเอาไปเททิ้ง
ล้างกระติกน้ำใส่น้ำใหม่พร้อมน้ำแข็ง แล้วยกกระติกน้ำเอาขึ้นไปกินบนห้องนอน ตอนกินน้ำก็พบเส้นขนอีก 2-3 เส้น ดิฉันเลยเอาไปเททิ้ง แล้วล้างกระติกคว่ำ คืนนั้นไม่ได้กินน้ำ
ตั้งแต่วันนั้นมาดิฉันก็ปวดหัวเข่าข้างขวามาก ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าปวดแบบคนมีอายุมากทั่วไปปวดกัน เลยใช้สมุนไพรแช่ขาและประคบขาข้างที่ปวดเข่าบ้าง อากาปวดเข่าก็ไม่หาย ยิ่งปวดมาก ปวดเหมือนโดนบิดเข่า ต้องนั่งเหยียดขาข้างขวาตลอดเวลา ดิฉันยังทำงานบ้านปกติ มาตอนต้นเดือนตุลาคมดิฉันตักน้ำรดต้นไม้ มีกระตุกกรุบๆ ที่กระดูกหลังและปวดหลังมาก ลูกสาวพาไปหาหมอตรวจเอกซเรย์ พบว่า กระดูกหลังเคลื่อน ต้องกินยาและใส่เฝือกอ่อนที่หลัง
อาการดิฉันที่กระดูกหลังเคลื่อน ขาข้างขวางอไม่ได้ ปวดเข่าขวาเหมือนถูกบิด ต้องนั่งเหยียดขาขวาตลอด สุดจะทรมาน
วันที่ 26 ตุลาคม 2550 น้องสาวได้ขับรถพาดิฉันไปวัดอัมพวัน ดิฉันจึงตัดสินใจว่าถ้าจะตายก็ขอไปตายที่วัดอัมพวัน ให้หลวงพ่อช่วยเผาศพให้ก็แล้วกัน เลยโทรบอกคุณหัทยาว่าวันที่ 27 ตุลาคม จะไปเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวัน ดิฉันเข้ากรรมฐานวันที่ 27 ตุลาคม วันแรกเดินจงกรมได้ครบเวลาที่ห้องกรรมฐานกำหนด แต่ตอนนั่งต้องนั่งเหยียดขา พอท่านเจ้าหน้าที่มาดิฉันเลยขออนุญาตนั่งเหยียดขาข้างขวา ท่านเจ้าหน้าที่ก็อนุญาต นั่งจนหมดเวลา แผ่เมตตาแล้วกลับมานอนพักที่ศาลาสามัคคีธรรม สวดมนต์ก่อนนอน มีความรู้สึกว่าฝันเหมือนจริงมาก มีผู้หญิงสวยมากๆ มาเป่าเข่าข้างขวาที่ดิฉันปวด เป่าแล้วมองหน้าดิฉัน 3 ครั้ง รู้สึกตัวว่าหมาเห่าหอนกันรอบศาลาสามัคคีธรรม แล้วอาการปวดของดิฉันก็ดีขึ้น
ดิฉันบอกลูกว่าถ้าหายปวดเข่าที่เหมือนถูกบิด ดิฉันจะไปเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวันใหม่ และอาการของดิฉันก็ดีขึ้นจริงๆ
กลับวันที่ 19 พ.ย. ปฏิบัตได้ดีขึ้น แต่เข่ายังปวดอยู่บ้าง แต่ไม่มีอาการเหมือนถูกบิดแล้ว และตอนนี้อาการปวดกระดูกหลังก็ดีขึ้นด้วย



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:59:42 น.  

 

เมื่อผ่านพ้นชีวิตทางโลกแล้วจะเลือกสู่ทางธรรม
นภัสกรณ์
เมื่อพ่อเสียแล้วจึงย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ เรียนหนังสือและเริ่มโตเป็นสาวก็หางานทำด้วยเรียนด้วย ด้วยความที่รักเรียนและหวังมีอนาคต เมื่อเริ่มมีเงินเก็บก็เรียนทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น รับงานทั้งพิธีกรและพรีเซ็นเตอร์ต่างๆ ชีวิตมีทั้งทุกข์และสุขเคล้ากัน ด้วยความลำบากและการเอาตัวรอด จึงทำให้ดิฉันเป็นคนมีความมั่นใจสูงและยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็เรียนรู้เองและแก้เองมาโดยตลอด
พอดิฉันเรียนจบปริญญาตรี ก็ได้เซ็นสัญญา 1 ปี กับบริษัท อีซูซุเนื่องจากผ่านการคัดเลือกเป็นอีซูซุเลดี้ เข้ารอบ 8 คน ชีวิตช่วงนั้นสุขสบายเพราะงานดีและเงินดี มีเวลาดูแลตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันขาดไม่ได้คือการทำบุญ และไปปฏิบัติธรรมอยู่ประจำ เพราะมีนิสัยชอบสวดมนต์เข้าวัดมาตั้งแต่เด็ก แตกต่างจากพี่ๆ จนถูกพี่ๆ แซวให้ไปเป็นแม่ชี
หลังจากดิฉันหมดสัญญาว่าจ้างแล้ว เริ่มมีปัญหากับชีวิตและเรื่องการเงิน ดิฉันจึงไปรักษาศีลปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ที่เลือกวัดอัมพวันเพราะด้วยจิตศรัทธาและเคยไปบวชที่นั่นบ่อย ด้วยเมตตาจิตจากหลวงพ่อจรัญ ทุกครั้งที่เข้าไปในวัดจะด้วยอะไรก็ตาม ดิฉันจะรู้สึกสงบเย็นสบายใจ อิ่มในบุญ พอกลับมาบ้านได้สักพักดิฉันก็ได้งานทำ ชีวิตดิฉันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากเป็นพนักงานขายซอฟท์แวร์ที่บริษัทฯมหาชนแห่งหนึ่ง ก็ได้ทำธุรกิจส่วนตัวเปิดร้านขายเสื้อผ้า ช่วงแรกดิฉันก็ตื่นเต้นขยันเป็นพิเศษ เปิดร้านแต่เช้า ขยันติดต่อโรงงานเพราะดิฉันออกแบบเอง ต้องเลือกโรงงานที่ดีมีความรับผิดชอบและส่งของทัน แต่ด้วยความไม่มีประสบการณ์มาก่อน ดิฉันเริ่มขาดทุน ต้องรับผิดชอบร้านและลูกน้องอีกหนึ่งคน จนสุดท้ายทุนก็เริ่มหมด
มีคำกล่าวว่า เราไม่เจอทุกข์ เราก็จะไม่เจอสุข
ดิฉันได้มีโอกาสศึกษาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจากอาจารย์ศิริพงศ์ อัครศรียุกต์ จึงทำให้ดิฉันหันมาสนใจธรรมะมากกว่าการทำมาหากิน และในตอนนั้นด้วยแรงศรัทธาและแรงอธิษฐาน ดิฉันก็เกิดนึกขึ้นมาว่า “หากข้าพเจ้าจะมีคู่ครองมีครอบครัว ขอให้ข้าพเจ้าเจอคนโสดและเป็นคนดีมีศีลธรรม” จะด้วยอะไรก็ตามที่ดลจิตใจให้ข้าพเจ้าเกิดปรารถนาเช่นนั้น
สุดท้ายดิฉันก็ปิดกิจการแรกและเก็บร้านไว้ ตั้งใจจะเก็บไว้ให้คนเช่า บังเอิญช่วงนั้นอาจารย์จัดไปอินเดีย ไปนมัสการสังเวชนียสถาน ที่ลุมพินี พุทธคยา สารนาถเนปาล ดิฉันจึงขอลงชื่อสมัครไปด้วย แต่ก่อนจะเดินทางไปอินเดีย ดิฉันตื่นเต้นและดีใจในการไปทำบุญที่อินเดียครั้งนี้ เพราะไม่เคยไปอินเดีย ได้ยินแต่ใครๆ พูดกันว่า อินเดียเมืองที่สกปรกและขอทานเยอะมาก เป็นประเทศที่คนรวยก็รวยสุดๆ จนก็จนสุดๆ แต่ดิฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หวังอย่างเดียวคือบุญในการนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ในช่วงที่รอญาติธรรมทั้งหลายที่สนามบินเมืองไทยก่อนขึ้นเครื่อง ดิฉันได้บูชาหนังสือธรรมะพาสุขใจไปแจกทุกคนที่เดินทางไปด้วยกัน การเดินทางครั้งนี้ก็ราบรื่นดี ได้รู้จักกัลยาณมิตรหลายท่าน และดิฉันยังปลื้มที่ได้รับมอบหมายเป็นเทพธิดาในขบวนที่จัดไปนมัสการเจดียสถาน และนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์พุทธคยา ที่ปลื้มเพราะมากัน 31 คนแล้วเราได้รับเลือกเป็นเทพธิดา แถมยังได้แต่งตัวสวยเหมือนสาวอินเดียก็เลยปลื้ม
แต่หลังจากกลับมาได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นกับดิฉัน ดิฉันได้อาศัยรถคนในกลุ่มญาติธรรมที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่นานไปวัดที่ชลบุรี ขากลับดิฉันรู้สึกไม่อยากนั่งรถเขาเลย อยากนั่งรถของคนอื่นอีกคัน แต่ด้วยความเกรงใจที่เขาชวนนั่งและมากับเขา จึงจำยอมนั่งกลับด้วย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงคิดว่าถ้านั่งด้านเดียวกันกับคนขับจะปลอดภัยกว่า และให้รัดเข็มขัดนิรภัยด้วยเผื่อเกิดอุบัติเหตุ
แล้วก็ได้ยินเสียงโครมหลายรอบเหมือนรถคว่ำ ดิฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้สึกแต่ว่าเจ็บไปทั่วตัว เหมือนมีเหล็กทิ่มหัว ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน
ความเป็นจริงคือรถชนเสาไฟฟ้า ดิฉันและคนขับรอด ส่วนอีกคนตาย ญาติๆ บอกว่าดิฉันสามารถเขียนบอกเบอร์บ้านได้ และเขียนถามเหตุการณ์ต่างๆ ได้ทั้งๆ ที่ลืมตาไม่ได้ เพราะหน้าบวม และตาแตก
สภาพดิฉันคือกะโหลกศีรษะแตก คอหัก ซี่โครงหัก 3 ซี่ ทิ่มเข้าไปในปอด ตับฉีก แขนแตกหัก ขาฉีก เบ้าตาแตก %


โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:00:15 น.  

 

เมื่อผ่านพ้นชีวิตทางโลกแล้วจะเลือกสู่ทางธรรม
นภัสกรณ์
เมื่อพ่อเสียแล้วจึงย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ เรียนหนังสือและเริ่มโตเป็นสาวก็หางานทำด้วยเรียนด้วย ด้วยความที่รักเรียนและหวังมีอนาคต เมื่อเริ่มมีเงินเก็บก็เรียนทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น รับงานทั้งพิธีกรและพรีเซ็นเตอร์ต่างๆ ชีวิตมีทั้งทุกข์และสุขเคล้ากัน ด้วยความลำบากและการเอาตัวรอด จึงทำให้ดิฉันเป็นคนมีความมั่นใจสูงและยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็เรียนรู้เองและแก้เองมาโดยตลอด
พอดิฉันเรียนจบปริญญาตรี ก็ได้เซ็นสัญญา 1 ปี กับบริษัท อีซูซุเนื่องจากผ่านการคัดเลือกเป็นอีซูซุเลดี้ เข้ารอบ 8 คน ชีวิตช่วงนั้นสุขสบายเพราะงานดีและเงินดี มีเวลาดูแลตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันขาดไม่ได้คือการทำบุญ และไปปฏิบัติธรรมอยู่ประจำ เพราะมีนิสัยชอบสวดมนต์เข้าวัดมาตั้งแต่เด็ก แตกต่างจากพี่ๆ จนถูกพี่ๆ แซวให้ไปเป็นแม่ชี
หลังจากดิฉันหมดสัญญาว่าจ้างแล้ว เริ่มมีปัญหากับชีวิตและเรื่องการเงิน ดิฉันจึงไปรักษาศีลปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ที่เลือกวัดอัมพวันเพราะด้วยจิตศรัทธาและเคยไปบวชที่นั่นบ่อย ด้วยเมตตาจิตจากหลวงพ่อจรัญ ทุกครั้งที่เข้าไปในวัดจะด้วยอะไรก็ตาม ดิฉันจะรู้สึกสงบเย็นสบายใจ อิ่มในบุญ พอกลับมาบ้านได้สักพักดิฉันก็ได้งานทำ ชีวิตดิฉันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากเป็นพนักงานขายซอฟท์แวร์ที่บริษัทฯมหาชนแห่งหนึ่ง ก็ได้ทำธุรกิจส่วนตัวเปิดร้านขายเสื้อผ้า ช่วงแรกดิฉันก็ตื่นเต้นขยันเป็นพิเศษ เปิดร้านแต่เช้า ขยันติดต่อโรงงานเพราะดิฉันออกแบบเอง ต้องเลือกโรงงานที่ดีมีความรับผิดชอบและส่งของทัน แต่ด้วยความไม่มีประสบการณ์มาก่อน ดิฉันเริ่มขาดทุน ต้องรับผิดชอบร้านและลูกน้องอีกหนึ่งคน จนสุดท้ายทุนก็เริ่มหมด
มีคำกล่าวว่า เราไม่เจอทุกข์ เราก็จะไม่เจอสุข
ดิฉันได้มีโอกาสศึกษาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจากอาจารย์ศิริพงศ์ อัครศรียุกต์ จึงทำให้ดิฉันหันมาสนใจธรรมะมากกว่าการทำมาหากิน และในตอนนั้นด้วยแรงศรัทธาและแรงอธิษฐาน ดิฉันก็เกิดนึกขึ้นมาว่า “หากข้าพเจ้าจะมีคู่ครองมีครอบครัว ขอให้ข้าพเจ้าเจอคนโสดและเป็นคนดีมีศีลธรรม” จะด้วยอะไรก็ตามที่ดลจิตใจให้ข้าพเจ้าเกิดปรารถนาเช่นนั้น
สุดท้ายดิฉันก็ปิดกิจการแรกและเก็บร้านไว้ ตั้งใจจะเก็บไว้ให้คนเช่า บังเอิญช่วงนั้นอาจารย์จัดไปอินเดีย ไปนมัสการสังเวชนียสถาน ที่ลุมพินี พุทธคยา สารนาถเนปาล ดิฉันจึงขอลงชื่อสมัครไปด้วย แต่ก่อนจะเดินทางไปอินเดีย ดิฉันตื่นเต้นและดีใจในการไปทำบุญที่อินเดียครั้งนี้ เพราะไม่เคยไปอินเดีย ได้ยินแต่ใครๆ พูดกันว่า อินเดียเมืองที่สกปรกและขอทานเยอะมาก เป็นประเทศที่คนรวยก็รวยสุดๆ จนก็จนสุดๆ แต่ดิฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หวังอย่างเดียวคือบุญในการนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ในช่วงที่รอญาติธรรมทั้งหลายที่สนามบินเมืองไทยก่อนขึ้นเครื่อง ดิฉันได้บูชาหนังสือธรรมะพาสุขใจไปแจกทุกคนที่เดินทางไปด้วยกัน การเดินทางครั้งนี้ก็ราบรื่นดี ได้รู้จักกัลยาณมิตรหลายท่าน และดิฉันยังปลื้มที่ได้รับมอบหมายเป็นเทพธิดาในขบวนที่จัดไปนมัสการเจดียสถาน และนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์พุทธคยา ที่ปลื้มเพราะมากัน 31 คนแล้วเราได้รับเลือกเป็นเทพธิดา แถมยังได้แต่งตัวสวยเหมือนสาวอินเดียก็เลยปลื้ม
แต่หลังจากกลับมาได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นกับดิฉัน ดิฉันได้อาศัยรถคนในกลุ่มญาติธรรมที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่นานไปวัดที่ชลบุรี ขากลับดิฉันรู้สึกไม่อยากนั่งรถเขาเลย อยากนั่งรถของคนอื่นอีกคัน แต่ด้วยความเกรงใจที่เขาชวนนั่งและมากับเขา จึงจำยอมนั่งกลับด้วย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงคิดว่าถ้านั่งด้านเดียวกันกับคนขับจะปลอดภัยกว่า และให้รัดเข็มขัดนิรภัยด้วยเผื่อเกิดอุบัติเหตุ
แล้วก็ได้ยินเสียงโครมหลายรอบเหมือนรถคว่ำ ดิฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้สึกแต่ว่าเจ็บไปทั่วตัว เหมือนมีเหล็กทิ่มหัว ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน
ความเป็นจริงคือรถชนเสาไฟฟ้า ดิฉันและคนขับรอด ส่วนอีกคนตาย ญาติๆ บอกว่าดิฉันสามารถเขียนบอกเบอร์บ้านได้ และเขียนถามเหตุการณ์ต่างๆ ได้ทั้งๆ ที่ลืมตาไม่ได้ เพราะหน้าบวม และตาแตก
สภาพดิฉันคือกะโหลกศีรษะแตก คอหัก ซี่โครงหัก 3 ซี่ ทิ่มเข้าไปในปอด ตับฉีก แขนแตกหัก ขาฉีก เบ้าตาแตก กระดูกแก้มแตก สรุปแล้วเกือบทั่วตัว กว่าดิฉันจะรู้สึกตัวและรับรู้อะไรได้ก็เกือบเดือน ฟื้นขึ้นมายังรู้สึกงงๆ และจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่กรรมซัดอีกรอบหนึ่ง ดิฉันช็อกหมดสติไป หมอเอ็กซเรย์และบอกญาติว่า เลือดคั่งในสมองและสมองบวมอย่างหนัก เพราะถูกกระทบกระเทือนอย่างแรง ต้องเจาะสมองเอาเลือดออก ดิฉันใช้เวลาเกือบ 1 เดือน จึงย้ายมารักษาตัวต่อที่บ้าน
ถึงดิฉันจะเจ็บจะปวดจะเสียโฉม แต่ด้วยความรักความเอาใจใส่ที่แม่คอยดูแล และน้ำใจจากคณะอาจารย์ญาติธรรมมาเยี่ยม ดันรู้สึกปลื้ม และความรู้สึกตอนนั้นดิฉันได้เห็นคุณค่าของความเป็นคนมากที่สุด ได้คิดและทบทวนถึงชีวิตทีผ่านมา การดิ้นรนหาเงินมาได้ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง หรือรวยแต่มีโรคภัยมาเบียดเบียน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะสุดท้ายของชีวิตคือความตาย คนที่เกิดมาไม่มีโรคถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ
แต่ดวงคนเวลาตกก็ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ เงินที่เก็บเอาไว้เริ่มหมด เพราะต้องไปหาหมออยู่เป็นประจำ และไม่มีรายได้เข้ามาเลย คนขับรถคู่กรณีก็ไม่เคยสนใจดูแล และไม่ทำตามที่สัญญาไว้ ภาระต่างๆ จึงตกที่ดิฉัน คนที่เคยมาดูแลเยี่ยมเยียนก็ค่อยๆ หายไป รวมทั้งคนที่ดิฉันไว้ใจและคิดจะฝากอนาคตไว้กับเขา ด้วยความที่รู้จักกันในช่วงที่ไปอินเดีย เราคิดสร้างอนาคตด้วยกันเมื่อดิฉันหาย แต่ตอนหลังดิฉันเริ่มเห็นพฤติกรรมต่างๆ ของเขา แสดงให้เห็นว่าเขาไม่สามารถดูแลดิฉันได้ และไม่สามารถดูแลใครได้เลย สุดท้ายเขาก็ทิ้งดิฉันไปโดยไม่มีเยื่อใย ความทุกข์ความเหงาความไม่มั่นใจจึงเกิดขึ้นกับดิฉัน บางคนที่ไม่เข้าใจก็มองว่าดิฉันมีปัญหาทางจิต เพราะการกระทบกระเทือนทางสมอง แต่ดิฉันก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำกล่าวร้าย เพราะคนที่รู้ดีที่สุดคือดิฉันเอง
สิ่งหนึ่งที่ดิฉันบอกได้จากการรอดมาและยังไม่พิการในครั้งนี้ คือบุญ



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:00:29 น.  

 

กรรมพาเข้าวัด
ธัชพล
เตี่ยสั่งสอนให้ลูกๆ เป็นคนขยัน
ได้ร่วมธุรกิจกับน้องชายและพี่สาว โดยการบริหารของน้องชาย ธุรกิจเจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองมาโดยตลอด จนกระทั่งปี 2545 กระผมได้แยกตัวออกไปประกอบธุรกิจมือถือเอง จนมีเงินทองพอสมควร ไม่เคยเชื่อเรื่องเวรกรรม พี่สาวบอกว่าหลวงพ่อให้ชวนน้องไปวัด เศรษฐกิจจะย่ำแย่มาก คนที่มีธรรมะจะรอด กระผมก็ทำเฉยเพราะกระผมไม่เคยเชื่อเรื่องเวรกรรมอยู่แล้ว คิดเองว่าคนมีกรรมคือคนขี้เกียจ เอาแต่นั่งสวดมนต์งานการไม่รู้จักทำ จะเอาเงินไหนมา เวลาพี่ชวนไปวัดกระผมก็นั่งหัวเราะ และคิดว่าพี่สาวฉันนี่บ้าหรือเปล่า แต่กระผมเป็นคนที่ไม่ค่อยขัดพี่น้อง เมื่อพี่สาวชวนมากเข้าจึงเกิดความรำคาญ เลยตัดสินใจไปวัด กระผมก็ชวนน้องชายคนเล็กไปด้วย เราสองคนมาคิดดูว่าการนั่งกรรมฐานมันเหมาะกับคนว่างงาน คนขี้เกียจทำงานนั่งๆ นอนๆ ให้หมดไปวันๆ เท่านั้น ไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมาเลย การทำบุญทำเมื่อไหร่ก็ได้ถ้ามีเงินเสียอย่าง กระผมและน้องชายจึงชวนกันไปลาศีลกับหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกว่าอยู่อีกวันหนึ่งให้ครบ 3 วันแล้วจะรวย กระผมสองคนก็ดื้อไม่ยอม ขอสึกลูกเดียว ตอนนั้นกระผมคิดในใจว่าถ้าไม่กลับไปดูแลกิจการซิมันจะไม่รวย หลวงพ่อจึงสึกให้
กระผมประกอบอาชีพต่อไปตามปกติ ไม่ได้คิดอะไรอีก ปี 2545 ธุรกิจของผมเริ่มมีอุปสรรคค้าขายไม่ค่อยดี มีปัญหาเรื่องการเงินตลอดเวลา ทะเลาะกับภรรยาเสมอ ความคิดมากขึ้นจะทำอย่างไรดี เพื่อให้กิจการของเราอยู่ตลอดรอดฝั่ง คิดอยู่คนเดียวตลอดเวลา จนกระทั่งวันนั้นกระผมจำได้ว่า วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2550 กระผมเข้านอนแต่หัวค่ำ พอตื่นนอนขึ้นมาตอน 9 โมงเช้าขาขวาของผมขยับไม่ได้ สัญชาตญาณบอกทันทีว่ากระผมเป็นอัมพฤกษ์ เรื่องรู้ถึงพี่สาว พี่สาวบอกให้ไปสร้างบุญที่วัดอัมพวัน เธอเป็นน้องชายฉัน เธอจะรักษาตัวอย่างไรฉันไม่ว่า แต่ต้องไปรับบุญก่อน เพราะบุญเก่าเธอหมด กระผมไม่เชื่ออีก และคิดว่าฉันเดินไม่ได้จะเอาฉันไปทรมานทำไม แต่ด้วยความรักพี่สาวไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง พอครบ 7 วันกระผมก็กลับบ้าน รักษาตัวด้วยการหาหมอหลวงและรับประทานสมุนไพรคู่กันไป
พออาการเริ่มดีขึ้นกระผมก็มาวิเคราะห์ดูว่าการปฏิบัติกรรมฐานมีประโยชน์หรือไม่ หลังจากกลับมาจากวัด ผมก็มาปฏิบัติที่บ้าน และนั่งสวดมนต์ อิติปิโส 108 จบ อยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ กระผมสังเกตอาการดีขึ้น ไม่ทรมาน เส้นที่ตึงเริ่มคลาย ช่วงที่ผมป่วยทั้งหมดเป็นเวลา 10 เดือน แน่นอนในเมื่อหัวหน้าครอบครัวสุขภาพย่ำแย่ เงินที่มีอยู่หมดไปกับการรักษาตัว บ้านที่ต้องผ่อนก็ผ่อนไม่ไหว รถ 2 คันถูกยึด เพราะภรรยาทำงานได้ไม่เต็มที่ ต้องปิดกิจการ เป็นหนี้บัตรเครดิตอีกเป็นล้าน กระผมหมดตัว
ผมหวนคิดถึงความฝันของภรรยาซึ่งเขาปฏิบัติกรรมฐานและฝันว่า มีชายแกคนหนึ่งชี้หน้าต่อว่ากระผมว่า “มึงฆ่าลูกกู กูจะจองล้างจองผลาญมึงทุกชาติไป” มาคิดขึ้นได้ว่าตอนหนุ่มๆ กระผมขับเรือเดินน้ำมันชนคนตายโดยมิได้เจตนา วิญญาณของเขาคงยังอยู่ และทำให้ผมหมดตัว ทุกวันนี้กระผมอาศัยอยู่กับน้องสาว เริ่มต้นสร้างบุญใหม่ ปฏิบัติกรรมฐานและสวดมนต์ทุกวัน แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร กรรมฐานทำให้กระผมมีร่างกายแข็งแรง ได้สติในการดำเนินชีวิต ทุกวันนี้อาการกระผมดีขึ้นเกือบเป็นปกติ ได้เริ่มต้นทำธุรกิจใหม่คือขายปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ถ้าขายดีขึ้นเพราะเป็นกิจการที่เริ่มต้นด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน เกิดมีสติมากขึ้น



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:01:01 น.  

 

ด้วยจิตศรัทธา
นวพร
ช่วงที่ลูกชายคนเล็กของข้าพเจ้าเข้าสู่วัยรุ่นได้เปลี่ยนจากเด็กน่ารัก เชื่อฟัง ไปเป็นเด็กเกเร ข้าพเจ้าพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยลูกและเด็กๆ ที่หลงผิดให้กลับคืนเป็นเด็กดี ข้าพเจ้าทุกข์ใจมาก ทั้งเสียใจ กังวล หมดกำลังใจ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากที่ข้าพเจ้าได้อ่านปัญหาของหลายท่านที่เขียนไว้ในหนังสือกฎแห่งกรรมแล้ว เริ่มเข้าใจการให้ผลของกรรมที่ทำ ข้าพเจ้าได้สวดมนต์ให้ลูกชายและขอพรให้ลูกชายทุกครั้ง และแล้วข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้เดินทางไปวัดอัมพวัน
ข้าพเจ้ามีกำลังใจมากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้รู้ในหลายๆ เรื่องที่ยังไม่รู้ อดีตผ่านมาคิดเอาเองว่าใช่แล้วถูกแล้ว เลยมีความทุกข์ใจมาก จริงๆ แล้วที่ผ่านมาข้าพเจ้าแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปัญหาต่างหาก
หลังจากข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรม เจริญกรรมฐานและหมั่นระลึกถึงคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ให้แก้ที่ตนเองอย่าไปแก้ไขที่ผู้อื่น ข้าพเจ้าปฏิบัติตาม ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนไปมากอย่างอัศจรรย์ อารมณ์เย็นลง มีเหตุผลมากขึ้น มีความสงบ ปล่อยวางได้มาก ให้อภัยได้ง่าย แม้ทุกวันนี้ยังคงมีปัญหา มีอุปสรรคผ่านเข้ามาในชีวิต แต่รู้สึกทุกข์น้อยลง
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ามีครอบครัว มีปัญหาชีวิตคู่มากมาย ทำดีอย่างไรก็ยังต้องพบกับความไม่เข้าใจกัน ไม่เห็นใจกัน ทุกเรื่องขัดแย้งไปทั้งสิ้น จนถึงต้องเลิกร้างกัน ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกสองคนตามลำพัง ช่วงลูกย่างเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มเกเร ข้าพเจ้าทุกข์ยิ่งกว่าความล้มเหลวในชีวิตคู่ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ได้ช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้มีชีวิตคู่ที่ดีอีกครั้งหนึ่ง มีความเข้าใจ เห็นใจ อาทรต่อกัน ลูกชายและเพื่อนๆ ก็กลับคืนเป็นคนดี ใกล้จะเรียนสำเร็จปริญญากันทุกคน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนว่า “ลูกไม่ดีแก้ที่พ่อแม่” “เมียดีช่วยผัวได้แน่”



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:02:50 น.  

 

ด้วยจิตศรัทธา
นวพร
ช่วงที่ลูกชายคนเล็กของข้าพเจ้าเข้าสู่วัยรุ่นได้เปลี่ยนจากเด็กน่ารัก เชื่อฟัง ไปเป็นเด็กเกเร ข้าพเจ้าพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยลูกและเด็กๆ ที่หลงผิดให้กลับคืนเป็นเด็กดี ข้าพเจ้าทุกข์ใจมาก ทั้งเสียใจ กังวล หมดกำลังใจ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากที่ข้าพเจ้าได้อ่านปัญหาของหลายท่านที่เขียนไว้ในหนังสือกฎแห่งกรรมแล้ว เริ่มเข้าใจการให้ผลของกรรมที่ทำ ข้าพเจ้าได้สวดมนต์ให้ลูกชายและขอพรให้ลูกชายทุกครั้ง และแล้วข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้เดินทางไปวัดอัมพวัน
ข้าพเจ้ามีกำลังใจมากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้รู้ในหลายๆ เรื่องที่ยังไม่รู้ อดีตผ่านมาคิดเอาเองว่าใช่แล้วถูกแล้ว เลยมีความทุกข์ใจมาก จริงๆ แล้วที่ผ่านมาข้าพเจ้าแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปัญหาต่างหาก
หลังจากข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรม เจริญกรรมฐานและหมั่นระลึกถึงคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ให้แก้ที่ตนเองอย่าไปแก้ไขที่ผู้อื่น ข้าพเจ้าปฏิบัติตาม ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนไปมากอย่างอัศจรรย์ อารมณ์เย็นลง มีเหตุผลมากขึ้น มีความสงบ ปล่อยวางได้มาก ให้อภัยได้ง่าย แม้ทุกวันนี้ยังคงมีปัญหา มีอุปสรรคผ่านเข้ามาในชีวิต แต่รู้สึกทุกข์น้อยลง
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ามีครอบครัว มีปัญหาชีวิตคู่มากมาย ทำดีอย่างไรก็ยังต้องพบกับความไม่เข้าใจกัน ไม่เห็นใจกัน ทุกเรื่องขัดแย้งไปทั้งสิ้น จนถึงต้องเลิกร้างกัน ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกสองคนตามลำพัง ช่วงลูกย่างเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มเกเร ข้าพเจ้าทุกข์ยิ่งกว่าความล้มเหลวในชีวิตคู่ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ได้ช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้มีชีวิตคู่ที่ดีอีกครั้งหนึ่ง มีความเข้าใจ เห็นใจ อาทรต่อกัน ลูกชายและเพื่อนๆ ก็กลับคืนเป็นคนดี ใกล้จะเรียนสำเร็จปริญญากันทุกคน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนว่า “ลูกไม่ดีแก้ที่พ่อแม่” “เมียดีช่วยผัวได้แน่”



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:03:21 น.  

 

ศัลยกรรม กรรมฐาน
วรรณภา
ข้าพเจ้าเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี อบอุ่น มีโอกาสได้ตามคุณย่าเข้าวัดตั้งแต่เด็ก และได้นั่งสมาธิแบบพุทโธตั้งแต่สมัยมัธยมต้น และนอนค้างที่วัดในช่วงวันพระ พอเข้าช่วงวัยรุ่นมัธยมปลาย ข้าพเจ้าขี้เกียจและไม่ปฏิบัติอีก
จนมาถึงปี 2546 ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมทีวัดอัมพวันครั้งแรกเป็นเวลา 3 วัน สาเหตุการไปวัดของข้าพเจ้าเกิดจากความสงสัยตั้งแต่ครั้งวัยรุ่นว่า ทำไมคุณอาข้าพเจ้าถึงต้องให้ทุกคนตื่นแต่เช้า เพื่อไปเลี้ยงเพลพระที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ทั้งที่มีวัดอื่นทั้งในกรุงเทพฯและแถวบ้านมากมาย
คุณอาตอบว่า “วัดนี้ดี เป็นวัดปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านเป็นพระสุปฏิปันโน เป็นพระอริยะ หาได้ยากมากในสมัยนี้ ถ้าอยากรู้ต้องไปเอง ปฏิบัติเองแล้วจะรู้” ในวันนั้นข้าพเจ้าคิดในใจทันทีว่าจะต้องหาทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ให้ได้ จะได้รู้ว่าหลวงพ่อดีจริงอย่างที่คุณอาบอกไว้หรือไม่ ของอย่างนี้ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
ในวันนั้นข้าพเจ้ากลับบ้าน อาบน้ำเสร็จสวดมนต์ จากที่ไม่เคยทำมาเป็นเวลานานมากแล้ว หลังจากสวดมนต์เสร็จ ข้าพเจ้าอธิษฐานกับพระพุทธรูปในห้องพระว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้จักหลวงพ่อจรัญ แต่ข้าพเจ้ามีความตั้งใจอยากที่จะไปปฏิบัติธรรมและกราบท่าน ขอให้ข้าพเจ้าได้ไป โดยไม่มีอุปสรรคด้วยเทอญ”
ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ทุกวันเป็นเวลา ๑อาทิตย์ และข้าพเจ้าก็ตัดสินใจว่าจะไปลองก่อน 3 วัน โดยชวนพี่ที่ทำงานไปด้วย เพราะข้าพเจ้าไม่เคยขับรถไปต่างจังหวัดคนเดียว สิ่งที่แปลกก็คือ พี่ที่ข้าพเจ้าชวนไปตกลงรับปากทันที ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยปฏิบัติธรรมที่ไหนมาก่อน และพ่อแม่ข้าพเจ้าก็อนุญาตให้ไปอย่างง่ายดาย ข้าพเจ้าดีใจและมีความสุขมาก
ตลอดเวลาที่เดินจงกรมข้าพเจ้าเกิดปีติตลอดเวลา เดินไปน้ำตาไหลหยดเป็นทางตลอดเวลา จนพื้นห้องภาวนามีน้ำหยดเป็นหย่อมๆ ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกอิ่มเอิบและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ตลอดเวลาที่ปฏิบัติ 3 วัน เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก
ข้าพเจ้ากราบลาหลวงพ่อด้วยความสุข และเหมือนได้คำตอบบางอย่างที่ตนเองค้นหาอยู่ ข้าพเจ้าปฏิญาณกับตัวเองว่า จะต้องกลับมาใหม่ให้จงได้
ในครั้งนี้ข้าพเจ้ารู้สึกสงบ ปลอดโปร่ง เบาสบายมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทั้งๆ ที่ชีวิตข้าพเจ้าก็แทบจะไม่ค่อยมีทุกข์อยู่แล้ว สุขจนรู้สึกเข้าใจว่าทำไมพระถึงคิดออกบวชและสละซึ่งทางโลก และรู้สึกว่าความสุขที่เกิดจากความสงบมันเป็นอย่างนี้เอง ข้าพเจ้าจึงคิดว่าจะตั้งใจปฏิบัติต่อไปมิให้ขาด
ข้าพเจ้าสวดมนต์ทุกวันตามที่หลวงพ่อสอนและพยายามปฏิบัติธรรมทุกวันเท่าที่จะทำได้มิให้ขาด ชีวิตของข้าพเจ้ามีหน้าที่การงานดีขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อข้าพเจ้ามาปฏิบัติธรรมเป็นครั้งที่ ๑๒ เป็นเวลา ๗ วัน
ช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๙ ข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่าครั้งนี้ข้าพเจ้าจะปฏิบัติเพื่ออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า เมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จ ๗ วัน ลากลับมาที่บ้าน ใบหน้าของข้าพเจ้าก็เริ่มมีเม็ดขึ้น 2-3 เม็ดค่อนข้างใหญ่ ข้าพเจ้านึกว่าคงแพ้น้ำมาจากการสระผม จึงไปหาหมอสิว ข้าพเจ้าไม่ได้คิดอะไรมากกว่าคิดว่าเดี๋ยวก็คงหายเอง
แต่หลังจากนั้นอีกไม่นานเม็ดสิวก็ขึ้นมาที่คางของข้าพเจ้าอีก คราวนี้ข้าพเจ้าเห็นว่ามันเรียงกันเป็นไข่ปลาเม็ดเล็กๆ ประมาณ 100 กว่าเม็ด ข้าพเจ้าตกใจมากจึงตัดสินใจไปหาหมอ เม็ดสิวก็เริ่มอักเสบและอักเสบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คล้ายแผลพุพองน่ากลัวมากเต็มใบหน้า หมอบอกข้าพเจ้าว่าน่าจะแพ้สารเคมีอย่างรุนแรง เป็นระยะที่ 4 ซึ่งถือว่าแย่มาก และน่าจะถือว่าเป็นกรณีศึกษา หมอจำเป็นที่จะต้องให้ยาสเตอรอยด์ที่แรงมาก เพื่อระงับและบรรเทาอาการไว้ก่อน
พอกลับมาบ้านก็ทานยา แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าหน้าบวมขึ้นและแน่นหน้าอก ข้าพเจ้ารู้สึกแพ้ยาที่คุณหมอให้มาอย่างแน่นอน จึงหยุดกินและเปลี่ยนหมอ
เมื่อข้าพเจ้าเปลี่ยนหมอคนใหม่ หมอรักษาข้าพเจ้าโดยการคว้านเอาหนองที่อยู่ใต้ผิวหนังออกหมดทั้งใบหน้า หมอคว้านไปน้ำตาคลอไป บ่นว่าสงสารข้าพเจ้าเหลือเกินคงจะเจ็บและทรมานมาก หมอยังบอกข้าพเจ้าอีกว่า ให้ทำใจนะเพราะหน้าข้าพเจ้าคงต้องทำศัลยกรรม และจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก หรืออาจต้องใช้เวลาประมาณ ๖ เดือนถึง ๑ ปี เพื่อเยียวยาให้ดีขึ้น แต่ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
ตอนนั้นอาจเป็นด้วยวิบากกรรมของข้าพเจ้าเองก็เป็นได้ จึงทำให้ไม่ว่าจะไปหาหมอคนไหนก็ไม่สามารถรักษาใบหน้าของข้าพเจ้าให้ดีขึ้นได้ แม้ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด หนำซ้ำหน้าข้าพเจ้ายังเลวร้ายลงไปทุกทีๆ

แต่ข้าพเจ้าโชคดีเหลือเกินที่ปฏิบัติธรรมและสวดมนต์มาตลอดทุกวัน ทำให้ข้าพเจ้ายอมรับความจริง เห็นสัจธรรมและได้ธรรมะจากโรคที่เกิดกับข้าพเจ้าว่า “ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย หน้าตาของเราอยู่บนหน้าเราแท้ๆ เรายังไม่สามารถควบคุมบังคับอะไรมันได้เลย ไหนเลยจะเรียกว่าเป็นของของเรา และเราจะไปยึดติดอะไรอยู่เล่า ไม่มีเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา” และสติก็บอกกับข้าพเจ้าว่าในคืนนั้นว่า “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เราต้องทำเหตุเอาไว้ เราจึงได้รับผลเช่นนี้”
ในขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่า “จิตได้นอบน้อมยอมรับผลของกรรมที่ได้กระทำเอาไว้ในอดีตโดยดุษณี ไม่มีข้อโต้แย้ง รู้แต่ว่ายอมชดใช้ให้หมดกันไปในชาตินี้” ทันทีที่สติและจิตบอกกับตัวเองอย่างนั้น ข้าพเจ้าลงมือปฏิบัติพระกรรมฐานทันที เพื่อที่จะได้อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินไว้ ด้วยจิตที่พร้อมยอมรับและต้องการชดใช้
เมื่อข้าพเจ้าจะแผ่เมตตา ก็ได้ขออโหสิกรรมตามที่หลวงพ่อได้สอนไว้ โดยข้าพเจ้าได้พูดว่า “บุญกุศลที่เกิดจากการเจริญภาวนานี้ ข้าพเจ้าขอมอบให้เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นแผลอักเสบทั้งใบหน้านี้ ข้าพเจ้าขอโทษกับสิ่งที่ได้ทำกับท่านในอดีต โดยที่ข้าพเจ้าไม่รู้และจำไม่ได้แล้วว่าเคยล่วงเกินอะไรท่าน รู้แต่ว่าท่านต้องเจ็บปวดและทรมาน ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว ข้าพเจ้าขอโทษและจะไม่ทำผิดอีก ขอให้ท่านได้รับบุญกุศลของข้าพเจ้าและได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกัน และขอให้อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ”
หลังจากข้าพเจ้าแผ่เมตตาเสร็จ ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่าเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าได้รับส่วนบุญนี้ และข้าพเจ้าก็บอกกับตัวเองว่าหมอรักษาข้าพเจ้าไม่ได้ แต่กรรมฐานนี่แหละที่จะรักษาข้าพเจ้าได้ “ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปหาหมออีก” ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานและสวดมนต์ให้เจ้ากรรมนายเวรอย่างต่อเนื่องทุกวัน
ช่วงนั้นข้าพเจ้าไปไหนก็ต้องปิดผ้ากอซส่วนที่เป็นแผล จะว่าไปก็ทั้งใบหน้า เหลือแค่ตา จมูก ปาก เพื่อป้องกันแผลไม่ให้โดนฝุ่นและแดด ทุกคนที่เห็นหน้าข้าพเจ้าทั้งที่ทำงานและที่อื่นๆ ต่างก็พากันมองข้าพเจ้าเหมือนตัวตลกมองด้วยสายตาสงสารกึ่งสมเพช ว่าหน้าเป็นขนาดนี้ทำไมกล้าออกมาเดินตามท้องถนนอยู่ได้ เพื่อนบางคนถึงบอกกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าหน้าฉันเป็นแบบนี้ฉันขอหยุดอยู่บ้าน ไม่ไปทำงานหรือพบใครเลยดีกว่า”
แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกเศร้าหรือจิตตกอีกต่อไปแล้ว เมื่อคิดได้ว่าเราสร้างกรรมไว้ก็ต้องชดใช้ ข้าพเจ้าจึงมีจิตที่เบิกบานเหมือนเดิม เมื่อใช้หมดเดี๋ยวก็หายเอง ข้าพเจ้าไปทำงานตามปกติไม่ได้หยุดงานเลยแม้แต่หนึ่งวัน และก็ไปทานข้าวกับเพื่อนๆ ตามปกติ โดยมีผ้ากอซปิดหน้าด้วยเสมอ จนกลายเป็นภาพที่คุ้นตาคน นี่แหละของดีที่ได้จากธรรมะ ถ้าจิตไม่ไปยึดติด ถึงกายจะทุกข์ ถ้าจิตไม่ทุกข์เราก็เป็นสุขได้ กายกับจิตมันแยกกันโดยสิ้นเชิง

“หลวงพ่อเจ้าขา...ช่วยแผ่เมตตาให้ลูกหายไวๆ ด้วยนะเจ้าคะ” หลวงพ่อมองหน้าข้าพเจ้าอย่างเมตตามากและก็พยักหน้า ๓ ครั้ง ข้าพเจ้าดีใจมาก น้ำตาไหลพรากๆ ต่อหน้าหลวงพ่อ
ขากลับข้าพเจ้าได้กลับเข้ามาที่วัดอัมพวันอีกครั้งโดยหลวงน้าชูเกียรติได้เมตตาข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก ท่านได้ให้น้ำมนต์แก่ข้าพเจ้าและบอกว่าให้สวดอิติปิโส ๑๐๘ จบ และกินน้ำมนต์ทุกวันเป็นเวลาติดต่อกัน หน้าของข้าพเจ้าเริ่มแห้งและดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วมากอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ด้วยอานิสงส์ของพระกรรมฐาน พระพุทธคุณ น้ำมนต์ และบารมีหลวงพ่อที่แผ่เมตตาให้ ทำให้ข้าพเจ้าหายจากโรคได้โดยไม่ต้องไปหาหมอและทำศัลยกรรมแต่อย่างใด
ภายในเวลา ๓ เดือน ข้าพเจ้าสามารถเอาผ้ากอซออกได้ และหน้าก็กลับมาดีเป็นปกติดังเดิม ราวกับไม่เคยผ่านการอักเสบหรือเป็นแผลหนองพุพองมาก่อน มีแต่คนถามข้าพเจ้าว่า “ไปหาหมอที่ไหนมาเก่งจังเลย” ข้าพเจ้าตอบว่า “ไม่ได้ไป สวดมนต์และเจริญพระกรรมฐานอย่างเดียว”
“เรามีกรรมนำมาเกิด เราทำกรรมอย่างไรไว้ เราต้องรับผลของกรรมนั้น อย่าไปอิดออกต่อรอง จงยอมรับและชดใช้เสีย จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไป”



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:03:25 น.  

 

หลวงพ่อผู้ให้ชีวิตทางธรรม
วิฑูรย์

หลวงพ่อแผ่เมตตาข้ามประเทศ
เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2550 คุณอรนิชภรรยาของกระผม ได้ทราบว่าคุณพ่อซึ่งอยู่ที่ประเทศมาเลเซียประสบอุบัติเหตุล้ม ทำให้กระดูกสะโพกร้าวและเข้าโรงพยาบาล โดยแพทย์บอกว่ามีวิธีการรักษา 2 ทาง คือ การผ่าตัดแต่มีโอกาสเสี่ยงเนื่องจากหลอดเลือดไม่แข็งแรงหรือการยึดให้กระดูกเข้าที่ ซึ่งต้องนอนโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน และอาจจะมีผลข้างเคียงจากการติดเชื้อ กระผมและภรรยาจึงได้นำเรื่องกราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เพราะไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี ท่านก็ได้มีเมตตาว่าให้ทำตามที่แพทย์แนะนำ และคุณพ่อก็มีอายุมากแล้ว เรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ท่านบอกว่าจะแผ่เมตตาให้ และขอพรจากหลวงพ่อ 2 ประการคือ ขอให้ได้เห็นหน้าคุณพ่อก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต และขอให้คุณพ่อได้จากไปอย่างสงบ
เมื่อเดินทางไปถึงในช่วงดึกก็ทราบว่าคุณพ่อไม่รู้สึกตัว อยู่ในห้องไอซียู
แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า ในวันรุ่งขึ้นคุณพ่อก็รู้สึกตัวในช่วงเช้าและความดันก็ดีขึ้น ลืมตาได้และมองเห็นรับรู้ว่าครอบครัวกระผมกลับไปเยี่ยม และในบ่ายวันนั้นเองท่านก็ได้จากไปอย่างสงบในขณะที่ลูกๆ อยู่ข้างเตียง หากไม่ได้ความเมตตาจากหลวงแผ่เมตตาไปให้แล้ว เราคงไม่ได้รับพรดังที่ได้ขอไว้
สมาธิจิตของลูกสาว
ลูกสาวของกระผมมักจะเห็นและได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ที่คนอื่นไม่เห็น บางครั้งคนอื่นเห็นสุนัขแต่ลูกสาวเห็นเป็นเด็กหญิง เห็นเงาคนอื่นในบริเวณบ้านทั้งที่ไม่มีใคร ภรรยาผมก็บอกว่าให้แผ่เมตตา และหมั่นสวดมนต์ให้มากๆ ไม่ต้องกลัว ให้สวดมนต์แผ่เมตตาให้สิ่งที่เห็นแล้วอธิษฐานจิตว่าหนูไม่ต้องการเห็นสิ่งเหล่านี้ ข้อความต่อไปนี้ลูกสาวได้เขียนขึ้นจากเหตุการณ์ที่ได้ประสบ
วันที่ ๒๕ พฤษภาคมที่ผ่านมา หนูรู้สึกจิตใจว้าวุ่น จึงคิดว่าถ้าลองนั่งสมาธิทำให้จิตใจสงบอาจจะดีขึ้น หนุจึงนั่งสมาธิตอนเวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. เมื่อนั่งไปได้ประมาณ ๑๕ นาที รู้สึกว่าจิตใจสงบลง และเหมือนมีบางอย่างทำให้ลืมตาขึ้นมา และเมื่อมองไปที่ผอบใส่ธาตุของคุณตา หนูก็เห็นภาพหน้าคุณตากำลังยิ้มอย่างมีความสุข ยิ้มแบบที่หนูไม่เคยเห็นคุณตายิ้มแบบมีความสุขอย่างนี้มาก่อน เมื่อเห็นคุณตาหนูก็ร้องไห้ด้วยความคิดถึง แล้วหนูก็หลับตาลงพยายามทำจิตให้สงบ เมื่อหนูรู้สึกว่าจิตของหนูสงบแล้วหนูจึงถามตัวเองว่า ทำไมคุณตาถึงมาให้หนูเห็นคนเดียว หนูคิดว่าถ้าหนูสวดมนต์ให้คุณตามากกว่านี้ หนูอาจจะช่วยให้คุณตาอยู่ได้นานอีกหน่อย แล้วหนูก็ได้ยินเสียงหลวงตาพูดขึ้นมาว่า “เกิด เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดา” แล้วก็ได้ยินเสียงตัวหนูเองพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีใครสามารถยื้อความตายได้” แล้วเสียงนี้มันก็ก้องอยู่ในหัวหนูตลอด สักพักหนูจึงเริ่มคิดได้ว่าหนูได้ทำดีที่สุดแล้ว ถึงก่อนหน้านี้หนูสวดมนต์เยอะกว่าเดิม คุณตาก็ต้องตายอยู่ดี หนูไม่ได้เป็นผู้วิเศษที่สามารถช่วยชีวิตคนได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามพอคิดได้แล้วหนูก็หยุดร้องไห้แล้วลืมตาขึ้นมา หนูก็ยังเห็นคุณตายิ้มอยู่ แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป หนูก็พยายามเรียกคุณตาว่า “อยู่ต่ออีกหน่อย อยู่นานกว่านี้อีกหน่อย เพราะหนูก็ยังอยากเห็นคุณตายิ้มอย่างมีความสุขแบบนั้นอีก และหนูก็เริ่มจำหน้าของคุณตาไม่ได้แล้ว” แล้วหนูก็ตั้งจิตคิดถึงคุณตา บอกคุณตาว่า “ไม่ว่าคุณตาจะอยู่ที่ไหน ความเป็นอยู่เป็นอย่างไร คุณตามีความสุขไหม คุณตามาบอกหนูด้วยนะ แล้วหนูจะพยายามไม่ขี้เกียจ จะสวดมนต์ให้คุณตาเยอะๆ คุณตาจะได้ไปในที่ที่ดีที่สุด” เสร็จแล้วหนูก็กราบพระแล้วเดินไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ
เมื่อกระผมได้นำเรื่องนี้กราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แนะนำกระผมให้สอนลูกว่า “สิ่งที่เห็นนั้นไม่เป็นไร แต่อย่าไปยึดติด เขามีสมาธิดี ให้ทำสมาธิต่อไป



วิธีสอนอันแยบคายของหลวงพ่อ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กระผมได้ร่วมทานอาหารที่จัดเป็นพิเศษ สำหรับแขกที่มาจากต่างประเทศ เมื่อกระผมได้ทานแล้วรู้สึกอร่อยมาก ได้พูดว่าอาหารนี่อร่อย อร่อยกว่าที่โรงทานมาก ปรากฏว่าในครั้งต่อมาที่ไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก่อนที่ท่านจะขึ้นข้างบน ท่านได้บอกให้ไปทานข้าว และกำชับตอนท้ายว่าให้ไปทานที่โรงทาน เมื่อผมได้ยินดังนั้นผมบรรยายความรู้สึกไม่ได้จริงๆ ทั้งละอายใจทั้งเสียใจที่เป็นศิษย์หลวงพ่อแต่ไม่ได้สำรวมตน เผลอไผลไปกับรสอาหาร และยังวิจารณ์อาหารที่มีผู้มีจิตศรัทธา ทั้งผู้บริจาคและผู้บริการในโรงครัว ก่อกรรมครบทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านไม่บอก หรือว่ากล่าวตรงๆ แต่ได้กระทำให้กระผมสำนึกได้จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่ไหนท่านทราบหมด



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:04:05 น.  

 

ของดีของจริงที่วัดอัมพวัน

วัชนันท์
วันนั้นเป็นวันพระ คนเยอะมาก ผู้คนมากหน้าหลายตา แต่สังเกตได้ว่าคนส่วนใหญ่มีแต่รอยยิ้ม หน้าตาแช่มชื่นมีความสุข ดิฉันพึ่งจะไปครั้งแรกก็ได้แต่ตามเพื่อนๆ ไป ได้ฟังเขาคุยเรื่องธรรมะกัน ฟังไปฟังมาก็รู้สึกชอบ เพื่อนใหม่คุยให้ฟังถึงเรื่องอานิสงส์ของการตั้งใจปฏิบัติธรรม ว่าสามารถส่งให้กับบุพการีที่ล่วงลับไปแล้วได้ โดยยกตัวอย่างคุณพ่อของเธอเอง พอได้ฟังดิฉันก็น้ำตาร่วงเพราะคิดถึงพ่อ-แม่ที่เสียชีวิตไปนานแล้วอย่างกะทันหันและไม่ปกติ และนี่เองคือตัวจุดประกายให้เข้าวัดฟังธรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ในที่สุดก็มาลงตัวที่วันหยุดสงกรานต์ปี ๒๕๕๐ ได้ไปกราบหลวงพ่อ ได้ถวายผ้าไตร และอธิษฐานจิตว่า บุญใดที่ได้จากกรรมฐานขออุทิศให้กับพ่อและแม่ทั้งหมดไม่ว่าท่านจะอยู่ภพใดภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับ และขอให้หลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาให้ท่านทั้งสองด้วย หลวงพ่อท่านก็พยักหน้ารับ ตอนนั้นรู้สึกดีใจมาก และคิดว่าไปวัดครั้งนี้จะไม่ผิดหวัง จะต้องได้ของจริงกลับมาอย่างแน่นอน
สามวันแรกของการปฏิบัติทรมานจากเวทนามาก โดยวันแรกปฏิบัติเดินครึ่งชั่วโมง นั่งครึ่งชั่วโมง ตั้งแต่วันที่สอง เพิ่มเป็นเดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง และเพิ่มกำหนดนอนหนอด้วย มีสภาวธรรมเกิดขึ้นหลายอย่าง ปวดขา ปวดหัวเข่าแทบหลุดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เกือบเสียสัจจะก็หลายหน แต่พอนึกถึงหลวงพ่อทีไรก็อดทนสู้ต่อ และสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดีทุกรอบ
พอวันที่สี่ เริ่มคุ้นเคยกับเวทนาบ้างแล้ว มองว่าเป็นเพื่อนกัน มาแล้วเดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวก็ปวด พอเลิกก็หาย จิตก็เริ่มนิ่ง กำหนดได้ดีขึ้น มีสติมากขึ้น รู้เป็นปัจจุบันได้ดีขึ้น จนใกล้จะหมดเวลา จู่ๆ เวทนาที่ปวดขาแทบหลุดก็ดับวูบ-ซ่า หายปวดเป็นปลิดทิ้ง มีแต่อาการชาๆ ถึงตอนนี้เลยเข้าใจว่าของจริงเป็นอย่างนี้นี่เอง ฉะนั้นการปฏิบัติวันที่ห้า จึงเป็นของง่าย ดิฉันกลับบ้านอย่างมีความสุขสงบ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ใจเย็นนิ่งขึ้นจนสามีและลูกๆ แปลกใจ
กลับมาบ้านแล้วก็ยังปฏิบัติต่อแทบทุกวัน วันไหนขาดไปก็ต้องชดเชย และอีกประสบการณ์ที่ได้หลังจากการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมาประมาณ ๓ เดือน
อันที่จริงสภาวธรรมแบบนี้ก็เคยเกิดมาบ้างแล้ว แต่ก็เป็นระยะเส้นๆ กำหนดพอง-ยุบได้ดี รู้ว่าหลับไปตอนไหน พลิกตัวกี่ทีก็มีสติรู้ที่ลิ้นปี่เป็นอัตโนมัติ เป็นจริงตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ ของดี ของจริงที่ได้จากวัดเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตอีกอย่างหนึ่ง และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่นเจอหน้าคนที่ไม่ถูกกันก็แผ่เมตตาให้เขาเป็นสุขๆ มองหน้าขาโดยไม่รู้สึกโกรธเกลียดมากนัก พยายามกำหนดอิริยาบถย่อยให้ได้มากที่สุดที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเดิน นั่ง กินอาหาร หรือเข้าห้องน้ำ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ
ดิฉันพยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ที่สุด รู้จักเกรงกลัวบาปกรรมมากขึ้น อานิสงส์ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ดิฉันละเว้นการเบียดเบียนชีวิตสัตว์เป็นๆ เพื่อมาทำเป็นอาหาร เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นๆ ถ้าไม่เบียดเบียนเขา เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ถึงเวลาที่เราจะต้องสร้างกุศลให้ตัวเอง และแผ่เมตตาใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่

ถ้ามองภายนอกแล้ว ดิฉันก็ดูเหมือนจะพร้อมทุกอย่าง ครอบครัว ความเป็นอยู่ การค้า แต่ลึกๆ ยังรู้สึกเคว้งๆ ไม่มีหลัก แต่ตอนนี้ดันหาคำตอบเจอแล้วที่วัดอัมพวัน
มีอีกเหตุการณ์ที่ดิฉันจะไม่มีวันลืมได้เลย แม่สามีดิฉันป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย มะเร็งแพร่เข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง ลามไปยังปอดและตับ สิ่งที่ดิฉันคิดว่าสมควรทำในขณะนั้นคือ พาแม่สามีไปปฏิบัติธรรม แต่ด้วยสังขารที่อ่อนแรงและความเจ็บปวดไม่เอื้ออำนวยที่จะไปปฏิบัติธรรมที่วัด จึงขอความช่วยเหลือจากพี่ช่วยสอนกรรมฐานให้แม่สามีที่บ้าน แม่สามารถเดินจงกรมได้ประมาณ ๒๐ นาที นั่ง ๒๐ นาที ซึ่งถือว่าเก่งมากสำหรับคนป่วยวัย ๗๐ ปี ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ แม่เข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายอาการทรุดหนัก กินไม่ได้ สติไม่ค่อยรับรู้ จนสุดท้าย พยาบาลแจ้งว่าให้ทำใจคงอยู่ได้ไม่เกิน ๓ วัน รุ่งขึ้นดิฉันไปวัดถวายผ้าไตร และขอเมตตาหลวงพ่อให้แม่จากไปอย่างสงบ พร้อมกับเขียนชื่อแม่ ห้องพักที่โรงพยาบาลให้ด้วย ท่านพยักหน้ารับเช่นเดิม แล้วเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้น วันนั้นเองแม่มีอาการดีขึ้นผิดหูผิดตา จากที่นอนไม่รับรู้อะไรมาเป็นอาทิตย์ก็รู้สึกตัว กินอาหารได้หลายคำ พูดด้วยก็มีปฏิกิริยาตอบสนองรับรู้ดี
รุ่งขึ้นอีกวันอาการดีขึ้นไปอีก หน้าตาสดชื่นเรียกร้องอยากกินนั่นกินนี่ มีแขกมาเยี่ยมก็รับแขกได้ พูดคุยรู้เรื่องทุกอย่าง แถมลงจากเตียงมาเดินออกกำลังกายได้พักใหญ่ สร้างความยินดีให้กับลูกหลานมาก ดิฉันเชื่อหมดใจว่า เป็นเพราะอานิสงส์พลังเมตตาของหลวงพ่อท่านอย่างแน่นอน ที่ทำให้แม่มีอาการดีขึ้น ยืดเวลาออกไปอีกเกือบ ๒ อาทิตย์ ในที่สุดแม่ก็จากไปอย่างสงบ รวมระยะเวลาที่แม่ป่วยประมาณ ๒ ปี
แม้ระยะหลังดิฉันอาจจะย่อหย่อนในเรื่องของการปฏิบัติไป แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้มองเห็นสัจจธรรมของชีวิตได้ว่า คนเราก็มีเท่านี้เอง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฏจักร มีเวลาวันละ ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ใครจะบริหารจัดการเวลาได้ดีกว่ากัน ทุกวันนี้เราขวนขวายไขว่คว้าอะไรกันอยู่ คำสอนของหลวงพ่อที่ว่า
เราเกิดมา เพื่อรอเวลาตาย
เราได้มา เพื่อรอเวลาเสีย
เรามี เพื่อรอเวลาหมด
เราเจอกัน เพื่อรอเวลาจาก
เราพบกัน เพื่อรอเวลาพลัดพราก
เป็นคำเตือนใจอยู่เสมอ มาถึงวันนี้พอจะเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น มองและยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองได้อย่างเป็นกลาง ไม่เถียงเข้าข้างตัวเอง



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:04:33 น.  

 

อัศจรรย์แห่งพระกรรมฐาน
ตอนอธิษฐานบารมี

บุศรา
ท่านจะเน้นนักว่า “ต้องช่วยตนเอง อย่าหวังพึ่งใครเขา ช่วยตนเองต้องลงมือทำ จึงจะพ้นทุกข์ เพราะทุกข์ที่ว่านี้ไม่มีใครรู้จักมันดีเท่าตัวของเรา”
อัศจรรย์แห่งพระกรรมฐานมีจริง ข้าพเจ้าไม่ใช้คำว่า “ขอ” หรือ “บนบาน” แต่จะใช้คำว่าอธิษฐาน เพราะอธิษฐานเป็นบารมีตัวหนึ่งในทศบารมี และเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากผู้นั้นตั้งใจปฏิบัติ
ประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าได้รับสั่งว่าจ้างให้ทำงานบรรจุสินค้าชนิดหนึ่ง ซึ่งว่าเป็นงานที่บรรจุยาก รายละเอียดและขั้นตอนการตรวจเช็คก็ยุ่งยาก สิ่งสำคัญคือราคาที่รับมาแทบไม่เหลือกำไร แต่ก็รับงานเพราะเจ้าของเขาขอร้องให้ช่วย ขอว่าหลังจากบรรจุโดยเครื่องอัตโนมัติแล้ว ต้องนับ ๑๒ ชิ้น บรรจุลงถุงย่อยให้เขาด้วย โดยเขาให้ยอดงานไว้ที่ ๑๕ ล้านชิ้น และส่งฟิล์มมาที่ข้าพเจ้าเรียบร้อย โดยบอกว่าจะส่งใบสั่งซื้อมาให้ในวันพรุ่งนี้ ก่อนข้าพเจ้าจะเดินทาง ข้าพเจ้าก็สั่งถุงย่อยไปทั้งหมด ๑,๒๐๐ กิโลกรัม เป็นมูลค่าเงินร่วมแสนบาท ข้าพเจ้ามีธุระต้องเดินทางไปต่างประเทศ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาส่งใบสั่งซื้อหรือใบว่าจ้างมาให้แล้ว พอกลับมาผู้ว่าจ้างบอกว่าเปลี่ยนแผนแล้วไม่นับ ๑๒ ลิ้นบรรจุลงถุงย่อยแล้ว ข้าพเจ้าตกใจแต่พยายามตั้งสติระงับอารมณ์โกรธไว้ และถามเขาว่า “แล้วถุงที่สั่งมา ๑,๒๐๐ กิโล จะให้ทำอย่างไร” ทั้งที่เขารับปาก่อนข้าพเจ้าจะเดินทางไปต่างประเทศ ว่าจะรีบใบสั่งซื้อ เขาก็ยังตอบว่า “ใบสั่งซื้อยังไม่ได้ส่งไปให้ไม่ใช่หรือ ทำไมสั่งถุงไปก่อนละ”
พอได้คำตอบจากเขา ข้าพเจ้าไม่มีใจอยากจะพูดกับเขาอีกเลย ในใจรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่มีสัจจะ ไม่เป็นไรช่างมัน เงินแค่นี้ไม่ตายหาใหม่ได้ แต่มันทำให้ข้าพเจ้ามีธุระต้องเดินทางไปพิษณุโลก เพราะกำลังศึกษาปริญญาโท ด้านสาขาวิชาพลังงานทดแทน ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร พอดีโรงแรมที่พักอยู่ใกล้วัดพระพุทธชินราช จากความไม่สบายใจเรื่องงานนี้เองทำให้วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ครึ่งในใจนึกอยากไปใส่บาตรและจะไปกราบสักการะองค์พระพุทธชินราช แต่พอไปถึงวัดประมาณตีห้าครึ่ง ประตูโบสถ์ยังไม่เปิด ข้าพเจ้าก้มลงกราบและอธิษฐานจิตว่า
“หากข้าพเจ้ามิได้เคยเป็นหนี้เขาผู้นี้มาก่อน ขออย่าให้ข้าพเจ้าต้องเจ็บตัวหรือเสียทรัพย์ตรงนี้เลย ขอให้มีเหตุการณ์พลิกผัน ช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ทั้งที่วันนั้นตอนเย็น ทางโรงงานทำถุงได้โทรแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่าถุงทั้งหมดที่สั่งทำเขาทำเกือบเสร็จหมดแล้วจะยกเลิกเขาหรือ ซึ่งข้าพเจ้าก็ตอบยืนยันเขาไปว่า หากเขาทำการผลิตไปแล้วหยุดไม่ทัน ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบทั้งหมด ไม่ต้องห่วง ถึงแม้ว่าผู้ว่าจ้างคนนั้นจะบอกยกเลิกด้วยคำพูดง่ายๆ กับข้าพเจ้าก็ตาม ซึ่งเขาก็ขอบคุณข้าพเจ้ามา
จากเหตุการณ์นี้ คิดว่าคงต้องเสียเงินร่วมแสนบาทแน่นอน และต้องแบก Stock ถุงไว้อีกเป็นจำนวนล้านกว่าใบ ใช้ ๓ ปีจะหมดหรือเปล่ายังไม่รู้ พอดีทางผู้ว่าจ้างคนเดียวกันนี้ มีงานอีกตัวที่สั่งข้าพเจ้าผลิตเป็นของเล่นซึ่งต้องใช้ถุงประมาณนี้ เขาเลยช่วยให้มา ๓ แสนกว่าใบ แต่ที่เหลือไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ผู้ว่าจ้างคนนี้เขาบอกว่าเดี๋ยวเขาจะพยายามช่วยโดยจะหางานใหม่ๆ ที่อาจจะได้ใช้ถุงนี้มาให้ แต่ข้าพเจ้าปฏิเสธเขาและบอกว่า ขอบคุณมากไม่ต้องการความช่วยเหลือแบบนี้จากเขา ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ อีกอย่างสิ่งที่เขาทำนั้นทำให้ข้าพเจ้าเห็นความไม่รับผิดชอบของเขา ไม่รักษาสัจจะที่พูดไว้ หากเขาคิดว่าจะช่วย เขาย่อมต้องแสดงออกตั้งแต่ตอนแรกแล้ว จะรับผิดชอบอย่างไร ไม่ใช่อ้างเรื่องใบสั่งซื้อ / ผลิตมาพูด
จนเวลาผ่านมาถึงวันพุธที่ ข้าพเจ้าเลยให้เลขาโทรศัพท์ถามเขาว่า “ยังมีถุงค้างส่งอยู่ที่เขาอีกไหม ถ้ามีก็ส่งมา” แต่ปรากฏว่าโรงงานถุงแจ้งว่าเขาช่วยขายถุงนี้ไปให้คนอื่นหมดแล้ว คงมีเพียงยอด ๓๕๓ กิโลกรัมเท่านั้น ข้าพเจ้าบอกให้เลขาโทรศัพท์ไปขอบคุณเขามากๆ ที่ช่วยเหลือครั้งนี้
ถุงจำนวน ๓๕๓ กิโลกรัมก็พอเพียงกับงานที่ผู้ว่าจ้างคนนี้มาสั่งทำของเล่นจำนวนสามแสนชุด ทำให้ข้าพเจ้าไม่ต้องเจ็บตัวหรือเสียทรัพย์ไปแต่อย่างใดเลย รู้สึกปีติ นึกถึงคำอธิษฐานต่อองค์พระพุทธชินราชว่าช่างอัศจรรย์เหลือเกิน ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนเราถ้าทำดี มีความจริงใจกับผู้อื่น รักษาสัจจะเหมือนคนปฏิบัติเจริญกรรมฐาน จะมีคุณสมบัติคือ กายตรง จิตตรง วาจาตรง เมื่อใดที่ ๓ สิ่งนี้ถูกต้องตรงกันจะเกิดพลัง และเมื่อเราอธิษฐานจิต เมื่อจิตมีพลังอธิษฐานนั้นจึงสำเร็จ
อธิษฐานจะสำเร็จได้ต่อเมื่อเราต้องสร้างคุณความดี อันหมายถึงบุญ และยังมีองค์ประกอบแห่งการเป็นมนุษย์คือ มีศีล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้นั้นปฏิบัติครบองค์โดยมีทั้งทาน ศีล และภาวนา



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:05:04 น.  

 

ธรรมะพาสุขใจ

นภาวรรณ
ประสบการณ์ชีวิตกับการปฏิบัติธรรมพบความสุข
พ.ศ. ๒๕๔๕ ดิฉันตั้งใจไปวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อชดใช้หนี้กรรมที่ได้ก่อไว้ และเพื่อขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร
เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงประมาณวันที่สองของการปฏิบัติ ขณะที่เดินจงกรมอยู่รู้สึกได้กลิ่นเหม็นเน่า คล้ายกลิ่นศพ ในใจรับรู้ว่า นี่แหละเจ้ากรรมนายเวรของเรา ดิฉันเริ่มแผ่เมตตาให้ตามที่ได้อ่านและรับคำสอนมา ต่อมาดันเริ่มรู้สึกอีกว่า ใต้ร่มผ้านุ่งช่วงขาอ่อนเจ็บและคันเหมือนมดกัด ในใจคิดว่าเราจะบี้มดให้ตายไม่ได้เด็ดขาด เพราะรับศีล ๘ มาแล้ว จึงเริ่มแผ่เมตตาให้มดนั้นทันที สักครู่หนึ่งก็มีความรู้สึกว่าหายคันและเจ็บ ดิฉันรู้ได้ทันทีว่าเจ้ากรรมนายเวรรับรู้และอภัยให้ดิฉัน
คืนวันเสาร์ช่วงเวลาตีสามกว่า ดิฉันนอนฝันว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดขาว หน้าตาสวย ตาดำโต ผมหยักศกยาวประบ่า ยืนยิ้มให้ ก็รู้สึกได้ว่าเธอมาดี ขากลับไปที่ห้องได้พบผู้หญิงคนหนึ่ง ดิฉันเล่าให้ฟังว่าฝันเห็นผู้หญิงแปลกหน้า พอเล่าจบเธอบอกให้ดิฉันไปที่เรือนอีกหลังหนึ่ง เป็นเรือนไม้เก่าๆ บนเรือนมีแม่ชีอายุมากเฝ้าเรือนอยู่ และมีรูปเทพกาหลง ดิฉันคลานเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่น่าเชื่อว่ารูปนั้นเหมือนหญิงสาวในฝัน ดิฉันบอกตัวเองว่าเทพกาหลงอวยพรให้แล้ว ทำให้เกิดกำลังใจมากขึ้น
หลังจากนั้นเราสองคนก็กลับไปที่เรือนพัก เธอเริ่มเล่าเรื่องราวของเธอให้ฟัง มีแต่ความไม่สบายกายและใจ ครอบครัวเธอมีปัญหา สามีพาผู้หญิงเข้าบ้าน แม่สามีเริ่มมีปฏิกิริยา ลูกชายกำลังเรียนหนังสือ ต้องใช้เงินมาก ส่วนตัวเธอเองตกงานกำลังหางานทำอยู่ เท่าที่ดิฉันทำได้คือ ทำให้เธอสบายใจและคลายความเครียดกังวล เธอเริ่มสบายใจขึ้น ดิฉันเข้าใจเธอและคอยให้กำลังใจตลอดเวลาที่พูดคุยกัน และยังได้บอกวิธีแก้ไขให้สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข เธอฟังและคิดตาม เธอบอกว่า ก่อนหน้ามาที่วัดนี้ มีคนบอกว่าจะได้พบคนที่อายุน้อยกว่าให้คำปรึกษา สุดท้ายเธอก็เจอ ก็คือดิฉันนั่นเอง ดิฉันเกิดความสบายใจขึ้นทันที นึกขอบคุณพระกรรมฐานที่เราตั้งใจมาครั้งนี้

แม่ผู้มีพระคุณท่วมหัว
แม่เป็นผู้มองการณ์ไกล วันหนึ่งแม่บอกว่า “ลูกเอ๋ยมีคนอุปการะแล้วลูก ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ นะลูกนะ ไปคืนนี้เลย”
ดิฉันไม่รู้สึกว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ ใจหนึ่งอยากเรียนต่อระดับปริญญาตรี ใจหนึ่งไม่อยากจากบ้านไป ปัญหาหนึ่งที่ต้องคิดมากคือ ครอบครัวเราจนมาก แม่มีลูกชายสามคน ดิฉันเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว แม่มีหน้าที่ทำให้คนสบายใจด้วยวิชาหมอดูไพ่ป๊อก ส่วนพ่อลาออกจากราชการตำรวจ ช่วยแม่ทำงานอยู่กับบ้าน
ดิฉันได้มากรุงเทพฯ กับ ป้ามีหอพักให้นักศึกษาเช่า ดิฉันมีหน้าที่ช่วยทำความสะอาดห้องน้ำ และช่วยดูแลหอพักแทนป้า ดิฉันไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะมนุษย์ศาสตร์ ต่อมาดิฉันออกจากหอพักป้า มาอยู่กับพี่สาวต่างมารดา ช่วยจัดตู้ขายก๋วยเตี๋ยว ดิฉันเริ่มหยุดเรียนเพราะไม่มีเงินค่าเทอม
ดิฉันเริ่มหางาน ท้ายสุดดิฉันก็ตัดสินใจทำงานบริษัทจำหน่ายสินค่าประเภทอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จนผลงานดี บริษัทให้เป็นพนักงานขายดีเด่นของบริษัท ดิฉันยึดหลักทำดี ขยัน อดทน ไม่ไปทำงานสาย ไม่ขาดงาน ไม่ใช้สิทธิลาโดยไม่จำเป็น สามารถสร้างยอดขายให้บริษัททะลุเป้าหมายทุกเดือน จนขึ้นปีที่สามบริษัทปรับตำแหน่งให้เป็นระดับหัวหน้างาน ผลงานออกมาดีอีก บริษัทให้เป็นหัวหน้างานดีเด่น
เวลาผ่านไปดิฉันได้พบกับความรัก มีชีวิตมีความสุขอยู่ช่วงระยะหนึ่งไม่นานนัก ความทุกข์ใจก็มาเยือน ดิฉันเสียคนที่รักภายในครอบครัวไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากน้องชาย อุบัติเหตุรถสิบล้อชน คุณพ่อ หัวใจล้มเหลว และสามี
ความสุขของดิฉันค่อยๆ หายไปกกลายเป็นคนเศร้า ยามใดที่มีโอกาส ดิฉันจะลางานกลับไปหาแม่ กราบแม่ หอมแก้มแม่ แม่จะเอามือลูบผมดิฉัน พร้อมพูดให้พรลูกทุกครั้ง ให้มีความสุข หมดหนี้ มีสินทรัพย์ มีโชคลาภ และไม่เคยลืมให้ของฝากหรือสิ่งมงคลกลับมาบ้านกรุงเทพฯ ด้วย แม้แต่เพื่อนที่ไปกราบแม่ด้วยกัน ก็จะได้รับแจกของดีกลับมากด้วยทุกคน ทุกครั้ง แถมฝากให้เพื่อนที่ไม่ได้มาด้วย บัดนี้ดิฉันทำงานอายุครบ ๑๘ ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีที่อยู่อาศัยเป็นบ้านทาวเฮาส์หลังหนึ่ง มีชีวิตอย่างเรียบง่ายมีความสุข โดยการฝึกสมาธิ สร้างสติ ถ้ามีเวลาก็มักไปวัดอัมพวัน ฝึกสติปัฏฐาน ๔ ไปพร้อมๆ กับการทำงาน พนักงานที่บริษัทฯ มักเข้ามาถามดิฉันเกี่ยวกับธรรมะเป็นประจำ ตัวอย่างของดิฉันคือคุณแม่นั่นเอง ที่ปฏิบัติจนสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี คุณแม่สวดมนต์ กราบไหว้พระ เข้าวัดสร้างบุญสร้างกุศล สร้างทานบารมีอยู่เสมอ ปัจจุบันคุณแม่อายุ ๗๑ ปี สุขภาพแข็งแรง ความจำดี และยังช่วยคนที่เดือดร้อนทางใจด้วยการตรวจดูดวงชะตาราศีให้ผู้คนมากมาย



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:05:30 น.  

 

ปฏิบัติธรรมใช้หนี้กรรม
ชุมพูนุท

ข้าพเจ้าได้เคยเขียนลงกฎแห่งกรรมฯเล่มที่ ๒๑ แล้ว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์ เพราะติดโรคร้ายนี้จากสามี ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมมาตลอด ๕ ปี สวดมนตร์ทำกรรมฐานทุกวัน ในช่วงปี ๒๕๕๐ ได้ใช้กรรมอย่างหนักมากถึงขนาดคิดว่าชีวิตนี้ไม่น่าอยู่เลย ดีที่ปฏิบัติธรรมจึงมีสติแก้ปัญหาทุกๆอย่างได้เหนื่อยมาก แต่ต้องสู้ต้องอดทนคิดว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อต้องอดทนให้ได้มีปัญหาเรื่องเงินมีหนี้สินมากเป็นเท้าแชร์เก็บเงินไม่ได้มีคนหนีแชร์ไปหลายคนต้องใช้หนี้แทน ข้าพเจ้าก็รู้ว่าเป็นกรรมที่เราเป็นหนี้เขาจึงต้องใช้หนี้ ตอนนี้ก็ยังต้องใช้หนี้อยู่ มีลูกแชร์บางคนกลับมาก็เริ่มเก็บหนี้ได้บ้างแล้ว ตอนที่เขาหนีไปก็แผ่เมตตาให้เขามีความสุขถ้าเราเป็นหนี้เขาในชาติก่อนจริงก็คงเก็บเงินไม่ได้ จะติดตามอย่างไรก็ไม่ได้ เขาไม่มีเงินคืนให้
ข้าพเจ้าให้สัจจะว่าต้องไปปฏิบัติธรรมปีละ ๒ ครั้งตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรม ๗ วัน ในเดือนตุลาคมตอนปิดเทอมแต่ไม่ได้ไป เพราะยังมีปัญหาหนี้สิน ข้าพเจ้าจึงต้องใช้กรรมอย่างหนักเรื่องผิดสัจจะต้องใช้สติแก้ปัญหาทีละอย่างจนไปปฏิบัติธรรมได้ในเดือนธันวาคม ตอนเย็นทำทุกวันในการนั่ง ข้าพเจ้ามีเวทนามากแต่ก็อดทดได้
วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๐ พ่อโดนรถกระบะชนจักรยานตอนตี ๔ สลบไป ๑ ชั่วโมง หมอบอกไม่เป็นอะไร กลับบ้านเอายาไปกิน พอพ่อกลับมาอยู่บ้านมีอาการทรมานมาก เจ็บข้างในท้องมาก หมอทุกคนบอกพ่อไม่เป็นอะไรข้าพเจ้าก็ดูแลอย่างดี แล้วบอกพ่อว่าพ่อเป็นโรคที่หมอหาไม่พบ เพราะเป็นโรคเวรโรคกรรม
ตอนพ่อเป็นหนุ่มชอบฆ่าสัตว์ต่างๆมากเช่น หา ปู หาปลา มาเลี้ยงลูกๆ แต่ก็มีเหมือนกันที่พ่อตั้งใจฆ่าให้ตาย เช่นทุบหมู วัว ควาย เมื่อตอนเด็กเห็นพ่อทุบหมาจับหมาใส่กระสอบ เพราะหมามากินของในบ้าน ทุบจนหมาตาย พอพ่อโดนรถชน พ่อมีอาการเจ็บในท้องต้องทนทุกข์ทรมานมาก ข้าพเจ้าบอกพ่อว่าเจ้ากรรมนายเวรมาให้ใช้เวรกรรม พ่อบอกว่าขอใช้เวรกรรมให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ปัจจุบันพ่อดีขึ้นมาก ไม่ปวดเจ็บเหมือนเมื่อก่อน พ่อได้ทำบุญทานภาวนาบ้าง มีความสุขขึ้น
ช่างเดือนกันยายน ๒๕๕๐ ข้าพเจ้ามีอาการป่วยเป็นปอดติดเชื้อ ไม่เข้าโรงพยาบาล ยอมตายที่บ้าน พยายามทำกรรมฐานรักษาความปวด คิดถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อสอนให้อดทน เป็นอะไรก็พยายามไม่กินยา ข้าพเจ้าไม่กลัวตาย เพราะเกิดมาต้องตาย
ได้ใช้เวรกรรมอย่างมาก ตลอดสี่เดือนมีเวทนาตลอด เดือนกันยายนป่วยไปไหนไม่ค่อยไหว ก็ทำกรรมฐานรักษาตัวเอง ตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน ในเมื่อข้าพเจ้ายังไม่ตายก็ขอทำความดีใช้หนี้กรรมต่อไป เพราะในชาตินี้รู้แล้วว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์ ก็ขอยกให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ และมีเรื่องราวที่ทำให้ปลาบปลื้ม คือลูกชายยอมรับปากจะบวชในโครงการสามเณรใจเพชร ช่วงปิดเทอม
การสวดมนต์ปละปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางดีอย่างเห็นได้ชัด ข้าพเจ้าตัดได้ละได้มากขึ้น มีสติดีขึ้น ความจำดีขึ้น มีความเมตตากับสัตว์และคนมากขึ้น พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ให้เป็นคนมีใจสูง ข้าพเจ้าขอให้กำลังใจทุกๆคน อย่าได้ท้อต่อการทำความดี ตัวข้าพเจ้าเองเมื่อก่อนก็คิดว่าชีวิตไม่มีค่าคิดเสียใจ น้อยใจ แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าขอบคุณโรคเอดส์ถ้าไม่มีโรคนี้ ข้าพเจ้าก็คงยังไม่เห็นธรรมะ ไม่เห็นความไม่เที่ยง ยังหลงระเริงทำสิ่งชั่วอีกไม่รู้บาปรู้บุญ ข้าพเจ้าเชื่อว่าทำดีต้องได้ดี แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องใช้หนี้กรรมไปก่อน เมื่อก่อนตอนทำกรรมฐานใหม่ๆ ปวดตรงข้างหลังมาก แต่ปัจจุบันอาการน้อยลง นั่งกรรมฐานเห็นเราไปใช้มีดปักข้างหลังเขา อยากให้เขาตาย พอสติรู้ก็ขอขมาเจ้ากรรมนายเวรที่เราไปทำเขาไว้ ตอนนี้อาการดีขึ้นมากจิตเข้มแข็ง สังขารจะเสื่อมอย่างไรก็ไม่เป็นไร



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:05:55 น.  

 

แสงธรรมนำชีวิต
ปิยวัฒน์


อดีตผมเคยยากจน ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รับจ้างเผาถ่าน รับจ้างตีหมอน รับกล้วยไข่จากเหนือล่องใต้ ลำบากมากมาหลายปี ได้มาพบแสงธรรมนำชีวิตจากหลวงพ่อจรัญ พระที่ข้าพเจ้านับถือที่สุด ทำให้ปัจจุบันข้าพเจ้ามีโรงงานเป็นของตัวเอง
คติธรรมที่ได้จากหลวงพ่อก็คือ ทำบุญต้องละบาป สร้างความดีต้องละความชั่ว
ทำปัจจุบันดี อนาคตดีแน่นอน ละความชั่วไม่ได้ ดีไม่ได้ รวยไม่ได้ สร้างความดีต้องถูกตัวบุคคล ถูกสถานที่ ทุกกาลเวลา เสมอต้นเสมอปลาย ถ้าเราสร้างความดีเสมอต้นเสมอปลาย ชีวิตเราก็ดีตลอดไป ถ้าเราสร้างความดีลุ่มๆดอนๆ ชีวิตเราก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง
หลวงพ่อท่านสอนลูกศิษย์เสมอว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน จนได้-รวยได้ รวยได้-จนได้ ข้าพเจ้าก็เหมือนกัน จากคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างได้เป็นเจ้าของโรงงานใหญ่ แล้วข้าพเจ้าก็ทำผิดพลาด ไปลอกเลียนแบบลายกระเป๋าลีวาย เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดนจับเรื่องลิขสิทธิ์ ทำให้ข้าพเจ้าต้องหยุดโรงงานชั่วคราวเพราะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เสียเงินและโดนยึดผ้าหมด เป็นหนี้ธนาคาร แต่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดโกงใครแม้แต่บาทเดียว
ข้าพเจ้าจิตไม่ตก หลวงพ่อท่านสอนว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด ประเสริฐไม่ได้ ข้าพเจ้าเลยตั้งสัจจะอธิษฐานว่า จะไม่กินเนื้อสัตว์ 1 ปี สวดมนต์อิติปิโส พาหุง-มหากาแล้วเดินจงกรมหนึ่งชั่วโมง นั่งกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมก่อน ค่อยแผ่เมตตา ถ้าเรายังมีความโกรธเกลียด อิจฉาริษยา จะแผ่เมตตาไม่ออก เราอยากให้เขารักเรา เราต้องรักเขาก่อน
เขาร้ายมา เราอย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมาจงเอาความดีไปแก้ไข
คนตระหนี่ให้ของที่ต้องใจ คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจไปสนทนา เราไม่โกรธเกลียดใครจะแผ่เมตตาได้ผล
หลวงพ่อเคยสอนข้าพเจ้าว่า ทำดีร้อนถึงพระอินทร์พญานาคราช ทำชั่วร้อนถึงพญายม ข้าพเจ้าก็รอดตายหลายครั้ง หลวงพ่อขอยมทูตไว้ให้ในนิมิต ขนาดรถของข้าพเจ้าตกถนนรถพังหมด แต่ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรเลย
หลวงพ่อเคยสอนลูกศิษย์ทุกคนว่า การปฏิบัตินั้นไม่ใช่นั่งหลับหูหลับตาไปสวรรค์นิพพาน ต้องกำหนดให้ได้ ถ้าเรากำหนดไม่ได้ เราจะไม่พบเสียงจริงและเรื่องจริง จะเจอแต่ของปลอมตลอดชีวิต เช่นเสียงหนอ ต้องกำหนดที่หู เสียงหนอ กำหนดไปเรื่อยๆ แล้วเราจะรู้ว่าเสียงนั้นคือเสียงอะไร ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เราต้องกำหนดให้ได้ พึ่งตัวเองให้ได้ ช่วยตัวเองให้ได้ สอนตัวเองให้ได้
การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าเดินจงกรมไม่ดี ไม่ถูกวิธีเราจะนั่งกรรมฐานไม่เกิดผลมรรคผล จะไม่เกิดสมาธิอย่างแน่นอน ปัญญาก็ไม่เกิด แก้ไขปัญหาชีวิตไม่ได้พึ่งตัวเองไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้
ข้อสำคัญ ฐานวิปัสสนาคือศีลห้า ถ้าเราจะนั่งวิปัสสนากรรมฐานให้ได้ผล เราต้องมีศีลห้าก่อน ถ้าเรามีศีลห้าไม่ครบ เมื่อข้าพเจ้าพลาด เพื่อนและโรงงานผ้าม้วนก็ต้องชะงักหมด ดอกเบี้ยที่เคยส่งเขาไม่เคยขาดเลยก็ต้องเสียสัจจะเพราะบางครั้งข้าพเจ้าไม่มีเงินเลย แม้แต่จะเติมน้ำมันรถแต่ข้าพเจ้าจิตไม่ตก เพราะหลวงพ่อสอนข้าพเจ้าว่าถ้าจิตตกสมาธิตก เงินตกหมดเลย
เพื่อนข้าพเจ้าอยู่จังหวัดกระบี่ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน เจอกับข้าพเจ้ามาหลายปีแล้ว ที่วัดอัมพวันสิงห์บุรี เขาอยากให้ข้าพเจ้าช่วยเรื่องธนาคาร
พอเพื่อนขอความช่วยเหลือ ข้าพเจ้าจึงแนะนำเพื่อนและภรรยาเขาให้ไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ๗ วัน แล้วจะแก้ปัญหาชีวิตได้ โดยไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง แต่ได้บุญสูงสุด ในพระพุทธศาสนาคือปฏิบัติบูชา ดีกว่าไปสร้างโบสถ์ สร้างสักร้อยหลัง ยังไม่เท่าสร้างพระในใจคน ให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง พอเพื่อนข้าพเจ้าไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันครบ ๗ วัน เขาโทรศัพท์ให้ข้าพเจ้าช่วยขายที่ดินที่เกาะลันตาน้อย จ.กระบี่ มี ๑๘ ไร่ ๒ งาน ๕๐ ตารางวา ขายในราคาไร่ละ ๒,๗๐๐,๐๐๐ ถ้วน ถ้าขายเกินกว่านี้ยกให้ข้าพเจ้าทั้งหมด ข้าพเจ้าก็ตั้งใจช่วยเขา เอาโฉนดที่ดินไปให้หลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาให้เป็นบุญเป็นกุศล ทำดีต้องได้ดี ข้าพเจ้านึกถึงที่หลวงพ่อเคยบอกว่าต่อไปจะรวยมหาศาลเป็นแบบอย่างสังคม ก็เป็นจริงอย่างที่หลวงพ่อพูดทุกคำพอข้าพเจ้าเอาโฉนดไปให้นายทุนดู นายทุนชอบใจ ข้าพเจ้าบอกร้อยล้าน เขาตกลงซื้อทันทีเลย เพราะว่าที่เกาะลันตาเจริญมากๆ ติดทะเล มีรีสอร์ตอยู่ด้วย ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า ข้าพเจ้าใช้หนี้ธนาคารและชาวบ้านหมดแล้วจะไม่ให้เป็นหนี้ใครแม้แต่บาทเดียว แล้วก็จะไปบวชที่วัดอัมพวัน การปฏิบัติธรรมที่ข้าพเจ้าได้จาหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าเคารพบูชาสูงสุด ทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนฐานะจากเด็กขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หาเช้ากินค่ำ ไม่เป็นแก่นสาร มาเป็นเศรษฐีได้



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:06:28 น.  

 

กรรมฐานเพื่อเป็นฐานของชีวิต
วรวรรณ พลายงาม

ดิฉันใช้เวลา ๑๑ ปี ทำกรรมดีทำกรรมฐานสร้างฐานชีวิตให้เดินไปข้างหน้าพบทางสว่างในธรรม
ที่ต้องใช้เวลายาวนานจนอาจทำให้ท้อใจก็เพราะว่า ๑๑ ปี นั้นดิฉันทำบ้างหยุดบ้างปีไหนลำบากต้องทำงานมาก ก็ทำกรรมฐานน้อย หลวงพ่อบอกว่าต้องเดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ดิฉันก็ทำได้แค่เดินครึ่งชั่วโมงนั่งครึ่งชั่วโมง บางวันต้องทำงานถึงตี ๑ วันนั้นก็หมดเวลา ท่านทั้งหลายอย่าทำแบบดิฉันเลย ถ้าใครทำอย่างนั้นจะไม่ได้อะไรเลย เสียเวลานั่งจนโบสถ์พังหลังทรุดก็แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ มีบุญเท่าไรก็ไม่พอใช้หนี้ เจ้ากรรมนายเวรเอาหมด
เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว ดิฉันเจอคนใจบุญในวัดอัมพวันสอนให้สวดมนต์ จากหนังสือที่หลวงพ่อแจก ดิฉันจึงสวดมาตลอดสามปีทุกวัน เช้า-เย็น ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง สวดมนต์เสร็จต่อด้วยกรรมฐาน เดินหนึ่งชั่วโมง นั่งหนึ่งชั่วโมง ผลนั้นมาเงียบๆ ดังนี้
จิตไม่รุ่มร้อน เมื่อนั่งสมาธิจิตจะรวมเร็วขึ้น คิดก่อนพูด ไม่ทำงานด้วยปาก ไม่บ่นมาก ให้อภัย ไม่โกรธ เลิกคิดแทนคนอื่น ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น หลวงพ่อบอก ให้เห็นตัวเอง ไม่ให้เห็นคนอื่น เห็นคนอื่นเป็นเท็จ ถ้าเห็นตัวเองของจริง

ผลอย่างที่สองคือลูกสอบได้ที่หนึ่งสามปีรวด จนจบ ม.๖ และสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของรัฐดิฉันเชื่อว่าเป็นเพราะอานิสงส์แห่งกรรมฐานที่ทั้งลูกและแม่ปฏิบัติ เมื่อยามขัดสนก็อธิษฐานจิต ญาติพี่น้องก็พากันให้ความช่วยเหลือ พี่ชายกับหลานสาวให้สตางค์ค่าเสื้อผ้า ๔,๐๐๐ บาท ทั้งที่เคยคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้เห็นเงินจากพี่ชาย ปู่กับย่าให้ค่าเทอม ยังมีเพื่อนอีกหลายคนถามว่าเงินพอไหม จะช่วย เรื่องลูกจึงจบด้วยดี

ดิฉันเคยเขียนจดหมายกราบเรียนหลวงพ่อว่าอยากเปิดร้าน หลวงพ่อตอบว่าไม่เห็นด้วยและไม่อนุญาตเพราะวิบากกรรมกำลังมาถึง ให้ทำกรรมฐานใช้หนี้กรรมให้เบาบางก่อน แล้วหลวงพ่อจะแผ่เมตตาให้เปิดร้านและร่ำรวยในที่สุด ส่วนเรื่องร้านเสื้อรอมาสี่ปี ในสามปีนี้หลังออกจากกรรมฐานอธิษฐานเสมอว่า ขอเจอผู้อุปถัมภ์ค้ำชูในเร็ววัน
เพียง ๑๐ วัน ได้เจอผู้มีพระคุณ ซึ่งบอกให้ยืมเงินลงทุนเปิดร้าน โดยดิฉันไม่ได้เอ่ยปาก เพราะผู้มีพระคุณได้กรรมฐานขั้นสูง อ่านจิตดิฉันออกตลอดเวลา จึงเอ่ยปากว่าให้ยืม ไม่กลัวดิฉันโกงเพราะดูจิตแล้ว ถูกฝึกจากวัดอัมพวัน เป็นลูกศิษย์วัดอัมพวัน เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ

เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ๘ ปี กว่าท่านเจ้ากรรมนายเวรจะอภัย ตลอดเวลาพบแต่ความยากแค้น อดอยากก็เจอแล้ว อยู่ในกรรมฐานเจอสุข อยู่นอกกรรมฐานมีแต่ทุกข์ สุขนอกสุขในหาไม่เจอ แต่พอเปลี่ยนนิสัย ตายเป็นตาย ถ้าไม่ทำกรรมฐานก่อนจะไม่ทำงานใดก่อน ตื่นเช้า มีวิริยะอดทนสม่ำเสมอทุกวันจนถึงเวลานี้



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:07:02 น.  

 

วิปัสสนากรรมฐาน กับการเยือนอีกครั้ง ของมะเร็งร้าย

สมประสงค์ สีลาดเลา

ข้าพเจ้ารับราชการครูโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย และเป็นเจ้าของโรงเรียนกวดวิชา ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญ และเป็นเจ้าของโรงเรียนอนุบาลเอกชน
ที่ต้องกล่าวถึงสถานภาพทางอาชีพ เพราะคิดว่าจะเป็นสามเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็งของข้าพเจ้า เนื่องจากงานสอน งานเอกสารการสอนในส่วนรับผิดชอบของงานประจำในหน้าที่ และงานสอนพิเศษกวดวิชาข้าพเจ้าทำงาน ไม่มีวันเสาร์ – อาทิตย์ ไม่มีปิดเทอม เริ่มสอนงานจากเวลา ๐๖.๐๐ – ๒๒.๐๐ น. ของทุกวัน ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นต้นมา
จนปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ หายใจหอบ อ่อนเพลีย จะเพิ่มกาแฟเป็นวันละ๒ – ๓ แก้ว หรือเพิ่มเครื่องดื่มชูกำลังใดๆ ก็ไม่ฟื้นเร็วเหมือนที่ผ่านมา จึงไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดร้อยเอ็ด พบก้อนเนื้อที่บริเวณทรวงอก (เต้านม) ด้านซ้าย ๓ เมื่อรู้ผลก็ไปรับการรักษาตัวที่สถาบันมะเร็งที่กรุงเทพมหานคร โดยการให้ทานยาอยู่ ๖ เดือน แต่ข้าพเจ้าเข้าตรวจได้ถึงวันที่ ๒ ก็ตัดสินใจเดินจากสถาบันมะเร็งมาและไม่กลับไปอีกเลย
ข้าพเจ้าเลือกไปรักษาสมุนไพรของหมอเจนขจรศิลป์ ที่จังหวัดนครนายก รักษาอยู่ ๑๘ เดือนโดยประมาณ ก้อนเนื้อที่เหลืออยู่ยุบหายไป ร่างกายแข็งแรงขึ้น (ในระหว่างการรักษา ๑๘ เดือน ต้องควบคุมอาหาร ทานได้เฉพาะผักที่หมอกำหนด ห้ามเนื้อทุกชนิด) มีกำลังใจคิดขยายงานต่อ คือดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาล เริ่มซื้อที่ดิน ดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียน ติดต่อธนาคาร ตลอดจนเปิดสอนกวดวิชาควบคู่ไป
เมื่อความโลภะเกาะติด ความเครียดครอบงำ เวลาและงานเร่งรีบรัดตัว ปลายปี ๒๕๔๗ ถึงต้นปี ๒๕๔๘ ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยมาก หายใจขัด เจอก้อนเนื้อที่ทรวงอกกลับมาอีก แต่ความประมาทที่เคยรักษาหายด้วยสมุนไพรและห่วงงานห่วงเงินเป็นที่หนึ่ง โดยติดต่อหมดเจนทางไปรษณีย์ สั่งยามารักษาไปพลางๆ ควบคู่กับการทำงานหนัก
เมื่อรู้สึกไม่ไหวจึงลาออกจากงานประจำ แต่ก็ยังศึกษาต่อปริญญาโท วิชาเอกบริหารการศึกษา ภาวะความเครียดและเร่งงาน ประกอบกับความวิตกกังวลสูง ยังไม่ข้ามปี (ปลายปี ๒๕๔๘ อาการทรุดมาก) สภาพข้าพเจ้าแย่มาก ทั้งร่างกายและจิตใจสับสน คิดไม่ตก หาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ ห่วงงานทั้งๆ ที่ร่างกายก็เจ็บป่วย ทุกข์หนัก เลยต้องหันหน้าเข้าวัด (ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นวัด) ซึ่งเป็นวัดที่ใกล้โรงเรียน โชคดีที่เจ้าอาวาสวัดนี้ท่านสอนสมาธิ (สายสมถกรรมฐาน)
เวลาเช้ากวาดลานวัดท่านเปิดเทปธรรมะของหลวงพ่อจรัญให้ฟังเป็นประจำหลายๆ เรื่อง ญาติธรรมที่เคยปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ศูนย์เวฬุวัน จังหวัดขอนแก่นที่เป็นสาขาของหลวงพ่อจรัญ มอบหนังสือของหลวงพ่อหลายเล่มให้ข้าพเจ้าได้ศึกษาเกี่ยวกับธรรมรักษาโรค กรรมฐานรักษามะเร็ง ข้าพเจ้าเกิดศรัทธาอยากไปศึกษาและปฏิบัติธรรมต่อที่ศูนย์เวฬุวัน
จากแรงอธิษฐานจิตในกรรมฐานครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าเกิดปีติอย่างมากมีกำลังใจสูง ข้าพเจ้าโทรศัพท์ให้แฟนที่ทำงานอยู่อยุธยากลับมาด่วน เพื่อเดินทางไปกราบหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี (ตามนิมิต)

ครั้งนั้นข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่ที่วัดอัมพวันพร้อมกับสามีเป็นเวลา ๓ วัน เมื่อกราบลาหลวงพ่อได้ยามะขามรักษาโรค ๑๐๘ มาด้วย แล้วเดินทางกลับร้อยเอ็ดอย่างคนมีความหวัง

ช่วงที่พบพระผู้บิณฑบาตชีวิตข้าพเจ้า
๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ – ๑ มกราคม ๒๕๕๐ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวันมีโครงการปฏิบัติธรรมพัฒนาจิต ส่งท้ายปีเก่า – ต้อนรับปี
ในช่วง ๒ – ๓ วันแรก ข้าพเจ้าปวดมาก (มะเร็ง) ถึงกับนอนร้องไห้ในห้องกรรมฐาน คิดว่าคงตายแน่ พระอาจารย์วิโรจน์ จกฺกวโร ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบดูแลโครงการฯ กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “โยมเป็นมะเร็งมาทำไมไม่บอกอาตมาก่อน” เหมือนเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้ารู้สึกปีติมีกำลังใจ นึกในใจว่า “พระที่นี่ก็สนใจโยมที่เป็นมะเร็งด้วยหรือ”
พระคุณเจ้าท่านก็แนะนำวิธีนอนกำหนด มือวางหน้าท้อง ดูท้องพอง ท้องยุบ ข้าพเจ้ารู้สึกดี คลายปวด คลายกังวล และนอนหลับได้ง่ายขึ้นมาก

๑ มกราคม ๒๕๕๐ วันลากรรมฐาน
ท่านเมตตาเขียนตารางปฏิบัติกรรมฐานให้ข้าพเจ้านำมาปฏิบัติต่อที่บ้าน พร้อมกับหนังสือแพทย์ทางเลือกเล่มหนึ่ง ของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ กลับบ้านกำลังใจดีขึ้นมาก เหลือแต่ตัวเอง ตอนนั้นร่างกายทรุดมาก มะเร็งกระจายสู่ต่อมน้ำเหลือง เข้าระยะที่ ๔ ปวด และเหนื่อยมาก ทานข้าวไม่ได้ ท้องอืด นอนภาวนาสวดมนต์ในห้องพระตลอด จุดธูปอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ แล้วนึกถึงบทคำสอนต่างๆ ของหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ว่า ไหนๆ ก็จะตายแล้ว “สวดมนต์ให้สะใจก่อนเถอะ”
วันนั้นเป็นวันโกน ข้าพเจ้าสวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๑๐๘ จบ (ตั้งแต่ ๑ ทุ่มถึง ๖ โมงเช้า) คืนต่อมาเป็นวันพระ ข้าพเจ้าสวดบทพาหุงมหากาฯ ๑๐๘ จบ (ตั้งแต่ ๑ โมงเย็นถึง ๖ โมงเช้า) แปลกมากที่ข้าพเจ้าสวดมนต์ตลอดสองคืน แล้วกลางวันไม่เพลีย มีใจอยากดูหนังสือแพทย์ทางเลือกที่พระอาจารย์วิโรจน์ท่านให้มา ได้เจอสูตรอาหารมากมายสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ข้าพเจ้าสนใจสูตรน้ำปั่นผัก เพราะอาหารข้าพเจ้าทานไม่ค่อยได้แล้ว เลยลองทำดู ครั้งแรกๆ ปั่นตามสูตร รสชาติไม่ได้เรื่อง แต่ก็ต้องทานเนื่องจากเป็นทางเลือกสุดท้ายของเราเช่นกัน หลังจากนั้น ๑ สัปดาห์ผ่านไป รู้สึกมีเรี่ยวแรงมากขึ้น ทำกรรมฐานได้บ้าง
หนึ่งเดือนผ่านไปข้าพเจ้าเดินได้คล่อง ปฏิบัติธรรมตามตารางพระอาจารย์ได้ดีขึ้น ร่างกายและจิตใจเข้มแข็งขึ้น เหมือนได้ชีวิตกลับมาใหม่ จากวันนั้นถึงวันนี้ ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยน้ำปั่นผักและวิปัสสนากรรมฐานเป็นส่วนใหญ่ แต่ข้าพเจ้าอยู่กับเวทนาเหล่านี้ด้วยวิปัสสนากรรมฐาน โดยไม่พึ่งอื่นๆ มาก ได้รับการเรียนรู้โดยประสบการณ์ตรงและจริงๆ จากสิ่งเหล่านี้คือ
๑.อาหารที่ปลอดสารพิษ
๒.อากาศ (ออกซิเจนจากลมหายใจสยบมะเร็งได้)
๓.วิปัสสนากรรมฐานรักษามะเร็งได้จริง (เป็นความเชื่อส่วนตัว) ที่ประสบกับตัวข้าพเจ้าเองและอยากนำมาเล่าในที่นี่

“วิปัสสนากรรมฐานช่วยข้าพเจ้าได้อย่างไร”
ในการเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งยืนรับน้ำหนักไว้ไม่ค่อยได้ อาการปวด แต่ยังใช้วิปัสสนากรรมฐานตามดู ตามรู้ อยู่กับปัจจุบัน ช่วยข้าพเจ้าได้ “เปรียบเทียบความปวดก็เหมือนคนถูกสุนัขไล่ตามเห่า คนยิ่งวิ่งหนีหรือแสดงอาการต่อสู้สุนัขก็ยิ่งได้ใจ ยิ่งไล่เห่าและส่งเสียงดังมากขึ้น ถ้าหากคนยืนดูอยู่นิ่งๆ สุนัขก็ยืนเห่าสักพักหนึ่ง เมื่อไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม เห่าเท่าไรคนก็ยืนเฉยอยู่ สุนัขก็จะเงียบไปเอง” นั่นคือ “ความปวด” ก็รู้ว่ากายปวด ใจยังเฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยินดียินร้ายก็แล้วกันไป ใจก็เลยรู้สึกสบาย ว่าจะปวดหรือไม่ปวด โรคจะหายหรือไม่หายก็เป็นไปเช่นนั้นเอง ขอใจเราทำดีที่สุดในขณะนั้นก็พอแล้ว และแน่นอนที่คิดอย่างนี้ได้ทำอย่างนี้ได้ ใจก็ต้องมีกำลังใจ (บารมี) จากหนังสือพุทโธโลยี “สร้างกุศลให้จิต ทำดีต้องมีอุปสรรค” กล่าวถึงบารมี แปลว่าอะไร “กำลังใจ” ใจสู้ ใจทน ใจเด็ดเดี่ยว

สิ่งมหัศจรรย์เกิดกับข้าพเจ้า
วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ระหว่างชั่วโมงปฏิบัติกรรมฐานในอิริยาบถนั่ง ข้าพเจ้าเดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ซึ่งเป็นวันที่ข้าพเจ้าปวดมากๆ เพราอยู่ในระยะขับพิษหนักมาหลายวัน ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดอยู่หลายวัน มีอาการแปรปรวนแต่ละวันไม่ซ้ำแบบกัน แต่วันนี้มาแปลก ข้าพเจ้ามีไข้ร้อนๆ หนาวๆ เหนื่อยมาก เวทนาสุดๆ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี กำหนดอย่างไรก็ไม่ไหว ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อ
ในขณะนั่งกรรมฐานอยู่ระยะหนึ่ง นานเท่าไหร่ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัด มีแสงวาบสว่างกลางหน้าผากระหว่างคิ้วเหมือนไฟฉายส่อง ในแสงสว่างนั้นข้าพเจ้าเห็นรูปพระสงฆ์ไม่ชัดเจนนัก ข้าพเจ้ามีสติอยู่กำหนด “เห็นหนอ” เป็นภาพหลวงพ่อชัดเจนขึ้น ข้าพเจ้ากำหนดเห็นหนอ เห็นหนอ นานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงดัง “โก๊ะ” ที่ไหล่ซ้าย เหมือมีคนดึงให้แขนและไหล่หลุดออกจากอก ข้าพเจ้าลืมตาขึ้น สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ได้ดี โล่งอก หายใจไม่ติดขัดเหมือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารู้สึกปีติเป็นอย่างมาก
จากวันนั้นถึงวันนี้ข้าพเจ้ากลับมาอยู่บ้านทำกรรมฐานต่อ ปฏิบัติตนโดยใช้แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ที่เรียนรู้จากโครงการฯ มาตลอด อาการป่วยของข้าพเจ้าดีขึ้นมาก สุขภาพจิตไม่ต้องพูดถึง “ใจเกินร้อย” สุขภาพกาย อาการแน่นในทรวงเหมือนมีลูกโป่งอัดแน่นอยู่ข้างในหายไป หายใจลึก – ยาวได้สะดวก อาการปวดลดลง เวลาปีเศษที่ข้าพเจ้ารอดชีวิตมา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าโรคมะเร็งร้ายจะหายได้ หรือถ้ายังไม่หายก็อยู่ได้อย่างไม่มีปัญหา และใช้ชีวิตอยู่เหมือนคนปกติทั่วๆ ไปได้อีกนาน เพราะทุกวันนี้ก็มีหลายคนกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ไม่บอกไม่รู้นะนี่ว่าคุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย” นี่ก็หมายความว่าเราไม่ป่วยแล้ว ใจสบาย กายอยู่ได้ด้วยวิปัสสนากรรมฐาน จากที่ใช้ความพยายามรักษาโรคร้าย ระยะเวลาผ่านไปอีกประมาณ ๑ เดือน ข้าพเจ้ารู้สึกแข็งแรงดี อาการเจ็บป่วยน้อยลงมาก ทำแมมโมแกรม เอกซเรย์ ที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ดธนบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๑ ผลการตรวจเช็คร่างกายปกติทุกอย่าง ไม่พบเซลล์มะเร็งในร่างกาย



โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:07:36 น.  

ใจรัก Jairuk Channel
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 91 คน [?]








ติดตามดูต่อที่YouTube

ใจรักJairukChannel



ติดตามดูต่อที่Facebook

ใจรักJairukChannel



แนะนำให้ชม

บัวหิมะ
บัวหิมะ
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
ติดอันดับTOP Page Views
อาหารและการดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยมะเร็งและคนทั่วไป
เที่ยวขอนแก่น
Michael Jackson
คอนเสิร์ตบอย Peacemaker
คลิปเจ้าขุน
การกลับมาของX Japan

ท่องเที่ยว

UFOที่เคยเห็น
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
หาดใหญ่และปัตตานี
ไข่มุกอันดามัน
อะ พีพี
เกนติ้ง
กัวลาลัมเปอร์
หาลิงเข้าถ้ำทะเลภูเขาเลยจ้า นอนดูหมอกที่ปราจีนบุรี
เที่ยวปราจีนบุรีต่อ
เลยจะถึงไหมละนี่
พักค้างแรมที่เลย
เลยจนเกือบถึงลาว
ขุดกรุเขื่อนป่าสัก
บึงแก่นนคร ขอนแก่น
พระธาตุขามแก่น
เดินทางไปลพบุรี
กินข้าวอิงภูชัยภูมิ
ลาว เวียงจันทร์
ลาว2
ปิดทริปเที่ยวลาว
ล่องเรือเจ้าพระยา
รถไฟลอยฟ้า ฟ้า ไทย
รถไฟใต้ดินไทย
ทะเลน้ำจืดหาดวังโกขอนแก่น บ้านปราสาทโคราช
วังน้ำเขียวโคราช
ชอปปิ้งหนองคาย
ตัวเมืองขอนแก่น
น้ำผุดทับลาว ชัยภูมิ
สนามหลวง2
ไปดูงานศิลป
สายน้ำกับปลาที่ไปปล่อย
งานExpro
เขื่อนอุบลรัตน์
เที่ยวป่าวัดพรไพรวัลย์
ล่องแพอ่างเก็บน้ำห้วยไร่
ทะเลหมอกภูพานน้อย
วัดเจดีย์ชัยมงคล
ครั้งหนึ่งที่เคยโบกรถ
น้ำหนาว,เพชรบูรณ์
พระพุทธชินราช,พระธาตุลำปางหลวง
น้ำพุร้อน,วัดร่องขุ่น
มหาลัยแม่ฟ้าหลวง,น้ำตกก้างปลา
เวียงแก่น,ภูชี้ฟ้า
ดอยแม่สลอง
อุทยานฯขุนแจ
สวนโลกราชพฤกษ์
วัดเจดีย์7ยอด,วัดเจดีย์หลวง
ดอยสุเทพ,ทุ่งสแลงหลวง
โครงการครูบ้านนอก
วัดหลวงพ่อโตใหญ่ที่สุดในโลก
ที่พักปากช่อง
เลย-ลาว-ท่าลี่
ถึงระยองแล้วจ้า
ทะเลตอนเช้า
งานเที่ยวภาคใต้






Friends' blogs
[Add ใจรัก Jairuk Channel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.