Love works in ways that are wondrous and strange. There's nothing in life that love cannot change.

 
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
25 กรกฏาคม 2550
 

ปาฏิหาริย์อิสตันบูล

อาจเหมือนเอาเรื่องเก่ากลับมาเล่าใหม่ แต่สำหรับ The kop เรื่องนี้มันอาจเป็นเรื่องที่เล่าได้ไม่รู้เบื่อ และไม่มีวันลืมได้เลย

วินาทีที่กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน รอบรองชนะเลิศ รายการยูฟ่า แชมเปียนลีก ที่แอนฟิล เสียง The kop ตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี เหล่านักเตะชูมือ กระโดดกอดกันอย่างบ้าคลั่ง เหมือนว่าถ้วยเกียรติยศนั้นได้มาอยู่ในอุ้งมือพวกเขาแล้วก็ไม่ปาน ราวกับว่าพวกเขากำลังจะได้ชูถ้วยใบใหญ่ที่สุดในยุโรปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ทั้งๆที่พวกเขายังต้องต่อสู้อีกอย่างน้อย 90 นาทีในวันชิงชนะเลิศ

ลิเวอร์พูลในอดีต อาจยิ่งใหญ่ และคงไม่มีใครแปลกใจหากพวกเขาจะเข้าชิงถ้วยยุโรปได้ทุกปี แต่ปัจจุบัน มันได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาไม่ได้เป็นทีมที่แข็งแกร่งเช่นในอดีต ไม่ได้มีลีลาสวยงาม เร้าใจแฟนบอล พวกเขาเป็นทีมนอกสายตาในถ้วยยุโรป และแม้แต่ในลีกภายในก็ได้เพียงอันดับ 5 ซึ่งไม่พอที่จะไปแข่งยูฟ่า แชมเปียนลีกฤดูกาลหน้าด้วยซ้ำ

แต่พวกเขาได้เข้าชิง ชิงถ้วยยูฟ่า แชมเปียนลีก ปี 2005 ที่ใครๆต่างก็กล่าวกันว่า มันเป็นเพราะโชค โชคทั้งนั้นที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลได้เข้าชิง

ใช่มันอาจเป็นโชค โชคที่ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้คือ เหล่านักเตะ สต๊าฟโค้ช รวมไปถึง The kop ทั่วโลก ไม่ได้ละเลยต่อโชคนั้น เพราะถ้าว่ากันตามจริง โชค ก็คือ โอกาส และทุกโอกาสที่พวกเขามี พวกเขาสามารถคว้ามันมาไว้ในอุ้งมือได้

สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไม่ได้ละทิ้งโอกาสที่จะทำประตูในท้ายเกมส์กับโอลิมเปียกอสในรอบคัดเลือก ช่วยให้ลิเวอร์พูลชนะ 3-1 และเข้ารอบ

หลุยส์ การ์เซีย ไม่ได้ละทิ้งโอกาส ยิงประตูอันยอดเยี่ยมในนัดที่พบกับ ยูเวนตุส และเป็นส่วนที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบ

และมันก็ยุติธรรมดีแล้ว สำหรับประตูปริศนาของหลุยส์ การ์เซียในรอบรองชนะเลิศกับเชลซี เพราะถ้านั้นไม่เป็นประตู ลิเวอร์พูลจะต้องได้จุดโทษจากการที่ปีเตอร์ เช็ก ทำฟาวล์ มิลาน บารอส แน่นอน ซ้ำถ้าเกิดกรรมการแจกใบแดงให้ปีเตอร์ เช็ก เชลซีก็คงไม่แพ้แค่ลูกเดียว

ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็คงไม่มีใครคิดว่า มันจะเกิดในนัดชิงชนะเลิศกับ เอซี มิลาน ยอดทีมจากอิตาลี ที่อิสตันบูลอีก

ลิเวอร์พูลเริ่มเกมส์ได้อย่างย่ำแย่ แค่ 54 วินาที ก็เสียประตูไป 1 จากการทำฟาวล์ของ ตราโอเล่ และมัลดินี่ก็โฉบมาวอลเลย์ลูกเปิดฟรีคิก โดยที่ไม่มีใครเข้าประกบ
1-0 มิลานนำ

หลังจากนั้นลิเวอร์พูลพยายามบุกมากขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล มิลานมีนักเตะจอมเทคนิคหลายคน ไม่ว่าจะเป็น กาก้า เชดรอฟ ปิโลร์ คาร์ฟู เครสโป และแน่นอน เชฟเชงโก้ พวกเขาเล่นดีทุกคน และนักเตะลิเวอร์พูลได้แต่ไล่บอลเท่านั้น

จนกระทั่งราฟาเอล เบนิเตส ต้องเปลี่ยนตัวซมิเซอร์ลงมาแทนคีลล์ที่มีอาการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนตัวที่ค่อนข้างเสี่ยง แต่นั่นก็เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่านี้

และในจังหวะที่นักเตะลิเวอร์พูลกำลังประท้วงผู้ตัดสินที่เนสต้า กองหลังตัวเก่งของมิลานทำแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษ ทุกคนกำลังขาดสมาธิ ละเลยหน้าที่ตัวเอง กาก้า เชฟเชงโก้ และเครสโป จึงลงโทษเราด้วยประตูที่ 2 และอีก 5 นาทีถัดมา เราก็โดนอีก 1 ลูก เป็น 3-0

3-0 ใน 45 นาที จบกัน คงไม่มีใครหวังว่าลิเวอร์พูลจะกลับมาชนะได้อีกแน่ นักเตะทุกคนกำลังหมดกำลังใจ The kop ทั้งในสนามและทั้วโลกที่ชมการถ่ายทอดกำลังดูทีมรักของตัวเองถูกยำเละเทะ แน่นอนว่าหลายคนทนดูไม่ได้ หลายคนร้องไห้เสียใจ และทุกคนเจ็บปวด แต่พวกเขาไม่เคยผิดหวัง ไม่เคยหมดหวัง

The kop อาจไม่ได้หวังว่าเราจะกลับมาชนะ แต่พวกเขารู้ดีว่านี่เป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ เป็น"โอกาส"ที่มาถึงมือให้พวกเขาไขว่คว้า ให้แสดงออกถึงความรัก ความผูกพันระหว่างแฟนบอลกับทีม แสดงให้ชาวโลกรับรู้ว่า เมื่อทีมชนะ และฉลองชัย พวกเขาได้ร่วมฉลองด้วย และเมื่อใดที่ทีมอยู่ในภาวะยากลำบาก อาจพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะอยู่ร่วมรับทุกความรู้สึกนั้นด้วยเช่นกัน

นี่เองที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เสียง The kop ตะโกนร้องเพลง You'll never walk alone. ดังก้องไปทั้งสนาม สื่อสารไปบอกเหล่านักเตะให้รู้ว่า เราจะอยู่เคียงข้างคุณ และคุณจะไม่มีวันเดินคนเดียว

ลิเวอร์พูลกลับลงสนามในครึ่งหลังท่ามกลางเสียงเพลง You'll never walk alone. ราฟาเอล เบนิเตส เปลี่ยนตัวอีกครั้ง คราวนี้ เขาส่งดีดี้ ฮามันท์ ลงไปแทน สตีฟ ฟินแน่น ที่มีอาการบาดเจ็บ การส่งดีดี้ลงไปทำให้ลิเวอร์พูลต้องเล่นเซ็นเตอร์แบ็ค 3 คน และดันหลุยส์ การ์เซียขึ้นไปเล่นหน้าคู่มิลาน บารอส ซึ่งมันก็ได้ผลดี ฮามันท์เป็นตัว holder ที่ยอดเยี่ยม เขาสามารถคุมเกมส์ เก็บบอล ส่งบอลไปในทิศทางที่ดีได้ และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็จะมีอิสระในการเล่นเกมส์รุกมากขึ้น

นาทีที่ 54 ยอห์น อาร์เน่ ริเซ่ เปิดบอลผ่านคาร์ฟู เจอร์ราร์ดขึ้นโหม่งเต็มศีรษะ เข้าประตูไป เสียง The kop โห่ร้องลั่นสนาม ลิเวอร์พูลตามมาเป็น 1-3

2 นาทีถัดมา ซมิเซอร์ก็ยิงระยะ 25 หลาเข้าประตูไป ลิเวอร์พูลไล่มาเป็น 2-3

นาทีที่ 60 ลิเวอร์พูลได้บุก เจมี่ คาราเกอร์ แทงบอลให้มิลาน บารอส ซึ่งเขาก็จิ้มต่อให้เจอร์ราร์ดที่วิ่งทะลุขึ้นมาในกรอบเขตโทษ และเขาก็ถูกทำฟาวล์โดยกัตตูโซ่

จุดโทษ!!! พระเจ้า พวกเขาได้จุดโทษ ซาบี อลอนโซ่ เป็นผู้ที่ต้องแบกรับความกดกันนั้นไว้ เขายิงไปทางมุมซ้าย ลูกพุ่งต่ำ และดีด้าเซฟได้ แต่เขาก็ยังไวพอที่จะวิ่งเข้าไปซ้ำ และมันเป็นประตู 3-3 นาทีนั้นแทบจะเกิดความบ้าคลั่งในสนาม ทุกคนโห่ร้องยินดี ขณะที่ในใจคงแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

หลังจากนั้น ลิเวอร์พูลก็แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในเกมส์รับ พวกเขามีโอกาสบุกไม่กี่ครั้งกับ 3 ประตูที่มีค่ายิ่ง ในช่วงท้ายเกมส์ และช่วงต่อเวลาพิเศษ เบนิเตส ปรับตำแหน่งกลับมาเล่น 4-4-2 อีกครั้ง และให้สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไปเล่นแบ็คขวา ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม

ในที่สุดก็ต้องยิงลูกโทษตัดสิน มิลานได้ยิงก่อน คนแรกคือ แซจินโย่ เขาเป็นคนที่ยิงจุดโทษได้ดีที่สุดคนหนึ่งของมิลาน แต่ไม่น่าเชื่อว่า เขาพลาด คนแรกของลิเวอร์พูล คือ ฮามันท์ ทุกคนมั่นใจในตัวเขา และเขาไม่พลาด คนที่สองของมิลาน คือ ปิโลร์ ลูกนั้นอาจเป็นโชคของลิเวอร์พูลจริงๆ ที่ผู้ตัดสินไม่ให้ยิงใหม่ เพราะดูเด็กก้าวออกจากเส้นก่อนที่ปิโลร์จะยิง คนที่ 2 ของลิเวอร์พูล ซิลเซ่ ไม่มีปัญหา เขาทำได้ คนที่ 3 ของมิลาคือ โทมัสสัน แน่นอน เขาไม่พลาด แต่ริเซ่พลาด เขายิงเบา ซึ่งนั้นไม่ใช่สไตล์ของเขาเลย และดีด้าก็ปัดได้ สกอร์อยู่ที่ 2-1 คนที่ 4 ของมิลาน กาก้า เขาทำให้สกอร์กลายเป็น 2-2 แต่ซมิเซอร์ก็ยิงเข้าไปทำให้เรานำอีกครั้ง คนสุดท้ายของมิลาน เชฟเชงโก้ เขาไม่มีทางพลาด เขาเป็นกองหน้าอันดับหนึ่ง เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยม เขากำลังเผชิญหน้ากับ เจอร์ซี่ ดูเด็ก ที่เต้นท่าสปาเก็ตตี้แบบ บรูซ กร็อบเบล่าร์ อยู่บนเส้นประตู

และเขาพลาด!!! ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนลีกสมัยที่ 5 มากที่สุดในเกาะอังกฤษ

อาจจะมีโชคมากมายในเกมส์นี้ แต่ก็อย่างที่กล่าวไปแล้ว

"โชค" ก็คือ "โอกาส" และลิเวอร์พูลไม่พลาดโอกาสในขณะที่มิลานพลาด
- เจอร์ราดโหม่งไม่พลาด แต่ดีด้าพลาด ทำให้ลิเวอร์ได้ประตูคืนมา
- ซมิเซอร์ ยิงระยะ 25 หลา ไม่พลาด ดีด้าพลาด
- กัตตูโซ่พลาด ทำฟาวล์เจอร์ราร์ด และอลอนโซ่ยิงจุดโทษไม่พลาด
- ฯลฯ

ที่สุดแล้ว สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็ได้เป็นสเกาเซอร์คนแรกของลิเวอร์พูลที่ได้ชูถ้วยยูฟ่า แชมเปียนลีก ในฐานะกัปตันทีม มันเป้นค่ำคืนสุดพิเศษของเหล่าลิเวอร์พัดเลี่ยนทุกคน

ค่ำคืนมหัศจรรย์ที่จะถูกเล่าขานไปอีกนานแสนนานและคงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า ถ้วยใบนี้ ไม่ได้ได้มาด้วยความมุ่งมั่นและพยายามของนักเตะเท่านั้น แต่มันมาจากพลังที่มองไม่เห็นของ The kop ทั่วโลกที่ส่งสารตลอดการแข่งขันให้โลกรับรู้ว่า พวกเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอในทุกโมงยาม ทั้งช่วงเวลาที่ยากลำบากและช่วงเวลาที่แสนสุข




Create Date : 25 กรกฎาคม 2550
Last Update : 25 กรกฎาคม 2550 17:29:49 น. 2 comments
Counter : 2201 Pageviews.  
 
 
 
 
กรี๊ด มาเยี่ยมมมมมม
 
 

โดย: i am tabo วันที่: 28 กรกฎาคม 2550 เวลา:9:34:52 น.  

 
 
 
อะแฮ่ม สเกาเซอร์คนแรกที่ได้ชูถ้วยยูโรเปี้ยนคัพในฐานะกัปตันทีม คือ ฟิล ธอมป์สันนะ

เว้นแต่ว่าจะไม่นับว่ายูโรเปี้ยนคัพ กับ ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก เป็นใบเดียวกัน
 
 

โดย: K.Ruan วันที่: 11 กันยายน 2550 เวลา:10:11:17 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

howk_ky
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




When everything has its proper place in our minds, we are able to stand in equilibrium with the rest of the world.

(เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมีเฉพาะในจิตใจเรา เราก็จะสามารถยืนหยัดได้อย่างสมดุลในโลก)
[Add howk_ky's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com