กรุงแตก
เคยคิดเล่นๆว่า ทำไมน้า กรุงศีอยุธยาถึงถูกพม่าตีแตก มันเป็นความรู้สึกที่ว่า เพราะอะไรกันแน่ เราถึงต้องเป็นประเทศราชพม่าถึง 2 ครั้ง เราถูกสอนว่าในห้องเรียนประวัติศาสตร์ว่า "เพราะเราขาดความสามัคคี เราถึงต้องเสียบ้านเสียเมือง" ไม่เถียงหรอกว่านั่นไม่จริง ใช่!!! มันคือความจริงว่า เราแตกความสามัคคี แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุเริ่มแรกหรอก ในทางพระพุทธศาสนา เรารู้กันว่า สิ่งนี้ก่อให้เกิดสิ่งนั้น ตามหลักปฏิจสมุปบาท ถ้าการแตกความสามัคคีทำให้เราต้องเสียกรุง แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้เกิดการแตกความสามัคคี หลังจากใช้รอยหยักในสมองอันน้อยนิดคิดและประมวลผลออกมาแล้ว ทำให้ได้คำตอบว่า "เพราะความคิดเห็นของคนในชาติที่แตกต่างกันนั่นเอง ที่ทำให้เราแตกความสามัคคี" ให้มองในแง่ดีที่สุด เมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 1 เป็นเพราะสมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระมหินทร์ไม่ถูกกัน มีความคิดเห็นไปคนละทาง ไม่ต้องมองในแง่ร้ายถึงขั้นที่ว่า มีบุคคลในชาติไม่ประสงค์ดีต่อแผ่นดินแม่ของตัวเองก็ได้
เราไม่อาจจะรู้ได้ว่า ใครมีความคิดหรือความต้องการอย่างไร และเพื่ออะไร แต่การกระทำและผลที่แสดงออกในภายหลังจะเป็นคำตอบเองว่า แท้ที่จริงแล้ว คุณมีความจริงใจต่อประเทศชาติมากแค่ไหน ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะว่า ทั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาและสมเด็จพระมหินทร์ต่างก็รักชาติทั้งสองพระองค์ ทรงอยุ่ในฐานะของพระมหากษัตริย์ของเรา ทำทุกๆอย่างเพื่อบ้านเมือง เพื่อกรุงศรีอยุธยา วิธีการอาจจะต่างกัน ผลลัพท์อาจจะต่างกัน แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตารมณ์ที่แท้จริงที่ทั้งสองพระองค์มีต่อกรุงศรีอยุธยา เราอาจจะรบจนตัวตาย ไม่ยอมแม้จะก้มหัวเพื่อรักษาชีวิต ก็เพราะความรักชาติยิ่งชีพ อย่างที่สมเด็จพระมหินทร์ทรงมี
เราอาจจะยอมก้มหัว เสียเกียรติ เพื่อรอวันเอาคืน ก็เพราะความรักชาติยิ่งเกียรติศักดิ์ อย่างที่สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงเป็น อย่างไหนล่ะ ที่ถูกต้อง เราไม่อาจตัดสินได้ เพราะมันก็เป็นเพียงวิ๔ีทางที่ต่างคนต่างเลือกเดิน เลือกทำ ครั้งแตกครั้งที่ 2 อาจเป็นเรื่องราวที่ทำให้หลายคนสะเทือนใจ "เราไม่ได้แพ้ เพราะเราประมาทเพียงอย่างเดียว เราขาดความสามัคคี แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น เราขาดอุดมการณ์ในการรักษาบ้านเมืองร่วมกัน" ต่างคนต่างก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง ผลประโยชน์ของตัวเอง ทางรอดตายของตัวเอง แต่ในครั้งนั้นก็ยังโชคดีที่ยังมีกลุ่มคนที่กล้าหาญฉุดเราขึ้นมาจากเหวลึกที่มืดมน ทำให้เรากลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง ถึงแม้จะต้องถึงจุดสิ้นสุดแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ความเป็นไทยก็มิได้จางหายไป มันยังคงอาบอยู่ในเนื้อหนัง ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดคนทุกคนจนถึงวันนี้ อย่างน้อย เราก็สามารถรักษาเผ่าพันธุ์และแผ่นดินของเราไว้ได้ ไม่ต้องสูญสิ้นชาติ ไร้แผ่นดินอย่างเช่นหลายเผ่าพันธุ์บนโลกใบนี้ ดังนั้น เราควรจะภูมิใจและระลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษของเราให้มาก หากเมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 1 เราไม่มีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้ทรงเติบใหญ่มาพร้อมกับพระราชภารกิจกอบกู้ชาติบ้านเมือง วันนี้ เราจะสามารถเรียกตัวเองว่า "คนไทย" ได้หรือ เราจะยังมีแผ่นดิน"ของเรา"ให้ได้ยืนเต็มฝ่าเท้าหรือ เราจะยังมีฟ้า"เืมืองไทย"ให้มองอีกหรือ หากเมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 2 เราไม่มีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ผู้ทรงมุ่งมั่นจะกอบกู้เอกราชของเราคืนมา วันนี้ เราจะมีกรุงรัตนโกสินทร์ เราจะได้เห็นวัดพระแก้วอันงดงาม เราจะได้ร้องเพลงชาติไทยตอน 8 โมงเช้า เราจะยังได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์หรือ และที่สำคัญ เราจะได้รับการปลดปล่อยจากทาสให้เป็นไท และประชาธิปไตยที่เราบูชากันนักได้อย่างไร กรุงแตกทั้ง 2 ครั้ง เรามีผู้มากอบกู้ ฉุดเราขึ้นจากความทุกข์ เหมือนที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่า "กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี" แต่วันนี้กรุงศรีอยุธยาสิ้นสุดยุคสมัยไปแล้ว เราอยู่ในยุคสมัยของกรุงเทพฯ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่า "แล้วกรุงเทพฯ จะยังเหลือคนดีหรือไม่" ตั้งแต่มีกรุงเทพมหานครมากว่า 200 ปี เราจวบเจียนจะล่มกันมาก็หลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ รศ.112 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่เราเกือบจะต้องเสียกรุงอีกครั้ง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และคนไทยผู้มีความรู้ความสามารถในขณะนั้น ที่ร่วมมือกันทำทุกวิถีทางให้เรายังคงธำรงความเป็น"ชาติ"และรักษาความเป็น"ไท"อยู่ได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่หากว่าสมเด็จพระปกเกล้าฯ มิทรงยินยอมแล้ว เลือดไทยคงจะนองทั่วพื้นปฐพีเป็นแน่ อย่างนี้แล้ว เราคงจะเชื่อได้ว่า "กรุงเทพฯ ก็ไม่สิ้นคนดีเช่นกัน" ในภาวะที่ยากลำบากของบ้านเมืองที่มองไปทางใดก็มีแต่ความขัดแย้ง แล้วจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้ เราคงไม่อาจหวังได้หรอกว่า จะมี "คนดีศรีกรุงเทพฯ" มาช่วยกอบกู้สถานการณ์ อย่างเช่น "คนดีศรีอยุธยา" เพราะความซับซ้อนของสถานการณ์มันต่างกันมากนัก ซ้ำยังเป็นการต่อสู้กันเองของคนในชาติที่มิใช่แค่การขาดความสามัคคี แต่มันเป็นภาวะเสื่อมคุณธรรมและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอย่างหน้ามืดตามัว
ภาวนาเหลือเกินว่า เราจะไม่ต้องเผชิญกับ "กรุงแตก ครั้งที่ 3 ด้วยน้ำมือคนบ้าหน้าเงิน" เพราะครั้งนี้ เราอาจไม่มีใครอาสาเป็น "คนดีศรีกรุงเทพฯ" มากู้บ้านเมือง เพราะคงถูกเงินฟาดหน้ากันจนไม่เหลือความเป็น "คนดีศรีกรุงเทพฯ" อีกแล้ว นี่ถ้าคณะราษฎร์รู้ว่าประชาธิปไตยมันยุ่งยากเกินไปสำหรับคนไทย วันที่ 24 มิถุนายน 2475 พวกเขาจะยังทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองกันอยู่มั้ยนะ ???
Create Date : 27 พฤศจิกายน 2551 |
|
1 comments |
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2551 10:56:22 น. |
Counter : 1131 Pageviews. |
|
|
|
เป็นบทความที่มีเนื้อหาดีมากค่ะ
ดิฉันชอบประโยคที่ว่า.."เราไม่ได้แพ้ เพราะเราประมาทเพียงอย่างเดียว เราขาดความสามัคคี แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น เราขาดอุดมการณ์ในการรักษาบ้านเมืองร่วมกัน"
และ
ในภาวะที่ยากลำบากของบ้านเมืองที่มองไปทางใดก็มีแต่ความขัดแย้ง แล้วจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้ เราคงไม่อาจหวังได้หรอกว่า จะมี "คนดีศรีกรุงเทพฯ" มาช่วยกอบกู้สถานการณ์ อย่างเช่น "คนดีศรีอยุธยา" เพราะความซับซ้อนของสถานการณ์มันต่างกันมากนัก ซ้ำยังเป็นการต่อสู้กันเองของคนในชาติที่มิใช่แค่การขาดความสามัคคี แต่มันเป็นภาวะเสื่อมคุณธรรมและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอย่างหน้ามืดตามัว
ขอบคุณค่ะ