Love works in ways that are wondrous and strange. There's nothing in life that love cannot change.

<<
สิงหาคม 2552
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
15 สิงหาคม 2552
 

หัวใจสีขาว - ตอนที่ 13

“ผมรักคุณ”

ทานตะวันรู้สึกชาไปทั้งร่าง น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าตา เธอสูดหายใจลึก สับสนมึนงง แต่ประโยคนั้น ยังคงวิ่งวนอยู่ในหัว ดังก้องอยู่ในหู ซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับจะย้ำเตือนให้เธอรู้ว่านี่เป็นความจริง!!

‘ผมรักคุณ’

ทานตะวันสบตาชายหนุ่ม มองผ่านม่านน้ำตา เธอพูดไม่ออกได้แต่บีบมือตอบให้เขารู้ว่า เธอรับรู้ในสิ่งที่เขาพูด รพีบรรจงเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าตาหญิงสาว เขาโน้มตัวเข้าหา บรรจงจุมพิตริมฝีปากที่สั่นระริกของเธอ

ความอบอุ่นแผ่ซ่านลงมาตามร่างกาย หญิงสาวไม่ได้ขัดขืน เธอยอมรับมันอย่างเต็มหัวใจ

“พูดอะไรบ้างสิ คนดี ผมทำคุณตกใจหรือเปล่า” รพีพูดอย่างร้อนรน เมื่อเขาถอนริมฝีปากของเขาจากเธอ แต่ทานตะวันยังคงนิ่งราวกับรูปปั้น

หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีก้อนมาจุกที่ลำคอ เธอรู้สึกเหมือนลอยอยู่ในความฝัน ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะพูดประโยคนี้ออกมา ประโยคที่สำคัญที่สุดระหว่างเธอกับเขา ประโยคที่ทลายความสับสน เสียใจ น้อยใจที่เธอรู้สึกให้หายไปจนหมดสิ้น

“ตะวัน” ชายหนุ่มเรียกเสียงแผ่วเบา
“คะ อาจารย์ว่าอะไรนะคะ” เธอได้ยินตัวเองถามออกไปเช่นนั้น

รพีบีบมือที่เย็นเฉียบของหญิงสาว ย้ำถาม
“คุณเป็นอะไรไป ตะวัน ผมทำให้คุณกลัวหรือเปล่า”
หญิงสาวส่ายหน้า มองเข้าไปในดวงตาของเขา
“อาจารย์ อาจารย์พูดจริงหรือคะ ตะวันไม่ได้ฝันอยู่ใช่มั้ย ใช่มั้ยคะ”
ชายหนุ่มยิ้ม “เปล่า ไม่ใช่ความฝัน ตะวัน ผมรักคุณ คุณได้ยินมั้ย ผมรักคุณ”

คำพูดของเขาเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจเธอให้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวานชื่น รู้สึกราวกับคำว่า ‘ผมรักคุณ’ ที่ออกจากปากเขาได้กลายเป็นเส้นใยบางๆที่จะผูกมัดเธอและเขาไว้ตลอดไป

“คุณพูดอะไรกับผมบ้างสิ บอกผมบ้างว่าคุณรู้สึกยังไง” รพีถามเสียงหวาน
น้ำตาเจ้ากรรมมันเอ่อล้นคลอเบ้าเธออีกแล้ว หญิงสาวสูดหายใจลึก เงยหน้าสบตาชายหนุ่ม
“อาจารย์ไม่รู้หรือคะ ว่าตะวันรักอาจารย์ รักมากมายเหลือเกินแล้ว ตะวันคิดว่าอาจารย์จะเห็นตะวันเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไรกับอาจารย์เสียแล้ว”
“ผมรู้ ผมเกือบทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพราะผมไม่รักคุณ ผมรักคุณมากเหลือเกิน และผมก็ไม่อยากให้คุณต้องมาทนทุกข์อยู่ในชีวิตที่ยุ่งยากของผม ผมรู้ตัวดีว่าไม่อาจทำอะไรให้คุณได้อย่างที่คนรักกันเค้าจะทำให้แก่กัน กระทั่งอาจต้องทำให้คุณเสียใจด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายผมก็เห็นแก่ตัว ผมยอมรับว่าไม่อยากเสียคุณไป คุณเป็นเหมือนแสงสว่างในชีวิตของผม คุณทำให้ชีวิตของผมมีความหมาย ทำให้ผมมีความหวังและมีความฝันอีกครั้งหนึ่ง” ชายหนุ่มตอบพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มทานตะวัน
เธอส่ายหน้า “อาจารย์อย่าคิดแบบนั้นอีกนะคะ ตะวันไม่ได้ต้องการอะไรจากอาจารย์เลย สิ่งเดียวที่ตะวันปรารถนาคือ ขอให้อาจารย์รักตะวัน แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ แค่นั้นก็มีค่าเหลือเกินแล้ว”

“เราพลาดอะไรไปบ้างหรือเปล่าเนี่ย” วิลาวรรณถามเพื่อนทั้งสองคนทันทีที่กลับมาถึงบ้าน
“เยอะแยะเลย” รติยาแหย่
“ไม่เชื่อหรอก ตะวัน เล่าสิ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็สนุกดี ไว้คราวหน้าไปก็รู้เองแหละ แต่คงต้องเป็นเทอมหน้าแล้วมั้ง นี่ วิ พ่อกับแม่เธอไปอยู่เหรอ พวกท่านไปไหนน่ะ” ทานตะวันตอบพลางเปลี่ยนเรื่อง
“ไปเพชรบูรณ์แล้ว ไว้รอไปเจอตอนปิดเทอมแล้วกัน”
“ท่านจะอยู่ถึงเหรอ อีกตั้ง 2 อาทิตย์”
“ถึง พ่อบอกว่าลามาเดือนนึงเลยนะ”
“ปิดเทอมนี้พวกเธอจะกลับเพชรบูรณ์กันเหรอ ให้เราไปด้วยได้มั้ย อยากไปเที่ยวบ้านตะวัน” รติยาเอ่ยถาม
“ก็ไปสิ ดีเลยมีเพื่อนเพิ่มมาอีกคน จะได้สนุก” วิลาวรรณตอบ

ทานตะวันนั่งอยู่ปลายเตียง พลางคิด คิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เธอไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพูดออกมา ยังรู้สึกเหมือนลอยอยู่ในฝันทุกครั้งที่คิดถึงประโยคนั้นจากปากเขา ‘ผมรักคุณ’ หัวใจเย็นฉ่ำ มีชีวิตชีวา เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื้นตัน รู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ราวกับว่าความรักนี่เองที่ก่อให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเธออย่างแท้จริง มันอาจไร้สาระ แต่มันเต็มไปด้วยแก่นสาร เพราะมันคือพลังที่ผลักดันให้เรามีชีวิตอยู่ ให้เราทำสิ่งต่างๆมากมายที่ไม่น่าเป็นไปได้ และให้เราสร้างโลกให้สวยงาม หญิงสาวไม่เคยรู้สึกเห็นคุณค่าของความรักมากขนาดนี้เลย เธอเคยคิดว่ามันเป็นสิ่งดี แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมากมายไปกว่าความรู้สึกอื่นๆ และตอนนี้ ขณะนี้ นาทีนี้ เธอรู้แล้วว่ามันมีค่าเหลือเกิน ถ้ามันเป็น ‘รัก’ ที่แท้จริงแล้ว ไม่สำคัญเลยว่าท้ายที่สุดแล้ว มันจะเป็นอย่างไร จะเศร้าหรือจะสุข แต่ตอนนี้ เวลานี้ หัวใจได้เต็มอิ่มกับความรู้สึก ‘รัก’ นั้น เพียงแค่นี้ ‘รัก’ นั้นก็จะอยู่ในความทรงจำเราไปชั่วชีวิต เหมือนที่รพีพูด ‘จุดหมายปลายทางอาจเป็นสิ่งสำคัญ แต่ประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างทางนั้นสำคัญยิ่งกว่า’ และเธอเห็นด้วยกับเขา

ทานตะวันวางปากกาลง มองดูกระดาษคำตอบวิชาประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาของตัวเองอย่างพึงพอใจ เธอจัดการเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียน จัดวางกระดาษข้อสอบให้ชิดมุมโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมองไปหน้าชั้นเรียนก็พบสายตาคมเข้มที่คุ้นเคยนั้นจ้องมองอยู่ไม่ละสายตา เธอยิ้มให้สายตาคู่นั้นพลางลุกจากที่นั่ง เดินออกจากห้องไป

เมื่อเห็นว่าทานตะวันพ้นประตูห้องไปแล้ว รพีก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งข้อความ
‘พบกันหน้ามหาวิทยาลัยนะจ๊ะ’
ทานตะวันยิ้มรับข้อความจากรพี หญิงสาวใช้เวลา 2-3 นาทีเดินไปถึงจุดนัดพบ ยังไงเสีย รพีก็ยังไม่มา เธอจึงเดินเข้าร้านหนังสือที่อยู่หน้ามหาวิทยาลัย

“อ้าว ตะวัน ทำข้อสอบเสร็จแล้วเหรอ” เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เคยทำรายงานร่วมกันคนหนึ่งทักขึ้น
“อืม จ๋าก็ทำข้อสอบเสร็จเร็วนะ แปลว่าฟิตมากล่ะสิ”
“ฟิตอะไรกัน เราเงี้ยมั่วตลอด ทำใจเลย สงสัย D ชัวร์ ไม่รู้อาจารย์โหดหรือเปล่า แต่เท่าที่ถามรุ่นพี่มา เค้าว่าไม่ค่อยโหดนะ เราก็หวังว่ารุ่นเราจะไม่โหด”
“อะไรกัน อ่านหนังสือมาไม่ตรงกับที่อาจารย์ออกเหรอ แต่เราว่าข้อสอบออกแนววิเคราะห์มากกว่าจำนะ”
“ก็จริงอยู่หรอก แต่เรากลัวว่าจะวิเคราะห์ไม่ตรงคำตอบอาจารย์น่ะสิ ดีนะที่ทำรายงานกับตะวัน ไม่งั้นเราคงสอบตก”
“อย่าเพิ่งคิดมากขนาดนั้นสิ อาจารย์คงตรวจจากเหตุผลของเรามากกว่าจะยึดกับเหตุผลของตัวเองนะ”
“เราก็หวังอย่างนั้น”
ทานตะวันเหลือบมองเห็นรถรพี จึงบอกลาเพื่อน
“เราไปก่อนนะจ๋า ไว้เจอกันตอนเปิดเทอม”
“จ้า ไว้เจอกัน”

“ทำข้อสอบได้มั้ย ตะวัน”
“ค่ะ”
“แล้วข้อสอบผมยากไปมั้ย”
“ถ้าตะวันบอกว่ายากเกินไป อาจารย์จะลดระดับความยากลงหรือเปล่าล่ะคะ” ทานตะวันเอียงคอตอบยิ้มๆ
รพีไม่ตอบ แต่มองหญิงสาวยิ้มๆ
“ว่าไงคะ อาจารย์ ตกลงว่าอาจารย์จะลดระดับความยากลงมั้ยคะ” ทานตะวันถามซ้ำ
“ผมว่ามันก็ไม่ค่อยยากนะ” รพีตอบอย่างเคร่งขรึม
“นั่นสิคะ อาจารย์ว่าไม่ยาก แล้วถามตะวันทำไมล่ะ” เธอย้อนเขาทันควัน
“เถียงเก่งนัก เดี๋ยวก็เพิ่มระดับความยากแทนซะหรอก” รพีขู่
“ตามใจอาจารย์เถอะคะ ว่าแต่เราจะไปไหนกันคะ”
“กินข้าวแล้วไปดูหนังกันเถอะ” รพีเอ่ยชวน
“ก็ได้ค่ะ แต่ว่ากลับก่อน 6 โมงนะคะ อาจารย์ก็ไปส่งตะวันที่หน้าปากซอยเหมือนเดิม”
“นี่ทำไมเราจะต้องปิดบังเรื่องของเราด้วยนะ ตะวัน แม้แต่คุณวิกับยาก็ไม่ให้รู้” ชายหนุ่มพูดอย่างหงุดหงิด
“ตะวันไม่อยากมีปัญหาคะ อาจารย์ ถ้าใครๆรู้ ก็คงเข้าหูคุณพ่อของอาจารย์เข้าสักวัน อย่างนี้ก็สบายใจดีอยู่แล้ว ส่วนวิกับยา อีกหน่อยก็คงรู้เอง เดี๋ยวนี้สงสัยตะวันมากขึ้นทุกทีแล้ว”
“ถ้าพ่อรู้ ผมจะอธิบายเอง” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“อย่าเลยคะ มีปัญหากันเปล่าๆ ตะวันไม่อยากเป็นตัวปัญหา อีกอย่างอาจารย์ยังไม่พร้อมที่จะทำแบบนั้นหรอกคะ” หญิงสาวปฏิเสธ
“ทำไม คุณคิดว่าผมไม่กล้าอย่างนั้นหรือ คุณก็รู้ว่า...” รพีพูดยังไม่จบ ทานตะวันก็แทรกขึ้น
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ เพียงแต่ตะวันคิดว่าอาจารย์ยังไม่พร้อมมากกว่าค่ะ ถ้าอาจารย์จะพูดเพราะว่าเห็นแก่ตะวัน อยากจะให้เกียรติตะวัน แต่ที่จริงใจอาจารย์ยังไม่พร้อม มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอกค่ะ อาจารย์จะท้อแท้เอง แต่ถ้าเรารอต่อไปจนกว่าอาจารย์จะพร้อมจริงๆ มันคงจะดีกว่า เพราะอาจารย์จะไม่ทำเพราะเห็นแก่ตะวันอย่างเดียว แต่จะทำเพราะใจของอาจารย์พร้อมแล้วจริงๆ”
“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมไม่พร้อมจะพูดกับคุณพ่อ” รพีถามด้วยความมั่นใจว่าเขาพร้อมแล้วจริงๆ
“อาจารย์ยังไม่พร้อมหรอกคะ อาจารย์ลองถามตัวเองสิคะว่าพร้อมจะทิ้งทุกอย่างที่อาจารย์คิดว่าต้องทำเพื่อทำสิ่งที่อยากทำแล้วหรือยัง”

คำพูดของหญิงสาวกระทบใจเขาอย่างจัง ‘นั่นสิ เราทำอย่างนั่นได้แล้วหรือ’
แน่นอนว่าเขาไม่อาจทำได้เลย เขายังคงรู้สึกสับสนและกังวลตลอดเวลา จะสบายใจได้บ้างก็เฉพาะตอนใช้เวลาอยู่กับทานตะวันเท่านั้น ชายหนุ่มเงียบไป ไม่เถียงเธออีก เธอมองเขาด้วยความสงสารจับใจ รู้ดีว่าเขาต้องทุกข์ใจมากเพียงใด ที่ต้องสับสนกับความรู้สึกที่ขัดแย้งกันภายในใจของตนเอง และไม่อาจตัดสินใจเลือกทางใดได้เลย หญิงสาวเอื้อมมือไปแตะไหล่เขาเพื่อปลอบโยน ชายหนุ่มหันหน้ามา ฝืนยิ้ม

“คุณพูดถูก ตะวัน ผมทำไม่ได้ ผมอาจจะทำอะไรเพื่อคุณไม่ได้เลยสักอย่างเดียว ผมมันแย่จริงๆ”
“ไม่เป็นไรนี่คะ ตะวันก็ไม่ได้หวังอะไรจากอาจารย์อีกแล้ว สิ่งเดียวที่อยากได้ ก็ได้แล้ว มีความสุขแล้วที่อาจารย์รักตะวัน จริงๆนะคะ” เธอยิ้มให้เขาอย่างสดใส รู้ดีว่าจะต้องอดทนอย่างมากกับความรักครั้งแรกนี้ กับผู้ชายคนนี้ แต่เธอก็เต็มใจและเลือกจะอดทนรอ รอเขาไปจนกว่าจะถึงวันที่เขาพร้อม เพราะถ้าหากมีวันนั้นจริง เธอจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก

“ตะวัน สอบเสร็จตั้งแต่เที่ยงแล้วไม่ใช่เหรอ ไปไหนมา กลับเอาป่านนี้” วิลาวรรณทักทันทีที่ทานตะวันเดินเขาบ้าน
“นั่นสิ ไปไหนกับใคร หือ ตะวัน” รติยาก็สำทับอีกคน เธอมานอนบ้านเพื่อนเพื่อติวหนังสือสอบกับวิลาวรรณ ซึ่งจะมีสอบวิชาสุดท้ายวันพรุ่งนี้
“อ่านหนังสือไปเถอะน่า ถามมากจริง” ทานตะวันตอบพลางเก็บรองเท้าเข้าตู้
“นี่ ตะวัน เดี๋ยวนี้มีอะไรปิดบังเพื่อนใช่มั้ย ไม่เห็นว่าเราเป็นเพื่อนงั้นสิ” วิลาวรรณพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“ไม่มี”
“แต่เราว่ามี” รติยาค้าน
“อ๋อ นี่เธอสองคนตั้งใจจะต้อนให้เราจนมุมใช่มั้ย วันนี้” ทานตะวันถามยิ้มๆ
“ใช่ เธอก็รู้นี่ เราสงสัยกันมานานแล้ว แต่ไม่อยากกวน เพราะเห็นใกล้สอบ แต่วันนี้เธอสอบเสร็จแล้ว มีอะไรปิดบังไว้บ้าง บอกมาให้หมดนะ” วิลาวรรณพูดเสียงเข้ม
“ก็พวกเธออยากรู้อะไรล่ะ” ทานตะวันถามกลับ
“เธอมีอะไรปิดบังพวกเราล่ะ นั่นแหละที่อยากรู้” รติยาตอบ
“ไม่มีนี่ เราไม่มีอะไรปิดบังพวกเธอซะหน่อย” ทานตะวันปฏิเสธ
“มี เธอทำตัวแปลกๆ ไปไหนคนเดียว ไม่ใช่สิ ต้องแอบนัดกับใครแน่ๆ บอกมานะว่าใคร ไปไหน ทำอะไรกัน” วิลาวรรณใส่เป็นชุด
“ถามทีละคำถามได้มั้ย แบบนี้ตอบไม่ถูก”
“ได้ เธอไปไหนบ่อยๆ โดยไม่มีพวกเรา” รติยาตั้งคำถามแรก
“ก็ไปตั้งหลายที่”
“ไปกับใคร อย่าบอกนะว่าไปคนเดียว ไม่เชื่อ เพราะเราเห็นว่ามีโทรศัพท์มาทีไรก็ออกไปทุกที”
“ก็ได้ ไม่ได้ไปคนเดียว แต่ว่า เอ เราต้องรายงานด้วยเหรอเนี่ยว่าไปกับใคร” ทานตะวันพูดยิ้มๆ ทำเอาเพื่อนทั้งสองคนถึงกับทำตาโต
“แน้ บอกมานะว่าใคร ตะวัน เรากับยาอยากรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร”
“เอ๊ะ เราบอกเมื่อไหร่กันว่าเป็นผู้ชาย”
“โธ่ บอกมาน่า” วิลาวรรณอ้อนวอน
“ใช่ เลิกปิดเพื่อนได้แล้ว”
“ก็ได้ เราก็ตั้งใจจะบอกอยู่ แต่ว่าเธอสองคนต้องปิดปากให้สนิทนะ” ทานตะวันต่อรอง
“ทำไมล่ะ” วิลาวรรณถามอย่างแปลกใจ
“มันจำเป็น แล้วจะอธิบายทีหลัง”
“เอ๊ะ หมอนี่เป็นใครกัน ตะวัน ทำไมต้องปิดบังคนอื่นด้วย แม้แต่เราสองคน” รติยาถามอย่างสงสัย
“เราไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเธอสองคนเลยนะ แต่ที่ต้องปิดไว้ก่อนเพราะยังไม่รู้จะบอกยังไง แล้วอีกอย่าง พวกเธอก็คงสงสัยและถามเราอยู่แล้วนี่ เราก็จะบอกอยู่นี่ไง”
“โอเค ใครกันตะวัน ที่เค้าสามารถทะลวงใจเธอได้เนี่ย” วิลาวรรณถามอย่างจริงจัง
“รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ อาจารย์ไงล่ะ อาจารย์รพี”
ทานตะวันรู้สึกอยากหัวเราะเมื่อเห็นกิริยาของเพื่อนทั้งสองคนที่หันมามองหน้ากันแบบงงๆ เงียบกันไปอึดใจ แล้ววิลาวรรณก็ตะโกนลั่นบ้าน “คุณพีเนี่ยนะ!!!” ในขณะที่รติยาทรุดตัวลงบนโซฟาพลางพึมพำ “อยากจะเป็นลม ให้ตายสิ!!!”
“อ้าว วิ เงียบๆสิ จะตะโกนทำไม” ทานตะวันเอียงคอมองเพื่อนยิ้มๆ
“ว่าแต่ เธอพูดจริงเหรอ ตะวัน เธอกับพี่พีคบกันจริงๆเหรอ” รติยาถามแบบไม่อยากจะเชื่อ
“จริง ไม่เชื่อก็กลับไปถามพี่ชายเธอดูสิจ๊ะ”
“มิน่า ช่วงนี้เราสังเกตพี่พีดูมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ค่อยเครียดอย่างเมื่อก่อน ยังสงสัยอยู่เลยว่าพี่ชายเราโดนผีเข้าสิงหรือเปล่า ที่แท้ก็แบบนี้เอง นั่นแน่ อย่างงี้ก็แบบว่าเราเชียร์ขึ้นสิ วิ จริงมั้ย”
“คงงั้น เฮ้อ ว่าแต่ มันเกิดขึ้นได้ยังไง ตะวัน แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” วิลาวรรณถามอย่างจริงจัง

หญิงสาวยิ้ม ไม่ตอบ พลางคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกตื่นเต้นระคนแปลกใจกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับรพี ไม่รู้เลยว่ามันจะยืนยาวไปได้นานเพียงไร แต่ที่สำคัญคือ มันคุ้มค่าเหลือเกินที่ได้รู้สึกรักใครสักคน แม้ว่าอาจจะต้องผิดหวังก็ตาม
“ตะวัน ว่าไง มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ยังไง เล่ามานะ” รติยารุกเร้า
“จะให้เล่าอะไรล่ะ พูดไม่ถูกหรอก ไว้เธอรักใครสักคนก็รู้เองแหละ” เธอตัดบทและเดินหนีขึ้นบันไดไป ท่ามกลางเสียงโวยวายของเพื่อนทั้งสองคน




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2552
0 comments
Last Update : 15 สิงหาคม 2552 22:46:17 น.
Counter : 977 Pageviews.

 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

howk_ky
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




When everything has its proper place in our minds, we are able to stand in equilibrium with the rest of the world.

(เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมีเฉพาะในจิตใจเรา เราก็จะสามารถยืนหยัดได้อย่างสมดุลในโลก)
[Add howk_ky's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com