- หลังจบรอบควอลิฟาย เมื่อยางได้รับการส่งคืนครบถ้วนแล้วปิเรลลี่จะเปิดเผยข้อมูลว่านักขับแต่ละคนเหลือยางชนิดใดบ้างในวันแข่งขัน
สัญญาณธงในสนามที่สำคัญธงตราหมากรุก - จบการแข่งขันหรือหมดเวลาในรอบควอลิฟาย สำหรับปี 2019 ในการโบกธงตราหมากรุกเพื่อแสดงถึงจบการแข่งขัน (แข่งขันครบจำนวนรอบที่กำหนด) ยังคงเป็นไปตามปกติ แต่จะเพิ่มสัญญาณจบการแข่งขันอย่างเป็นทางการโดยเป็นแผงไฟตราหมากรุกแสดงที่เส้นชัยด้วย
ธงเหลืองเดี่ยว - มีอันตรายอยู่ข้างหน้า ให้เตรียมลดความเร็ว
ธงเหลืองคู่ - มีอุบัติเหตุอยู่ข้างหน้า ให้ลดความเร็วลงทันที
*ห้ามแซงภายใต้ธงเหลืองใดๆ โดยเด็ดขาด
ธงเขียว - แทร็คกลับเข้าสู่สภาวะปกติ นักแข่งใช้ความเร็วในการแข่งขันตามปกติได้
ธงแดง - หยุดช่วง ไม่ว่าจะเป็นในการแข่งขันหรือควอลิฟาย มักใช้กรณีที่มีอุบัติเหตุรุนแรง แทร็คมีเศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปทั่ว หรือสนามไม่พร้อมสำหรับการแข่งขันเนื่องจากสภาพอากาศ
ธงเหลืองสลับแดง - ระวังแทร็คลื่นข้างหน้า มักเกิดจากมีน้ำมันหรือน้ำบนผิวแทร็ค
ธงดำจุดกลมสีส้มตรงกลางพร้อมหมายเลขนักขับ - รถคันนั้นมีปัญหาทางเทคนิคและให้กลับเข้าพิตโดยเร็วที่สุด
ธงดำพร้อมหมายเลขนักขับ - รถคันนั้นต้องกลับเข้าพิตโดยทันทีเนื่องจากถูกตัดออกจากการแข่งขัน (disqualified)
ธงครึ่งขาวครึ่งดำพร้อมหมายเลขนักขับ - นักขับรถคันนั้นขับขี่โดยไม่สมควร ถือเป็นการเตือนครั้งสุดท้ายก่อนจะถึงธงดำ
ธงขาว - ให้ระวังพาหนะเคลื่อนที่ช้าที่อยู่ในแทร็ค
ธงฟ้า - บอกให้รถช้าที่กำลังจะถูกน็อกรอบรู้ว่ามีรถที่เร็วกว่าและอยู่คนละรอบตามมา ต้องเปิดทางให้ ถ้าผ่านธงฟ้า 3 จุดติดต่อกันแล้วยังไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ
เซฟตี้คาร์เซฟตี้คาร์จะออกมาเมื่อกรรมการฝ่ายควบคุมการแข่งขันเห็นว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ในจุดที่เสี่ยง และการกู้รถต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนกับจุดเดิม เซฟตี้คาร์ออกมาวิ่งนำการแข่งขันโดยอยู่ข้างหน้ารถผู้นำ เป็นการควบคุมความเร็วของรถบนแทร็คให้เหมาะสม ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ขณะที่วิ่งตามหลังเซฟตี้คาร์ ห้ามไม่ให้มีการแซงกัน หากมีรถช้าที่วิ่งคนละรอบ (รถถูกน็อกรอบ) แทรกอยู่ กรรมการจะให้สัญญาณรถช้านั้นแซงเซฟตี้คาร์ขึ้นมาเพื่อวนกลับไปอยู่ในตำแหน่งจริงของตน ซึ่งนักขับอาจเข้าพิตไปเปลี่ยนยางได้ตามสัญญาณที่กรรมการแจ้งว่าพิตเลนเปิด
หากสถานการณ์ในแทร็คกลับมาเป็นปกติได้แล้ว เซฟตี้คาร์จะกลับเข้าพิตเลน โดยจะให้สัญญาณแก่ผู้นำด้วยการดับไฟสีเหลืองบนรถในรอบสุดท้ายที่วิ่ง เมื่อเซฟตี้คาร์กลับเข้าไปในพิตเลนแล้ว รถจะกลับมาแข่งขันด้วยความเร็วเต็มที่และแซงกันได้ตามปกติก็ต่อเมื่อวิ่งผ่านเส้นชัย (finishing line) ไปแล้ว ทั้งนี้ ผู้นำการแข่งขันมีสิทธิ์กำหนดจังหวะวิ่งผ่านเส้นชัย ถ้าผู้นำยังไม่ข้ามเส้น แม้เซฟตี้คาร์จะกลับเข้าพิตเลนแล้วก็ยังแซงกันไม่ได้
ในกรณีที่การกู้รถที่เกิดอุบัติเหตุทำไม่สำเร็จภายในรอบการแข่งขันที่เหลือ เซฟตี้คาร์จะวิ่งอยู่จนจบการแข่งขัน แต่ก่อนถึงเส้นชัยเซฟตี้คาร์จะวิ่งกลับเข้าพิตเลนไปก่อนเพื่อปล่อยให้รถผ่านเส้นชัยตามปกติ
ปัจจุบันมีการนำระบบเสมือนมีเซฟตี้คาร์ในสนาม (Virtual Safety Car - VSC) มาใช้โดยมีสถานะเทียบเท่ากับการโบกธงเหลืองคู่ แต่อาจไม่จำเป็นถึงขั้นใช้เซฟตี้คาร์ เมื่อกรรมการตัดสินใจให้ใช้ระบบ VSC จะมีป้ายไฟสัญญาณขึ้นแจ้งนักขับด้านข้างสนาม นักขับต้องลดความเร็วลงแต่ไม่ช้าเกินกว่าที่กำหนด และเมื่อสถานการณ์ในแทร็คกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ป้ายไฟสัญญาณจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
นอกจากนั้น กระบวนการเริ่มการแข่งขันอีกครั้งหลังเซฟตี้คาร์กลับเข้าพิตไปแล้ว (Restart) เดิมนั้นเป็นแบบโรลลิ่งสตาร์ทอย่างที่เห็นกันอยู่เป็นประจำ แต่ปัจจุบันเมื่อหมดช่วงเซฟตี้แล้วจะให้เป็นแบบตั้งกริดสตาร์ทกันใหม่ ไฟสัญญาณจะขึ้นเป็นตัวอักษร SS ไปทั่วสนาม พร้อมข้อความ STANDING START จากระบบส่วนกลาง และไฟสีส้มของเซฟตี้คาร์ก็จะดับลงเพื่อเป็นสัญญาณให้นักขับทราบว่าการแข่งขันจะกลับสู่สภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม แบบโรลลิ่งสตาร์ทยังคงมีอยู่ หากสถานการณ์ไม่เหมาะกับการรีสตาร์ทแบบตั้งกริด โดยสัญญาณและข้อความของโรลลิ่งสตาร์ทคือ RS หรือ ROLLING START
*********************************************************
กฎด้านเทคนิคเบื้องต้นที่ควรทราบเครื่องยนต์นับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา เครื่องยนต์ฟอร์มูล่าวันใช้ขนาด 1.6 ลิตร V6 เทอร์โบ จำกัดความเร็วรอบเครื่องไม่เกิน 15000 rpm นอกจากกำลังของเครื่องยนต์แล้ว ยังจะได้แรงม้าจากการใช้ระบบ ERS (Energy Recovery System) ซึ่งเป็นระบบที่เปลี่ยนพลังงานกลและพลังงานความร้อนมาเป็นพลังงานไฟฟ้า
หน่วยเครื่องยนต์ (Power Unit) ของรถฟอร์มูล่าวันประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 6 ส่วน ได้แก่
1. เครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (Internal Combustion Engine: ICE)
2. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า - พลังงานจลน์ (Motor Generator Unit - Kinetic: MGU-K)
3. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า - พลังงานความร้อน (Motor Generator Unit - Heat: MGU-H)
4. ระบบสะสมพลังงาน (Energy Store: ES) หรือแบตเตอรี่
5. เทอร์โบชาร์จเจอร์ (Turbo Charger: TC)
6. ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม (Control Electronics: CE) หรือ CPU
- ขยายกำหนดของน้ำหนักน้ำมันเชื้อเพลิง จากเดิมให้สูงสุดได้ 105 กก. เป็น 110 กก. เพื่อให้นักขับสามารถขับได้เต็มที่ตลอดการแข่งขัน
- ให้รับรองการตรวจสภาพรถด้วยตนเอง จากเดิมทีมแข่งต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถก่อนเริ่มสุดสัปดาห์การแข่งขัน แต่ต่อไปนี้ให้ทีมรับผิดชอบตนเองในการแสดงว่ารถของตนเป็นไปตามกฎกติกาทุกประการ และพร้อมรับการตรวจจากกรรมการทุกเมื่อที่มีการสุ่มเรียก
- มีการปรับเปลี่ยนการติดตั้งกระจกข้างเล็กน้อยตามการเปลี่ยนแปลงของปีกหลังที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อทัศนวิสัยการมองหลังได้อย่่างเพียงพอ ซึ่งเป็นเหตุผลด้านความปลอดภัย
- ปรับเปลี่ยนการติดตั้งกล้องติดรถ เพื่อพัฒนามุมมองการรับชมทางโทรทัศน์
การปรับปรุงด้านความปลอดภัย- ถุงมือนักขับจะบังคับใช้แบบไบโอเมตริกที่พัฒนาขึ้นโดยแผนกความปลอดภัยของเอฟไอเอ จะมีการเย็บเซ็นเซอร์ไว้ในเนื้อผ้า ซึ่งช่วยในการวัดชีพจรและระดับออกซิเจนในเลือด ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังนักขับประสบอุบัติเหตุ ข้อมูลเหล่านี้สำคัญมากกับทางทีมแพทย์สนามและจะถูกส่งกลับมาเพื่อประเมินสถานการณ์ในการช่วยชีวิตต่อไป
สำหรับหมวกกันน็อกของปีนี้นักขับต้องใช้รุ่นใหม่ล่าสุดตามมาตรฐาน FIA 8860-2018 ซึ่งเป็นหมวกกันน็อกที่นอกจากแข็งแรงเป็นพิเศษแล้ว ยังพัฒนาการป้องกันศีรษะจากวัตถุที่ลอยมาปะทะและเพิ่มการซับแรงกระแทก หน้ากาก (visor) ต้องลดความสูงลงมา 10 มม. เพื่อลดความเสี่ยงจากเศษชิ้นส่วนที่อาจลอยมา นอกจากนั้น วัสดุที่นำมาทำเป็นเปลือกนอกของหมวกก็ได้รับการพัฒนาให้ทนต่อการแตกและการเจาะทะลุมากยิ่งขึ้น
อากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics)งานด้านแอโรไดนามิกส์ของรถฟอร์มูล่าวันมี 2 เรื่องสำคัญด้วยกัน คือ แรงกด (downforce) และแรงลาก (drag) ดาวน์ฟอร์ซจะกดยางลงบนพื้นถนนและช่วยให้เข้าโค้งได้เร็วยิ่งขึ้น โดยจะลดแรงลาก ซึ่งเป็นเหมือนกำแพงต้านอากาศขณะรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ทั้งนี้ ดาวน์ฟอร์ซจะช่วยเพิ่มความเร็วให้รถระหว่างวิ่งบนทางตรงอีกด้วย (อ่านเรื่องดาวน์ฟอร์ซเพิ่มเติมได้
ที่นี่ / อ่านเรื่องแรงลากเพิ่มเติมได้
ที่นี่)
ทุกตารางนิ้วบนรถฟอร์มูล่าวันมีผลกับแอโรไดนามิกส์โดยรวมของรถและการทำให้แอโรไดนามิกส์เกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทีม
*********************************************************
ประวัติฟอร์มูล่าวันโดยสังเขปการแข่งขันฟอร์มูล่าวันชิงแชมป์โลกเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1950 โดยเกิดจากการรวบรวมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตรายการใหญ่ (Grand Prix) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในทวีปยุโรประหว่างยุคทศวรรษที่ 1920 และ 1930 เข้าไว้ด้วยกัน การแข่งขันฟอร์มูล่าวันกรังด์ปรีซ์เกิดขึ้นครั้งแรกที่สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1950 ซึ่งฟอร์มูล่าวันจะแข่งขันครั้งที่ 1000 ตรงกับรายการไชนีส กรังด์ปรีซ์ ปี 2019 ในเดือนเมษายนนี้
แชมป์โลกคนแรกของฟอร์มูล่าวันคือ จูเซปเป้ ฟาริน่า ส่วนทีมแชมป์โลกทีมแรกได้แก่ทีมแวนวอลล์ (ตำแหน่งแชมป์โลกประเภททีมมอบให้ในปี 1958 เป็นปีแรก) สำหรับนักขับที่ครองแชมป์โลกจำนวนมากที่สุดคือ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ซึ่งคว้าแชมป์โลกทั้งสิ้น 7 สมัย ในปี 1994-1995 และ 2000-2004 เขายังถือสถิติเป็นผู้ชนะการแข่งขันมากที่สุดจำนวน 91 สนาม โดยเฟอร์รารี่เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดด้วยจำนวนแชมป์โลก 16 สมัย
ในวงการมอเตอร์สปอร์ตมีรายการที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดอยู่ 3 รายการ (Triple Crown) ได้แก่ อินเดียนาโปลิส 500 เลอมังส์ 24 ชั่วโมง และโมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งรายการหลังจัดการแข่งขันครั้งแรกในปี 1929 และอยู่ในปฏิทินการแข่งขันฟอร์มูล่าวันมาตลอดนับตั้งแต่ปี 1950
*ข้อมูลจาก formula1.com / bbc.com / wikipedia.org / fia.com
ภาพจาก formula1.com / pirelli.com
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2019 เป็นต้นไป นักขับที่ทำเวลาต่อรอบเร็วที่สุด (fastest lap) ในการแข่งขันและจบการแข่งขันใน 10 อันดับแรกจะได้รับคะแนนโบนัส 1 คะแนน ซึ่งทีมต้นสังกัดของนักขับที่ทำเวลาต่อรอบเร็วที่สุดนั้นจะได้คะแนนพิเศษ 1 คะแนนด้วย