จด.....จำ :ตอนที่ยังเหลือ
จด.....จำ : ตอนที่ยังเหลือ นี้ เป็นตอนต่อจาก จด....จำ :ตอนที่หนึ่ง
คืนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 :
หลังจากที่ผมไปช่วยขนของย้ายบ้านให้เพื่อน(เจ้าสอง)พร้อมกับได้กินข้าวกับเจ้าสองเพื่อนแล้ว ผมกับนายหนึ่งเพื่อนคู่หูที่มาช่วยขนของช่วยเจ้าสองด้วยกัน ก็รีบโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วไปจนสุดสถานีหัวลำโพง ต่อด้วยรถเมล์ สาย เจ็ด กลับมาถึงบ้านผมก็รีบอาบน้ำ แล้วเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ ผมเลยตั้งนาฬิกาปลุก ตีห้าสี่สิบนาที พอถึงเช้าวานต่อมาผมก็ตื่นได้เอง แปลกใจมากอาจเป็นเพราะ กังวลกับการตื่นและตื่นเต้นว่าจะตื่นไม่ทัน เลยทำให้ตื่นได้เองมั้งผมคิดเเอง
ออกจากบ้านเดินทางทางรถเมล์ ไปจนถึงสวนจตุจักร แล้วต่อรถไปถึง บริษัทรถทัวร์ ที่จะเดินทางกลับบ้าน วันนี้เป็นวันแรกครับที่เปิดให้จองตั๋วก่อน ต้องจองล่วงหน้าก่อนหนึ่งเดือน ปีก่อนๆมีเพื่อนเก่าเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมแล้วอีกทีก็ตอนมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำงานที่กทม.ก็เจอกันเขาคนนี้ที่มีบ้านใกล้กัน(ที่ต่างจังหวัด) ซึ่งผมมักจะก็จะฝากเขาซื้อตั๋วรถทัวร์ ให้ผมแต่ตอนนี้เขาย้ายไปทำงานไกล้บ้านที่ต่างจังหวัดแล้ว
เมื่อถึงบริษัทรถทัวร์ที่ตั้งอยู่แถวๆ ซอยวิภาวดี 17 เมื่อเวลา 7 โมงเศษๆ สิ่งที่ผมคาดคิดไว้กลับไม่เป็นตามนั้น ไม่มีคนมาจองตั๋วเลย ผมมาเป็นคนแรก ผมคิดเอาเองว่าอาจเป็นเพราะตามกำหนดหากซื้อตามที่ช่องขายตัวที่หมอชิต ที่เค้าเปิดให้ขายกันเป็นเวลา 10 โมง คนเลยไปซื้อที่นั้น แทนที่จะมาซื้ที่นี่ ที่เป็นที่ขายตั๋วของบริษัทรถทัวร์บริษัทนี้ เลยจองได้เป้นคนแรก วันกำหนดกลับบ้านต่างจังหวัดเป็นวันที่ 28 ธันวาคม ตอนหกโมงเย็น ใจของผมตั้งใจอยากได้เที่ยวบ่ายที่เร็วกว่านี้แต่เขาไม่มี
เสร็จจากจองตั๋วออกมารอขึ้นรถเมล์ที่ป้ายที่ถนนใหญ่ แถวนี่ผมไม่เคยมายืนรอรถเมล์อย่างนี้เลยรู้สึกว่าอากาศตอนเช้าวันนี้เย็นสบายๆ เห็นคนออกมารถขึ้นรถเมล์จำนวนหนึ่ง ผมตัดสินใจขึ้นรถเมล์ไปหาอาไรกินตอนเช้าผมนึกถึงบริเวณตลาดนัดสวนจตุจักรที่นั้นน่าจะมีอาหารอร่อยๆถูกๆ ผมไม่เคยไปตลาดนัดสวนจตุจักรในตอนเช้าเลยที่ผ่านมาเคยมาเดินตลาดนัดสวนจตุจักรก็ตอนบ่ายหรือเย็น มาทีไรก็ตลาดจะวายแล้วทุกทีเลยทำให้มาดูของตามร้านต่างๆไม่ทัน
แต่วันนี้มาตั้งแต่เช้าเลยตั้งแต่ร้านต่างๆยังไม่เปิดเค้ามาเตรียมจะเปิดร้านตอนเช้ากัน ผมหาร้านข้าวแกงไม่ค่อยจะมีที่มีก็มีที่นั่งเต็มหมดแล้วผมเลยไปเดินหาร้านเจนแล้วก็ได้สั่งอาหารและทานเรียบร้อย แล้วเดินดูตลาดต่อ เดินไปเดินมาร้านต่างๆก็เริ่มทยอยเปิด จนในที่สุดก็มีคนเดินเต็มไปหมด
วันนี้ผมได้เดินทะลุตรอกซอกซอยต่างๆในตลาดนัดจตุจักร รู้สึกเลยว่าร้านมีแยะจริงแต่ผมเดินคนเดียว สังเกตว่าแต่ละคนเขาจะมาเป็นคู่หรือกลุ่มกัน ผมเดินดูไปมาก็ได้เรื่อง เสียเงินจำนวน 450 บาท แล้วก็ได้เสื้อมาสองตัวพร้อม กางเกงแสลคมาหนึ่งตัว หลังจากนั้นก็รีบเดินทางกลับระหว่างทางเดินบนสะพานลอยผมเห็นแม่ค้าพ่อค้ามาวางของขายบนทางเท้าระหว่างนั้นมีเทศกิจคนหนึ่งมาไล่แม่ค้าพ่อค้า เหล่านั้นเลยต้องรีบเก็บ นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่กำลังเลือกดูของที่ขายอยู่เพลินอยู่ๆแต่คนขายต้องรีบเก็บของ นักท่องเที่ยวนั้น ก็งงๆกับเหตุการที่เกิดขึ้น
ผมขึ้นรถโดยสารประจำทางกลับบ้าน ก่อนเข้าบ้านก็แวะทานอาหารเที่ยงที่โรงพยาบาล พญาไท 3 ที่อยู่ใกล้บ้าน แล้วก็ไปนั่งอัพเดทบล็อก อยู่ถึงเย็น คุณอาที่บ้านก็ฝากซื้อเส้นหมี่ราดหน้า กับก๋วยตี๋ยวราดหน้า มาทานเป็นอาหารมื้อเย็น โดยการจดลงในกระดาษ พอไปถึงร้านขายราดหน้าชื่อดัง แถวบ้าน ผมก็ยื่นกระดาษให้เค้าไปดูโดยไม่พูดอาไร ระหว่างที่นั่งรอนั้นผมสังเกตเห็นว่าเด็กในร้าน นี้พี่จากันไม่ค่อยชัด หรือว่าไม่น่าเป็นภาษาไทย นั่งไปสักพักเด็กในร้านคนหนึ่งก็ถือถุงอาหารที่ทำเสร็จแล้วมาให้หนึ่งถุง ผมส่องดูในถุงเห้นผัดซี้อิ้วหนึ่งถุง ผมกำลังงงๆ ว่าจะไปถามเค้าดูเค้าเห็นสีหน้าของผมแล้วคงนึกขึ้นได้ว่ามันไม่น่าจะถูก เค้าเลยเอาถุงนั้นกับคืนไป ผมก็นึกอยู่ในใจว่าเออ.....นี่ขนาดจดให้อ่านแล้วเนอะยังมีความผิดพลาดได้อีกหรอ เป็นไปได้อย่างไรที่คนที่เป็นพ่อครัวที่อยู่หน้าร้านท่าทางทำกับข้าวอย่างแคล่วคล่องว่องไวจะอ่านหนังสือไทยไม่รู้ อาจเป็นได้ ก็เป็นไปไม่ได้
ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น เด็กที่อยู่หน้าร้านก็เอาถุงใส่ราดหน้ามาให้เออ...ทีนี้ทำมาถูกแฮะ ผมคิดอยู่ในใจ เตลิดไปไกลขนาดถึงที่ว่าเด็กในร้านแห่งนี้เหล่านี้ อาจจะเป็นแรงงานต่างด้าว ที่ผู้ประกอบการนำมาจ้างเพราะเหตุที่ว่าค่าแรงนั้นถูก และอีกประเด็นที่น่าคิดอย่างหนึ่ง ที่ผมคิดนี่ขนาดผมจดใส่กระดาษแล้วนะเนี่ยยังเกือบจะทำผิดจากที่สั่งอาหารไปได้
..บางทีการจดให้ อาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่าคนรับรายการอาหารที่เค้าฟังเราจะเป็นประเภทที่ว่าจะถนัดจดจำเป็นคำๆ เป็นเสียงพูดได้ดีกว่า หรือว่าเค้าอ่านภาษาเขียนแล้วไม่เข้าใจอย่างที่เราต้องการสื่อ บางทีการจดจำสำหรับบางคนเขาใช้การจำมากว่าการจดลงกระดาษก็เป็นได้ แต่หากว่าเขาไม่ใช่คนไทยจริงๆเขาคงไม่เข้าใจภาษาเขียนไทย เขาคงต้องใช้การสื่อสารภาษาโดยใช้การฟัง(การจำ)มากกว่าการจด ผมคิดเรื่องนี้เพลินๆและเดินถือถุงราดหน้าที่เพิ่งได้รับจากเด็กคนนั้นเดินกลับบ้านไป
Create Date : 11 ธันวาคม 2550 |
|
9 comments |
Last Update : 2 เมษายน 2552 19:38:40 น. |
Counter : 287 Pageviews. |
|
|
|
แวะมาฟังคนบ่นเรื่องของตัวเอง จะมีใครสักกี่คนสนใจหนอ อิอิ