Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
24 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 

พรางหัวใจ ตอนที่ 1 part 1/2

ใครบางคนพูดไว้ว่าเรื่องร้ายมักจะไม่มาหาเพียงครั้งเดียว ซึ่งหากมีใครบอกกับเธอแบบนี้พุทธชาดจะไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาด เพราะลำพังชีวิตในแต่ละวันกว่าจะผ่านไปได้ก็ลำบากจนเลือดตาแทบกระเด็น มันยังจะมีอะไรร้ายกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ? แต่เรื่องร้ายๆที่ประดังเข้ามาในช่วงไม่กี่วันนี้ทำเอาเธอเสียศูนย์จนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

พุทธชาดเป็นลูกกำพร้า แม่ตายจากตั้งแต่เธอยังเล็ก หลังจากเสียแม่ไป พ่อผู้รักเธอดั่งแก้วตาดวงใจโหมทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูเธออยู่ได้เพียงไม่กี่ปีก็มีอันป่วยหนักลาโลกไปอีกคน เด็กหญิงวัยเพียงหกขวบถูกส่งต่อให้ญาติสนิทพาไปเลี้ยงดู ซึ่งแต่ละคนก็ไม่สามารถรับภาระนี้ไว้ได้อีกเนื่องจากต่างก็มีครอบครัวของตนต้องดูแล

“พุดอยู่กับป้าอรนะลูก เป็นเด็กดีขยันทำงานแล้วก็ต้องตั้งใจเรียนนะ รู้มั้ย”

พุทธชาดจำไม่ได้แล้วว่าคนที่พูดประโยคนี้กับเธอคือใคร ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งในจำนวนญาติไม่กี่คนของเธอ จำได้เพียงว่าเขาลูบศีรษะอย่างเอ็นดูก่อนจะจูงแขนเธอส่งให้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง

“ธุก่อนลูก ธุป้าก่อน ธุสวยๆ” ชายที่พาเธอมาบอกเบาๆ เด็กหญิงตัวน้อยรีบพนมมือไหว้ตามที่ถูกสอนมาอย่างว่าง่าย ตาใสแจ๋วเงยขึ้นมองอย่างขลาดๆ

ป้าอรหรือเอมอรเป็นญาติห่างๆของพ่อ หญิงวัยกลางคนร่างท้วมหน้าตาเฉยเมยมีแววตาที่เย็นชา แม้พุทธชาดจะยังเด็กมากจนจำรายละเอียดต่างๆในชีวิตได้ไม่มาก แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้ไม่ลืมคือแววตาของป้าอรในวันนั้นว่าช่างเป็นแววตาที่เยียบเย็น ไร้ซึ่งชีวิตชีวาเป็นที่สุด

“เด็กกว่าที่คิดไว้นะ ทำไมตัวเล็กแบบนี้ ไหนว่าอายุหกขวบแล้วไม่ใช่หรือ” เสียงป้าอรถาม

“คลอดก่อนกำหนดน่ะเลยตัวเล็ก ย้ายบ้านบ่อยๆด้วยก็ได้กินบ้างไม่ได้กินบ้าง”

“รับไว้ก็ได้แต่ต้องช่วยกันส่งเสียนะ จะเอามาโยนให้เลี้ยงเลยไม่ดูไม่แลไม่ได้หรอก ลูกฉันก็มีอยู่แล้วตั้งสองคน ไอ้ฉันมันก็ตัวคนเดียวเสียด้วย” ป้าอรพูดเหมือนพุทธชาดเป็นหมาแมวหรือสัตว์เลี้ยงอะไรสักอย่างที่ถูกคนนำมาฝากเลี้ยง และเป็นภาระอันหนักหน่วงของหล่อนเสียเหลือเกิน

“เอาเถอะจะช่วยกัน ถือว่าเอาบุญนะเอมอร”

นับตั้งแต่นั้นชีวิตของเธอก็ตกอยู่ในกำมือของป้าซึ่งแทนที่จะสุขตามอัตภาพมันกลับเป็นวิบากกรรมที่เริ่มต้นและวนเวียนอยู่ไม่รู้จบ จนเธอคร้านจะจำ

ป้าเอมอรทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ด้านการเงินอยู่ในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง แม้เงินเดือนจะน้อยนิดแต่ก็ได้สวัสดิการหลายอย่าง ค่าเช่าบ้านเอย ค่ารักษาพยาบาล ค่าเทอมลูก ที่สำคัญคือระบบงานแบบนี้ไม่มีนโยบายปลดคนออก ถ้าไม่ทำอะไรเสียหายร้ายแรงจริงๆก็อยู่ไปได้จนเกษียณ ซึ่งนับว่าเหมาะกับคนอย่างป้าอรดีทีเดียว

พุทธชาดจำได้ว่าป้าเป็นคนโมโหร้ายเอามากๆแม้จะเกิดไม่บ่อยนัก โดยปกติเธอหงุดหงิดง่าย ปากไว มือไว เธอเป็นคนละเอียดถี่ถ้วนจนถึงขั้นจู้จี้ ความเครียดในหน้าที่การงานแต่ละวันสะสมจนกลายเป็นความขุ่นมัวกลับมาลงกับคนในครอบครัวที่มีลูกสาวสองคนและเด็กกำพร้าในความดูแลอีกหนึ่ง ป้าอรนั้นรักลูกสาวทั้งสองอย่างทูนหัวทูนเกล้า ดังนั้นเวลาที่ต้องการระบายอารมณ์ คนที่จะต้องเป็นที่รองรับก็คือพุทธชาด

“สอนไม่จำ บอกให้ระวัง แค่ล้างถ้วยชามก็ยังให้แตก เลี้ยงเสียข้าวสุก เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าวนะนังพุด”

ฝ่ามือหยาบฟาดแรงๆเข้าที่สะโพกหลายครั้ง เด็กหญิงตัวน้อยได้แต่ยืนสะอื้นเงียบๆรู้ดีว่าหากร้องไห้เสียงดังจะโดนตีหนักยิ่งกว่านี้

“ร้องไห้เข้า ร้องเข้าไป เวลาทำไม่ระวัง พอข้าวของเสียหายทำมาบีบน้ำตา” เสียงดังราวกับฟ้าผ่าของป้าเอมอรดังก้อง

“แม่อรก็ เด็กมันตัวนิดเดียวมันจะไปทำอะไรได้ มา มา ฉันทำต่อให้เอง”
ยายศรีคนงานเข้ามารับหน้า นางมีหลานวัยเดียวกับพุทธชาดจึงรู้สึกเอ็นดูเด็กหญิงเป็นพิเศษ นางเอมอรไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดที่ว่าจ้างคนรับใช้อยู่ประจำบ้าน หญิงชราวัยปลายห้าสิบมาทำความสะอาดเป็นครั้งคราวจำพวกปัดกวาดเช็ดถู เก็บผ้าใส่ตะกร้าไปส่งซักที่ร้านหน้าปากซอย แค่อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น ค่าจ้างค่าออนก็ไม่กี่สิบบาท

“เอาใจกันเหลือเกินนะยายศรี อยากทำก็ตามใจ ฉันไม่เพิ่มให้หรอกนะค่าจ้างน่ะ” นางบอกก่อนจะสะบัดหน้าจากไป

“ใจยักษ์ ใจมาร เด็กตัวนิดเดียวใช้งานงกๆ ข้าวปลาก็ไม่หาให้กิน ทีค่าเลี้ยงดูล่ะเก็บเม้มไว้ใช้เองหมด”

ยายศรีจูงมือเด็กหญิงหลบมาหลังบ้านวักน้ำจากก๊อกน้ำบริเวณอ่างล้างจานลูบเช็ดหน้าเช็ดตาเสียให้หายมอม

“ไม่เป็นไรนะเจ้าพุด ยายอยู่นี่แล้วล้างหน้าล้างตาหยุดร้องไห้เสีย ไปช่วยยายทำงานต่อ”

พุทธชาดยังเด็กไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก เธอเคยได้ยินป้าอรพูดทำนองว่าเธอเป็นตัวภาระอยู่หลายครั้ง ต่อเมื่อโตขึ้นจึงรู้ความจริงว่า ญาติคนอื่นๆนั้นก็ใช่ว่าจะดูดาย แต่ละคนส่งเงินและข้าวของให้พุทธชาดตามอัตภาพ เพราะพ่อของเธอเมื่อยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือพี่น้องไม่ได้ทิ้งขว้าง แถมยังได้ยินว่าเงินประกันชีวิตก้อนโตหลังจากที่พ่อเสีย ป้าเอมอรก็เป็นคนเก็บไว้ด้วย

“ฉันเป็นคนเลี้ยงมัน ก็ต้องให้ฉันนี่ล่ะเก็บ หน้าใหนมันกล้ามีปัญหา”
ป้าอรพูดเสียอย่างนี้ญาติคนอื่นก็ไม่กล้าหือ เงินทองข้าวของเหล่านั้นไม่เคยตกมาถึงเธอเลย ตั้งแต่เด็กจนโตพุทธชาดไม่เคยได้อะไรที่เด็กในวัยเดียวกันควรจะได้ ของเล่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ ล้วนแต่เป็นของเหลือมาจากพี่สาวทั้งสองคน ซึ่งกว่าจะตกมาถึงเธอมันก็แทบจะไม่เหลือสภาพให้ใช้ได้ เสื้อผ้านั้นดีหน่อย พี่สาวของเธอโตเร็วในขณะที่พุทธชาดตัวเล็กอย่างไรก็อย่างนั้น พี่สาวใส่แค่ครั้งหรือสองครั้งก็ใส่ไม่ได้อีก เธอจึงพอมีเสื้อผ้าดีๆใส่บ้าง

****************************************


“สิ้นเดือนนี้ฉันจะเลิกจ้างแล้วนะแม่ศรี” เอมอรพูดขึ้นในวันหนึ่ง

“อ้าว แล้วงานบ้านพวกนี้ใครจะทำล่ะจ้ะแม่อร แม่อรเองก็ทำงานหนักไหนจะต้องดูลูกอีก”

“ฉันจะให้นังพุดมันทำ” นางบอกด้วยเสียงเรียบเฉย

“อาไร้ เด็กตัวแค่นี้มันจะไปทำไหวได้ยังไง” ยายศรีถึงกับตบอกผาง

“ต้องได้สิ หัดๆเสียหน่อยก็ทำได้ โบราณยังว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น อาศัยเขาอยู่ก็ต้องทำงาน จะนั่งกินนอนกินไปวันๆใครจะเลี้ยง เงินดงเงินเดือนฉันก็ใช่ว่าจะมาก สี่ปากสี่ท้องนี้ก็ทำงานสายตัวแทบขาด”

พุทธชาดไม่ได้ปั้นตุ๊กตาให้พี่อิ่มกับพี่อั้มลูกสาวทั้งสองคนของป้าเล่นหรอก แต่ต้องรับผิดชอบงานบ้านทั้งหมดตั้งแต่ยังตัวเล็กนิดเดียว นับตั้งแต่ตื่นแต่เช้ามืดหุงข้าวอุ่นอาหารเตรียมไว้ให้ป้าและพี่ ซักผ้ารีดผ้า ทำความสะอาดบ้านและรับใช้จิปาถะ

โชคยังดีอยู่บ้างที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายอย่างในบ้าน จึงช่วยทุ่นแรงไปได้มาก อีกอย่างนางเอมอรก็ไม่อยากเสี่ยงให้เด็กตัวเล็กๆทำไฟไหม้บ้านด้วยการให้ก่อไฟทำกับข้าว พุทธชาดเองจากที่ทำไม่ไหวเหนื่อยจนแทบขาดใจตาย กลายเป็นความชาชินและทนทายาด

“ไม่รู้มันรอดมาได้ยังไง รองมือรองเท้ายายเอมอรกับลูกเสียขนาดนั้น” ชาวบ้านหลายคนต่างส่ายหน้า เอมอรไม่ได้เลี้ยงดูพุทธชาดอย่างผู้ที่เป็นสายเลือดเดียวกัน ในใจหล่อนคิดแต่ผลประโยชน์ที่จะเพิ่มพูนจากการเป็นผู้ปกครองของเด็กหญิง แม้นางจะเลี้ยงดูอย่างไม่ใส่ใจแต่หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมปล่อยให้ใครเอาไปเลี้ยง เพราะนั่นหมายถึงรายได้เล็กๆน้อยๆจะหายไปด้วย
วันคืนโหดร้ายของพุทธชาดผ่านไปวันแล้ววันเล่าอย่างเชื่องช้า เด็กหญิงตัวน้อยเติบโตขึ้นมาอย่างไร้คนเอาใจใส่ ป้าอรมักจะด่าทอเวลาไม่พอใจ เสียงดังเอ็ดตะโรไปสามบ้านแปดบ้าน

หลังจากที่พุทธชาดโตขึ้น ป้าก็เพลาการลงมือลงไม้ไปบ้าง อาจจะเป็นเพราะรูปร่างท้วมใหญ่ที่รับน้ำหนักมากไม่เอื้อให้นางเคลื่อนไหวได้ถนัดนัก การลงโทษจึงมักเป็นอดข้าวเย็นหรือให้อยู่เฝ้าบ้านในเวลาที่เธอพาลูกสาวทั้งสองออกไปข้างนอก ป้ามักขี้เหนียวกับคนอื่น แต่กลับปรนเปรอลูกด้วยข้าวของเงินเทองอย่างเต็มที่
****************************************

“นังพุด เสื้อของฉันล่ะ” เสียงของเอมิกาพี่สาวคนโตโวยวายมาจากชั้นสอง ทำให้พุทธชาดต้องวางมือจากการจัดอาหารกลางวัน รีบวิ่งออกไปรับหน้า

“พุดแขวนไว้ให้ในตู้แล้วค่ะพี่อิ่ม”

“ก็มันตรงไหนเล่าในตู้ในตู้น่ะ ฉันรีบนะ มาหาให้หน่อยเร็วๆ”

เอมิกาลูกสาวคนโตของป้าอร เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสี่แล้ว หญิงสาวมีโครงร่างใหญ่เช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ ทรวดทรงอวบอิ่ม ผิวสีน้ำผึ้งออกคล้ำ หากดูแค่เฉพาะรูปร่างก็จัดเป็นผู้หญิงที่รูปร่างดีคนหนึ่ง แต่ส่วนที่ด้อยที่สุดของเอมิกาคือใบหน้า หญิงสาวมีรูปหน้ากลมแป้น จมูกแบนกว้างเห็นร่องจมูกลึก ดวงตาโตเกินพอดีจนทำให้ดูดุ ริมฝีปากหนาขอบปากเป็นสีคล้ำตามสีผิว ต้องอาศัยการตบแต่งจึงจะช่วยพรางส่วนด้อยไปได้บ้าง เมื่อจะออกไปข้างนอกแต่ละครั้งพี่สาวคนโตจึงใช้เวลาในการแต่งหน้าและแต่งตัวค่อนข้างนานและต้องเนี้ยบที่สุด อย่างที่พี่สาวคนรองเคยค่อนแคะ

“พี่อิ่มน่ะ เค้าหุ่นดีเซ็กซี่ แต่จะดีกว่านี้มากเลยนะ ถ้าตัดหัวทิ้ง” หล่อนปิดปากหัวเราะเสียงแหลม

“หน้านี่นะ ลองไม่แต่งสิดูแก่ยังกะอายุซักสามสิบ นางยักษ์ขมูขีเอ๊ย”

อัมพริกาหรืออั้ม พี่สาวคนรองเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย แม้จะมีโครงหน้าคล้ายกันกับเอมิกาแต่กลับชวนมองกว่าพี่คนโตมาก รูปร่างก็ไม่ดูเทอะทะเท่า ข้อเสียอย่างเดียวของเธอที่ถอดแบบป้าอรมาชนิดที่เรียกได้ว่าถ่ายเอกสารคือวาจา นอกจากจะช่างติแล้วอัมพริกามักเหน็บแนมด้วยถ้อยคำเจ็บแสบอยู่เนืองๆ หญิงสาวมีพรสวรรค์ในทางหาข้อด้อยของผู้อื่นแล้วหยิบยกขึ้นมาโจมตีอย่างเผ็ดร้อนไม่เว้นแม้พี่สาวแท้ๆ นอกจากนั้นเวลาโมโหยังชอบอาละวาดทำลายข้าวของไม่ผิดกับป้าอรเมื่อสาวๆ พุทธชาดเองตั้งแต่เด็กจนโตก็ได้ลิ้มรสมือของพี่สาวคนรองมาตลอด

พุทธชาดละล้าละลังแต่ในที่สุดก็ตัดสินใจกลับเข้าไปในครัว แกะถุงอาหารเทใส่จานอย่างเร็วที่สุด ราดหน้าร้อนๆอาหารกลางวันของพี่อั้มที่เธอเพิ่งปั่นจักรยานไปซื้อหน้าหมู่บ้าน พี่สาวคนรองคงอารมณ์เสียหากลงมาแล้วยังไม่เห็นอาหารจัดไว้รอท่า

เธอเร่งก้าวเท้าขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองตรงไปยังห้องของพี่สาวคนโต อย่างที่รู้กันว่าป้าอรรักลูกทั้งสองชนิดเทิดทูนไว้เหนือหัว นางยอมควักเงินก้อนใหญ่ ตบแต่งห้องส่วนตัวให้ลูกสาวทั้งสองคนละห้องบนชั้นสองของบ้าน แม้จะไม่กว้างขวางเนื่องจากพื้นที่ไม่อำนวยแต่ก็พร้อมพรั่งไปด้วยเครื่องเรือนและเครื่องปรับอากาศอย่างดี ส่วนตัวนางเองนั้นเลือกนอนที่ห้องชั้นล่างโดยให้เหตุผลว่าหัวเข่าไม่ค่อยดี ไม่สะดวกในการขึ้นลงบันได ในขณะที่พุทธชาดเองได้แค่ห้องที่กั้นอย่างลวกๆด้วยฝาไม้อัดอยู่ข้างครัวด้านหลังบ้าน

แค่เปิดตู้ออกเสื้อตัวสวยของพี่สาวคนโตก็แขวนหรา นั่นแสดงว่าเอมิกาไม่ได้เปิดดูเสียด้วยซ้ำ

“อยู่นี่ไงคะ” พุทธชาดบอก

“เอาไปรีดไป”

“พุดรีดเรียบร้อยแล้วค่ะ ตั้งแต่เช้า”

“เก็บในตู้มันก็ยับอีก มาเป่าผมให้ฉัน เสร็จแล้วเอาเสื้อไปรีดอีกรอบ”
เอมิกาพันกายด้วยผ้าขนหนู นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังลูบไล้ครีมราคาแพงไปทั่วใบหน้าและลำคอ พุทธชาดเดินไปหยิบที่เป่าผมในลิ้นชักอย่างยอมจำนน แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าพี่สาวหาเรื่องเรียกขึ้นมาใช้งาน โดยเอาเรื่องเสื้อมาเป็นข้ออ้างแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามหน้าที่ เพิ่งเป่าผมให้พี่อิ่มยังไม่ทันไร เสียงพี่อั้มก็แผดเรียกมาจากหน้าห้อง

“พุด นังพุด ราดหน้าฉันอยู่ไหน” พุทธชาดรามือจากงานที่ทำอยู่ หันไปบอก

“พุดเทใส่จานไว้ให้บนโต๊ะแล้วค่ะ น้ำส้ม พริกปรุงอยู่ในตู้กับข้าว” อัมพริกาในชุดนอนปิดปากหาวหวอด โผล่หน้าเข้ามาดู

“โฮ้ย งานตอนเย็น แต่งตัวตั้งแต่เที่ยง จะรีบไปทำไม อากาศร้อนอย่างนี้เดี๋ยวไขมันก็ได้เยิ้มหรอก” ยังไม่ตื่นดีอัมพริกาก็จิกกัดพี่สาวรับวันใหม่ หลังจากนั้นก็ยักไหล่สะบัดหน้าจากไป

“นังบ้า ปากเสีย” เอมิกาพึมพำด่าตามหลัง “ขี้เกียจก็เท่านั้น ตื่นสายตะวันโด่ง นอนกินบ้านกินเมือง”

“ว่าแต่นังพุด คืนนี้แกต้องไปไหนนะ ได้ยินแม่คุยเมื่อคืน”

“เพื่อนนัดเลี้ยงค่ะ จะปิดเทอมแล้ว” พุทธชาดบอกเบาๆนัดหมายที่น้อยครั้งจะได้รับอนุญาตให้ไป โชคดีที่ตอนเธอไปขอนั้นคุณป้ากำลังอารมณ์ดีอยู่มาก

“แกนี่มันก็เจ้าเล่ห์นักนะ รู้ด้วยว่าแม่ฉันเพิ่งเปียแชร์ได้ อารมณ์ดีสุดๆถึงรีบไปขอเสียก่อน”

“พุดเปล่านะคะ ขอป้าไว้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วค่ะ”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วนี่มีชุดแล้วหรือยัง ออกไปนอกบ้านแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันดีหน่อยนะ อย่าให้บ้านนอกนัก คนเขาจะหัวเราะเยาะเอา” เอมิกายังมีแก่ใจเป็นห่วง

“มีชุดเก่าของพี่อั้มค่ะ ตัวที่เป็นแสคสีชมพู”

“อ้อ ชุดที่ยายอั้มมันใส่แล้วปริน่ะเหรอ” เอมิกาหัวเราะคิก

“ไม่เจียมนี่น้า ชุดไซส์เล็กแบบนั้นมันยังดื้อจะเอา ไม่ยอมลองก่อน มั่นนักเป็นไงล่ะ ตะเข็บปริซ่อมแทบไม่ทัน” เอมิกาหัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจ

ชุดที่พูดถึงเป็นชุดแสคสั้นสีชมพูอ่อนที่อัมพริกาถูกใจแบบตั้งแต่แรกเห็นและรบเร้าให้นางเอมอรซื้อให้ ผู้เป็นแม่ติงว่าสั้นและดูจะเล็กไปตรงช่วงสะโพกเธอก็ยังรั้นไม่เชื่อ ผลคือเมื่อนำกลับมาลองที่บ้านช่วงสะโพกที่ตึงกว่าแบบทำให้ตะเข็บด้านข้างปริแตก อะไรไม่เจ็บใจเท่าถูกพี่สาวหัวเราะเยาะ อัมพริกาจึงขว้างทิ้งให้พุทธชาดต่อ

“ก็ดี คงเหมาะกับแกมากกว่านังอั้ม”
เอมิกาแม้จะเป็นคนปากร้ายเอาแต่ใจ แต่ก็ดีอยู่อย่างที่ไม่ยุ่งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ในสายตาพี่สาวคนโต พุทธชาดเป็นทาสรองมือรองเท้าหล่อนคอยรับใช้แทบจะเรียกได้ว่าเรื่องสากกะเบือยันเรือรบ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องกลั่นแกล้งรังแก ซึ่งต่างจากน้องสาวคนที่สอง

“แล้วนี่แกยังติดต่อกับนายรณอยู่หรือเปล่า” เอมิกาชวนคุย

“ก็...ยังเจอกันค่ะ คืนนี้พี่รณจะมารับพร้อมลิตา”

“ระวังนะยะ อั้มมันเกลียดแรงแค้นแรง อย่าให้มันรู้เข้าเชียวล่ะเดี๋ยวแกได้โดนแหกอกอีกรอบหรอก”

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พุทธชาดค่อนข้างหนักใจอยู่มาก รณชัยพี่ชายของลลิตาเพื่อนรัก อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเอมิกา เป็นชายหนุ่มที่พร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ และยังเป็นที่หมายปองของหญิงสาวหลายคนซึ่งหนึ่งในนั้นรวมอัมพริกาอยู่ด้วย

เธอตามตื้อรณชัยอยู่หลายเดือนแต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีไมตรีตอบ อัมพริกาจึงต้องถอยห่างออกมาเป็นแค่เพื่อน คงไม่มีเรื่องอะไรหากหญิงสาวที่รณชัยดูจะพึงใจกว่าคนอื่นกลับกลายเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาว และเป็นเด็กในบ้านของอัมพริกาเอง

พุทธชาดออกจะใจคอไม่ดีนัก เมื่อนึกถึงครั้งอัมพริการู้เรื่องที่รณชัยมาชอบเธอ พี่สาวคนที่สองทั้งอาละวาดตบตีเธออย่างไม่นับ แถมยังขว้างปาทำลายข้าวของ ร้องด่าว่าพุทธชาดแย่งผู้ชายของเธอ นางเอมอรเองก็แค่ห้ามปรามพอเป็นพิธี บอกอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนักให้พุทธชาดห่างๆจากเด็กหนุ่มเสีย

ตัวเธอเองนั้นจะว่าพึงใจรณชัยก็มีอยู่บ้าง ตามประสาอารมณ์เพ้อฝันของวัยสาว แต่พุทธชาดไม่ใช่เด็กสาวทั่วไปที่มีโลกเป็นสีชมพูพร้อมหนทางโรยด้วยกลีบกุหลาบ หญิงสาวคิดอยู่เสมอว่าตราบใดที่เธอยังอยู่ภายใต้ความดูแลของป้าเอมอร ไม่มีวันที่นางจะปล่อยให้เธอมีชีวิตตามใจปรารถนา

เหตุผลอีกข้อหนึ่งคือพุทธชาดสนิทสนมกับลลิตาน้องสาวคนเดียวของรณชัย จนนับได้ว่าเป็นเพื่อนตาย ลลิตาเป็นคนใจกว้าง มั่นใจในตัวเอง หากเธอคิดว่าเป็นสิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกต้องเธอจะทำโดยไม่สนใจคำพูดของคนอื่น ดังนั้นเมื่อแรกรู้จักกันแม้เพื่อนคนอื่นๆจะมองว่าพุทธชาดเป็นตัวประหลาด ทั้งขี้อายเก็บเนื้อเก็บตัวไม่มีปากเสียงและไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว ลลิตากลับเป็นคนเข้ามาทำความรู้จักกับเธอก่อน อยู่เคียงข้างและคอยดูแลเธอเสมอไม่ว่าเรื่องที่โรงเรียนหรือเรื่องที่บ้าน เธอจึงไม่ต้องการสร้างปัญหาให้แก่ครอบครัวของเพื่อนรัก

จริงอยู่ลลิตาตลอดจนบิดามารดาไม่ได้รังเกียจพุทธชาดเลยสักนิด แต่การยอมรับพุทธชาดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ก็ต้องเกี่ยวดองกับป้าเอมอรซึ่งกิตติศัพท์ความเห็นแก่ได้ของนางลือกระฉ่อนไปทั่วย่านนี้แล้ว พุทธชาดรู้จักป้าอรของเธอดี มองออกถึงขนาดว่านางจะต้องเรียกร้องก่อกวนจนครอบครัวของเพื่อนรักไม่มีความสุข

รณชัยเป็นคนหนุ่มมีอนาคตไกล เขาคงได้พบผู้หญิงดีๆที่เหมาะสมมากกว่าพุทธชาดในวันหนึ่ง

“คงไม่เป็นไรมั้งคะ พี่รณแค่ขับรถไปส่งแล้วก็ไปรับตอนงานเลิก ไม่ได้อยู่ด้วยหรอกค่ะ”

พุทธชาดตอบพี่สาวและปลอบใจตนเองไปด้วย
****************************************




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2554
0 comments
Last Update : 27 กรกฎาคม 2554 7:50:01 น.
Counter : 549 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ดาวกันยา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




พูดไม่ค่อยเก่งแต่รักหมดใจ

Friends' blogs
[Add ดาวกันยา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.