|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปฐมบทการเดินทางในจีน
ฉันเดินทางมายังเมืองหนานหนิง (Nanning) เมืองเอกแห่งมณฑลกวางสี่และเป็นเมืองหน้าด่านเมืองแรกของจีนหลังเดินทางข้ามแดนมาจากเวียดนาม หนานหนิงเป็นเมืองใหญ่มากกว่าในความนึกคิด จนอดทึ่งไม่ได้ถึงความรวดเร็วของการพัฒนาประเทศของจีน กระทั่งเมืองแห่งนี้ที่มีระยะขจัดห่างไกลเป็นพันกิโลเมตรจากเมืองหลวงอย่างปักกิ่ง แต่สภาพบ้านเมืองยังเต็มไปด้วยตึกระฟ้ามากมาย จินตนาการอย่างไรก็ไม่มีทางเห็นภาพของเมืองแห่งนี้ที่อดีตเป็นเพียงเมืองท้องถิ่นเล็กๆเท่านั้น ยิ่งย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของจีน ยิ่งทำให้เชื่อได้ยากว่า จีนจะสามารถพลิกโฉมศัลยกรรมตัวเองจนมีรูปร่างหน้าตาอินเตอร์ได้ถึงเพียงนี้ ไม่ใช่หน้าตาทรงผมเชยๆที่เรามักจะติดภาพเมื่อพูดถึง "จีน" และต่อท้ายว่า "แดง" มาโดยตลอด
เพียงในช่วง 1 ศตวรรษที่ผ่านมา จีนได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากประวัติศาสตร์หน้าเก่าๆ มากมายเหลือคณานับ ภาพของประเทศจีนในปัจจุบันคงทำให้จินตนาการได้ลำบากว่า ครั้งหนึ่งในอดีตจีนเคยมี "องค์จักรพรรดิ" ซึ่งเปรียบได้กับ อาณัติแห่งสวรรค์ เหนือเหล่าประชาราษฎร์ทั้งปวง ความยิ่งใหญ่เยี่ยงนั้นเคยดำเนินมายาวนานหลายสหัสวรรษบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนไม่จีรัง เหนือฟ้าใช่ค้ำฟ้า สูงสุดสู่เสื่อมสุด สุดท้ายโอรสแห่งสวรรค์กลายเป็นเพียงชื่อและตำนานที่ได้ครอบครองเนื้อที่ส่วนใหญ่บนหน้าประวัติศาสตร์จีนเท่านั้น
ฉันมีโอกาสได้เห็นภาพถ่ายเก่าเก็บในหนังสือของ National Geographic ที่ถ่ายมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สมัยที่แผ่นดินจีนยังปกครองโดยราชวงศ์ชิงหรือราชวงศ์แมนจู ภาพที่ฉันเห็นล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่า หาดูไม่ได้อีกแล้วในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาพประตูเมืองเก่า เครื่องแต่งกายของสตรีชาวแมนจู ผู้ชายไว้เปียยาว รถลาก เกี้ยว โคมไฟกระดาษ เรือสำเภาจีน ฯลฯ นับตั้งแต่จีนต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1911 เป็นต้นมา ภาพเก่าๆเหล่านี้ค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา เหลือเพียงแค่ร่องรอยที่ถูกบันทึกบนภาพขาวดำเก่าๆ
อย่างไรก็ตามแม้ฉันจะไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ประเทศจีนในยุคใหม่ที่ทันสมัยเป็นสากล แต่ฉันยังคงสนใจฝักใฝ่ในหน้าประวัติศาสตร์ของจีนชนิดถอนตัวไม่ขึ้น จนอดไม่ได้ที่จะต้องหยิบเป้ใบเก่งมาปัดฝุ่นเดินทางเพื่อเข้ามาสัมผัสกลิ่นอายของเรื่องราวต่างๆในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้
ก่อนเดินทางมาฉันหาข้อมูลจากหลายแหล่ง ลำพังข้อมูลจากไกด์บุ๊คยอดนิยมอย่าง โลกใบเหงา (Lonely Planet) คงไม่เพียงพอที่จะสามารถเข้าถึงประเทศอันกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ได้ในแบบที่ฉันอยากสัมผัส ช่องทางอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการสืบค้นทางอินเตอร์เน็ตและการสอบถามจากเพื่อนชาวจีนที่ฉันได้รู้จักจากการเดินทางก่อนหน้านี้ ล้วนแล้วแต่ช่วยขยายของเขตโลกทัศน์ของฉันที่มีต่อประเทศแห่งนี้ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ฉันเลือกที่จะวางแผนการเดินทางไปยังบางเมืองที่ยังไม่ได้เป็นที่กล่าวขาญถึงในไกด์บุ๊คยอดนิยมเล่มนั้นมากนัก และนั่นคือข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้หลายๆเมืองเหล่านี้ยังคงหลบเร้นจากการรับรู้ของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่
ฉันพบว่าการเดินทางในแต่ละที่ไม่ได้มีความแน่นอนเหมือนเอาไม้บรรทัดมาวัดระยะ เราอาจได้พบเจอกับสิ่งต่างๆที่อยู่เหนือความคาดหมายและความคาดหวังเสมอ ความไม่แน่นอนคือรสชาติของการเดินทางอย่างหนึ่ง อาจเป็นรสหวานยามได้พบกับความรู้สึกดีๆหรือมิตรภาพอันหอมหวลในระหว่างการเดินทาง อาจเป็นรสจืดยามโดดเดี่ยวเหี่ยวแห้งไร้มิตรข้างกาย หรืออาจเป็นรสขมจนถึงขื่นยามพบพานกับสิ่งที่ไม่ได้เตรียมหัวใจรองรับไว้
ฉันพยายามเลือกเส้นทางที่จะได้เห็นภาพเก่าๆและวิถีแบบเดิมๆของจีน ฉันพบว่าของเก่าๆเหล่านี้นับวันจะยิ่งสาบสูญไปเรื่อยๆอย่างน่าใจหาย
แต่ที่คาดไม่ถึงจะได้เจอ กลับได้เจอตั้งแต่ 2 เท้าของฉันเพิ่งจะก้าวข้ามเขตแดนของประเทศจีนด้วยซ้ำ ฉันขอนับว่านี่เป็นของเก่าดั้งเดิมของจีนอย่างหนึ่งที่มาต้อนรับฉันถึงหน้าประตูเมือง
ไม่ใช่ใครอื่น "เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง" นั่นเอง ฉันพบว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้เปรียบได้กับประชาสัมพันธ์หรืออีกนัยหนึ่งก็คือตัวแทนทางวัฒนธรรมของจีนอย่างหนึ่ง ฉันยื่นหนังสือเดินทางแนบใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มส่งไปให้ แต่กลับได้รับใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึกกลับมา (แถมมุมปากตกอีกต่างหาก) ฉันขอถือว่านี่เป็นมรดกสืบทอดทางวัฒนธรรมจากยุคหนึ่งของจีน ที่ยังคงทิ้งร่องรอยทางประวัติศาสตร์ไว้บนใบหน้าเหล่านั้น กลายเป็นว่าได้เจอของเก่าแบบไม่ทันตั้งตัวและตั้งใจซะด้วยซ้ำ
จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพียงไม่กี่อึดใจ ก็ได้มาสัมผัสกับเจ้าหน้าที่จองตั๋วรถไฟของเมืองหนานหนิง สถานีรถไฟของเมืองนี้และทุกเมืองจะจัดพื้นที่สำหรับซื้อและจองตั๋ว โดยจะแบ่งเป็นช่องๆ มีเจ้าหน้าที่ที่มักจะเป็นผู้หญิงนั่งประจำการอยู่ในแต่ละช่อง โดยมีกระจกใสกั้นกลางและที่กระจกจะทำช่องรูไว้เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างได้ยินกัน แต่เจ้าหน้าที่จะพูดเสียงผ่านไมค์และดังออกทางลำโพง เพื่อให้ได้ยินกันแบบถ้วนทั่วถึงกัน
ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมต้องทำกระจกกั้นเช่นนั้น แต่แคลงใจอยู่ไม่นาน ก็เกิดเสียงตวาดของเจ้าหน้าที่ผ่านลำโพงดังกระหึ่มระหว่างที่ฉันยืนต่อคิวรอซื้อตั๋วรถไฟ ประจักษ์ได้ในทันทีว่ากำลังเกิดสมรภูมิเดือดระหว่างเจ้าหน้าที่กับลูกค้า เสียงปะทะคารมกันดุเดือดชนิดถึงพริกถึงขิง ถึงจะฟังแมนดารินไม่เข้าใจแต่ก็พอจะเดาเหตุการณ์ได้ว่าลูกค้าต้องการคืนตั๋วที่ซื้อไปและขอเงินคืนด้วย แต่เจ้าหน้าที่ไม่รับคืน สุดท้ายดูเหมือนฝ่ายลูกค้าจำต้องยอมจำนน แต่ขอไว้ลายต่อหน้าจีนมุงกับไทยมุงด้วยการบรรจงฉีกตั๋วรถไฟออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโยนขึ้นกลางอากาศ ก่อนสะบัดหน้าเดินจากไป ทำเอาจีนมุงและไทยมุงอย่างฉันมองตามตาค้าง ฉันอดแย้มที่มุมปากไม่ได้หลังเห็นซากตั๋วรถไฟเป็นชิ้นๆกระจัดกระจายนองอยู่บนพื้นอย่างนั้น
ฉันจึงบรรลุถึงประโยชน์ของกระจกที่ใช้กั้น แต่ใช่จะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ จำต้องระแวดระวังคู่อริที่อาจใช้วิชานิ้วพิฆาต เอานิ้วลอดรูมาจิ้มตาอีกฝ่ายได้ อันนี้ต้องพึงระวัง!
ฉันวางแผนจะเดินทางไปยังเมืองเฟงหวง (Fenghuang) ในมณฑลหูหนาน (Hunan) แต่ต้องนั่งรถไฟไปลงที่เมืองห้วยหัว (Huaihua) เมืองหน้าด่านก่อนที่จะต่อรถบัสไปยังเมืองเฟงหวงแห่งนี้ ฉันซื้อตั๋วรถไฟชั้น Hard Sleeper ได้แบบง่ายดายเกินคาด เป็นรถไฟรอบกลางคืน รถไฟขบวนนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เล่นเอานอนกระสับกระส่ายทั้งคืนด้วยอากาศในเดือนกันยายนที่แสนจะร้อนจัด
รถมาถึงเมืองห้วยหัวแต่เช้าตรู่ ฉันถือโอกาสจองตั๋วรถไฟไปเมืองกวางเจาในอีก 2 วันข้างหน้าเพื่อความปลอดภัย การจองตั๋วรถไฟที่นี่ยังคงราบรื่นไม่มีอุปสรรคใดๆ จะมีก็แค่ผู้คนที่มายืนเข้าแถวยาวเพื่อซื้อตั๋วซึ่งต้องใช้เวลารอพอสมควร
ด้วยข้อมูลการเดินทางที่น้อยนิด แถมในไกด์บุ๊คยอดนิยมเขียนถึงเมืองเฟงหวงเพียง 2 บรรทัด แต่สันชาตญาณบอกฉันให้ไปตั้งต้นที่สถานีขนส่งของเมือง ฉันจึงว่าจ้างรถที่มีรูปร่างคล้ายตุ๊กตุ๊กไปส่ง เมื่อไปถึง เดินดุ่มหารถบัสที่มีอักษรจีนคำว่า เฟงหวง เขียนบอกหน้ารถ ฉันพยักหน้าขึ้นลงอยู่หลายคราเพื่อให้แน่ใจว่าตัวอักษรจีนที่เขียนตวัดอยู่หน้ารถคันนี้ตรงกับที่เขียนบอกในไกด์บุ๊คที่อยู่ในมือฉันนี้ จนแน่ใจว่าลายเส้นตรงกัน ฉันจึงขึ้นไปรอบนรถคันนี้ ถามคนขับถึงเวลารถออกโดยชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือของฉัน และได้ยินเสียงตอบแว่วกลับมาเป็นภาษาจีนที่หมายถึงเลข 8 จากการท่องจำมาพอได้ เลยอนุมานไปว่า 8 โมง แต่เวลาจริงๆที่รถออกหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ด้วยต้องรอให้ผู้โดยสารเต็มคันรถ ขอเน้นว่า เต็ม จริงๆ ชนิดที่ถ้ามีเก้าอี้ที่ว่างเว้นจากก้นของใครสักคนแม้เพียงที่เดียว รถก็จะไม่ยอมออกอย่างเด็ดขาด ฉันต้องนั่งรอพร้อมกับสูดควันบุหรี่ที่ได้รับแบ่งปันมาจากคนอื่นๆร่วมชั่วโมง ราว 9 โมงครึ่งล้อรถจึงได้เริ่มหมุนเคลื่อนตัวไปซะที
บนรถบัสฉันมีโอกาสได้คุยกับพ่อกับลูกสาวชาวมาเลย์คู่หนึ่ง พวกเขาสามารถพูดแมนดารินและอังกฤษได้ เห็นดังนั้นฉันเลยขอติดสอยห้อยตามไปกับพวกเค้าด้วย นับเป็นโชคดีของฉันประการหนึ่งที่มีล่ามเดินทางมาด้วย
รถใช้เวลา 2 ชั่วโมงบนถนนที่คดเคี้ยวไปตามไหล่เขาตลอดเส้นทาง ไปถึงเฟงหวงเอาตอนเกือบเที่ยง และก็เป็นไปตามสูตรของเมืองท่องเที่ยว ยังไม่ทันก้าวพ้นบันไดรถบรรดาญาติๆต่างพากันมากรูตรงหน้าฉันชนิดหัวกระไดรถไม่แห้ง ต่างฝ่ายต่างมาเสนอหน้าแย่งกันพูดแมนดารินใส่ฉันไฟแล่บชนิดไม่เว้นช่องไฟให้ฉันได้แนะนำตัวเอง ฉันได้แต่ส่งยิ้มสยามให้บอกเป็นนัยว่าเป็นคนไทยพูดจีนไม่ได้ แต่ดูเหมือนไม่ได้ผล พวกหล่อนยังจ้อแมนดารินกับฉันไม่มีทีท่าจะหยุด ฉันเหลือบไปมองพ่อลูกมาเลย์ที่กำลังคุยตกลงกับเจ๊คนหนึ่งอยู่และกำลังจะเดินตามเจ๊คนนั้นไป เห็นดังนั้นจึงรีบเผ่นตามพ่อลูกคู่นั้นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
เจ๊คนนั้นพาพวกเรามาหยุดตรงที่พักแห่งหนึ่ง ซึ่งถือว่าดูดีเหมือนโรงแรม แถมอยู่ริมแม่น้ำ เห็นลำน้ำที่ไหลลัดเลาะไปตามหุบเขา ได้บรรยากาศดี ส่วนสนนราคาห้องพักคืนละ 60 หยวน ถือว่าแพงมากสำหรับฉัน แต่ด้วยไม่มีทางเลือก คิดซะว่านานๆจะได้พักห้องดีๆสักครั้ง
ที่เมืองแห่งนี้ถือว่ามีนักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชาวจีนเจ้าของประเทศแทบทั้งสิ้น ไม่เห็นพวกแบกเป้ขาประจำอย่างชาวยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกัน ชาติเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี เลยตลอดที่อยู่ที่นี่ ชื่อเสียงเรียงนามของเมืองนี้อาจไม่คุ้นหูสำหรับชาวต่างชาติแต่ถือว่าดังมากในหมู่ชาวจีน
บ้านเก่าๆที่สร้างค้ำบนเสาไม้
ภาพแรกที่เห็นแม้ห่างไกลจากสิ่งที่วาดภาพไว้ในใจ แต่ก็ไม่ถึงกับผิดหวังซะทีเดียว ฉันไม่อยากยึดเอามุมมองระดับเพียงผิวเผินมาตัดสินในทันที ความงามที่แท้อาจอยู่หลบลึก รอการค้นหาอยู่ข้างหน้า
ฉันเดินทองน่องไปตามทางขนานกับแม่น้ำถัวเจียง (Tuojiang) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเมือง สองฝั่งแม่น้ำเป็นบ้านเรือนแบบเก่าเรียงรายไปตลอดสายแม่น้ำ เป็นบ้านที่สร้างจากไม้และที่พิเศษคือสร้างอยู่บนเสาไม้ที่ตั้งค้ำอยู่บนพื้นใต้ผิวน้ำ ถือเป็นสัญลักษณที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของเมืองนี้ บ้านเก่าเหล่านี้บางหลังมีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปีเลยทีเดียว
บรรยากาศเมืองเก่า
จากหลักฐานทางโบราณคดี เฟงหวงเคยเป็นเมืองที่ใช้เป็นค่ายทหาร สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ในช่วงเวลานั้นชนกลุ่มน้อยที่เรียกว่า เหมียว (Miao) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในพื้นที่แถบนี้ได้ก่อความไม่สงบทำให้ทางการต้องส่งทหารมาเพื่อสู้รบขับไล่พวกเหมียวออกไป ในช่วงเวลานั้นผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองนี้จึงมักจะเป็นทหารที่มาประจำการอยู่ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง ชนพื้นเมืองชาวเหมียวได้เคลื่อยย้ายถิ่นที่อยู่จากเดิมที่อาศัยอยู่ตามถ้ำ เข้ามาอาศัยอยู่ที่เมืองแห่งนี้และตั้งถิ่นฐานสร้างที่อยู่อาศัยที่มีรูปแบบบ้านไม้ที่สร้างอยู่บนเสาค้ำดังที่ปรากฏอยู่
มุมเก่าๆเก๋ๆอีกมุม
ชนพื้นเมืองชาวเหมียว
ชีวิตของผู้คนริมแม่น้ำถัวเจียงยังคงเคลื่อนไหวไปอย่างเงียบๆและเรียบๆ ชาวประมงที่กำลังถ่อเรือให้เคลื่อนคล้อยไปตามกระแสเอื่อยของแม่น้ำ บ้างก็ลุกขึ้นมาเหวี่ยงแหกระจายเป็นแพกลางน้ำเพื่อดักปลา บ้างก็นั่งนิ่งใจจดใจจ่อรอปลาที่กำลังจะมาติดเหยื่อ หรือจะเป็นแม่บ้านที่ออกมาซักผ้าอยู่ริมน้ำ ผู้คนที่นี่ยังซักผ้าด้วยวิธีการแบบเก่าที่ใช้การโถมฟาดผ้ากับพื้นแทนการขยี้ ถัดไปไม่ไกลมีฝูงเป็ดขาวลอยเตลิดเลียดบนผิวน้ำ มีกังหันวิดน้ำแบบโบราณขนาดใหญ่คอยดักสายตาผู้คน และทำนบกั้นน้ำแบบโบราณที่แสนจะขลัง เหล่านี้ล้วนเสริมภาพบรรยากาศเก่าๆริมน้ำได้อย่างมีเสน่ห์ ฉันสามารถอยู่นิ่งๆมองการเคลื่อนไหวช้าๆเหล่านี้ได้โดยมิรู้เบื่อ
ก้อนหินสำหรับกระโดดข้ามแม่น้ำ
ที่สะดุดตาฉันเป็นพิเศษอีกอย่างคือบาทวิถีข้ามแม่น้ำ ที่ทำเป็นก้อนหินบล๊อคทีละลูกๆ วางเรียงรายต่อเชื่อมไปถึงอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ ผู้คนจะต้องเดินกึ่งก้าวกึ่งกระโดดข้ามก้อนหินเหล่านี้ทีละลูกๆ เพื่อข้ามฝั่ง ในอดีตที่ยังไม่ได้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเหมือนในปัจจุบัน ชาวบ้านก็ต้องใช้ทางข้ามที่เป็นก้อนหินเหล่านี้เท่านั้นสำหรับข้ามแม่น้ำ เห็นดังนั้นมีหรือที่ฉันจะพลาดทดลองกระโดดข้ามก้อนหินพวกนี้ ออกจะสนุกอยู่ไม่น้อย ระหว่างกระโดดดันไพล่ไปนึกถึงรายการทีวีสมัยฉันยังเป็นเด็ก คือรายการ โหด มัน ฮา ซึ่งเป็นเกมส์โชว์ของญี่ปุ่นที่ผู้แข่งขันต้องแข่งกันผ่านด่านด้วยการกระโดดข้ามก้อนหินเพื่อข้ามแม้น้ำไปอีกฝั่ง ถ้าใครพลาดไปเหยียบก้อนหินที่จมน้ำก็จะทำให้เสียหลักตกลงไปในน้ำ เป็นที่ขำขันซะไม่มี ทำเอาฉันหวาดระแวงว่าจะมีใครอุตริแกล้งเอาก้อนหินหลอกๆมาตั้งแบบในรายการ นี่ถ้าฉันต้องมาตกน้ำที่นี่คงขำไม่ออกเป็นแน่
กำแพงเมือง
แม่น้ำถัวเจียงมองจากกำแพง
เมืองแห่งนี้ยังมีกำแพงเมืองซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ปรากฏสรีระเป็นกำแพงหินทรายสีแดงพาดผ่านตัวเมืองเป็นทางยาว ซึ่งสามารถเดินเหินไปมาบนกำแพง เบิ่งชมทัศนียภาพงามๆได้โดยรอบ ทั้งสองฟากฝั่งของกำแพงพร้อยไปด้วยบ้านเรือนเก่าๆยาวไปตลอดแนว และสามารถชะเง้อเห็นแม่น้ำถัวเจียงพาดผ่านขนานไปกับแนวกำแพงได้อย่างงดงาม
ยามเมื่อตะวันหมดหน้าที่ฉายแสงสุดท้ายไปแล้ว แสงสีจากโคมไฟตามบ้านต่างๆเริ่มลุกพรึ่บขึ้นมารับช่วงทำหน้าที่ต่อ เห็นเป็นแสงสลัวสีนวลไปทั่วทั้งเมือง บ้านเรือนตลอดแนวแม่น้ำมักจะเปิดเป็นร้านอาหาร ผับ สำหรับนั่งฟังเพลงบรรยากาศชิลๆ เห็นดังนั้นจึงเดินเลี่ยงไปอีกทาง จนไปเจอตลาดกลางคืน ซึ่งจะมีร้านอาหารพื้นเมืองนานาชนิด ดูแล้วน่ากินไปซะทุกอย่าง อาหารโปรดของฉันอย่างหนึ่งที่เห็นขายแทบทุกที่ในเมืองจีนคือมันทอดคลุกพริกป่นที่ฉันมักจะซื้อมาขบเล่นรองท้องอยู่เสมอ ฉันเดินเลือกร้านอาหารอยู่ครู่ใหญ่ๆ จนมาตกปากตกท้องที่ร้านหนึ่ง ก่อนอื่นต้องไปเลือกของสดที่นำมาเสียบไม้โชว์อยู่หน้าร้าน อย่างพวกเนื้อหมู เนื้อไก่ เต้าหู้ เห็ดสารพัด หัวไชเท้า และผักนานาชนิด ในอัตราเพียงไม้ละ 1 หยวนสำหรับเนื้อสัตว์และ 0.5 หยวนสำหรับผัก ฉันเองก็เลือกโดยเอาแต่ชี้ๆไม่พูดซักคำ จนคนขายมองหน้าคงนึกว่าฉันหยิ่ง เลือกเสร็จก็ไปนั่งทำตัวกลมกลืนกับคนจีนคนอื่นๆ จากนั้นของที่เลือกจะถูกนำไปต้มจนสุก จากนั้นนำมาปรุงโดยการคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงนานาชนิดที่ไม่รู้ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง รู้แค่ว่ารสแซ่บถูกปากยิ่งนัก ที่ถูกใจฉันเป็นพิเศษคือหัวไชเท้าเป็นแผ่นใสๆ ยามเมื่อเคี้ยวในปากจะรู้สึกนุ่มลิ้นและรับสัมผัสรสของเครื่องปรุงชนิดถึงแก่นสุดๆ มื้อนั้นฉันฟาดไปรวมสิบกว่าไม้อิ่มจนพุงแปร้ แต่จ่ายไปไม่ถึง 10 หยวน นับว่าถูกมากแถมถูกใจอีกต่างหาก
ฉันอยู่เดินเที่ยวในเมืองเฟงหวง 2 วัน จากนั้นก็ต้องนั่งรถบัสกลับไปยังเมืองห้วยหัวเพื่อจับรถไฟต่อไปยังเมืองเสิ่นเจิ้นในตอนเย็น ฉันใช้เวลาช่วงบ่ายในเมืองห้วยหัวหมดไปกับร้านอินเตอร์เน็ตที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ ด้วยไม่มีอะไรให้ทำมากนักกอปรกับอากาศร้อนจัดจนไม่อยากเดินไปไหนให้เหงื่อไคลไหลย้อย คืนนั้นฉันยังคงใช้รถไฟเป็นที่พักอีกคืน
.....
แผนการที่วางไว้แต่เดิมคือ จากเสิ่นเจิ้นฉันจะเดินทางต่อไปเมืองหยงติ้ง (Yongding) เมืองเล็กๆในมณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งจะเดินทางโดยรถไฟใช้เวลาราว 8 ชั่วโมงและจะอยู่เที่ยวที่นั่น 2 วัน จากนั้นจะกลับมายังเสิ่นเจิ้นอีกครั้งเพื่อจับรถไฟต่อไปปักกิ่ง ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมายืนเข้าคิวที่ยาวเหยียดเพื่อจับจองซื้อตั๋วรถไฟไปปักกิ่งในอีก 2 วันข้างหน้า
และแล้วปัญหาในการซื้อตั๋วรถไฟที่ฉันหวั่นวิตกมาโดยตลอดก็เริ่มมาฉายแววตรงหน้า ฉันยืนอยู่ตรงหน้าช่องขายตั๋วรถไฟด้วยอาการลังเลอยู่เกินสองนาน จนเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว หรือ เจ๊ตั๋ว ปรายตามองค้อนควับจนฉันไม่กล้าสบตาด้วย ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงทางสักสิบแพร่ง ไม่รู้จะไปทางไหนดี ความสับสนพลุ่งพล่านอยู่ในสมองจนทำอะไรไม่ถูก ด้วยก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาที ฉันพยายามออกเสียงดัดสำเนียงจีนให้ชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ พูดกับเจ๊ตั๋วว่า
เป่ยจิง พร้อมยื่นกระดาษที่เขียนวันที่ในอีก 2 วันข้างหน้า เจ๊ตั๋วได้ยินชื่อ เป่ยจิง ได้แต่สายหน้าหงึกๆ เมโย่ว ! แปลว่าไม่มี เป่ยจิง นะ ฉันทวนคำกลับไป เมโย่ว ! คำตอบยังเหมือนเดิม
ฉันรู้ความหมายของคำว่า เมโย่ว จนขึ้นใจ ด้วยเป็นคำที่ไม่พึงประสงค์จะได้ยินเป็นอย่างยิ่งยามเมื่อจองตั๋วรถไฟ เพราะนั่นหมายถึงที่นั่งเต็มแล้ว แถมเจ๊ตั๋วเหล่านี้มักจะพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ราวกับบอกเป็นนัยว่าให้ยอมรับชะตากรรมของตัวเองซะ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
เป่ยจิง พร้อมยื่นกระดาษที่เขียนวันที่ในอีก 3 วันข้างหน้า เมโย่ว !! ยังไงก็ไม่มี น้ำเสียงเริ่มรำคาญขึ้น เจ๊ตั๋วเห็นดังนั้นเลยเขียนวันที่เดินทางที่ยังมีที่นั่งเหลือยื่นให้ฉันดู หาอีก 1 อาทิตย์เชียวเหรอ !!! ฉันเบิกตากว้างอุทานออกมาเป็นภาษาไทย เจ๊ตั๋วทำหน้างง ทำยังไงดีล่ะ แล้วจะไปไหนดี จะให้ทำอะไรที่เสิ่นเจิ้นตั้ง 1 อาทิตย์ เอาไงดี สมองฉันพยายามเร่งหาทางออกอย่างสุดกำลัง แถมยังมีเสียงบ่นไล่หลังมาเป็นระลอกๆจากคนต่อคิวยาวยืดจากฉันที่เริ่มแปลงร่างเป็นหมีกินผึ้ง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังด่าฉันอยู่ ในที่สุดฉันต้องยอมจำนน เดินออกจากสถานีรถไฟไปแบบมือเปล่า ฉันแทบต้องรื้อแผนการเดินทางใหม่หมด ตอนนี้สมองฉันยังไม่สามารถสั่งการให้คิดอ่านอะไรออกได้ทั้งนั้น
....
ฉันกำลังนั่งอยู่บนรถไฟที่เดินทางไปยังเมืองหยงติ้ง (Yongding) ฉันกำลังอยู่ในภาวะวิตกจริต! ทั้งจากเรื่องตั๋วรถไฟไปปักกิ่งที่ยังไม่สามารถจองได้ และเมืองแปลกหน้าปลายทางที่ฉันกำลังมุ่งหน้าไป ฉันมีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองหยงติ้งเพียงหยิบมือ ในหัวล่วงรู้เพียงแค่ว่าเป็นเมืองหน้าด่านที่จะเดินทางต่อไปยังบ้านดินทรงกลม หรือที่เรียกว่า ถู่โหลว (Tolou) ซึ่งเป็นบ้านโบราณของชาวจีนแคะ และในไกด์บุ๊คยอดนิยมยังเขียนถึงเมืองนี้ไม่กี่บรรทัด ไม่มีแม้แต่แผนที่ เรียกว่าต้องไปหาข้อมูลเอาดาบหน้าอย่างเดียว
ก่อนเดินทางมาเมืองจีน ฉันไปสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า คือ ฮากกา คือ จีนแคะ (ฮากกา เป็นภาษาจีนสำเนียงแคะ แปลว่าชาวจีนแคะ ส่วนภาษาแมนดารินอ่านว่า เคอะเหยิน) ด้วยตัวฉันมีบรรพบุรุษเป็นชาวจีนแคะ เลยซื้อมาอ่านทีเล่นทีจริงเพื่อศึกษารากเหง้าของตัวเอง และยังไม่เคยเห็นหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับชาวจีนแคะมาก่อนหน้า พลิกไปดูข้างใน มีรูปภาพของสิ่งก่อสร้างที่เป็นที่อยู่อาศัยของจีนแคะสมัยโบราณ หรือที่เรียกว่า ถู่โหลว ฉันถึงกับอึ้งด้วยความฉงนในรูปทรงที่มีลักษณะเป็นหอสูงทรงกลมที่อยู่รวมกันเป็นวงล้อม ดูแล้วเหมือนเป็นป้อมปราการอะไรซักอย่าง ฉันไม่เคยนึกหรือจินตนาการมาก่อนว่าบรรพบุรุษตัวเองจะอาศัยอยู่ในบ้านลักษณะนี้ หลายเสียงโดยเฉพาะชาวตะวันตกวิจารณ์อย่างขบขันว่ารูปร่างเหมือนฐานปล่อยยานอวกาศ ฉันมองไปก็คลับคล้ายอยู่ เอ หรือบรรพบุรุษฉันจะเป็นนักบินอวกาศหนอ !?!
ดังนั้นเมื่อสบโอกาสมาถึงเมืองจีนและจะต้องผ่านมณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยนอันเป็นถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของชาวจีนแคะ ฉันจึงไม่พลาดที่จะขอทัวร์ เยี่ยมญาติ โดยเดินทางไปยังเมืองหยงติ้งในมณฑลฝูเจี้ยนนี้ ซึ่งเป็นเมืองของชุมชนชาวญาติๆของฉันที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านดินถู่โหลวนั่นเอง
เช้าตรู่วันต่อมา เมื่อรถไฟจอดนิ่งสนิท ฉันทอดสายตาออกไป และเห็นป้ายบอกสถานีเมือง Yongding เห็นแล้วแทบจะคว้าเป้ใส่หลังเดินลงจากรถไฟไม่ทัน ฉันเดินดุ่มมายืนตรงหน้าสถานีรถไฟ พร้อมญาติๆฉันที่อุตส่าห์เตรียมรถแท๊กซี่มารับฉันถึงที่โดยไม่ได้นัดหมาย เราสื่อสารกันไม่เข้าใจตามปกติ พวกเขาได้แต่ชูแผ่นกระดาษรูปหอดินถู่โหลวที่ฉันกำลังจะไป เห็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ใจชื้นขึ้นมาว่า มาถูกที่ แต่ฉันเองอยากหาที่พักแถวๆนี้ก่อน แล้วค่อยคิดอ่านต่อว่าจะวางแผนการเดินทางท่าไหนดี เลยปฏิเสธญาติตัวเองไปแบบไร้เยื่อใย
ยืนเก้ๆกังๆ ด้วยไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี สักพักมีเด็กหนุ่มจีนวัยรุ่น 2 คนเดินมาพูดแมนดารินกับฉัน ฉันออกตัวไปว่าเป็นคนไท่กว๋อ (แปลว่าคนไทย) หนุ่ม 2 คนนั้น (เผอิญฉันจำชื่อพวกเขาไม่ได้) พูดภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย ได้ความว่าเป็นชาวเมืองกวางเจา พวกเขาทักว่าจำฉันได้เพราะร่วมโดยสารมาในรถไฟขบวนเดียวกัน แต่แปลกที่ฉันกลับไม่คุ้นหน้าพวกเขาเลย คาดว่าคงกำลังมัวแต่อมทุกข์เลยตาพร่ามองไม่เห็นใคร พวกเขาก็ตั้งใจจะไปเที่ยวชม ถู่โหลว เช่นเดียวกับฉัน
เขา 2 คนได้คุยทาบทามกับโชเฟอร์คนหนึ่งไว้แล้ว เขาเห็นฉันกำลังยืนด้อมๆ เลยมาชวนเพื่อร่วมแชร์รถไป อัตราค่ารถคนละ 70 หยวน ราคานี้ถือว่าแพงมากสำหรับฉัน ปกติฉันเป็นพวกนิยมรถบัส แต่ที่หาข้อมูลมาดูเหมือนจะมีแต่รถบัสที่ไปตามเมืองหลักๆ ถ้าจะไปดูหมู่บ้านถู่โหลวซึ่งมักจะอยู่ในชนบทที่ห่างไกลออกไป จำเป็นต้องเหมารถแท๊กซี่ไปแบบไม่มีทางเลือก แม้จะมีเพื่อนร่วมแชร์รถแถมยังสื่อสารกับคนขับเข้าใจ แต่ราคานี้ก็แพงเกินงบไปมาก ใจอยากจะเผยตัวกับโชเฟอร์เพื่อนับญาติ เผื่อจะได้ส่วนลด แต่ญาติภาษาอะไรพูดภาษาจีนก็ไม่ได้ เลยได้ของแถมเป็นแห้วแทน ต้องยอมจำนนในราคานั้นไปแบบเสียไม่ได้
เรากำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านที่ชื่อว่า Chu Xi ระหว่างทางเป็นถนนที่เลี้ยวเลาะไปตามทิวเขาสูงชัน สองข้างทางเป็นไม้ต้นเขียวชอุ่มกลิ่นหญ้าสดๆ ฉันได้ยินมาก่อนหน้าว่าหมู่บ้านชาวจีนแคะมักจะซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาที่ห่างไกลจากผู้คน จึงไม่แปลกใจที่เราจะต้องเดินทางข้ามคลื่นภูเขาลูกแล้วลูกเล่าไป ระยะทางรวมมิใช่น้อยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งจึงจะถึง
จากจุดที่ยืนอยู่บนถนนเลียบขอบเขา เพียงแค่เห็นภาพของหมู่บ้านเป็นบ้านวงล้อมหลายวงที่ซ่อนตัวอย่างสงบเสงี่ยมบนพื้นที่ปูพรมสีเขียวสดของท้องทุ่งกลางภูเขา แต้มด้วยสีขาวนวลของไอหมอกสดๆลอยละเลี่ยลิ้มไปทั่วหมู่บ้าน ทำเอาฉันตะลึงพรึงเพริดในความงามและความมหัศจรรย์ตรงหน้า ที่มนุษย์ได้สรรค์สร้างขึ้นโดยมีธรรมชาติช่วยปรุงแต่งบรรยากาศ และภาพดังกล่าวถูกถ่ายทอดได้งามยิ่งขึ้นไปอีกในมุมสูงบนเชิงเขาที่เราต้องเดินต้านแรงโน้มถ่วงขึ้นไป
หมู่บ้าน Chu Xi จากมุมสูง
หมู่บ้านแห่งนี้แม้จะอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา แต่ก็ยังอุตส่าห์มีด่านมาตั้งดักเก็บค่าเข้าหมู่บ้านคนละ 50 หยวน ตามประสาหมู่บ้านที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว อดที่จะคิด (ประชด) ไม่ได้ว่า ถ้าฉันจะมาเยี่ยมญาติที่นี่มิใยต้องมาจ่ายค่าเยี่ยมญาติในอัตรานี้ด้วยหรือ แม้แต่อีก 2 คนที่แม้จะเป็นพลเมืองชาวจีนด้วยกันก็ยังต้องจ่ายในอัตรานี้ แต่พวกเขามีบัตรนักศึกษาเลยได้ลดครึ่งราคา หมู่บ้านอื่นๆที่เป็นบ้านแบบถู่โหลวต้องเสียค่าเข้า 50 หยวนเช่นกัน
ภาพที่เห็นก่อนเข้าไปในตัวถู่โหลว
เราเดินเข้าไปในหมู่บ้านที่มีอายุเก่าแก่กว่าไม่ต่ำกว่า 500 ปี เมื่อมองจากภายนอกของบ้านถู่โหลวแห่งนี้ ดูใหญ่โตมากกว่าที่คิดไว้มาก ผนังโดยรอบสร้างจากดินผสมหินที่ดูคงทนแข็งแรง ในหมู่บ้านแห่งนี้มีถู่โหลวรวมกันนับสิบๆหลัง ซึ่งแต่ละหลังตั้งกระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่สวยงาม ในหมู่บ้านมีถู่โหลว 1 หลัง ที่จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดง ไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีการบูรณะซ่อมแซมเป็นอย่างดี ทำให้สภาพของบ้านดูดีกว่าถู่โหลวอื่นๆที่ยังใช้เป็นที่อยู่อาศัยจริง ที่สภาพค่อนข้างทรุดโทรม
เมื่อเดินผ่านประตูบ้านเข้าไปในถู่โหลวที่มีความสูง 4-5 ชั้น เมื่อเดินไปยืนอยู่ภายในกลางลานบ้าน อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงรูปทรงของโรงละครยุคโรมันโบราณ ด้วยลักษณะวงล้อมเป็นชั้นๆสูงขึ้นไปที่คล้ายคลึงกัน แต่ละชั้นจะแบ่งออกเป็นห้องย่อยๆรายรอบระเบียงวงล้อม คะเนจากสายตา ภายในถู่โหลว 1 หลัง คาดว่ามีห้องหับรวมไม่ต่ำกว่า 50 ห้อง สมาชิกร่วมภายในถู่โหลวเดียวกันน่าจะเป็นหลักร้อยคน ค่อนข้างอยู่รวมกันอย่างแออัด มีศาลบรรพชนตั้งเด่นอยู่กลางลานบ้าน ซึ่งชาวจีนแคะยังคงยึดถือคติการบูชากราบไหว้บรรพบุรุษอยู่
ผู้คนที่นี่ยังชีพด้วยการทำนาทำไร่ วิถีชีวิตยังคงความเป็นชนบทอยู่มาก เมื่อมองไปโดยรอบจะเห็นผักนำมาแขวนเพื่อตากแห้งใช้ทำผักเค็มที่เป็นอาหารจีนแคะชนิดหนึ่ง ซึ่งจะวางตากไว้ตามจุดต่างๆที่แสงแดดสาดส่องถึง บรรดาเป็ดและไก่ต่างวิ่งควั่กคุ้ยเขี่ยเกลี่ยดินไปมา และยังมีบ่อน้ำอยู่ตรงกลางลานบ้านที่ยังใช้สำหรับดื่มกินและใช้สอยเพื่อการอื่น
สิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรมในแบบดั้งเดิมของชาวจีนแคะที่ยังสัมผัสได้อยู่ ซึ่งนับว่าหาดูได้ยากเต็มทีในปัจจุบัน
ภายในตัวถู่โหลว
ศาลบรรพชนกลางลานบ้าน
ชาวจีนแคะหรือ ฮากกา (Hakka) ถือเป็นชาวจีนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมในแบบจีนฮั่นเอาไว้ได้ ชาวจีนแคะถือเป็นชนกลุ่มที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีนอยู่อย่างหนาแน่นในมณฑลกวางตุ้ง ฝูเจี้ยน และเจียงซี มีกลุ่มเพื่อนบ้านเป็นชาวกวางตุ้ง แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ไหหลำ แต่มีสำเนียงภาษาพูดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กลุ่มชาวจีนแคะหรือ ฮากกา ดูจะเป็นกลุ่มที่ต่างออกไปจากกลุ่มอื่นๆ ในแง่ของรากเหง้าความเป็นมาของชาวจีนแคะโบราณที่ยังคลุมเครือและหาข้อสรุปไม่ได้
แม้แต่นักประวัติศาสตร์ก็ยังถกเถียงกันถึงเรื่องที่มาที่ไปของพวกฮากกาโดยไม่มีข้อยุติ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้ทราบแต่เพียงว่า เดิมทีพวกฮากกาไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในพื้นที่ทางตอนใต้ของจีน แต่มีถิ่นกำเนิดที่แท้จริงมาจากพื้นที่ทางตอนเหนือของจีน
ขอย้อนกลับไปพูดถึงที่มาของคำว่า ฮากกา เกิดขึ้นในสมัยตงจิ้นหรือจิ้นตะวันออก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 4 ในขณะนั้น ได้มีผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมากจากทางตอนเหนือในแถบลุ่มแม่น้ำหวงโห ได้เดินทางลงมาทางตอนใต้ของจีนเพื่อหนีภัยจากสงครามและภัยธรรมชาติ เนื่องจากผู้อพยพมีจำนวนมาก จึงต้องทำการจดทะเบียนแยกประเภทให้ต่างกันกับพวกที่อยู่มาก่อน ผู้ที่อพยพมาทีหลังที่เป็นชนชั้นแรงงานมักจะเข้ามาพึ่งพิงตระกูลที่ร่ำรวยในฐานะข้าทาสบริวาร และเกิดศัพท์ที่ใช้เรียกคนกลุ่มเหล่านี้ว่า ฮากกา หรือ เคอะ ที่หมายถึงแขกหรืออาคันตุกะ ในกลุ่มพวกฮากกาจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ส่วนหนึ่งไปเป็นคนรับใช้ตามคฤหาสน์ของเจ้าที่ดิน และอีกส่วนหนึ่งไปตั้งรกรากอยู่ในบริเวณพื้นที่แถบภูเขา
คำถามคือทำไมพวกฮากกากลับต้องถูกแยกตัวออกไปจากกลุ่มคนจีนฮั่น ? แล้วฮากกาคือคนจีนฮั่นหรือเปล่า ?
ข้อสงสัยเหล่านี้ ทำให้เกิด ข้อสันนิษฐาน กันไปต่างๆนานา ข้อสันนิษฐานหนึ่งที่น่าสนใจคือ พวกฮากกาอาจมีบรรพบุรุษเป็นหนึ่งในพวก อู่หู แปลว่าคนเถื่อนทั้งห้า หมายถึงชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวจีนทางตอนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรจีน ซึ่งได้แก่ ซ่วงหนู เจี๋ย (เติร์ก) เซียนเป่ย ตีและเชียง (ทิเบตทั้ง 2 เผ่า) คนเถื่อนทั้งห้านี้จัดเป็นกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ทางที่ราบกว้างทางตอนเหนือของจีน ในอดีตพวกนี้มักจะรุกล้ำข้ามแดนเข้ามาทำสงครามกับชาวจีนอยู่เป็นนิจ ต่อมาได้อพยพเข้ามาลงหลักปักฐานอยู่ทางด้านภาคเหนือของจีน พวกนี้เมื่ออพยพเข้ามาก็เป็นเพียงพลเมืองชั้นสอง ทำอาชีพเป็นชาวนายากจน หรือไม่ก็เป็นข้าทาสรับใช้คนจีน พวกอู่หูยังรับวัฒนธรรมแบบจีนฮั่นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต ตลอดจนเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวจีน กระทั่งแต่งงานกันมีลูกมีหลาน และต่อมาก็ถูกกลืนกลายไปเป็นชาวจีนอย่างสมบูรณ์แบบ
ต่อมาเมื่อมีกระแสชาวจีนทางตอนเหนืออพยพไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ จึงเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้อพยพเหล่านี้อาจจะมีเชื้อสายของพวกอู่หูปะปนรวมอยู่ด้วย ต่อมาเมื่อต้องกลายมาเป็นพวกฮากกา จึงทำให้เกิดข้อสงสัยในฐานะจีนฮั่นของพวกฮากกาเหล่านี้
กระนั้นพวกฮากกาเองก็มีวัฒนธรรมในแบบจีนฮั่นเฉกเช่นกลุ่มอื่น และวัฒนธรรมแบบฮากกายังได้รับการยอมรับว่าเป็นวัฒนธรรมจีนฮั่นดั้งเดิมที่สืบทอดมายาวนานนับพันปี ถึงขนาดมีผู้สันทัดในเรื่องนี้กล่าวว่าถ้าต้องการเรียนรู้ว่ารากเหง้าของวัฒนธรรมจีนฮั่นในสมัยโบราณเป็นเช่นไร ให้ไปศึกษาได้จากวัฒนธรรมของพวกฮากกา
แต่วัฒนธรรมที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของพวกฮากกา คือรูปแบบของที่อยู่อาศัยที่เรียกว่า ถู่โหลว นั่นเอง จะเห็นได้ว่ารูปแบบดังกล่าวสะท้อนถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกฮากกากับพวกที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมที่ไม่สู้ดีนัก มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ถึงขั้นเผาไล่ที่ก็มี จนพวกฮากกาต้องถอยร่นไปสร้างบ้านอยู่ตามภูเขาที่ห่างไกล พร้อมพัฒนารูปทรงของบ้านจนมีหน้าตาเป็นวงล้อมที่สูงถึง 5-6 ชั้น คล้ายป้อมปราการและมีหน้าต่างโดยรอบเพื่อสามารถจับตามองคนที่อยู่ข้างนอกได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมการสร้างที่อยู่อาศัยของพวกฮากกาส่วนหนึ่งเกิดจากสภาวะที่ต้องการการป้องกันภยันตรายจากศัตรูนั่นเอง
ไม่เพียงแค่นั้น พวกฮากกายังสร้างบ้านพักอาศัยที่มีขนาดใหญ่โตสำหรับสมาชิกในครอบครัวขนาดใหญ่ สามารถอยู่รวมกันภายในชายคาบ้านเดียวกันได้ สิ่งเหล่านี้เหมือนบ่งบอกถึงอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของความเป็นฮากกา นั่นคือความเป็นคนเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร และชอบรวมตัวกันอยู่เฉพาะในครอบครัวเดียวกัน
จนได้เวลาสมควร เราจึงเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านถู่โหลวอีกแห่ง ฉันจำชื่อไม่ได้ เมื่อไปถึง ต้องจ่าย 50 หยวนสำหรับค่าเข้าเหมือนเคย จริงๆไม่อยากเรียกว่าหมู่บ้านเพราะมีบ้านถู่โหลวเพียง 1 หลังตั้งอยู่อย่างปลีกวิเวก และสภาพก็ดูไม่ต่างไปจากหมู่บ้านแรกที่ไปมา ทำให้เราลงมติที่จะไม่เข้าไป ตกลงเดินทางต่อไปยังเมืองหูเกง (Hukeng) ซึ่งที่เมืองนี้จะมีหมู่บ้านถู่โหลวอีกแห่งที่ชื่อว่า Zheng Cheng Lou ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากที่สุด
เราแวะทานข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเกสต์เฮาส์ในตัวด้วย เป็นอาหารพื้นถิ่นของชาวจีนแคะ ฉันยกผลประโยชน์ให้พ่อหนุ่มอีก 2 คนทำหน้าที่สั่งอาหาร ด้วยสื่อสารกับเจ๊เจ้าของร้านไม่ได้แม้แต่น้อย อาหารที่สั่งเป็นอาหารจีนทั่วไป แต่มีอยู่จานหนึ่งที่ฉันสะดุดเป็นพิเศษนั่นคือหมั่นโถวแกล้มกับหมูสามชั้นผัดผักเค็มแห้ง หรือที่เรียกว่า ห่ามช้อยกอน ซึ่งเป็นอาหารจีนแคะที่ขึ้นชื่อที่สุด ฉันเองได้กินจนเฝือเมื่อครั้งยังเป็นเด็กๆ ซึ่งอาโผ่ไท้ (สำเนียงจีนแคะที่เรียก ทวด) เป็นคนทำอาหารชนิดนี้ให้ฉันกินจนคุ้นเคย คุณทวดฉันเคยเป็นแม่ครัวเก่า ฉันจึงมักจะได้กินอาหารจีนแคะฝีมือล้ำที่ฉันยังคงจำจดรสสัมผัสจากปลายลิ้นได้จวบจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นหมูสามชั้นผัดผักเค็มแห้ง เนื้อตากแห้ง เต้าหู้ยัดไส้ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นแคะ บะจ่าง เป็นต้น แต่คุณทวดจากไปตั้งแต่ฉันยังเด็ก ตั้งแต่นั้นมาฉันได้กินเพียงบะจ่างอย่างเดียวจากฝีมือคุณแม่ ซึ่งเป็นอาหารแคะชนิดเดียวที่ได้รับตกทอดมาจากคุณทวดผ่านทางคุณแม่ฉันเอง นานเท่าไหร่แล้วหนอที่ฉันไม่ได้กินหมูสามชั้นผัดผักเค็มแห้งฝีมือคุณทวด ฉันมารับทราบภายหลังจาก 2 หนุ่มว่าคนขับแท็กซี่ได้บอกลาหน้าที่โชเฟอร์ประจำตัวของพวกเราไปซะแล้ว ด้วยคนขับเป็นคนเมืองนี้ถ้าจะให้ขับกลับไปหยงติ้ง ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม กระนั้น 2 หนุ่มไม่ได้ประสงค์จะกลับไปหยงติ้ง แต่จะเดินทางต่อไปยังเมืองเซี๊ยะเหมินในเย็นวันนี้เลย พวกเขาถามฉันว่าฉันจะเดินทางไปไหนต่อ ฉันตอบไปว่า ปักกิ่ง พวกเขาทำหน้าตกใจ ถามฉันว่าจองตั๋วรถไฟหรือยัง ฉันบอกว่ายัง พวกเขาบอกว่ารถไฟที่นี่ต้องจองตั๋วล่วงหน้า มิฉะนั้นที่นั่งมักจะเต็ม ยิ่งถ้าไปเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง ยิ่งต้องจองล่วงหน้ากันเป็นอาทิตย์ๆ ฉันพยักหน้ารับทราบเพราะบรรลุแล้วจากเมืองเสิ่นเจิ้นถึงความยากในการจองตั๋วไปปักกิ่ง ฉันคิดในใจหรือฉันจะตามพวกเขาไปเซี๊ยะเหมิน เผื่อที่นั่นจะมีตั๋วรถไฟไปปักกิ่ง
พวกเขาหันไปคุยแมนดารินกับเจ๊เจ้าของร้านเรื่องไปปักกิ่ง ได้ความมาว่าเธอสามารถหาตั๋วรถไฟไปปักกิ่งให้ฉันได้ แต่ต้องไปขึ้นรถไฟที่เมืองหลงหยาน (Longyan) ซึ่งต้องนั่งรถบัสจากนี่ไปอีก 2 ชั่วโมง
ตอนนั้นฉันแทบจะพลิกตำราไม่ทัน จากข้อมูลตารางการเดินรถไฟที่ฉันค้นหามาจากอินเตอร์เน็ต ฉันไม่พบว่ามีรถไฟจากเมืองหลงหยานไปปักกิ่งนี่นา ฉันเกิดอาการงงและลังเล แต่เธอยืนยันว่าเคยนั่งรถไฟไปปักกิ่งจากเมืองนี้มาแล้ว แถมบอกเวลาเดินทางคือ 10:30 น. ในตอนเช้าอีกด้วย เธอย้ำถามฉันว่าตกลงจะให้เธอจองตั๋วให้มั้ย ด้วยไม่มีทางเลือก ในเมื่อเธอยืนยันขนาดนี้ฉันเลยเชื่อเธอ พ่วงด้วยที่พักสำหรับคืนนี้ที่ฉันตกลงใจจะพักด้วย ก่อนที่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจะนั่งรถบัสไปที่เมืองหลงหยาน เพื่อจับรถไฟไปปักกิ่งตอน 10 โมงครึ่ง
บ่ายคล้อย เรา 3 คนเดินเท้าไปยังหมู่บ้าน Zheng Cheng Lou กัน ระยะไม่ไกลแค่ 5 นาทีจากร้านอาหาร ค่าเข้าชม 50 หยวนเช่นเคย เมื่อผ่านประตูเข้าไปในหมู่บ้านจะเห็นถู่โหลวขนาดใหญ่ที่มีป้ายอักษรจีนที่เป็นชื่อเดียวกับหมู่บ้านติดอยู่ข้างหน้า ดูใหญ่โต โอ่อ่า มีขนาดใหญ่กว่าถู่โหลวที่หมู่บ้าน Chu Xi อย่างชัดเจน คาดว่าคงเป็นบ้านของตระกูลที่ร่ำรวย ภายในยังคงใช้เป็นที่อยู่อาศัย แต่อยู่ในสภาพดี บรรยากาศภายในบ้านยังคงวิถีของการดำเนินชีวิตที่คล้ายคลึงกับบ้านที่หมู่บ้าน Chu Xi ยังคงมีศาลบรรพบุรุษที่ตั้งอยู่กลางลานบ้าน แต่ศาลของที่นี่มีผนังกั้นเป็นสัดส่วน มีขนาดใหญ่โตใกล้เคียงกับศาลเจ้าขนาดย่อมๆเลยทีเดียว
ถู่โหลวอีกมุม
ถู่โหลวที่นี่เหมือนมีไว้เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ฉันสามารถเดินเข้าไปชมภายในได้ทุกพื้นที่ยกเว้นห้องพักแต่ละห้องที่ลงกุญแจไว้ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินชมของจัดโชว์ในพิพิธภัณฑ์มากกว่าเดินอยู่ในบ้าน ฉันมักจะเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากเดินไปมาและพูดคุยกับเจ้าบ้านอย่างเป็นกันเอง หรือกับญาติฉันอีกคนหนึ่งที่กำลังนำผักเค็มแห้งที่ตากไว้มาตัดซอยเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อนำไปประกอบอาหาร ก็รายล้อมไปด้วยจีนมุงที่มาชมด้วยความสนใจ ดูแล้วเหมือนเป็นการสาธิตให้ชมมากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวัน
ฉันอดแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ต้องเดินปะปนไปกับคนต่างถิ่นที่เป็นนักท่องเที่ยว เช่นนี้พวกเขาจะไปหาความเป็นส่วนตัวจากซอกหลืบมุมไหนของบ้านกัน หรืออาจเป็นไปได้ที่ความเป็นส่วนตัวของผู้คนที่นี่ไม่ได้สำคัญเท่ากับการได้พูดคุยและต้อนรับอาคันตุกะต่างถิ่นต่างสำเนียงพูดและต่างภาษาเช่นฉัน ด้วยไมตรีจิตก็เป็นได้
ผักเค็มตากแห้ง อร่อยล้ำ
ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ค่อนข้างมีอาณาบริเวณที่กว้างขวาง และมีถู่โหลวจำนวนมากมายแยกย่อยไปอีกหลายครัวเรือน แต่ถู่โหลวอื่นๆจะมีขนาดเล็กกว่า ตามฐานะของแต่ละครอบครัวที่ต่างกัน ทั้งหมดอยู่รวมกันเป็นชุมชนที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตในแบบของชาวจีนแคะดั้งเดิม นับเป็นการเดินทางผ่านยุคสมัยต่างๆโดยไม่ได้รับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง
ฉันบอกลากับ 2 หนุ่มในหมู่บ้านแห่งนี้ ด้วยทั้งคู่ต้องรีบไปขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปเซี๊ยะเหมิน ส่วนฉันยังคงเดินเตร่ๆไปเรื่อยๆ กระทั่งอาทิตย์กำลังจะลับพ้นขอบฟ้า จึงได้เวลาอันสมควรกลับไปยังที่พัก คืนนั้นฉันหลับไม่สนิท นอนตัวโก่งลุ้นชะตากรรมของตัวเองว่าจะได้กำตั๋วรถไฟไปปักกิ่งในวันพรุ่งนี้หรือไม่
ต่อตอนปักกิ่ง //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=candyperfumegirl&month=04-2007&date=13&group=3&gblog=10
Create Date : 23 เมษายน 2550 |
Last Update : 28 เมษายน 2550 0:24:27 น. |
|
23 comments
|
Counter : 1903 Pageviews. |
|
|
|
โดย: จันทร์สวย วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:7:53:39 น. |
|
|
|
โดย: กวินทรากร วันที่: 30 เมษายน 2550 เวลา:18:10:55 น. |
|
|
|
โดย: กวินทรากร วันที่: 13 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:57:35 น. |
|
|
|
โดย: Dr.Manta วันที่: 11 มิถุนายน 2550 เวลา:22:00:55 น. |
|
|
|
โดย: ซูฉี so close IP: 203.156.68.79 วันที่: 3 สิงหาคม 2550 เวลา:2:00:11 น. |
|
|
|
โดย: dddfcc IP: 221.206.44.56 วันที่: 29 กันยายน 2550 เวลา:20:21:24 น. |
|
|
|
โดย: กุ้งแห้ง IP: 124.120.165.85 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:18:45:55 น. |
|
|
|
โดย: Neat ซุ้มยิง IP: 203.151.155.4 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2550 เวลา:9:30:12 น. |
|
|
|
โดย: hakka IP: 61.7.132.227 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:55:52 น. |
|
|
|
โดย: hakka IP: 61.7.132.223 วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:20:54:58 น. |
|
|
|
โดย: hakka IP: 61.7.132.187 วันที่: 5 ธันวาคม 2550 เวลา:8:59:50 น. |
|
|
|
โดย: เจนฉ่อยhakkaubon IP: 125.25.181.181 วันที่: 12 ธันวาคม 2550 เวลา:12:31:32 น. |
|
|
|
โดย: กวินทรากร วันที่: 30 ธันวาคม 2550 เวลา:17:12:45 น. |
|
|
|
โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 1 มกราคม 2551 เวลา:3:20:55 น. |
|
|
|
โดย: เดินทาง IP: 58.10.161.152 วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:3:53:23 น. |
|
|
|
โดย: hubu IP: 119.134.114.35 วันที่: 13 มกราคม 2554 เวลา:15:42:14 น. |
|
|
|
โดย: ywrwerew IP: 223.255.243.46 วันที่: 20 เมษายน 2555 เวลา:10:26:20 น. |
|
|
|
|
|
|
|