Group Blog
 
 
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
28 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 
ฮุนซ่า ...เมืองงามกลางคาราโครั่มไฮเวย์

ฉันกำลังยืนรอรถที่จะเดินทางไปยังเมือง Karimabad อยู่ ณ. บริเวณใจกลางหมู่บ้าน Gulmit บนเส้นทางสายคาราโครั่มไฮเวย์ ได้สหายร่วมทางเป็นหนุ่มจากแดนอาทิตย์อุทัย 2 นาย เราได้รู้จักกันมากก่อนหน้าจากรถประจำทางที่มาจากเมือง Tashkurgan ทางฝั่งประเทศจีน มายังเมือง Sost ของปากีสถาน หนุ่มญี่ปุ่นคนแรกมีนามว่า Yusuke แต่เขามักจะชอบให้เรียกสั้นๆว่า "ยู" กับอีกคนคือทากาโนริ (Takanori) เหตุที่ฉันสนิทกับพวกเขาได้ เพราะพวกเขาพูดอังกฤษกันได้ ทำให้สื่อสารกันเข้าใจ ถามไถ่ไปมา ได้ความว่า เพราะเที่ยวบ่อย คุยกับต่างชาติเยอะ เลยเก่งภาษาไปเลย เหตุผลที่ฉันคล่องภาษาอังกฤษมากขึ้นก็คล้ายๆกับพวกเขา นี่คือผลพลอยได้จากการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง

เรา 3 คนตกลงที่จะนั่งรถแท๊กซี่ไปกัน โดยแชร์ค่ารถกันคนละ 100 รูปี แต่คนขับหัวหมอ บอกว่าต้องรอก่อน ต้องการผู้โดยสารคนอื่นเพิ่ม อ้างว่าราคาที่เราให้ไม่คุ้ม แต่ถ้าเพิ่มอีกคนละ 50 ก็จะไปให้เลย เรา 3 คนมองหน้ากัน ตกลงกันว่า "รอก็รอ"

ฉันเองมีเวลาอยู่เหลือเฟือเหลือใช้ไม่ได้รีบร้อน แต่ยูดูจะรีบร้อนกว่าใครเพื่อน เนื่องด้วยเขาเองมีช่วงวันหยุดแค่ 1 สัปดาห์ และเหลือเวลาในปากีสถานแค่ 3-4 วัน เขาอยากจะไปถึงเร็วๆ อาสาจะจ่ายเงินส่วนที่เหลือเพื่อจะได้ออกเดินทางเลย (คราวนี้ฉันกับทากาโนริมองหน้ากัน) แต่ไม่นานนัก ก็มีนักศึกษาหนุ่มเจ้าถิ่นอีก 3 คนมาร่วม รถจึงจะเคลื่อนคล้อยออกเดินทางไปได้ซะที

รถคันนี้ไม่ได้ไปส่งพวกเราถึงจุดหมาย แต่จอดให้พวกเราลงตรงหมู่บ้าน Ganesh ซึ่งพวกเราจะต้องหารถไปยังคาริมาบัด (Karimabad) กันเอง

ส่วนคาริมาบัด (Karimabad) นั้นเป็นเมืองที่ตั้งอยู่เรียงรายขึ้นไปตามไหล่เขาที่อยู่เหนือเมือง Ganesh ขึ้นไป ทางไปคาริมาบัดจะเป็นทางแยกออกจากถนนคาราโครั่มไฮเวย์ที่เรายืนอยู่ เลื้อยลัดเลาะขึ้นไปตามไหล่เขา และจะมีรถ Suzuki ซึ่งเป็นรถที่มีรูปร่างคล้ายๆรถสองแถวบ้านเรา ไปส่งถึงคาริมาบัดได้

แต่ยูกลับเสนอความคิดให้เดินเท้าขึ้นไป เพราะเขารู้ทางลัดเลาะไปถึงคาริมาบัดได้ โดยไม่ต้องเดินไกลมากนัก เนื่องจากเขาเคยมาที่นี่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขาจะพาพวกเราไปยังที่พักที่เขาเคยพัก ฉันไม่ได้แย้งอะไร ยึดทำนองเดินตามคนเคยมาก่อน หมาไม่กัด

ถึงจะย่นระยะ แต่ใช่จะย่นความเหนื่อย ทางลัดแบบทางขึ้นเขาเช่นนี้ ทำเอาฉันเหนื่อยแทบขาดใจ ลำพังถ้าเดินตัวเปล่าตัวปลิว คงไม่มีปัญหา แต่เมื่อมีน้ำหนักเป้ 10 กว่ากิโลบนหลัง และต้องเดินบนระนาบเอียง บวกกับแรงโน้มถ่วง ก็ยิ่งทวีความล้าความหนักในการดันพาตัวเองฝืนแรงต้านเหล่านี้ขึ้นไป นี่ถ้าฉันยังไม่คืนวิชาฟิสิกส์ให้อาจารย์ไปนานแล้ว คงไม่หลวมตัวเดินไปกับพวกเขาเป็นแน่ นั่งรถขึ้นไปสบายขากว่ากันเยอะ จ่ายแค่ 10 รูปี

ยูพาพวกเรามาพักกันที่ Haider Inn มากับคนญี่ปุ่น ก็คงหนีไม่พ้นเพื่อนพ้องคนญี่ปุ่น เพราะที่นี่จะเห็นแต่คนญี่ปุ่นกันทั้งนั้น ไม่รู้เพราะนักท่องเที่ยวที่เมืองนี้มีแต่คนญี่ปุ่น หรือคนญี่ปุ่นเฮมาพักกันที่นี่หมด

ชาติอื่นๆก็พอมีอยู่บ้าง แต่กลายเป็นชนกลุ่มน้อยไปตามระเบียบ อันได้แก่ เกาหลี จีน ฝรั่งชาติต่างๆ และหนึ่งเดียวจากไทยแลนด์


วิวจากหน้าห้องพัก

สิ่งแรกที่ฉันอยากจะทำตอนนี้คือ อาบน้ำ!!! หลังจากที่หมักหมมจนเกินได้ที่ ไม่ได้ถูกน้ำมาก็ 3 วันแล้ว เพราะอากาศแบบหนาวจนเหน็บที่ Passu และ Gulmit อากาศที่คาริมาบัดค่อนข้างอุ่นขึ้นกว่า 2 เมืองที่ผ่านมา เลยสบโอกาสได้ชะล้างร่างกายซะที แต่นี่ขนาดกลางวัน ฉันยังได้อาบน้ำที่เหมือนแช่ตู้เย็นเอาไว้

เมืองคาริมาบัดอันสวยงามแห่งนี้ตั้งอยู่ในเทือกเขาคาราโครัม (Karakoram) ที่เชื่อมผ่านระหว่างปากีสถาน จีน และอินเดีย และมีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ในแถบกิลกิท (Gilgit) ลาดัก (Ladakh) และบัลติสถาน (Baltistan) เป็นหนึ่งในเทือกเขาที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มากที่สุดในเอเชีย เช่นเดียวกับเทือกเขาหิมาลัย

คาราโครัมทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตอยู่ติดกับเขตที่ราบสูงทิเบต ทางด้านเหนือ มีอาณาเขตอยู่ติดกับพื้นที่เขต Wakhan Corrider และเขตเทือกเขาปามีร์ (Pamir) ซึ่งเป็นพื้นที่แนวยาวของอัฟกานิสถาน ซึ่งคั่นกลางอยู่ระหว่างปากีสถานกับทาจิกิสถาน ทางด้านตะวันตก มีอาณาเขตติดกับบริเวณเทือกเขาฮินดูราช (Hindu Raj) ส่วนทางใต้ติดกับแม่น้ำกิลกิท (Gilgit) แม่น้ำสินธุ (Indus) และแม่น้ำ Shyok ซึ่งเป็นเขตกั้นระหว่างเทือกเขาคาราโครัมและเทือกเขาหิมาลัยทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ในเขตหุบเขาที่อยู่เหนือแม่น้ำฮุนซ่า (Hunza Valley) ได้ถูกค้นพบครั้งแรกโดย George Cockerill ในปี ค.ศ.1892 โดยหุบเขาฮุนซ่าอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,438 เมตร และมีพื้นที่ประมาณ 7,900 ตารางกิโลเมตร โดยมีเมืองคาริมาบัด (Karimabad) เป็นเมืองหลัก ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกรอบล้อมไปด้วยยอดเขาสูงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นยอดเขาราคาโปชิ (Rakaposhi) ซึ่งมีความสูง 7,788 เมตร , Ultar Sar (7,388 เมตร) , Bojahagur Duanasir II (7,329 เมตร), Ghenta Peak (7,090 เมตร), Hunza Peak (6,270 เมตร), Darmyani Peak (6,090 เมตร) และ Bublimating (Ladyfinger Peak) (6,000 เมตร)

“ฮุนซ่า” มีเมืองหลักคือเมืองบัลติท (Baltit) หรือที่รู้จักกันในชื่อเมืองคาริมาบัด (Karimabad) ในอดีต “ฮุนซ่า” เป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจปกครองตนเองมาเป็นเวลากว่า 900 ปี ต่อมาได้สวามิภักดิ์ขึ้นตรงต่อแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ตั้งแต่สมัยของมหาราชา Ranbir Singh กษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1856 ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่แคว้นจัมมูและแคชเมียร์เรืองอำนาจมากที่สุด โดยสามารถยึดครองทั้งรัฐ Gilgit , Hunza และ Nagar และขยายอำนาจไปถึงรัฐ Chitral อีกด้วย

ต่อมา “ฮุนซ่า” ได้ถูกปกครองในสถานะ “รัฐอารักขา” โดยสหราชอาณาจักรในช่วงปี ค.ศ. 1889 – 1892 จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1947 ได้เกิดสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างอินเดียกับปากีสถาน (Indo-Pakistani War) โดยปากีสถานได้ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่ทางตอนเหนือ (Northern Areas) ซึ่งรวมถึงเขต “ฮุนซ่า” ด้วย

ชาวฮุนซ่าส่วนใหญ่นับถือมุสลิมนิกายอิสไมลี่ชีอะ (Ismaili Shia) ใช้ภาษาดั้งเดิมคือภาษา Brushuski แต่ก็สามารถเข้าใจภาษาอูรดู (Urdu) ซึ่งเป็นภาษาหลักของปากีสถาน และภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นยังมีภาษาท้องถิ่นอื่นๆ ได้แก่ Wakhi , Shina และ Domaaki

....

จัดการธุระของฉันเสร็จ พวกเรา 3 คนเดินไปหาที่แลกเงินกัน จากนั้นก็กินอาหารมื้อสายกัน แล้วต่างก็แยกย้ายไปทำกิจกรรมของแต่ละคน

ยูเคยมาที่นี่เมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งในตอนนั้นเขาได้ถ่ายรูปเด็กๆที่นี่ และเขาก็ล้างอัดรูปมาเพื่อจะเอารูปมาให้เด็กในภาพด้วย เขาจึงต้องการจะเดินไปตามหาเด็กๆในรูป ทั้งๆที่เจ้าตัวจำไม่ได้แล้วว่าไปถ่ายเด็กๆที่ตรงไหน เขามักจะโชว์รูปเด็กๆ ที่เขาถ่ายเองอวดฉันอยู่บ่อยๆ

ส่วนทากาโนรินั้นได้สร้างอาณาเขตในห้องพักเป็นโลกส่วนตัวของเขาไปซะแล้ว โดยมีใบกัญชาที่เขาเด็ดมาจากหน้าห้องพักในเมือง Gulmit เท่านั้นที่เขาต้องการ เขาง่วนอยู่กับใบกัญชาพวกนี้ บรรจงเอาไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาบดให้ละเอียด จากนั้นนำไปใส่ในอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่เขาเตรียมมา มีลักษณะเป็นกระบอกสูบและมีท่อโลหะยาวๆยื่นออกไป ใช้สำหรับสูบ จากนั้นก็จุดไฟเผาใบกัญชานั้นแล้วสูบผ่านทางท่อนั้น เท่านี้เขาก็มีโลกส่วนตัวโดยสมบูรณ์แล้ว ฉันเองชวนเขาไปเดินเล่นรอบๆเมืองอยู่เหมือนกัน แต่ถูกปฏิเสธ เขาเลือกจะขลุกตัวอยู่ในโลกส่วนตัวของเขาที่เป็นกรอบทึบ

ฉันเดินออกไปสำรวจรอบๆเมืองคาริมาบัด ยูชี้ให้ฉันดูยอดราคาโปชิจากหน้าห้องพัก แม้ว่าจะเห็นเพียงแค่ซีกเดียว แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงความสูงใหญ่อลังการ หิมะขาวโพลนที่ปกคลุมยอดเขาจนมิด ทำเอาฉันเกิดอาการคันเท้า อยากเดินไปใกล้ๆแบบเห็นอยู่ตรงหน้า ตอนนี้ไฟในตัวกำลังแรง เร่งเร้าให้ตัวเองอยากออกไปเดินเทรคกิ้ง เผื่อไปอวดใครต่อใครได้ ไม่น้อยหน้าพวกที่ไปเดินเขาแถบๆหิมาลัย แต่!!! อีกด้านหนึ่งของตัวเองเตือนว่า ตัวเองเอ้ยย..ถ้าปีกยังไม่กล้า ขายังไม่แข็งพอ อย่าได้คิดอะไรเกินตัว ดูสภาพสังขารตอนเดินขึ้นมาถึงที่พักเมื่อกี้ก่อนปะไร

ไม่เดินก็ไม่เดินสิ แต่ที่ต้องเดินไปแน่ๆคือป้อมบัลติท (Baltit Fort) ซึ่งเป็นป้อมโบราณหลักของเมืองนี้ เมืองคาริมาบัดมีถนนสายหลัก 1 สาย ซึ่งตลอดสายนี้จะเป็นบริเวณบาซาร์ โดยมีร้านค้ามากมายยึดหัวหาด รวมถึงธนาคาร , ร้านอาหาร , คอฟฟี่ช็อป , ร้านอินเตอร์เน็ต , รวมถึงร้านขายของที่ระลึกต่างๆไม่ว่าจะเป็นผ้าปักทอ งานฝีมือต่างๆ นักท่องเที่ยวที่ฉันเห็นเดินไปมามากมาย จนนึกว่าเป็นประชากรของเมืองนี้ไปแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นนั่นแหละ

ถนนสายหลักที่ว่านี้จะเลี้ยวเลาะไปตามไหล่เขา โดยมีบ้านเรือนของชาวฮุนซ่าสร้างอยู่โดยรอบ มองข้างหน้าจะเห็นป้อมบัลติทยืนโดดเด่นเห็นแต่ไกล ฉันเดินไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านสนามฟุตบอลโล่งๆกลางแจ้ง ซึ่งมักจะเป็นที่ใช้เล่นฟุตบอลสำหรับเด็กๆที่อยู่ในละแวกนั้น ฉันคิดในใจว่ามันช่างเป็นสนามฟุตบอลที่สวยที่สุด มีธรรมชาติเป็นผู้ออกแบบ ตกแต่งด้วยทิวเขาสูงใหญ่ที่ถูกปั้นแต่งขึ้นอย่างสลับซับซ้อนอยู่รายล้อม แต่งแต้มด้วยสีขาวโพลนของเกร็ดหิมะและสีเขียวสลับสีแดงส้มของต้นไม้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นการออกแบบที่ยากจะหาสนามฟุตบอลที่ใดในโลกเลียนแบบได้จริงๆ

ในที่สุดฉันเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงทางเข้าป้อมบัลติท(Baltit Fort) ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นมานานกว่า 700 ปี แต่ก็ได้มีการบูรณะซ่อมแซม ภายหลังจากนั้นตลอดช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ผู้ปกครอง Thum ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงแห่งรัฐบัลติสถาน (Baltistan) ซึ่งได้แนะนำช่างฝีมือชาวบัลติ ในการเข้ามาบูรณะซ่อมแซม Baltit Fort ทั้งนี้เนื่องจากสถาปัตยกรรมในแบบบัลติสถาน (Baltistan) ได้รับอิทธิพลมาจากทิเบตค่อนข้างมาก จึงส่งผลต่อรูปแบบสถาปัตยกรรมของป้อมบัลติท หลังการบูรณะซ่อมแซมทำให้มีรูปแบบความเป็นทิเบตผสมผสานเข้ามาด้วย

ต่อมาหลังจากปี ค.ศ. 1945 ผู้ปกครองรัฐฮุนซ่า (Dirs) ได้ละทิ้ง Baltit Fort ย้ายไปอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งใหม่ และไม่มีการทะนุบำรุงรักษาเลย ส่งผลให้ Baltit Fort เริ่มทรุดโทรม เพื่อไม่ให้ Baltit Fort ถูกทิ้งร้างไว้เช่นนั้น จึงได้มีการริเริ่มโครงการบูรณะซ่อมแซม Baltit Fort อีกครั้ง โดยองค์กร Royal Geographic Society of London ซึ่งโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1996 ปัจจุบัน Baltit Fort ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งดำเนินการโดย Baltit Heritage Trust นอกจากนั้น Baltit Fort ยังอยู่ในรายชื่อเตรียมพิจารณาให้เป็นมรดกโลกจาก Unesco ในอนาคตอีกด้วย

ไหนๆ วันนี้ยังไม่เข้าไปชมภายในป้อมบัลติท เลยลองเปลี่ยนเส้นทางเลี้ยวขวาไปตามทางที่มีป้ายชี้บอกว่า ทุ่งหญ้าอัลตาร์ (Ultar Meadow) ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าที่สวยงามล้อมรอบไปด้วยยอดเขาหิมะ แต่การได้ไปชื่นชมกับความงามเช่นนั้น ก็ต้องมีต้นทุนคือการปีนป่ายตะเกียกตะกายขึ้นไป ใช้เวลาเหนาะๆก็ 6-7 ชั่วโมง เฮ้ออ...แต่ละด่านนี่ ไม่มีอะไรง่ายเลยตัวเอง

เดินไปจนสุดทาง เหลือบมองลงไปก็จะเห็นแม่น้ำอยู่เบื้องล่าง ทางเดินต่อจากนี้คือการไต่ลงไปตามโขดหินจนไปถึงแม่น้ำข้างล่าง และต้องเดินข้ามก้อนหินที่วางระเกะระกะอยู่กลางแม่น้ำ ข้ามไปอีกฝั่งจึงจะเดินต่อไปโดยการปีนขึ้นไปเรื่อยๆ และจะถึงทุ่งหญ้าอัลตาร์ในที่สุด

นี่ฉันแค่เพียงลำดับหนทางคร่าวๆจากจุดที่ยืนมองออกไป คิดได้ดังนั้น ก็หันหลังกลับโดยไม่อาลัยอาวรณ์ เพียงแค่ฉันกำลังจะพลิกตัวกลับ สายตาก็ไปปะทะกับภาพตรงหน้า ซึ่งก็คือป้อมบัลติทที่ฉันเพิ่งจากมา แต่เป็นมุมจากด้านหลังที่ตั้งตระหง่านเด่น โดยมีโตรกผาสูงใหญ่ที่มีหิมะปกคลุมเป็นฉากหลัง แค่นั่นก็สวยอลังการจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แม้จะไม่ได้ไปทุ่งหญ้าอัลตาร์ แต่ได้มาเห็นภาพตรงหน้านี้ก็ถือว่ามาไม่เสียวเที่ยวจริงๆ


Ultar Meadow ต้องปีนขึ้นไป


Baltit Fort มุมจากด้านหลัง


ฉันเองมีโอกาสได้คลุกคลีพูดคุยกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ เน้นหนักไปทางเอเชียอย่างญี่ปุ่น เกาหลี จีน ที่มักจะมารวมตัวกันในช่วงเวลาอาหารเย็น ที่ทางเกสต์เฮาส์ (Haider Inn) จะจัดอาหารเป็นสำรับ ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นเน้นหนักไปทางแกงแบบมุสลิมหลากหลายหน้า กับข้าวและจาปาตี มาแบบเป็นชุดกินได้ไม่จำกัด ในอัตรา 80 รูปีต่อหัว นอกจากจะสำราญกับอาหารแล้ว สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการได้สนทนาร่วมโต๊ะอาหารกับเพื่อนๆนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ปกติฉันเป็นคนที่พยายามจะหลีกเลี่ยงพื้นที่ใดๆที่มีอัตราความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวอยู่ในระดับที่สูง แต่สำหรับที่นี่ ฉันกลับชอบที่จะแทรกตัวเข้าไปอยู่ร่วมในพื้นที่นั้นๆ อาจเพราะความคุ้นเคยในความเป็น "เอเชีย" ผิวเหลืองด้วยกัน ที่นี่จะเห็น "ฝรั่ง" ไม่มากนัก ซึ่งต่างจากทุกที่ที่ฉันไป

เรื่องที่สนทนากันก็หนีไม่พ้นเรื่องเส้นทางการท่องเที่ยวของแต่ละคนที่เดินทางไปกันมา มุมมองต่อประเทศต่างๆ ฉันเองชอบฟังประสบการณ์การท่องเที่ยวของแต่ละคน เป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆให้กับตัวเอง

เกือบทุกคนชี้ให้ฉันดู หนุ่มญี่ปุ่น วัยกลางคน หัวถูกโกนเรียบ แต่ไว้เครายาว ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เมาธ์กันกลางโต๊ะว่าเขามาพักอยู่ที่นี่มานานเกือบจะครบ 1 ปีแล้ว ทุกคนเมื่อได้รู้เข้า ถึงกับ “อึ้ง” ฉันก็ได้มีโอกาสคุยกับเขา เขาบอกว่าชอบที่นี่มาก และไม่อยากจะกลับไปบ้านเกิดของตัวเองด้วยเหตุผลบางอย่าง แถมเขายังพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย กระท่อนกระแท่น เพราะเคยมาเที่ยว (หรืออยู่) เมืองไทยหลายครั้งหลายครา ติดใจอาหารไทยโดยเฉพาะส้มตำ ฉันยังจำคำพูดเป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆของเขาได้ขึ้นใจว่า “อาหร่อยยยมากกกกก”

ฉันยังได้รู้จักกับพี่จอน คนปากีสถานแท้ๆ แต่พูดภาษาไทยได้ หลังจากที่เขารู้ว่าฉันเป็นคนไทย พี่เขาก็มักจะชวนฉันคุยภาษาไทยกัน เขาจะชอบพูดถึงชีวิตสมัยที่อยู่เมืองไทย พี่เขายังเล่าว่าเคยเป็นนักแสดงเล่นหนังไทยด้วยเรื่อง “ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด” เขาเล่นเป็น “จอห์น” สามีฝรั่งของบุญรอดที่รับบทโดย คุณจันทร์จิรา จูแจ้ง พี่เขายังโชว์รูปเขาสมัยหนุ่มๆ ดูหล่อเป็นคนละคนกับตอนนี้

พี่จอนเขาอยู่เมืองไทยมา 5 ปี ถึงขั้นแต่งงานกับผู้หญิงไทยและมีลูกชายด้วยกัน 1 คน ทำให้เขาเข้าใจภาษาไทยได้อย่างแตกฉาน แต่ปัจจุบันเขาได้หย่ากับภรรยาแล้ว และเดินทางกลับมาอยู่ที่ปากีสถานบ้านเกิดของเขาเอง

ฉันเองยอมรับว่าได้รับรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับปากีสถานก็จากพี่จอนคนนี้แหละ พี่จอนถามฉันว่าคนไทยส่วนใหญ่มีมุมมองต่อประเทศปากีสถานอย่างไร ฉันก็ตอบไปตามความรู้สึกว่า

“คนไทยยังมองปากีสถานว่าเป็นประเทศที่ไม่สงบ ยังมีสงคราม ความขัดแย้งต่างๆ” ฉันตอบไปจากการรับรู้ของเพื่อนๆรอบข้างฉัน

จากนั้นพี่จอนก็ย้อนมาถามมุมมองของฉันเอง ฉันก็ตอบไปว่า

“ฉันรู้แค่ว่าปากีสถาน งามทั้งเมือง งามทั้งผู้คน งามทั้งจิตใจ”

จากนั้นพี่จอนก็เริ่มเล่าเรื่องราวประเทศของเขาในมุมมองของตัวเองให้ฉันฟัง

“ภาพลักษณ์ของปากีสถานในสายตาของชาวโลกรวมถึงคนไทย ในปัจจุบันที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก สาเหตุหนึ่งเพราะภาพลักษณ์ของประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างอัฟกานิสถาน มีชาวอัฟกันจำนวนมากอพยพลี้ภัยมมาอยู่ที่ปากีสถาน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเป็นล้านๆคน ส่วนใหญ่ชาวอัฟกันเหล่านี้จะอพยพเข้ามาตั้งรกรากกันที่นี่เลย และไม่ยอมกลับไปยังประเทศของตัวเอง โดยเฉพาะในแถบเมือง Peshawar จะมีชาวอัฟกันมาอยู่ปะปนไปกับคนพัชตัน (Pashtan) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แถบเมือง Peshawar คนอัฟกันกับคนพัชตันจะมีภาษาพูดที่เหมือนกัน ทำให้แบ่งแยกระหว่างคนอัฟกันกับคนพัชตันซึ่งเป็นคนปากีสถานได้ลำบาก คนอัฟกันมักจะก่อปัญหาอยู่ไม่ขาด เช่นวางระเบิด ก่อม็อบ ฯลฯ พฤติกรรมของคนอัฟกันแตกต่างจากคนปากีสถานโดยสิ้นเชิง คนปากีสถานมีนิสัยรักสงบ จิตใจดี เป็นมิตรกับทุกคน แต่ที่คนภายนอกมองภาพของปากีสถานว่าเป็นประเทศที่ไม่สงบและอันตรายเพราะความไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ถ้าจะโทษคงต้องโทษคนอัฟกันพวกนี้ต่างหากที่เป็นพวกสร้างปัญหา ไม่ใช่คนปากีสถาน “

พี่จอนมีทัศนคติในทางลบต่อคนอัฟกันรุนแรงมาก แต่ฉันว่าคนอัฟกันคงไม่ได้มีนิสัยรุนแรงแบบนี้ทุกคนหรอก แบบนี้มันก็เข้าข่ายที่ว่า ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นหมดทั้งข้องนั่นแหละ ... แถมยังเหม็นไปถึงข้องข้างๆอีกต่างหาก !

พี่จอนยังเล่าถึงเหตุผลที่ตัวเขามาพักร้อนอยู่ที่คาริมาบัด

“ผมก็มาที่นี่ในช่วงรอมมาฎอน (Ramadon) ตลอดแหละ”

จริงๆฉันพอจะรู้ก่อนมาถึงที่นี่แล้วว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิม ซึ่งจะกินระยะเวลาประมาณ 1 เดือน แต่ที่คาริมาบัดนี้ผู้คนที่นี่ไม่เคร่งกฎการถือศีลอด เหมือนคนในเมืองใหญ่ๆ ซึ่งต่างจากเมืองราวัลปินดีเมืองที่พี่เขาอยู่ ผู้คนที่นั่นจะเคร่งกับการถือศีลอด ร้านอาหารส่วนใหญ่จะไม่ขายอาหารในช่วงเวลากลางวันเลย แต่จะขายในช่วงเวลาหลังจาก 6 โมงเย็นไปแล้ว แต่ร้านอาหารที่นี่เปิดขายตลอดทั้งวัน เขาเลยหนีร้อนมาพึ่งเย็นที่นี่

"ผมคิดว่าคนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่ใจ เรามีสิทธิ์ใช้เหตุผลในการเลือกปฏิบัติ อะไรที่มันงมงาย อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม" พี่จอนให้เหตุผล

"แต่บางครั้ง คนขายที่นี่ก็ไม่ยอมขายอาหารให้กับผม แถมทำหน้าบึงตึง คงต่อว่าผมอยู่ในใจ" พี่จอนพูดแล้วยิ้ม

เรื่องนี้ต่างจิตต่างใจ ขอไม่ออกความเห็นดีกว่า

……

กิจวัตรประจำแต่ละวันของฉันที่อยู่ที่นี่คือ เดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนย่านบาซาร์ เดินเรื่อยๆแบบไร้จุดมุ่งหมายใดๆ บางช่วงไม่อยากเดิน ก็ไปนั่งร้านกาแฟน่ารักๆ นั่งจิบกาแฟ เขียนบันทึกไป พอความรู้สึกอยากเดินเริ่มกลับมา ฉันก็จะเดินออกไปนอกเมือง บริเวณที่อยู่ใกล้ๆกับป้อมบัลติท ซึ่งจะมีหมู่บ้านที่สร้างอยู่เรียงรายลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา สบโอกาส ฉันมักจะเดินไปทั่วตามประสาคนชอบทำอะไรซอกแซก ฉันพบว่าวิถีชีวิตในแบบชาวฮุนซ่ายังคงดำเนินอยู่ไม่ได้สูญหายไปไหน บ้านเรือนที่นี่เป็นบ้านที่สร้างการก่อจากหิน ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านชั้นเดียว และทุกหลังจะมีดาดฟ้า ซึ่งบนดาดฟ้าของแต่ละบ้านมักจะมีผลไม้ที่ตากแห้งวางเรียงราย ทั้งลูกพลับ แอ๊ปเปิ้ล ส้ม แอปริค็อท ซึ่งเป็นผลไม้ที่หาได้ทั่วไปในพื้นที่แถบนี้ วางเรียงอยู่บนกระจาดและตากแดดไว้ เป็นการนำผลไม้มาตากแห้งเพื่อเก็บไว้กินได้นานๆ

ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคน “พิเศษ” สำหรับที่นี่ ผู้คนพร้อมหยิบยื่นมิตรภาพที่ดีให้แก่กัน เด็กๆกำลังเล่นคลุกฝุ่นกันเมามัน เห็นฉันเข้าก็เดินมาทักทายชวนฉันคุยไม่หยุด แถมขอถ่ายรูปซะอีก เด็กบ้านอื่นๆเห็นเข้าก็ตามมาสมทบอีก เด็กๆยืนยื่นหน้ากรูมาตรงหน้าฉันขอถ่ายรูป จนเลือกไม่ถูกว่าจะถ่ายใครก่อน สุดท้ายฉันเก็บภาพเด็กๆน่ารักครบทุกคน ไม่มีลำเอียง เด็กหญิงน่ารักคนหนึ่งชี้ชวนให้ฉันเข้าไปในบ้านของเธอ ฉันมีหรือจะขัดศรัทธา ไม่เพียงแค่เข้าไปในบ้าน ยังละโมบขอปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าอีกต่างหาก

ลุงเจ้าของบ้านหลังที่ฉันกำลังแอบเดินไปด้อมๆมองๆอยู่ในตอนนี้ กวักมือมาที่ฉัน (ตอนแรกนึกว่าจะถูกตะเพิด) เรียกให้ฉันเข้าไปในบ้านลุงเลย ลุงต้อนรับฉันด้วยชาร้อน หรือที่เรียกว่าไช (Chai) แต่ไชของลุงมีรสชาติเค็มปะแหล่งๆ ตอนชิมครั้งแรก นึกว่าถูกแกล้งที่มาทำลับๆล่อๆ ตอนนั้นฉันไพล่ไปนึกถึงหนังไทยบ้านเราขึ้นมา พระเอกมักจะถูกนางเอกแกล้งด้วยการให้ดื่มกาแฟใส่เกลือ นึกแล้วก็อดขำไม่ได้

“คนที่นี่จะดื่มไชที่ผสมเกลือกัน” ลุงยิ้ม
“เอ่ออ ..นี่ไม่ได้แกล้งกันนะฮะ” ฉันคิดในใจ

แต่แปลก พอฉันได้จิบไปเรื่อยๆ ลิ้นคงปรับตัวจนได้รับรสของชาเค็มที่กลมกล่อมขึ้นได้อย่างน่าประหลาด จากนั้นฉันก็ล่อไชของลุงไปเกือบหมดกา แถมลุงยังใจดี ยกจาปาตีอีก 1 ถาดใหญ่ๆมาวางตรงหน้าอีก

มื้อนั้นลุงทำเอาฉัน “อิ่ม” ไม่ใช่เแค่ "อิ่มท้อง" จากน้ำชา แต่ยัง "อิ่มเอม" จากน้ำใจที่มีอย่างล้นเหลือเผื่อสำหรับคนแปลกหน้าอย่างฉัน

และที่ “อิ่ม” ที่สุด คือฉันได้ประหยัดค่าอาหารมื้อเที่ยงไป 1 มื้อ


บ้านเรือนที่นี่ สร้างลดหลั่นไปตามไหล่เขา


เด็กๆ ถ่ายบนดาดฟ้าบ้านของพวกเธอ


ภาพที่เห็นจากบนดาดฟ้า จะเห็น Baltit Fort ตระหง่านอยู่ด้านซ้าย


เด็กในหมู่บ้าน เดินมาทักทาย


เด็กๆเกือบทั้งหมู่บ้านวิ่งออกมาต้อนรับนางงาม


…..

เช้าของอีกวัน ทุกอย่างตรงหน้าฉันยังคงราวกับเป็นความฝัน ฉันมองลงไปตามทางแม่น้ำที่ไหลลัดเลาะไปตามหุบเขา เกิดความสงสัยใครรู้อยากจะเดินลงไปให้เห็นหน้าหน้าค่าตาแม่น้ำฮุนซ่า (Hunza) ชัดๆ ฉันชวนยูเดินไปดูแม่น้ำด้วยกัน ยูทำหน้าสงสัยว่าจะลงไปได้เหรอ ? ฉันบอกอย่างมั่นใจว่าได้ (แอบอ่านไกด์บุ๊คมาเรียบร้อย) แถมโฆษณาชวนเชื่ออีกว่าเราจะได้เห็นทิวทัศน์ของคาริมาบัดในมุมที่ต่างออกไป สวยกว่ามุมจากตรงนี้เยอะ แต่สีหน้าเขาเหมือนไม่เชื่อใจฉันซักเท่าไหร่ คงกลัวฉันพาไปตกระกำลำบาก ยืนกรานไม่ไป บอกว่าอยากไปเดินตลาดในเมืองอาลีอะบัด (Aliabad) มากกว่า

เห็นทากาโนริยังง่วนอยู่กับการสูบกัญชา เขาคงเลือกไปโลกส่วนตัวเหมือนเดิม


ยอดเขาราคาโปชิและแม่น้ำฮุนซ่า ถ่ายจากหน้าห้องพัก

ฉันเดินออกนอกเมืองคาริมาบัดไปทางทิศตะวันตกซึ่งจะเป็นทางที่จะไปเมืองอาลีอะบัด (Aliabad) ที่อยู่ห่างออกไปราว 5 กิโลเมตร เมืองอาลีอะบัดนี้ จะมีรถโดยสารไปยังเมืองต่างๆที่อยู่ตามรายทางบนคาราโครั่มไฮเวย์

ระหว่างทางที่เดินไป ฉันมักจะได้รับน้ำใจงามๆจากผู้คนที่โยนลูกแอ๊ปเปิ้ลมาให้ฉัน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่แอ๊ปเปิ้ลกำลังออกผล ต้นแอ๊ปเปิ้ลจึงสะพรั่งไปด้วยผลแอ๊ปเปิ้ลสีแดงสด จริงๆฉันเองจะถือวิสาสะแอบไปเด็ดผลมาจากต้นก็ได้ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องลงแรงเอง แค่นี้ลูกเอ๊ปเปิ้ลก็เต็มกระเป๋าเป้ของฉันจนกินไม่หมดแล้ว

ยิ่งฉันเดินห่างออกมาจาก Karimabad มากเท่าไหร่ ยอดราคาโปชิก็ค่อยๆเผยโฉมหน้าที่งดงามของเธอมากขึ้นเท่านั้น ไม่นานนักภาพพาโนรามาของยอดราคาโปชิก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าฉัน คงไม่ต้องบรรยายว่าเธอสวยงามแค่ไหน


ยอดเขาราคาโปชิ แบบเต็มๆ (ตา)


ทิวทัศน์ระหว่างทางเดินไป Aliabad


วิวราคาโปชิแบบใกล้ขึ้น

จริงๆฉันไม่ต้องเดินไกลไปถึงเมืองอะลีอาบัด แค่ครึ่งทางก็จะถึงเมืองเล็กๆคือไฮเดอราบัด (Hyderabad) ซึ่งเป็นเมืองที่ฉันตั้งใจจะมา จากเมืองนี้จะมีทางแยกลงไปยังแม่น้ำฮุนซ่าได้ ฉันได้เจอกับคุณลุงใจดี เดินมากับเด็กชายตัวน้อยๆใส่ชุดนักเรียน 3 คน ฉันถามเขาถึงทางที่จะเดินลงไปยังแม่น้ำฮุนซ่า เขาชี้ทางเดินที่จะออกไปสู่ถนนคาราโครั่มไฮเวย์ และจากนั้นก็จะเดินต่อลงไปตามทางเล็กๆไปยังแม่น้ำฮุนซ่าได้

เขายังวานพวกเด็กๆ ให้พาฉันไปส่งยังแม่น้ำ ฉันเองไม่รู้จะขอบคุณในความกรุณาของเขายังไง เพราะลำพังฉันคนเดียวยังไม่รู้ว่าจะคลำทางลงไปแม่น้ำได้หรือเปล่า

เด็กชายกลุ่มนี้อายุแค่ 9 ขวบ แต่พูดภาษาอังกฤษกับฉันได้คล่องจนอดแปลกใจไม่ได้ เผลอๆสำเนียงจะดีกว่าฉันซะอีก ฉันถามเด็กๆว่าพวกหนูไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากที่ไหนกัน ทำไมพูดเก่งจัง เด็กๆบอกว่าในโรงเรียนก็มีสอนตั้งแต่ ป.1 แล้ว มิน่าล่ะ เด็กๆถึงพูดได้เก่งมาก ฉันว่าเด็กๆรุ่นเดียวกันในบ้านเรา ยังท่อง A ถึง Z อยู่เลยมั้ง

ฉันสังเกตุเห็นพวกเด็กๆถือกระดานที่ใช้รองกระดาษสำหรับวาดรูป ฉันคิดว่าพวกเด็กๆคงกำลังมองหามุมสวยๆ เพื่อวาดรูปส่งอาจารย์ หาได้ตรึม!!

เด็กๆพาฉันเดินทะลุออกมายังถนนคาราโครั่มไฮเวย์ และเดินต่อลงไปยังแม่น้ำ แต่ทางเดินช่วงนี้ทั้งชันและลื่น แต่พวกเด็กๆเดินลงไปอย่างคล่องแคล่วราวกับเดินอยู่บนทางราบ เด็กๆต้องคอยรอฉันที่ต้องเดินแบบเงอะๆเงิ่นๆ เดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ไถลลื่นลงไป

และแล้วแม่น้ำฮุนซ่าก็ไหลเลาะอยู่ตรงหน้า เห็นแล้วรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ต้องบอกว่ารู้สึก “หรรษา” สมชื่อ ภาพแม่น้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ที่ไหลคดเคี้ยวโดยมีภูเขารูปทรงแปลกตาเป็นฉากหลัง ช่างเป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาด ฉันแทบอยากให้เด็กๆมาสอนฉันวาดภาพตรงหน้านี้ซะเลย


แม่น้ำ Hunza

ฉันเห็นพวกเด็กๆ ตะโกนคุยกับเด็กที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ เลยถามไปว่าเคยเดินข้ามแม่น้ำนี้ไปอีกฝั่งหรือเปล่า เด็กๆส่ายหน้าบอกว่าข้ามไม่ได้ ห้ามไปอย่างเด็ดขาด อันตรายมาก ถ้าจะข้ามแม่น้ำต้องไปข้ามตรงสะพานที่อยู่ห่างออกไปอีก 5 ก.ม.

ภารกิจต่อจากนี้คือการเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางของแม่น้ำฮุนซ่าสายนี้ ซึ่งจะไหลขนานเคียงข้างถนนคาราโครั่มไฮเวย์ โดยจะมีทางแยกไหลไปยังภูเขาอัลตาร์ (Ultar) ที่ฉันไปเดินสำรวจมาเมื่อวาน ที่นั่นจะมีทางกลับขึ้นไปยัง คาริมาบัดได้ การเดินไปตามแม่น้ำนี้จะทำให้ได้เห็นคาริมาบัดในมุมต่างๆกัน เด็กๆอาสาจะพาฉันเดินไป แต่ฉันปฏิเสธความใจดีของพวกเด็กๆ

ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่าที่ฉันมาเดินคนเดียวโดยไม่ให้เด็กๆเดินตามมาด้วย เพราะตอนนั้นฉันเองยังนึกภาพไม่ออกว่าการเดินไปตามทางแม่น้ำฮุนซ่านั้นมันจะหฤโหดแค่ไหน ตามประสานิสัยที่ชอบคิดว่าอะไรๆก็ง่ายไปซะหมด เริ่มเดินไปเรื่อยๆ ช่วงแรกทางเดินยังเป็นหาดทราย มีหินกระจัดกระจาย เดินไม่ยาก แต่เมื่อเดินไปสักพัก ฉันพบว่าหินที่ตอนแรกอยู่กระจัดกระจาย เริ่มหนาตาขึ้นแถมมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่องทางการเดินดูแคบลงถนัดตา

ในที่สุดสิ่งที่อยู่หน้าฉันจากนี้ไปคือก้อนหินขนาดใหญ่ล้วนๆ !! ซึ่งฉันจะต้องเดินก้าวเหยียบไปตามก้อนหินทีละลูกๆ จากเดิมคือเดิน ตอนนี้ต้องมากระโดดไปตลอดทาง

กระโดดมาได้ชั่วโมงกว่าๆ ตอนนี้ขาของฉันปวดระบมไปหมด แต่หนทางข้างหน้ายังคงเห็นแต่ก้อนหินและน้ำที่แตกกระเซ็นยามเมื่อถูกซัดมากระแทกกับโขดหิน ฉันเองเริ่มรู้สึกท้อและกลัว ฉันไม่กล้าคิดสภาพถ้าพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ฉันเองก็ไม่อยากจะเดินต่อแล้ว แต่เมื่อมองไปโดยรอบ 8 ด้าน ก็มืดมนไม่พบหนทางอื่นใดที่จะสามารถเดินกลับไปได้เลย สิ่งที่ทำได้คือเดินย้อนกลับไปทางเดิม หรือไม่ก็ต้องมุ่งหน้าเดินต่อไปให้ถึงจุดหมาย ไม่มีทางเลือก จำต้องกล้ำกลืนฝืนเดินต่อไป

ฉันต้องกระโดดอยู่คนเดียวบนก้อนหินร่วม 3 ชั่วโมง อยากหาเพื่อนร่วมกระโดด แต่ในรัศมีร้อยเมตรตลอดการกระโดด ฉันไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ จนกระทั่งในที่สุดฉันก็แหงนมองขึ้นไปเห็นป้อมบัลติทมุมด้านหลังเหมือนที่เห็นเมื่อวาน ฉันเริ่มอุ่นใจขึ้นมา เริ่มมองเห็นผู้คนแถวนั้น อย่างน้อยถ้าขาใช้การไม่ได้ ก็ยังจะมีปากใช้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือได้ แต่สุดท้ายฉันยังใช้ขาพาตัวเองกลับขึ้นมาจนได้ ไม่ต้องรบกวนปากให้ผู้คนแตกตื่น

จนพระอาทิตย์เตรียมจะเคลื่อนตัวลงลับขอบฟ้า ฉันเพิ่งจะกลับมาถึงห้องพักด้วยสภาพสะบักสะบอมสุดขีด ทากาโนริที่กำลังง่วนอยู่กับการสูบกัญชา ละทิ้งความสนใจจากกัญชาของเขาครู่หนึ่ง มองมาที่ฉันพร้อมควันที่ค่อยๆลอยออกมาจากปากและจมูกของเขา เขาบอกฉันว่ายูได้เดินทางกลับไปแล้ว เพราะต้องนั่งรถข้ามกลับไปจีน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะไปถึงญี่ปุ่น เสียดายที่ไม่ได้อยู่ร่ำลากัน แต่เขาก็ยังทิ้งโน้ตถึงฉันไว้เป็นข้อความกล่าวลาสั้นๆ พร้อมเบอร์อีเมลล์

เช้าวันต่อมาทากาโนริก็เดินทางจากไปอีกคน เขาจะเดินทางต่อไปยังอินเดียเพื่อไปนั่งวิปัสนาทำสมาธิที่วัดในเมืองพุทธคยา เขาเล่าถึงแผนการเดินทางว่า

“ผมว่าจะตะลุยอยู่ในอินเดียประมาณ 6 เดือน จากนั้นจะตะลุยข้ามประเทศต่างๆไปจนถึงยุโรป น่าจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ปี ผมมีเงินติดตัวอยู่เพียง $200 เหรียญเท่านั้น ผมกะจะไปหางานในอินเดียทำด้วย เก็บเงินไว้เดินทางต่อไป”
“โอเค นายแน่มาก ขอให้โชคดีแล้วกัน แล้วอย่าลืมซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านด้วยล่ะ” ฉันอวยพรให้เขา เขาหัวเราะ

ฉันแอบคิดในใจ เอ๊ะ นี่เขายังเมากัญชาอยู่หรือเปล่านะ !!

ในที่สุดทากาโนริก็เดินจากไป ทิ้งฉันในห้องไว้เพียงลำพังอยู่เบื้องหลัง ฉันมองไปรอบๆห้อง ไม่เห็นเขาอยู่ในตำแหน่งที่คุ้นตา กลายเป็นว่าฉันได้พักอยู่ห้องนี้นานกว่าใคร รู้สึกใจหายทุกครั้ง เมื่อต้องมีการลาจาก ฉันมักจะมีความทรงจำที่ดีในการพบเพื่อนใหม่ๆระหว่างการเดินทางเสมอ แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ทุกคนต่างก็มีถนนเป็นของตัวเองที่ต่างกัน เราไม่มีทางรู้เลยว่าถนนของแต่ละคนจะมาบรรจบพบกันอีกเมื่อไหร่



Create Date : 28 มีนาคม 2550
Last Update : 8 เมษายน 2550 4:57:59 น. 7 comments
Counter : 1877 Pageviews.

 
ขอแนะนำว่า..เอาต้นฉบับไปส่งสำนักพิมพ์ด่วนค่ะ
เขียนได้ดีมาก ทั้งประสบการ์และรายละเอียด
มีทั้งความรู้ประกอบ

ขอไหว้ทีนึง...

เรากำลัง crazy คุณมากเลยค่ะ
นี่คือฝันของเราเลยนะคะ..ตอนนี้ลูก 2 ค่ะ
กะว่าปีหน้าจะเอาเด็กไปหิมาลัยให้ได้
เพราะอยากให้ลูกได้ไปสัมผัสก่อนที่อะไรๆจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้น่ะค่ะ

หญิงขอแนะนำว่า...แบ่งเรื่องเป็นตอนๆค่ะ
เพราะเวลาคนอ่านบล๊อคเนี่ย...บางทียาวไป..บางคนก็อ่านไม่หมด
เรื่องดีๆแบบนี้เราอยากให้คนอ่านให้หมดค่ะ...จริงๆนะคะ
และ..เอ่อ...ขอรูปเพิ่มอีกได้รึเปล่าคะ...

ตอนนี้อินมาก..เดี๋ยวจะไปตามคนรักหิมาลัยอีกคนมาอ่านค่ะ...


โดย: จันทร์สวย วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:3:03:16 น.  

 
ขอบคุณค่ะคุณจันทร์สวย คำพูดของคุณเป็นกำลังใจที่ดีมากๆๆ ค่ะ ทำให้เราจะพยายามมุ่งมั่นที่จะเขียนต่อไปเรื่อยๆค่ะ

แนะนำให้มาที่นี่จริงๆค่ะ ปากีสถานไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆคิด เป็นประเทศที่งามทั้งวิวทั้งคน คุณจะต้องชอบแบบเราค่ะ เราหาโอกาสจะกลับไปอีกแน่ๆค่ะ

ส่วนรูปนี่ เราได้โพสไว้ที่นี่ค่ะ ยังไงลองเข้าไปดูนะค่ะ
//www.trekkingthai.com/board/show.php?Category=trekking&forum=2&No=73649&picfolder=trekking&PHPSESSID=1b01342b08f256079151fd0398c8e726#top


โดย: candy perfume girl วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:15:34:32 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ

มีเพื่อนสนิทที่นี่เป็นครอบครัวปากีค่ะ..บ้านอยู่ที่สวัต
(คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งแถวๆคาราโครั่มนี่แหล่ะค่ะ)
เธอบอกว่า...ต้องมา (บ้านนี้จะย้ายกลับกันปีหน้าค่ะ)

แหม..อิชั้นก็เป็นคนเชื่อเพื่อนอยู่แล้วล่ะค่ะ...อย่างนี้ก็...ต้องไปซิคะ...
แถมคุณแคนดี้แนะนำเพิ่มอีกคน...ไปแน่นอนค่า...

ปล. คอมเม้นท์ที่1 นี่อิชั้นพูดจริงๆนะคะ
เอาเลยคุณ...ยุ..ยุ...


โดย: จันทร์สวย วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:19:29:14 น.  

 
เด็กๆ (ผู้ชาย) ที่ปากีน่ากิน เอ้ย! รักน่าเอ็นดูดีนะคะ โตมาท่าทางจะหล่อ ต้องหาโอกาสไปผูกมิตรกับเด็กๆ พวกนี้บ้างแล้ว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นชาติไหน -*-


โดย: ซูฉี so close IP: 203.156.69.2 วันที่: 3 สิงหาคม 2550 เวลา:14:15:00 น.  

 
อยากไปมากๆ เลยค่ะ
ต้องไปให้ได้

=)


โดย: hunjang วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:38:44 น.  

 
อยากไปๆๆๆ เก็บตังค์แล้วชีวิตนี้ขอไปให้ได้เลยค่า


โดย: juriojung วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:52:50 น.  

 
ตามรอยมาจากกูเกิ้ลค่ะ อ่านแล้วอยากไปบ้าง
แต่ไม่สามารถไปคนเดียวได้ เลยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไป
ตอนนี้ จขบ. ไปอยู่ที่ไหนคะ จะได้อ่านเรื่องท่องเที่ยว
ที่อื่นๆอีกเมื่อไหร่


โดย: แมงหวี่ IP: 125.24.171.185 วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:21:23:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

candy perfume girl
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add candy perfume girl's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.