Group Blog
 
<<
เมษายน 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
13 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
ปักกิ่ง ... นครแห่งดินแดนต้องห้าม

เช้าวันรุ่งขึ้น เจ๊เจ้าของร้านกำชับฉันว่าจะมีผู้ชายนำตั๋วรถไฟมาส่งให้ฉันกับมือที่สถานีรถไฟเมืองหลงหยาน และให้จ่ายเงินแก่เขาค่าตั๋วรถไฟไปตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้คือ 380 หยวน

ฉันแบกเป้เดินมารอรถตรงหน้าที่พักและขึ้นรถที่ไปเมืองหลงหยาน เมื่อเวลาเดินทางไปราว 2 ชั่วโมง รถก็มาหยุดตรงที่สถานีรถบัสแห่งเมืองหลงหยาน มีผู้ชายเดินเข้ามาทักฉันสั้นๆว่า "เป่ยจิง" ฉันจึงรู้ในทันทีว่าคือเขาคนนี้ ฉันได้รับตั๋วสีชมพูจากเขาและจ่ายเงินไป 380 หยวน แต่ราคาหน้าตั๋วเขียนไว้ 360 หยวน ซึ่งก็ถือว่าราคาที่บวกเพิ่มไม่ได้มากมายแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับสิ่งล้ำค่าที่กำลังอยู่ในมือฉันนี้

เมืองหลงหยาน (Longyan) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่าในความนึกคิด (อีกแล้ว) ฉันตั้งข้อสังเกตุอย่างหนึ่งว่า ที่ฉันได้ตั๋วรถไฟไปปักกิ่งทั้งๆที่บอกล่วงหน้าเพียง 1 วัน น่าจะด้วยเหตุผลที่ว่าอุปสงค์ของผู้คนที่จะเดินทางจากเมืองนี้ยังไม่สูงนัก นับว่าเป็นโชคดีของฉันอีกประการหนึ่ง (ถ้าให้เขียนความโชคดีของฉันตลอดการเดินทางคงมีมากเป็นสิบๆข้อ) ที่มีรถไฟออกจากเมืองนี้ไปปักกิ่ง มิฉะนั้นฉันคงทำอะไรไม่ถูก อาจต้องเดินทางไปต่อรถไฟตามเมืองต่างๆที่เป็นทางผ่าน ซึ่งไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่าจะเดินทางไปถึงปักกิ่งได้เมื่อไหร่

รถไฟค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลงหยานในเวลา 10:30 น. ตรงตามเวลาที่เขียนจั่วบนหน้าตั๋ว ฉันซื้อตั๋วที่นั่งแบบ Hard Sleeper โดยเป็นเตียงนอน 3 ชั้น แต่ไม่แข็งเหมือนชื่อ ภายในรถไฟมีเครื่องปรับอากาศคลายร้อน ถือว่าดีกว่ารถไฟที่นั่งมาก่อนหน้านี้ที่ไม่ใช่รถไฟปรับอากาศ

ฉันได้รู้จักกับพ่อลูกคู่หนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่เตียงถัดไป มีพื้นเพเป็นคนฮกเกี้ยน หรือ ฝูเจี้ยนในเสียงอ่านแบบจีน ผู้เป็นลูกสาวที่ชื่อว่า "ลี่ชุน" ผูกมิตรด้วยการยื่นแอปเปิ้ลมาให้ฉัน ฉันแย้มปากกว้างรับไมตรีนั้น และเผื่อไปถึงผู้เป็นพ่อด้วย แต่ดูเหมือนสีหน้าของเขาไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆเลย รอยยิ้มใสๆจึงค่อยๆเจื่อนลงๆจนหุบ ลี่ชุนพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่พอจะมีทักษะในการเขียนอ่านอยู่บ้าง ส่วนฉันก็พูดภาษาจีนไม่ได้แม้ผีกริ้น เข้าใจแค่ 2 คำ “หนีห่าว” (สวัสดี) กับ “เซี่ยเซี่ย” (ขอบคุณ) กระดาษและปากกาจึงกลายมาเป็นช่องทางที่เราใช้สนทนากัน สบโอกาส ฉันให้เธอช่วยเขียนคำเป็นตัวอักษรจีนในความหมายอย่าง...Bus Station , Train Station , Hotel , Noodle , Rice , Pork , Chicken ฯลฯ เพื่อใช้เป็นโพยยามสื่อสารกับใครไม่ได้

คุยไปคุยมาได้ความว่า เธอกำลังไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่เมืองฮาเอ่อร์บิ้น เมืองทางตอนเหนือสุดของจีน โดยจะไปเปลี่ยนรถที่ปักกิ่ง หลายครั้งที่เธอพยายามจะสื่ออะไรบางอย่างมาถึงฉัน แต่ปากกาเขียนหรือจะสู้ปากคนพูด บางครั้งใช้ร่วมทั้ง 2 อย่าง ก็ยังมิอาจเข้าใจได้ ฉันเข้าใจหัวอกของเธอยามจะสื่อกับใครแต่อีกฝ่ายไม่รับสารนั้นว่าชวนอึดอัดเพียงใด จนบางขณะความเงียบกลายมาเป็นทางออกที่เลี่ยงเสียไม่ได้

อยู่ๆเธอพยายามชวนฉันไปที่ไหนสักแห่งกับเธอ ฉันเดินตามเธอไป เธอพาฉันไปหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มเพื่อนสาว 3 คนของเธอที่นั่งอยู่ในขบวนรถไฟชั้น Hard Seat ซึ่งเป็นชั้นที่ต่างไปจากชั้นที่ฉันและลี่ชุนอยู่ ชั้นนี้จะเป็นที่นั่งเก้าอี้แบบพนักตรงหลังพิงชนกัน ที่แท้กลุ่มเพื่อนของเธอก็จะเดินทางไปเรียนต่อต่างเมืองเช่นกัน แต่ไม่ใช่เมืองเดียวกับลี่ชุน เพื่อนเธอคนหนึ่งในกลุ่มที่ชื่อว่าซงหลิง เธอพูดภาษาอังกฤษได้คล่องที่สุด ฉันจึงมักจะสนทนากับเธอมากกว่าคนอื่น

ได้ความจากซงหลิงที่พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่า ลี่ชุนรู้สึกอึดอัดมากๆ ที่ไม่สามารถสื่อสารกับฉันได้เข้าใจ เธอเลยพาฉันฝ่าข้ามรถไฟมาถึง 9 ขบวนเพื่อมาหาเพื่อนๆเธอที่นี่ ช่วยให้เป็นล่าม นับว่าไม่บ่อยครั้งนักที่ฉันจะได้เจอคนจีนที่พูดอังกฤษได้ ฉันเลยได้คุยกับซงหลิงเรื่องว่าทำไมคนจีนจึงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เธอให้คำตอบว่า

“จริงๆแล้ว คนจีนรุ่นใหม่ๆเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถม แต่ไม่ค่อยได้ฝึกพูดสนทนากัน เลยทำให้คนส่วนใหญ่พูดไม่ได้ แต่รู้ตัวหนังสือ อ่านได้เขียนได้”

ฉันว่าก็เหมือนคนไทย เรียนมาตั้งแต่เด็ก ป.1 แต่ส่วนใหญ่เด็กไทยจะขาดทักษะในการฟังและพูด

“แต่น้องพูดเก่งนะ หรือได้คุยกับคนต่างชาติบ่อย” ฉันเอ่ยปากชม
“ไม่ค่ะ ก็แค่พอพูดได้เอง” เธอยิ้ม
"แวร์ อาร์ ยู ฟรอม ?" เธอถามฉัน
"ไท่กว๋อ" ฉันตอบไป
“ไท่กว๋อ !!! ว้าวว ฉันอยากไปเที่ยวไท่กว๋อ ไท่กว๋อมีวัดสวย ทะเลสวย” ฟังแล้วฉันก็โชว์ยิ้มสยามกว้างๆให้ซะเลย
"แล้วพี่รู้จักดาราไท่กว๋อที่ชื่อเต้หรือเปล่า"
“เต้ ???” ฉันทวนคำกลับไป นึกไม่ออกว่าดาราไทยที่ชื่อเต้คนไหนที่ดังข้ามถิ่นมาถึงเมืองจีน ซงหลิงพยายามออกเสียงเน้นให้ชัดขึ้น จนฉันบรรลุว่า...
“เต๊ะ”

เต๊ะ ศตวรรษนี่เอง ฉันเองก็ได้ข่าวอยู่เหมือนกันว่าเขาข้ามน้ำข้ามทะเลไปโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงไต้หวันและจีน แต่ไม่คิดว่าจะดังขนาดนี้ ขนาดสาวๆที่นี่เอ่ยถึง นึกดีใจอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้ดาราจีนมาดังบ้านเราอยู่ฝ่ายเดียว นับว่าเสียดุลการค้าไปไม่น้อย ถึงคราวดาราบ้านเราไปดังบ้านเขาบ้าง จะได้ถอนดุลคืนกลับมาไม่มากก็น้อย

บ่อยครั้งที่ซงหลิงมักจะหันกลับไปคุยภาษาถิ่นกับพวกเพื่อนๆ ถึงภาษาจีนฉันจะไม่กระดิกแม้แต่น้อย แต่ฉันก็พอรู้ว่านั่นไม่ใช่สำเนียงพูดแบบจีนกลาง สังเกตุจากภาษากาย ก็พอจะเดาได้ว่าพวกเธอกำลังสนทนาในหัวข้อเกี่ยวกับตัวฉันเป็นแน่ ซงหลิงหันมาแปลความในใจของลี่ชุนให้ฉันฟังว่า

“ลี่ชุน รู้สึกเสียใจที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เธออยากจะสื่อสาร พูดคุยกับพี่ เธอบอกว่าไปเรียนต่อคราวนี้ จะพยายามฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ดี เพื่อที่ว่าจะได้สื่อสารกับพี่ได้”

ได้ฟังแล้วพลันก็เกิดความรู้สึกเหี่ยวแห้งในใจ นี่ถ้าฉันสามารถแปลงกายให้พูดภาษาจีนได้ จะจ้อแมนดารินกับเธอเป็นชุดๆเชียว กระนั้นแม้จะสื่อทางภาษายังไม่เข้าใจนัก แต่มิตรภาพสื่อถึงกันได้ด้วย "หัวใจ" เสมอ

หลังจากนั้นฉันกับลี่ชุนกลับไปนั่งที่ของตัวเอง ซงหลิงพยายามจะเดินมาหาลี่ชุนกับฉัน แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้มา เพราะเธอนั่งอยู่โซน Hard Seat จึงไม่สามารถเข้ามาในบริเวณ Hard Sleeper ได้ แต่พวกเราสามารถเดินเข้าไปหาเธอได้

ฉันนั่งบนรถไฟตลอดทั้งวัน มีเวลาเหลือเฟือให้ใช้สายตาสอดส่ายสำรวจผู้คนรอบข้าง รับรู้ถึงการเคลื่อนย้ายมวลสารไปมายามเมื่อรถไฟจอดที่สถานีเมืองใหญ่ๆ อย่างเช่นเมืองหนานชาง (Nanchang) หรือเมืองเจิ้นโจว (Zhengzhou) ตามประสาเมืองยิ่งขนาดใหญ่ คนขึ้นลงรถไฟก็ยิ่งมาก

ฉันมาถึงปักกิ่งในอีกวัน เลยเวลาขึ้นรถของเมื่อวานซะอีก อากาศที่เมืองปักกิ่งในเดือนกันยายนจัดว่าเย็นสบายถึงสั่น ต่างจากเมืองทางใต้ ที่ร้อนตับเกือบแตก ความรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟข้ามประเทศยังไงยังงั้น ฉันเอ่ยลากับลี่ชุนที่สถานีรถไฟ เธอกับคุณพ่อยังจะต้องจับรถไฟต่อไปยังเมืองฮาเอ่อร์บินซึ่งเป็นจุดหมายของทั้งคู่

สถานีรถไฟของปักกิ่งมีอยู่ 2 แห่ง คือสถานีรถไฟปักกิ่งซึ่งอยู่ใจกลางเมือง กับสถานีรถไฟปักกิ่งตะวันตก (Beijing Xi Railway Station) Xi แปลว่าตะวันตก ซึ่งเป็นสถานีที่ฉันกำลังอยู่ในตอนนี้ แค่ชื่อก็บอกแล้วฉันกำลังอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองปักกิ่งทางตะวันตก

ยามที่ฉันมาถึงเมืองใหญ่ทุกครั้ง จะเกิดอาการคล้ายๆกันคืออาการของคนที่พยายามควาญหาหลักยึดยามเมื่อกำลังจะจมน้ำ แค่สถานีรถไฟก็ใหญ่ซับซ้อน จนนึกไม่ออกว่าจะพาตัวเองออกไปจากที่นี่ยังไง เดินไปได้ซักระยะ ฉันก็พอจะเห็นหลักยึดอยู่ลางๆ เห็นประชาสัมพันธ์หมวยคนหนึ่งหน้าตายิ้มแย้ม ยืนคอยท่าให้คำแนะนำผู้โดยสารที่เดินทางมาถึง ฉันนึกหวั่นใจอยู่เล็กน้อยว่าจะต้องพูดแมนดารินกับเธอหรือเปล่า แต่โชคช่วยเธอพูดภาษาอังกฤษได้ ฉันถามทางไป “จัตุรัสเทียนอันเหมิน” ก็ได้รับคำแนะนำให้นั่งรถเมล์สาย 3 ไป

ฉันนั่งรถเมล์ไปเรื่อยๆ ทอดสายตาไล่เลียงดูเมืองปักกิ่งไปตามการเคลื่อนไหวของรถ จริงๆนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฉันที่มาเยือนปักกิ่ง ฉันเคยมาที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 2535 หรือเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ตอนนั้นแม้ว่าฉันจะยังเด็ก แต่หัวใจฝักใฝ่เรื่องเที่ยวนับว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มขั้น จึงพอจะร้องเพลงความทรงจำสีจางๆ ของปาล์มมี่ได้ว่า ...ปักกิ่งในตอนนั้นยังไม่มีตึกสูงเสียดฟ้ามากมายแบบนี้ แต่จะเป็นตึกไม่สูงมากนัก กระจัดกระจายอยู่ห่างๆกัน อาคารบ้านเรือนดูเป็นสีเทาๆทึมๆ

“ปักกิ่งในตอนนี้ดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากๆ !! “

อะแฮ่ม ..รู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก ที่มีโอกาสได้พูดประโยคนี้กับตัวเอง หลังจากที่มักจะตกเป็นฝ่ายรับสารจากปากนักท่องเที่ยวเชี่ยวประสบการณ์ทั้งหลาย ที่มักจะเล่าให้ฟังยามเมื่อพวกเขาเดินทางไปเยือนเมืองใดๆมากกว่า 1 ครั้งขึ้นไป

นั่งไปได้สักพัก ฉันเหลือบไปเห็นบริเวณลานกว้างโล่ง มองไปจนสุดลูกตาเห็นตึกกำแพงสีแดงๆ พลัน สายตาก็ไปสะดุดตรงรูปประธานเหมาแปะเด่นหราอยู่ตรงกลาง แค่นี้ก็เหมือนป้ายบอกแล้วว่า ที่นี่คือจัตุรัสเทียนอันเหมิน ฉันเดินท่อมๆลงจากรถและเดินเท้าต่อไปยังโรงแรมที่ได้เลือกไว้แล้วจากไกด์บุ๊ค โรงแรมที่นี่แต่ละแห่งจะห่างกันเป็นกิโลๆ ฉันจึงยึดคติเลือกที่ไหนต้องพักที่นั่น ระยะทางที่ไกลบวกกับน้ำหนัก 10 กิโลกว่าที่ทับหลังฉันจนค่อมอยู่เวลานี้ ฉันจึงต้องการที่ที่จะปลดพันธนาการนี้ออกไปให้พ้นโดยด่วน

โรงแรมที่พักชื่อว่า Far East Youth Hostel จากเทียนอันหมิน ฉันต้องเดินไปร่วมชั่วโมง กับระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร แถมจุดที่ตั้งของโรงแรม หลบเร้นอยู่ในซอยเล็กๆ ทำเอาฉันเดินหลงทิศหลงทางอยู่หลายนานกว่าจะคลำทางจนเจอ ชื่อฟังดูอินเตอร์ขนาดนื้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าจะป๊อปปูล่าในหมู่แบ็คแพ็คเกอร์ชาวตะวันตกแค่ไหน ห้องพักเป็นห้องดอร์มอยู่กัน 6 คน ได้มาตรฐานฝรั่งเป๊ะ


หูถงย่านใกล้ๆที่พัก


รถเข็นขายอาหารใกล้ๆที่พัก

บรรยากาศรอบๆโรงแรมเป็นบ้านเรือนเก่าๆที่อยู่ในเขตที่เรียกว่า “หูถง” (Hutong) ในภาษาจีน หมายถึงตรอกซอกซอยที่เป็นย่านเมืองเก่าของปักกิ่งนั่นเอง “หูถง” ยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ ชุมชนหรือย่าน

ขอเกริ่นถึงที่มาของคำว่า “หูถง” ก่อน เริ่มจากสมัยที่ชาวมองโกลซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือบุกเข้ามาริดรอนอำนาจของจีน และตั้งปักกิ่งขึ้นเป็นเมืองหลวง ชาวมองโกลก็นำเอาวิถีชีวิตกับภาษาเข้ามาเผยแพร่ ทั้งการขี่ม้า การขุดบ่อน้ำ และการทำรางน้ำไว้ให้ม้าดื่ม (ภาษามองโกลเรียกว่า hut หรือ hot) ต่อมาชาวปักกิ่งได้ปรับเปลี่ยนบ่อน้ำของชาวมองโกล มาเป็น “หูถง” ในแบบจีนแทน โดยมีการสร้างบ้านรอบๆรางน้ำเหล่านี้เพื่อประโยชน์ใช้สอย และมีการก่อกำแพงขึ้นบนพื้นที่แคบๆ เพื่อคั่นกลางและแบ่งแยกบ้านแต่ละหลังเพื่อความเป็นส่วนตัว “หูถง” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากจุดนี้

บ้านของคนจีนในสมัยโบราณจะมีลานบ้านกว้างขวาง ต่อมาเมื่อมีคนมากขึ้น พื้นที่ลานบ้านต้องถูกแบ่งแจกจ่ายสำหรับหลายครอบครัว พื้นที่สำหรับ 1 ครอบครัวแต่เดิม ต้องแบ่งใช้สำหรับ 5 ครอบครัว (หรืออาจมากกว่า) ร่วมกัน จึงเกิดสัมพันธภาพขึ้นเป็นชุมชน หรือที่เรียกว่า “หูถง” และขยายวงออกไปจนสลับซับซ้อนเช่นในปัจจุบัน บ้านเรือนในเขตหูถงยังคงสไตล์ในแบบบ้านทรงจีนแบบโบราณ การออกแบบเรียบง่ายเน้นประโยชน์ใช้สอย เน้นใช้สีออกไปทางสีเทา ทึมๆ มีถนนแคบๆที่กว้างไม่เกิน 9 เมตรคั่นกลาง ว่ากันว่าในสมัยก่อนถนนจะแคบมากขนาดเพียงม้า 1 ตัววิ่งผ่าน ชื่อของแต่ละ “หูถง” บอกเล่าถึงเรื่องราววิถีชีวิตของผู้คนในย่านนั้นๆ เช่นบอกถึงอาชีพหรืองานช่างฝีมือ อาทิ ตรอกสายธนู ตรอกผ้า ตรอกหมวก ตรอกบางสายที่มีคนแซ่เดียวกันอาศัยอยู่รวมกัน ชื่อแซ่ก็จะกลายเป็นชื่อตรอกไปโดยปริยาย

เมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษที่ 20 การปรับปรุงต่อเติมบ้านหรือการสร้างบ้านใหม่ๆ ถูกทำอย่างไร้ทิศทาง บ้านในแบบดั้งเดิมถูกรื้อถอนนำไปใช้เป็นพื้นที่สำหรับตัดถนนและสร้างแหล่งธุรกิจ นับวัน “หูถง” กำลังค่อยๆสูญหายไปกับกาลเวลา กระนั้น แม้ปักกิ่งในปัจจุบันจะกลายเป็นเมืองที่มีกลิ่นอายของความทันสมัย เต็มไปด้วยตึกระฟ้ามากมาย แต่เมื่อไรที่เดินพลัดเข้าไปในตรอกเล็กๆ บรรยากาศจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อาคารแบบเก่าๆ และวิถีชีวิตดั้งเดิม ยังพอมีให้เห็นให้สัมผัสแม้จะน้อยลงเต็มทีก็ตาม

พูดถึงรูปร่างหน้าตาของผู้คนที่นี่ ฉันก็อดแปลกใจอยู่ไม่น้อย ฉันได้แวะเวียนเดินทางไปเมืองจีนทางตอนใต้ โดยเฉพาะแถบๆ มณฑลกวางตุ้งและเกาะฮ่องกง อยู่หลายครา ถึงจะไม่รู้จักแต่ก็มักคุ้นกับโครงหน้าของผู้คนแถบนั้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อต้องเดินทางขึ้นเหนือแบบรวดเดียวมาถึงปักกิ่ง หน้าตาของผู้คนที่นี่ออกจะดูแปลกตาไปอย่างชัดเจน ฉันจับเค้าโครงของรูปหน้าที่มีโหนกมีสันมากขึ้น จมูกโด่ง ตาเรียวเล็กแต่ลึก แถมรูปร่างสูงใหญ่ นี่คงเป็นรูปพรรณของผู้คนที่สืบเชื้อสายมองโกลอยด์ทางตอนเหนือกระมัง อีกทั้งปักกิ่งเองก็เคยเป็นเมืองของชาวมองโกลมาก่อน ส่วนผู้คนทางใต้หน้าตาจะดูคล้ายกับคนจีนในบ้านเรา อาจเนื่องมาจากครอบครัวชาวจีนในเมืองไทยสืบรุ่นขึ้นไปซัก 2-3 รุ่น ก็เสื่อผืนหมอนใบมาจากทางแถบตอนใต้ของจีนเป็นส่วนใหญ่ อาทิ มณฑลกวางตุ้ง มณฑลฝูเจียน หรือเกาะไหหลำ หน้าตาผู้คนแถบทางนี้จึงดูคุ้นตามากกว่า

......


ประตูเทียนอันเหมินพร้อมรูปเหมาเจ๋อตง

1 ตุลาคม ค.ศ.1949 เหมาเจ๋อตงยืนประกาศก่อตั้งประเทศ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” อย่างยิ่งใหญ่ จากแนวระเบียงเหนือประตูเทียนอันเหมิน จากเหตุการณ์นี้ประตูเทียนอันเหมินแห่งนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนนับตั้งแต่นั้นมา เดิมทีประตูนี้สร้างมาจากเครื่องไม้ สร้างขึ้นในต้นศตวรรษที่ 15 ประตูที่เห็นในปัจจุบันได้สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1651

ถัดมาอีก 57 ปี ฉันกำลังเดินฝ่าลมที่โหมพัดแรงและหนาวเหน็บบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน พื้นที่เปิดโล่งกว้างเปิดโอกาสให้กระแสลมหนาวบาดลึกซัดกระหน่ำเข้ามาปะทะจนหน้าชา ฉันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ารูปเหมือนของประธานเหมา ที่ประดับอยู่บนแนวกำแพงเหนือประตูเทียนอันเหมิน เมื่อได้มองสบสายตากับเขา ฉันสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง แผ่รัศมีแห่งอำนาจอันทรงพลัง เหมือนจะประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองเหนือประเทศผืนมหึมาผืนนี้ ฉันอดทึ่งไม่ได้ว่าเขานำพาตัวเองไป (แขวน) อยู่ ณ.จุดนั้นได้อย่างไรกัน

เดินเตร่ๆอยู่บริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน มองดูอาคารและประติมากรรมต่างๆที่อยู่รายล้อมจัตุรัสแห่งนี้ พื้นที่แห่งนี้ ทางการได้ขยายจัตุรัสออกไปให้มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม จุคนได้มากถึง 1 ล้านคน จัตุรัสแห่งนี้เคยเป็นฉากเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองหลายครั้ง อย่างในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966 – 1976) ที่นี่เป็นที่ชุมนุมพลของบรรดาเรดการ์ด และในช่วงปีค.ศ. 1989 ที่แห่งนี้ยังเป็นที่ชุมนุมประท้วงของพวกนักศึกษา จนเกิดการเสียเลือดเสียเนื้อไปเป็นจำนวนมาก

…..

ปักกิ่งกับจักรยาน ถือเป็นของคู่กันมาเป็นเวลาช้านาน จักรยานยังคงเป็นพาหนะคู่กายยอดนิยมของผู้คนที่นี่ จักรยานที่นี่มีมากเป็นหน่วยล้านคัน เมื่อมองไปอาณาบริเวณรอบๆตัว จะต้องมีจักรยานอย่างน้อย 1 คันวิ่งเข้ามาปะทะสายตาแทบทุกนาที ที่พิเศษอีกอย่างคือถนนที่นี่จะมีเลนที่จัดเฉพาะให้สำหรับจักรยาน ถนนกว้างโปร่ง ปริมาณรถยนต์บนถนนยังไม่หนาตานัก ไม่แออัดแม้ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน

อาจจะสำหรับฉันคนเดียว มาถึงปักกิ่งแล้วไม่ได้ขี่จักรยาน จะพูดว่ามาถึงปักกิ่งได้อย่างไรกัน ไอเดียดังกล่าวนี้ถูกเน้นคำหนา หลังจากที่ฉันมีโอกาสได้ชมหนังเรื่อง “Beijing Bicycle” (2001) โดยผู้กำกับ Xiaoshuai Wang หนังดราม่าที่นำเสนอเรื่องเกี่ยวเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำงานเป็นคนส่งจดหมายที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิต ต่อมานายจ้างของเขาได้มอบจักรยานคันใหม่เอี่ยมให้แก่เขา โดยหักค่าจักรยานจากเงินเดือน ซึ่งทำให้ชีวิตของเขาสะดวกสบายขึ้น สามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้โดยจักรยาน แต่ต่อมาจักรยานถูกขโมยไป เขาใช้วิธีเดินงมจักรยานในมหานครแห่งนี้ ที่ซึ่งจักรยานมีอยู่มากมายหลายล้านคัน การไล่ล่าค้นหาจักรยานทำให้หนังนำเสนอสถานที่ต่างๆในกรุงปักกิ่งแบบฉากต่อฉาก เน้นหนักไปในการถ่ายภาพเมืองเก่าๆในเขตหูถง ภาพที่ออกมาจึงดูเก่า ขลังและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของชาวปักกิ่ง

วิญญาณของหนังกำลังเข้าสิงจนได้ที่ ฉันไปถอยจักรยานจากร้านให้เช่าบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน กะขี่จักรยานทำตัวกลมกลืนไปกับผู้คน และซึมซับบรรยากาศโดยรอบปักกิ่ง โดยเฉพาะบรรยากาศเก่าๆในเขตหูถง เริ่มจากขี่ชมรอบๆจัตุรัสเทียนอันเหมินเอาฤกษ์เอาชัย จากนั้นฉันก็เริ่มขี่ลัดเลาะไปรอบๆพระราชวังต้องห้าม พื้นที่โดยรอบเขตโบราณสถานของที่นี่กว้างขวางและบรรยากาศร่มรื่น สำหรับให้จักรยานคันน้อยๆของฉันวิ่งไปได้อย่างสบายล้อ

ฉันขี่ไปตามถนนที่ขนานแนวไปกับกำแพงสูงตระหง่านของพระราชวังต้องห้าม จินตนาการไปตามประสา ถ้าย้อนเวลากลับไปซักร้อยกว่าปีก่อน ฉันคงกำลังนั่งเกี้ยวโดยมีกระทาชายหลายนายร่วมแรงกันแบก วิวจากบนเกี้ยวบวกแรงยกที่เหวี่ยงไปมาจากคนแบก คงเป็นความรู้สึกที่พิศวงแฝงมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก

การปั่นจักรยานยลรอบๆเมืองปักกิ่ง ถือเป็นวิธีหนึ่งที่จะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบเก่าๆได้โดยตลอดเส้นทางที่ผ่าน ฉันปั่นไปตามถนนหลักใหญ่ เลี้ยวเลาะเข้าไปในตรอกเล็กๆ ซึ่งก็คือหูถงนั่นเอง แต่ละตรอกจะมีป้ายชื่ออยู่ตรงหน้าปากตรอก ภายในหูถง บ้านเรือนยังคงรูปแบบดั้งเดิม และจะมีตรอกย่อยๆแตกแขนงออกไปมากมาย จนชวนหลงอยู่ไม่น้อย ตัดจากหูถงหนึ่งมาออกอีกหูถงหนึ่ง แล้วตัดออกมาถนนใหญ่อีกครั้ง ผ่านสวนสาธารณะร่มรื่น ฉันมีหลงทางอยู่บ้างจากชื่อหูถงซึ่งมีอยู่มากมายจนทำให้สับสน และบางชื่อก็ไม่ปรากฎอยู่ในแผนที่ที่ฉันมีอยู่ ต้องควาญหาอยู่นาน


ซอกซอยในหูถง


อีกมุมหนึ่งของหูถง

ปั่นไปอีกสักระยะก็ไปถึงเป๋ยไห่ฮู (Beihai Lake) เป็นทะเลสาบบรรยากาศร่มรื่น ขนาดไม่ใหญ่นัก ขาฉันเริ่มประท้วงให้หยุดพัก ฉันนั่งพักอยู่สักพัก จึงค่อยๆเดินจูงจักรยานไปรอบๆทะเลสาบ บรรยากาศชวนให้คิดถึงคนข้างๆที่อยากให้มาร่วมจูงจักรยานเดินด้วย ในย่านนี้จะเห็นร้านค้าและร้านอาหารที่เน้นขายคนต่างถิ่นอยู่มากมาย ฉันรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกทั้งหลายคับคั่งในบริเวณนี้

จากทะเลสาป ฉันลัดเลาะไปตามเส้นทางสู่เขตหูถงอีกแห่ง แต่บรรยากาศออกไปทางตรอกข้าวสารบ้านเรา บ้านเก่าๆถูกนำมาปรับเปลี่ยนเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านขายงานศิลปะ ร้านอาหาร พลันสายตาฉันก็ไปสะดุดกับรถเข็นขายมันเผา ที่โดนใจฉันเป็นพิเศษคือมันเผาที่นี่ไม่ได้ใช้ตะแกรงเผา แต่ใช้ภาชนะคล้ายถังแล้วเผารมความร้อนอยู่ภายใน แล้วนำมันมาวางเผาบนภาชนะนั้น รถชาติหอมหวานอย่าบอกใคร


มันเผาที่ว่า


กู่โหลวหรือหอกลอง

ฉันปั่นมาจนถึง กู่โหลว (Drum Tower) และ จงโหลว (Bell Tower) ซึ่งเป็นหอขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางวนเวียนถนน หอกลองสร้างขึ้นในสมัยกุบไลข่านแห่งราชวงศ์หยวน หันเข้าหาพระราชวังหลวงที่อยู่ห่างลงมาใต้ 3 กิโลเมตร ส่วนหอระฆังนั้น ตั้งอยู่ติดกับหอกลอง สร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1747 มีความสูง 33 เมตร หอกลองแต่เดิมมีกลองยักษ์ตั้งอยู่ 24 ใบใช้ตีบอกเวลาเปิดปิดประตูเมืองและเวลาเปลี่ยนเวรยามในยามค่ำคืน ฉันเดินขึ้นไปบนหอกลอง ข้างบนจะเห็นทิวทัศน์บ้านเรือนแบบจีนโบราณในละแวกโดยรอบ

จากนั้นก็ปั่นมาถึงหูถงอีก 2 แห่งคือ เหมาเอ๋อหูถง และ เป๋ยปิงหูถง ซึ่งเป็นย่านที่เป็นบ้านแบบเก่า แต่มีขนาดใหญ่และมีลานบ้านกว้างขวาง คาดว่าคงเป็นบ้านของผู้ดีมีฐานะในสมัยก่อน ปัจจุบันก็ยังคงใช้เป็นที่อยู่อาศัย และบางหลังก็จัดเป็นพิพิธภัณฑ์


จักรยานกับย่านหูถง

ฉันเปลี่ยนทิศลงใต้ปั่นกลับไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน ระยะทางใช่น้อย ขาจึงถูกบั่นทอนกำลังลงไปมากจนเริ่มประท้วงอีกครั้ง คราวนี้ต้องหยุดนั่งพักอยู่พักใหญ่ พอขาเริ่มหายเหนื่อยจึงปั่นต่อลงไปด้านทิศใต้ไปยังสถานที่ที่น่าสนใจอีกแห่งคือ เทียนถาน (Temple of Heaven) พื้นที่ภายในค่อนข้างกว้างมากๆ ให้ขาเปลี่ยนหน้าที่จากปั่นมาเป็นเดินแทนบ้าง


เทียนถาน

เทียนถานเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นเพื่อบูชาและเซ่นไหว้ต่อเทพแห่งสวรรค์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1420 ในสมัยราชวงศ์หมิง แม้แต่จักรพรรดิซึ่งเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ยังไม่สร้างพระราชวังต้องห้ามให้มีขนาดใหญ่กว่าเทียนถาน ซึ่งถือเป็นที่สถิตของเทพแห่งสวรรค์ ทางด้านทิศเหนือมีสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นหอสูง 3 ชั้น มีรูปทรงกลม ซึ่งถือสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของเทียนถาน ถูกสร้างเพื่อเป็นที่กราบไหว้เทพเจ้าเพื่อขอให้เพาะปลูกได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ประกอบด้วยเสามากถึง 28 เสา หลังคาจะใช้สีดำ เหลือง และเขียว โดยมีความหมายถึงสวรรค์ โลก และสรรพสิ่งบนโลก ทางด้านทิศใต้จะมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นแท่นบูชาขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นวงกลม ล้อมรอบด้วยระเบียง 3 ชั้นที่ทำจากหินอ่อน เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิจะทำการเซ่นไหว้ต่อสวรรค์ ซึ่งจะกระทำในช่วงฤดูหนาวของทุกปี เป็นพิธีขอบคุณสรวงสวรรค์ และเพื่อเป็นสิริมงคลในอนาคต

จากนั้นก็ปั่นกลับไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน ถือเป็นการจบทัวร์จักรยานที่ใช้เวลาไปแบบคุ้มค่า 1 วันเต็มๆ ทำให้เห็นแง่มุมต่างๆของปักกิ่งได้เป็นอย่างดี แม้ว่าขาจะต้องรับภาระหนัก (ไปหน่อย) ก็ตาม

…..

...เสียงฝีเท้าของเหล่าม้าองครักษ์ดังขึ้นเป็นจังหวะ เหล่าคนแบกเกี้ยวจัดวางเกี้ยวไว้เตรียมรอท่า องครักษ์เปิดผนึกสาสน์จากพระนางหมื่นปี ที่มีรับสั่งให้นำองค์ชายตัวน้อย – ปูยี เข้าเฝ้า พระมารดาอุ้มองค์ชายปูยีส่งต่อให้นางกำนัลที่นั่งรออยู่แล้วในเกี้ยว เหล่าทหารองครักษ์ห้อม้า เหล่าคนแบกเกี้ยวสดับเท้า มุ่งสู่เขตพระราชวังหลวงอันเป็นดินแดนต้องห้าม ณ. ที่แห่งนี้ พระราชวังอันมลังเมลืองตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า มีฝูงอูฐพาหนะของกษัตริย์ยืนระเกะระกะ กลุ่มพระลามะสวดดังเป็นจังหวะ เกี้ยวถูกเคลื่อนตัวมาเรื่อยๆจนมาถึงพระราชฐานชั้นใน องค์ชายปูยีตัวน้อยเดินประหม่าเข้าไปในเขตท้องพระโรงอันรโหฐาน ได้ยินเสียงพระนางหมื่นปีที่ฟังดูช่างน่าเกรงขามดังกังวาลไปทั่วท้องพระโรง ปูยีเดินสั่นเทาเข้าไปใกล้ พระนางหมื่นปีประทับอยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางเหล่าสนมกำนัลและเหล่าขันทียืนอยู่รายล้อม พระนางตรัสกับปูยี “…เจ้าจะต้องเป็นโอรสแห่งสวรรค์” สิ้นเสียงลงพร้อมๆลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพระนาง....

ฉันหลับตานึกถึงภาพในหนังเรื่อง The Last Emperor (1988) หนังของผู้กำกับ Bernardo Bertolucci หนังที่ชุบชีวิตพระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) เมื่อ 100 ปีก่อน ให้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกหน ฉากที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณเหล่านี้ ยังคงติดตาและฝังลึกอยู่ในใจฉันเรื่อยมา และวันนี้ฉันได้มายืนอยู่ตรงหน้าพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนต้องห้าม ดินแดนลึกลับ และดินแดนที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรที่เรืองอำนาจเหนือแผ่นดินทั้งปวง

...ย้อนกลับไปไกลกว่าเมื่อ 600 ปีก่อน ทันทีที่เสียงย่ำกลองดังขึ้นเป็นจังหวะจากกู่โหลว (Drum Tower) ในยามรุ่งสาง ซึ่งเป็นชั่วยามที่ทหารยามจะต้องมาเปลี่ยนเวร ข้าราชสำนักแมนจูในเขตเมืองหลวงจะรีบตื่นลุกจากเตียงมาล้างหน้าแต่งตัว ขึ้นเกี้ยวไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิที่ “กู้กง” หรือ “พระราชวังต้องห้าม” โดยมีขันทีเป็นผู้พาไปยืนประจำตำแหน่ง ขุนนางทุกคนจะน้อมรับฟังคำสั่งขององค์จักรพรรดิด้วยความสงบสำรวม

“จักรพรรดิหย่งเล่อ” ทรงย้ายมาประทับในพระราชวังหลวงแห่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 1421 หลังการก่อสร้างที่ยาวนานถึง 17 ปี พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง (ราชวงศ์แมนจู) ที่ปกครองสืบต่อกันมารวมกันถึง 24 พระองค์ รวมระยะเวลาเกือบ 500 ปี ภายในพื้นที่ 170 เอเคอร์ ประกอบด้วยหมู่ห้องหับ 8,706 ห้อง มีคนพำนัก 8,000 ถึง 10,000 คน ขันที 3,000 คน ที่เหลือเป็นเหล่านางใน สนมกำนัลทั้งหลาย ชีวิตที่อยู่หลังกำแพงที่สูงกว่า 10 เมตร และคูน้ำที่กว้างกว่า 50 เมตรนี้ อยู่ภายใต้กรอบระเบียบ พิธีการ และกฎเกณฑ์ ในราชสำนักที่สามัญชนไม่อาจล่วงล้ำเข้ามาได้ ....

จนเมื่อมีการสถานปนา “สาธารณรัฐจีน” ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1911 พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ก็ไม่ใช่ที่ประทับและศูนย์กลางของอาณาจักรจีนอีกต่อไป


ด้านหน้าพระราชวังต้องห้าม

ในปี ค.ศ. 2006 พระราชวังต้องห้ามคลาคร่ำไปด้วยคลื่นมนุษย์ทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติ จนแทบไม่มีพื้นที่ปลอดผู้คน ตอนซื้อตั๋ว ฉันเกิดอาการสับสนขึ้นมาเพราะตรงช่องขายตั๋ว เห็นป้ายติดหราว่า “Palace Museum” โดยงุนงงว่านี่ช่องขายตั๋วพระราชวังต้องห้ามหรือเปล่า เห็นคนยืนเรียงคิวยาว ก็น่าจะใช่ ฉันเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้กันแล้ว (สงสัยตกยุค) ชื่อนี้ไม่ค่อยโดนใจฉันเท่าไหร่ ด้วยฟังดูเหมือนเข้าไปดูของจัดโชว์ ชอบชื่อ “Forbidden City” มากกว่า ฟังดูลี้ลับ ลึกลับ ชวนเข้าไปสัมผัสมากกว่าเป็นไหนๆ

ยามเมื่อต้องเดินผ่านประตูโค้งรูปเกือกม้าเป็นทางยาวอุโมงค์มืด แต่พอเห็นได้ลางๆ ฝูงชนจำนวนมหาศาลถูกบีบให้เข้ามาเบียดเสียดจนแทบจะเสียดสีกัน ฉันปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามคลื่นฝูงชน จนเมื่อใกล้จะพ้นประตู ผู้คนจึงเริ่มกระจายตัวกันไปคนละทิศคนละทาง ทันใดนั้นแสงจากภายนอกค่อยๆสาดส่องเข้ามากระทบสายตาเผยโฉมหน้าของพระราชวังที่ยิ่งใหญ่อลังการขึ้นทีละน้อยๆ วินาทีนั้นฉันถึงกับเตลิดออกไปสู่ห้วงแห่งจินตนาการราวกับต้องมนต์สะกด


หลังคาทองอร่ามของพระราชวังต้องห้าม

ฉันเดินชมภายในพระราชวังด้วยหัวใจพองโต แม้พระราชวังแห่งนี้จะไร้ชีวิต แต่ยังสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณ บวกกับจินตนาการที่รับถ่ายทอดมาจากฉากหนัง The Last Emperor ผลักดันให้เรื่องราวต่างๆเมื่อครั้งอดีต ถูกกลั่นออกมาเป็นฉากต่อฉากดำเนินอยู่ตรงหน้าฉันราวกับภาพจริง ใครที่จะมาที่นี่ แนะนำอย่างยิ่งยวดให้ไปหาหนังเรื่อง The Last Emperor มาดู เพื่อสัมผัสและการรับรู้มากกว่าเพียงตาเห็น


ยิ่งใหญ่ ตระการตา เต็มไปด้วยผู้คน

ด้วยขนาดพื้นที่ที่กว้างขวาง ทำเอาฉันต้องเดินจน “ขาลาก” ขาบวมๆของฉันยังรับบทหนักเช่นเคย ฉันต้องเดินขึ้นลงบันได เดินเข้าพระตำหนักที่แต่ละแห่งมีรายละเอียดต่างๆยิบย่อยมากมาย เกินกว่าจะเดินชมได้อย่างครบถ้วน พื้นที่ถูกจัดเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนจะจัดวางเป็นแปลนรูปสี่เหลี่ยม และแต่ละส่วนจะมีพระตำหนักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ โดยพระตำหนักแต่ละหลังจะมีหลังคาสีทองอร่ามและจะยิ่งดูมลังเมลืองยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์ มีการแกะสลักเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆตามขอบหลังคา ส่วนลายสลักเป็นรูปตัวมังกรมักจะเห็นอยู่ตามจุดต่างๆทั่วไปทั้งประตู ผนัง เพดาน โดยเฉพาะภาพสลักจากหินเป็นตัวมังกรขนาดใหญ่ตรงบันไดทางขึ้นพระตำหนัก ดูวิจิตร งดงามมาก


รูปสลักหินลายมังกร

นอกจากนี้ยังมีส่วนที่จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ มีการจัดแสดงเครื่องแบบองครักษ์ เครื่องแต่งกายของขุนนาง ขันที สนม ไปจนถึงฉลองพระองค์ของจักรพรรดิ พระชายาและราชนิกูล และยังจัดแสดงวิดิทัศน์จำลองภาพพระราชวังต้องห้ามอีกด้วย ฉันนึกเสียดายอยู่ไม่น้อย ช่วงที่ไปมีการซ่อมแซมอาคารพระตำหนัก 2 แห่ง และปิดไม่ให้เข้าชม

…..

มาปักกิ่งคราวนี้ ได้ข้อสรุปที่เห็นตรงกันทุกวันว่าไม่มีอวัยวะใดจะทำงานหนักเท่ากับ “ขา” อีกแล้ว แม้ว่าจะมีรถไฟใต้ดินหรือเมโทร แต่ดูเหมือนสถานีรถไฟแต่ละแห่งดูจะไม่ค่อยเป็นใจให้นักท่องเที่ยวขาเล็กๆบวมๆคนนี้ ให้ได้เดินใกล้ๆซักเท่าไหร่ รถไฟใต้ดินที่นี่จะเก็บค่าบริการเพียง 2 หยวนตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะไปไกลใกล้แค่ไหน บรรยากาศเห็นได้ชัดเจนว่า “เก่า” เนื่องจากสร้างมานานแล้ว แต่ยังใช้งานได้ดีอยู่ ฉันมักจะใช้ม้าเหล็กดำดินรุ่นเก่านี้ เดินทางไปมาระหว่างจัตุรัสเทียนอันเหมิน โรงแรม สถานีรถไฟ สถานทูตปากีสถาน (ทำวีซ่า) และถนนหวังฟูจิง

ถนนหวังฟูจิงเป็นถนนแหล่งศูนย์การค้าและแหล่งนัดพบของหนุ่มสาวที่นี่ แสงสีตื่นตาตื่นใจ ฉันมักจะใช้เป็นที่เดินเล่นยามเย็น และที่ถูกใจฉันอีกอย่างคือบริเวณที่มีร้านอาหารในลักษณะเป็น “เพิง” ขายอาหารแบบซื้อแล้วเดินถือกิน อาจไม่ใช่ธรรมเนียมแบบไทยๆ ที่อาจารย์สมัยเด็กของฉันย้ำสอนมาตลอด ฉันยังจำประโยคของอาจารย์ได้ขึ้นใจว่า “ไม่เดินดื่ม เดินกิน เป็นเดินแดก” ฉันแอบต่อท้ายว่า “ให้นั่งแดก” กระนั้นนั่นคงไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติของผู้คนที่นี่ที่ใช้พื้นที่บริเวณนี้ยึดหัวหาดสำหรับอาหารเย็นแบบเดินกิน ฉันขอขัดคำสั่งอาจารย์ตามน้ำไปกับพวกเขาด้วยคน ก็อาหารออกจะดึงดูดสัมผัสทั้งรูป กลิ่น แม้แต่เสียง จนอดที่ไม่ได้ที่จะขอพิสูจน์รส ของยั่วน้ำลายมีตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวชามน้อยๆ ของปิ้งเสียบเป็นไม้ๆ อย่างเนื้อปิ้ง เนื้อแกะปิ้ง ปลาหมึกปิ้ง ข้าวโพดปิ้ง อาหารมุสลิมพวกคาบับหอมกลิ่นเครื่องเทศ และที่ถูกใจฉันเป็นพิเศษคือผลไม้เคลือบน้ำตาล โดยเอาผลไม้อย่างแอปเปิ้ล กีวี่ ลูกไหน สัปปะรด องุ่น เสียบเป็นไม้แล้วนำไปจุ่มลงในหม้อที่เคี่ยวน้ำตาล จนน้ำตาลจับตัวแข็งเป็นเปลือกหุ้มผลไม้

ฉันได้ไปจองตั๋วรถไฟที่สถานีรถไฟกลางเมือง เห็นบรรยากาศแล้วนึกว่าผู้คนเข้าแถวรอซื้อตั๋วคอนเสิร์ต คนยืนเรียงคิวยาวเหยียด ฉันกำลังจะซื้อตั๋วรถไฟเดินทางต่อไปยังจุดหมายถัดไป คือเมืองผิงเหยา เมืองโบราณของจีนอีกแห่ง ไปถึงเหลือแต่ตั๋วชั้น Hard Seat ที่เป็นชั้นเก้าอี้พนักตรงหลังพิงชนกัน ฉันทำได้แต่มองดูตั๋วใบนั้นแล้วยิ้มแห้งๆ

ฉันกำลังรุดหน้าไปยังสถานีรถไฟ เวลาที่ตั๋วบอก 18:30 ฉันเหนื่อยหอบวิ่งสุดชีวิตไปยังชานชาลารถไฟ แต่ก็ไปถึงรถไฟก่อนเวลาออกตั้ง 10 นาที เฮ้อ เกือบไปซะแล้ว!!!



หมายเหตุ : ชื่อปักกิ่ง ถ้าออกเสียงตามภาษาจีน ต้องอ่านว่า “เป่ยจิง” แต่ขอเรียก “ปักกิ่ง” เพื่อความสะดวกและคุ้นเคยมากกว่า




Create Date : 13 เมษายน 2550
Last Update : 21 เมษายน 2550 17:09:12 น. 11 comments
Counter : 1082 Pageviews.

 
อยากไปจัง


โดย: meaw_1985 วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:7:39:13 น.  

 
ตอนนี้มีเวลาน้อยพราะมาเยี่ยมญาติสามี เลยมาใช้เน็ตของหลาน เรื่องราวน่าสนใจมากค่ะ อ่านยังไม่จบ

ที่เคยไป ลืมไปหลายที่ว่าเรียกว่าอะไร เช่น เทียนถาน นึกตั้งนาน ตอนไปลืมจดไว้ ไว้ถ้าเอารูปเก่ามาลงบ้าง จะรบกวนถามนะคะ

ถ่ายรูปสวยมากค่ะ เรื่องเล่าดี สนุก น่าติดตาม และจะกลับมาอ่านรายละเอียดอีกครั้งค่ะ

สุนสันต์วันปีใหม่ไทยนะคะ


โดย: ภ.สำเภากางใบ วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:13:12:57 น.  

 
ขอบคุณค่ะที่แวะมาเยี่ยมชมนะค่ะ

คุณภ.สำเภากางใบ ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์สละเวลาอ่าน ยาวหน่อยค่ะ

ยังไงก็มาแชร์รูปกันได้ค่ะ แต่เราก็ไม่ได้ไปหลายที่เหมือนกัน เพราะมีเวลาแค่ 2 วัน พระราชวังฤดูร้อนก็ไม่ได้ไปค่ะ เห็นในรูปก็สวยดีค่ะ

สุขสันต์วันสงกรานต์เช่นกันค่ะ


โดย: candy เจ้าของบล๊อคแต่ล๊อคอินไม่ได้ IP: 125.25.205.172 วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:15:24:08 น.  

 
อยากอ่านเป็นเล่มจังอ่ะ พิมพ์เป็นเล่มขายได้ป่าว
ไอ้มันที่ว่านี่ เราชอบสุดๆ ช่วยชีวิตมาหลายครั้งแล้ว ตอนหน้าหนาวหนะ ซื้อแล้วก็ยัดใส่พุง อุ่นดี เหอๆๆ


โดย: ริมยมนา วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:18:02:20 น.  

 
อ่านแล้วเพลินมากเลยค่ะ
เก่งนะคะ พูดจีนไม่ได้แต่ลุยเดี่ยวคนเดียว

เห็นมันเผาแล้วคิดถึงจัง ไม่เคยกินมันเผาที่ไหนได้อร่อยเท่าที่ปักกิ่ง แต่จำได้แม่นเลยว่าตอนที่ซื้อกินครั้งแรกโดนคนขายฟันหัวแบะโทษฐานที่เป็นคนต่างชาติ...


โดย: narellan วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:19:55:30 น.  

 
ขอบคุณค่ะที่แวะมาบล๊อคเรานะค่ะ

คุณริมยมนา เรื่องพิมพ์เป็นเล่ม ก็สนใจอยู่เหมือนกันค่ะ มันที่นั่นอร่อยจริงๆ อยากกลับไปกินอีกจัง อิอิ

คุณ narellan ขอบคุณค่ะ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดซื้อมาอันละ 2 หยวนค่ะ เราชี้ๆไม่พูดอะไรเค้าอาจจะไม่รู้ก็ได้ หน้ากลมกลืนซะขนาดนั้น โฮะๆๆๆ


โดย: candy perfume girl วันที่: 15 เมษายน 2550 เวลา:15:54:49 น.  

 
มันเผาราคา ๒ หยวน อร่อยดีนะครับ
สีเหลีองเข้ม เหมือนจีวรพระ
นุ่ม เนื้อละเอียด หอม หวาน
ยิ่งตอนอากาศเย็นๆๆ หนาวๆๆ เพิ่มรสชาดอร่อยๆ
ถ้าหิวด้วยละก็ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม


โดย: เคยกิน IP: 58.8.99.173 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:21:06:58 น.  

 
เมื่อเสาร์ที่14เจอคุณแคนดี้ตัวเป็นๆ ตื่นเต้นมากค่ะ ที่ร้านคิโนะ พารากอน


โดย: โบตั๋น IP: 203.113.36.7 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:18:19:52 น.  

 
ดีจังถ่ายรูปมาไม่ค่อยติดคน เราไปตอนสงกรานต์
คนเต็มเลย ถ่ายรูปมาหาสวยยากจริงๆ

แต่ชอบปักกิ่งที่ฟ้าเป็นสีฟ้าดีจัง
ฟ้าไม่หม่นหมองเหมือนกทม.


โดย: อ้วนล่ำดำสิวหิวตลอด วันที่: 2 พฤษภาคม 2550 เวลา:1:19:55 น.  

 
เขียนบทความได้ดี


โดย: pop IP: 202.41.190.225 วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:12:09:14 น.  

 
กำลังจะไปเที่ยวอีกหนึ่งเดือนค่ะ
ฉายเดี่ยวเหมือนกัน
หาข้อมูลอย่างขะมักขเม้น
บทความเขียนดีจังค่ะ
มีอะไรก็แนะนำด้วยนะค่ะ


โดย: ผ่านมาโดยบังเอิญ(พันไมล์) IP: 65.49.2.181 วันที่: 3 มิถุนายน 2553 เวลา:17:25:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

candy perfume girl
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add candy perfume girl's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.