Time will tell, Only time can tell.

 
สิงหาคม 2548
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
7 สิงหาคม 2548
 

เตรียมตัวก่อนจะเป็นเด็กไกลบ้าน (เวอร์ชันปีั 2005)

สำหรับบล็อกแรกของหมวดนี้ ขอเสนอที่มาของการตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ รวมถึงขั้นตอน และการเตรียมตัวก่อนเป็นเด็กไกลบ้านอย่างเต็มตัวของผมครับ!

เมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมา รู้สึกเบื่อๆ งาน และชีวิตยังไงก็ไม่รู้ เกิดอาการซ้ำซากจำเจในการทำงาน และผู้คน เรียนโทก็ไม่จบ เพราะดันบ้างานไปหน่อย มองไปทางไหน ก็ดูติดพันยุ่งเหยิงไปหมด ก็เลยปิ้งไอเดีย "หนี" ขึ้นมาในทันที

ที่ว่าหนีก็คือ หนีไปเรียนต่อต่างประเทศน่ะครับ ความจริงแล้วแต่ก่อนผมเคยคิดว่า ยังไงๆ ก็จะไม่ไปเรียนต่อต่างประเทศแน่นอน เพราะอยากอยู่เมืองไทย ไม่อยากจากบ้านไปไหน แต่พออายุมันเริ่มมากขึ้น กอปรกับปัญหาต่างๆ เรื่องงาน ก็เลยคิดว่าพักซะหน่อย แล้วค่อยเดินทางต่อดีกว่า ก่อนที่จะหมดแรงไปมากกว่านี้

เริ่มแรกก็หาหนังสือที่บอกเล่าประสบการณ์ต่างๆ ในการเรียน หรือการใช้ชีวิตในต่างประเทศ โดยประเทศที่ผมเลือกไปก็คืออเมริกานั่นเอง สาเหตุก็เพราะผมเรียนมาทางด้านคอมพิวเตอร์ ก็เลยคิดว่าจะต้องไปอเมริกา ด้วยความที่เขาเป็นยักษ์ใหญ่ในแวดวงนี้น่ะครับ

หนังสือมีมากมายหลายเล่ม ที่ชอบมากๆ จะประทับใจนักเขียนอยู่ 2 ท่าน ก็คือ ดร.สุรสิทธิ์ (เส้นทางสู่อเมริกา) และ ดร.สุชาย (เรียนต่อ USA ตรี, โท, เอก) ทั้งนี้เพราะเกี่ยวกับสายวิชาของผมพอดี โดยเฉพาะของ ดร.สุชาย ที่ตรงสายเลย ส่วนของ ดร.สุรสิทธิ์ นี่ออกแนวการใช้ชีวิต อ่านแล้วก็สนุกดี

หลังจากนั้น ผมโชคดีที่ได้ไปงานแนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศของสมาคมแนะแนวฯ (TIECA) ซึ่งปีหนึ่งจะจัด 2 ครั้ง คือช่วงเดือนมีนา-เมษา กับช่วงเดือนตุลาคม นะครับ ทำให้เราได้ข้อมูลขึ้นอีกเยอะมาก วิทยากรที่มาบรรยายก็ล้วนมีคุณภาพมากๆ นอกจากนั้นก็จะมีตามมาด้วยเอกสารต่างๆ จากเหล่าบรรดา agency ไม่ว่าจะมาทางไปรษณีย์ หรือทางอีเมล์

ตอนแรกๆ ผมก็ไม่คิดว่าจะใช้บริการของ agency หรอก แต่อ่านๆ ข้อมูลไป ก็เออๆ ลองใช้บริการซะหน่อย เพราะยังไงก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร แต่อย่างไรก็ตาม ควรจะเลือก agency ดีๆ ซะหน่อย ดูว่าเขาเป็นสมาชิกกับสมาคมแนะแนวฯ หรือเปล่า? สถานที่ ผลงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง อันนี้ถ้าไม่แน่ใจ ให้ลองไปหลายๆ agency แล้วเลือกเอาน่ะครับ

agency ที่ผมเลือกอยู่ที่สยามครับ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมาย เหตุผลแรกคือไป-มาสะดวก เหตุผลข้อสองคือเว็บไซต์มีข้อมูลดี เป็นประโยชน์มาก คือประเมินแล้วเราคงไม่ผิดหวัง เป็นที่พึ่งทางข้อมูลให้เราได้อย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ครับ พี่เขารู้เยอะมาก สามารถให้ข้อมูล และแก้ปัญหาให้เราได้ดีครับ ที่สำคัญคือความรวดเร็วและความเอาใจใส่ในการดูแลเราน่ะครับ เพราะเคยถามเพื่อนๆ บางคนที่เจอ agency ประเภทไม่ค่อยเอาใจใส่ ก็จะเสียความรู้สึกเอามากๆ ยิ่งกว่านั้น agency นั้นก็จะโดนโพทนาถึงความไม่ดี บอกต่อๆ กันไปอีก เฮ้อ! ช่วยไม่ได้เนอะ ยังไงก็ขอให้ดูกันดีๆ นะครับ

การไปติดต่อกับ agency ก็อย่าเพิ่งเชื่ออะไรเขามาก อันนี้หมายถึงตอนแรกๆ ตอนที่ยังดูใจกันอยู่น่ะ 555 เพราะโดยส่วนใหญ่ agency ก็จะแนะนำไปที่ๆ เขาจะได้ผลประโยชน์เยอะๆ ซึ่งอาจจะหมายถึง มหาวิทยาลัย โรงเรียนภาษา หรือแม้กระทั่งสายการบิน ดังนั้นทางที่ดี เราควรจะต้องหาข้อมูลเองด้วย ผมก็ใช้อินเทอร์เน็ตนี่แหละครับ ก็หาไปเรื่อยเปื่อย อย่าไปคิดว่าจะจับผิด agency ให้คิดว่าเป็นการช่วย agency เขาด้วยอีกทาง (ข้อมูลมันเยอะจริงๆ เขาอาจจะดูไม่ทั่วถึงในเรื่องปลีกย่อย) ซึ่งจริงๆ ก็คือเราช่วยตัวเราเองนะ เพราะคนได้ประโยชน์คือเราใช่ไหม? อย่างกรณีของผมไปเรียนต่อในสายที่ไม่ค่อยฮิต (ถ้าฮิตก็ MBA ไงล่ะ) ก็เลยต้องหาข้อมูลกันหนักหน่อย 555

หลังจากที่เลือกแล้วว่าจะไปเรียนที่ไหน ก็ดูว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มี ใบสมัคร, ค่าสมัคร, รูปถ่าย, สำเนาพาสปอร์ต, ใบทรานสคริปต์, ผลสอบโทเฟล(และ/หรือ GRE หรือ GMAT), ใบรับรองจากอาจารย์หรือผู้บังคับบัญชา (Recommendation letter หรือ form แล้วแต่ยู) แต่ของกรณีผมนี้ไม่มีผลสอบภาษาอังกฤษ คือตั้งใจว่าจะไปเรียนภาษาที่นู่นก่อนเข้ายู (ขออนุญาตใช้คำนี้ เพราะขี้เกียจพิมพ์ว่ามหาวิทยาลัย) ก็เลยต้องทำการสมัครทั้งยู และโรงเรียนภาษา

เอาของโรงเรียนภาษาก่อนนะครับ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมาก เขาจะขอแค่สำเนาพาสปอร์ต, ใบรับรองจากธนาคาร (bank statement), และเงินค่าสมัครเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีตังค์จ่ายเขาจริงๆ ตอนไปขอให้ธนาคารเขาทำ bank statement นั้น ผมก็ขอให้เขาทำมา 2 ฉบับเลย (ฉบับละ 200 บาทขาดตัว) เพราะใช้สำหรับโรงเรียนภาษาอันหนึ่ง และใช้สำหรับการขอวีซ่าอันหนึ่ง ขอไปเลยครับ เพราะไม่นาน ก็ต้องไปขอวีซ่าอีก โห! มั่นใจขนาดนั้น อิอิ

ส่วนของยูนี่ ก็จะขอรูปถ่าย, ใบสมัคร, สำเนาพาสปอร์ต, เงินค่าสมัคร, ใบทรานสคริปต์, ใบรับรองจากอาจารย์หรือผู้บังคับบัญชา (ใช้ Recommendation form ของยู), ใบแสดงประสบการณ์การทำงาน หรือใบรับรองการทำงาน (มีกี่ที่ ก็ไปตามขอมาให้หมด), ประวัติย่อ, เรียงความแสดงเจตจำนงค์ (Statement of Purpose) ซึ่งก็เล่าถึงภูมิหลังและการศึกษาของตัวเอง บอกเหตุผลหรือแรงจูงใจที่ต้องการมาเรียนต่อในระดับปริญญาโท อันนี้ผมก็อาศัยอินเทอร์เน็ตช่วยเขียนเรียงความอีกหละนะ อิอิ

หลังจากนั้นก็รอลุ้นครับว่ายูจะตอบรับเราหรือไม่? ของผมเนี่ยโดนติงเรื่องเกรดเฉลี่ย (เกรดไม่ถึง 3.0 อ่ะครับ) เพราะส่วนใหญ่ที่อเมริกาจะ require เกรดเฉลี่ย ป.ตรี ในการเรียนต่อ ป.โท ไว้ประมาณ 3.0 แต่พอดีผมคงจะมีประสบการณ์การทำงานช่วย ก็เลยได้รับการตอบรับมาน่ะครับ ก็เลยสบายใจไปอีกเปลาะหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นการตอบรับแบบมีเงื่อนไข (ไปเรียนภาษาก่อน) ก็ตาม

หลังจากนั้นก็มาสมัครคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเอา I-20 (ใบตอบรับจากสถาบันของอเมริกา ซึ่งจะระบุชื่อสถาบัน ระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของคอร์ส) เนื่องจากผมยังไม่ได้เข้ายูจริงๆ ต้องไปเรียนภาษาก่อน ดังนั้นผู้ที่จะออกใบ I-20 ก็คือโรงเรียนภาษานั่นเอง ส่วนของยูนี่จะออกให้เราได้แค่จดหมายรับรอง(Admission letter) เท่านั้น พอสมัครเสร็จก็รอ I-20 ถ้าอยากได้เร็วก็ส่งเงินไปให้เขาส่งด่วนมาก็ได้ครับ :-)

หลังจากนั้นก็ถึงขั้นตอนสำคัญ ที่หลายๆ คนกลัว ก็คือการขอวีซ่า แต่ผมโชคดีได้อ่านคำแนะนำดีๆ ที่เป็นประโยชน์จากห้องไกลบ้าน และที่ปรึกษาจาก agency ก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ คือจะดูว่าตรงไหนจะเป็นจุดอ่อน ก็จะรีบหาทางแก้ไข เท่าที่ผมประเมินเอาเอง รู้สึกว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผ่านวีซ่าก็คือ เงิน ความตั้งใจ และดวง ครับ

ที่บอกว่าเงินเป็นอันดับแรก อันนี้ทางอเมริกาก็กลัวว่าถ้าไม่มีเงิน หรือมีไม่มากพอ ก็อาจมีแนวโน้มไปทำงานหาเงิน ทำให้เป็นภาระกับประเทศเค้า คงคล้ายๆ แรงงานผิดกฎหมายบ้านเรานี่แหละครับ ดังนั้นถ้าจะไปเรียนก็จะต้องปั่น statement หรือปั้นตัวเลขใน bank book ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการเรียน คิดง่ายๆ ก็ปีละล้านนาครับ :-(

อันที่สองเรื่องความตั้งใจ อันนี้ก็ดูได้หลายอย่างครับ อย่างเช่นยูที่คุณไปเรียน เพราะบางทียูนั้นอาจจะติด black list ของสถานทูตก็ได้นะครับ ประมาณว่าเป็นยูห้องแถว เปิดโอกาสให้คนต่างชาติเข้ามา แล้วปล่อยให้ออกไปทำงานผิดกฎหมายได้ แล้วสุดท้ายก็เลยหายกลายไปเป็นโรบินฮู้ดกันเต็มตัวซะอย่างนั้น หรือถ้าเป็นไปได้เรื่องการสอบโทเฟลก็ดี เพราะถ้ามีผลสอบ (แม้จะไม่ถึงเกณฑ์ก็ตาม) ก็ยังส่อให้เห็นถึงความตั้งใจในการเรียนต่อของคุณได้นาครับ

ส่วนเรื่องดวงนี้ ในส่วนตัวผมค่อนข้างไม่เห็นด้วย แต่ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่นาครับ เพราะเคยเห็นเพื่อนๆ หลายคนที่ก็มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งเงินและความตั้งใจ ก็ยังแห้ววีซ่าอเมริกาได้เหมือนกัน ดังนั้นก็อย่าประมาทในทางใดทางหนึ่งเลยครับ

ขอโทษทีครับ พร่ำไปตั้งนาน ไม่เข้าเรื่องการขอวีซ่าซะที.. อิอิ

เอกสารที่ใช้ในการขอวีซ่าก็มี แบบฟอร์ม DS-156, DS-156 Supplement, DS-157 (ของผมมีประสบการณ์การทำงานก็เลยต้องใช้ DS-158 ด้วย) ซึ่งจะต้องทำการกรอกข้อมูลสำหรับฟอร์ม DS-156 ในแบบออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต และสั่งพิมพ์ออกมา จะได้แถบบาร์โค้ดมาด้วย ส่วน DS-157 และ DS-158 นั้นใช้ปากกากรอกเอง ทั้งนี้จะต้องกรอกข้อความเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดครับ

หลังจากนั้น ผมก็ต้องเข้าไปจ่ายเงินค่า SEVIS อีกเว็บไซต์หนึ่งด้วย โดยระบบซีวิสนี้ เป็นระบบที่ทำขึ้นใหม่ เพื่อใช้ติดตามผู้ถือวีซ่านักเรียนอะไรประมาณนี้มั้งครับ (เริ่มไม่แน่ใจ อิอิ) ก็จ่ายโดยใช้บัตรเครดิต รูดไป 4,000 บาท พิมพ์ใบเสร็จชั่วคราวออกมาด้วย (เอาไว้ใช้ในการขอวีซ่า)

เมื่อกรอกเสร็จก็ไปถ่ายรูป เพื่อติดใน DS-156 ก็ไปที่ร้านถ่ายรูป บอกเค้าว่าถ่ายรูปทำวีซ่า ส่วนใหญ่ร้านเค้าจะรู้ ของผมนี่ร้านถ่ายให้แบบ 3x3 เลย แล้วก็มาตัดให้ได้ตามขนาดกรอบใน DS-156 อีกทีหนึ่ง ซึ่งก็ใช้ได้ดีทีเดียว อันนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ

จากนั้นก็ไปที่ไปรษณีย์ (เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น) บอกเขาว่าชำระเงินค่าวีซ่าอเมริกา เราก็จะต้องสะกดชื่อและนามสกุลให้ถูกต้อง แล้วก็จ่ายเงินไป 4,000 บาท เก็บใบเสร็จกลับมาเพื่อใช้เป็นหลักฐานการขอวีซ่าต่อไป

ถ้าโชคดี (อย่างผม) ก็จะทำขั้นตอนด้านบนเสร็จภายใน 1 วัน วันรุ่งขึ้นผมก็เตรียมเอกสารไปขอวีซ่ากันเลย เอกสารก็มี DS-156(ติดรูปถ่ายแล้ว), DS-156 Suplement, DS-157, DS-158, ใบทรานสคริปต์ตัวจริง, ใบรับรองจากธนาคาร (bank statement) ตัวจริง, ใบตอบรับจากสถาบัน (I-20) ตัวจริง, ใบเสร็จชั่วคราวของซีวิส (SEVIS), ใบเสร็จการชำระเงินค่าวีซ่าจากไปรษณีย์, สำเนา bank book

สถานทูตอเมริกาจะเปิดรับการขอวีซ่า 7 โมง ถึง 9 โมงเช้าเท่านั้น ดังนั้นจึงควรรีบไปก่อน เพราะคนจะมารอคิวกันเยอะมาก มาก่อนก็ได้เข้าก่อน เสร็จก่อน ไม่ต้องหงุดหงิดรอคิวนานนาครับ ของผมนี่ก็ไปถึงประมาณ 6 โมง ดูจากสายตาแล้วก็ประมาณคิวที่ 70 แล้วหละนะ 555 ยังไงถ้าไปขอวีซ่าช่วงหน้าฝน อย่าลืมพกร่มไปด้วยนะครับ มิฉะนั้นคงยืนรอเปียกฝนกันอยู่หน้าสถานทูตนั่นแหละ อิอิ

ก่อนเข้าไป สถานทูตก็จะให้ฝากโทรศัพท์มือถือไว้ข้างนอก ทั้งนี้เค้าก็จะขอบัตรประชาชนไว้ ประมาณว่าเอาไปมัดติดไว้กับโทรศัพท์นั่นเอง :-) จากนั้นก็จะผ่านการตรวจกระเป๋าและร่างกาย ผมก็ไม่ได้พกอะไรมามากมาย ก็เลยใช้เวลาไม่นาน พอเข้าไปได้ ก็เข้าไปต่อแถวเลย จะมีอยู่ 2 แถว ส่วนที่เห็นบางคนเดินเข้าไปข้างในเลย ไม่ได้มาต่อแถวนั้น ก็จะเป็นพวกที่เขามาสัมภาษณ์ ตอนยืนต่อแถวก็ต้องคอยฟังๆ เพราะเจ้าหน้าที่จะบอกให้เราจัดเอกสาร หรือแจ้งข่าวต่างๆ ส่วนใหญ่เขาจะไม่รับเอกสารอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ อย่างโฉนดที่ดินเนี่ยเขาไม่เอาเลย ไม่ต้องไปยัดเยียดเขา เพราะเดี๋ยวจะโดนด่ากลับมา 555

พอยื่นเอกสารเสร็จ เขาก็จะให้ใบนัดสัมภาษณ์มา ถ้าเป็นพวกวีซ่าท่องเที่ยวก็จะนานหน่อย คืออาจจะต้องรอไปอีก 2 เดือนกว่าๆ เลย แต่สำหรับวีซ่านักเรียน เขาก็จะนัดไปสัมภาษณ์ก่อนวันเริ่มต้นเรียนของเรา (ดูจากใบ I-20) น่ะครับ แต่ผมก็เผื่อเหลือเผื่อขาด เผื่ออุปสรรคและความขัดข้องไว้ กลัวว่าถ้ามีปัญหาจะได้มีเวลาแก้ไขทัน ก็เลยรีบไปยื่นก่อนตั้งเกือบ 3 เดือนแน่ะครับ :-)

หลังจากได้ใบนัดสัมภาษณ์มาแล้ว ผมก็แอบเดินๆ ดูบรรยากาศการสัมภาษณ์ซะหน่อย อิอิ จากนั้นก็กลับบ้าน รอวันสัมภาษณ์

สิ่งที่เตรียมในวันสัมภาษณ์ ก็จะมีใบนัดสัมภาษณ์, bank book ตัวจริง (ที่ update book แล้ว), หลักฐานประกอบอื่นๆ เช่น ที่มาของเงิน (ในกรณีที่เงินเป็นก้อนใหญ่ๆ ซึ่งถ้าได้จากการขายที่ดิน ก็ใช้สัญญาซื้อขายที่ดิน เป็นต้น) หรือหลักฐานอื่นๆ ที่แสดงความผูกพันกับประเทศไทย ทำนองว่าจะกลับมา จะไม่โดดอยู่ที่นู่นแน่นอน หรืออื่นๆ เช่น รูปถ่ายครอบครัว ฯลฯ ประมาณว่าเตรียมไว้ก่อน เผื่อเรียกดูก็จะได้มีให้เขาดู แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้เรียกดูอะไรเพิ่มมากมายหรอกครับ เพราะดูจากเอกสารก็รู้อยู่แล้ว ดังเหตุผลที่ผมบอกไปข้างต้น

ผมโดนสัมภาษณ์ไปประมาณ 5 คำถาม แล้วก็ขอดู bank book ตัวจริง ดูแป๊ปนึงก็บอกว่า ผมให้วีซ่าคุณไปเรียน ขอให้โชคดีนะครับ แค่เนี้ย ใช้เวลาน้อยมาก รู้สึกว่าประมาณไม่เกิน 2 นาทีเองครับ จากนั้นผมก็กลับบ้าน รอไปอีก 2 วัน ก็มารับพาสปอร์ตคืน (ที่มีวีซ่าอเมริกาเรียบร้อยแล้ว) ซึ่งเขาจะเอาใบ I-20 ของเราใส่ซอง และเย็บติดไว้กับวีซ่า ห้ามแกะดูเป็นอันขาด เอาไว้สำหรับ ตม. ที่อเมริกาเท่านั้น จากนั้นก็...

ใช่แล้วครับ กลับบ้าน อิอิ

หลังจากนั้นก็คงเป็นเรื่องของการเตรียมข้าวของ จัดกระเป๋า จองตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ ตามแต่ที่อยากทำครับ

อ้อ! เราจะต้องเดินทางไปก่อนวันที่เริ่มต้นคอร์ส (ดูจาก I-20) นะครับ ซึ่งสามารถไปก่อนได้ถึง 30 วัน แต่ถ้าเดินทางหลังจากวันที่ระบุ จะต้องขอวีซ่าใหม่นะครับ :-( แต่ I-20 ของผมนี่มันแปลกจริงๆ เพราะมันมีระบุในช่อง Remark ว่าถ้าเดินทางไปก่อนวันที่ที่กำหนดไม่ได้ มันยืดให้เราเดินทางออกไปได้อีกภายใน 30 วัน อิอิ ดีจัง สงสัยจะรู้ว่าเราจัดกระเป๋าไม่ทัน

ยังไงก็รีบๆ จองตั๋วเครื่องบินแต่เนิ่นๆ ล่ะ เพราะเกิดเป็นช่วง high season ที่มีคนเดินทางเยอะๆ ก็จะหาเที่ยวบินได้ยากนาครับ

สำหรับบล็อกนี้คงจบแค่นี้ก่อนดีกว่า เพราะเดี๋ยวจะเยิ่นเย้อเนิ่นนานกันไปใหญ่ ยังไงก็ถือซะว่า เป็นการแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์กันนะครับ :-)


Create Date : 07 สิงหาคม 2548
Last Update : 12 ธันวาคม 2549 4:28:24 น. 9 comments
Counter : 463 Pageviews.  
 
 
 
 
เอาใจช่วยคนเพิ่งเริ่มต้น จะมาบอกว่าอย่าเผลอเอาเนื้อสัตว์ไปนะ เจอถามที่ซานฟรานจากคนจีนที่เป็นcustom ถามชัดแจ๋วเลย "มีหมูไหม มีหมูไหม"
 
 

โดย: แป๊กก วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:5:34:33 น.  

 
 
 
ข้อมูลเยอะดีค่ะ
 
 

โดย: พ ริ ก ขี้ ห นู @ UK วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:6:32:26 น.  

 
 
 
ปลอดภัยในต่างประเทศนะคะ
 
 

โดย: ป่ามืด วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:8:08:34 น.  

 
 
 
ก้าวให้ไกล ไปตตามฝันนะคะ มาห้กำลังใจเด็กกำลังจะอยู่ไกลบ้านค๊า........
 
 

โดย: tukata001 วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:9:39:36 น.  

 
 
 
โห ข้อมูลเยอะเลยค่ะ ใครที่จะไปเรียนต่อมาอ่านข้อมูลคงได้อะไรเยอะเลย

ขอบคุณที่เอาประสบการณ์มาแบ่งปันนะค่ะ
 
 

โดย: JewNid วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:11:35:55 น.  

 
 
 
กำลังจะไปเรียนต่อเหมือนกัน แต่ไป ออสเตรเลียคะ หลายอย่างในชีวิตดูวุ่นวายกว่าของคุณเยอะ เฮ้อ เหนื่อยคะ
 
 

โดย: Beyond the SAND IP: 202.91.23.1 วันที่: 8 สิงหาคม 2548 เวลา:14:33:40 น.  

 
 
 
แวะมาเยี่ยมค่ะ... ขอ add friend link นะคะ...
 
 

โดย: BlackmagicW (BlackmagicW ) วันที่: 13 สิงหาคม 2548 เวลา:22:11:35 น.  

 
 
 
ไม่ทราบว่า ผลเป็นไงแล้วครับ .... สำเร็จตามที่ตั้งใจหวังหรือเปล่าครับ
 
 

โดย: POL_US IP: 12.221.102.112 วันที่: 9 เมษายน 2549 เวลา:11:25:52 น.  

 
 
 
สรุปแล้ว ผมก็ยังไม่ได้ไปสักที เพราะเคลียร์อะไรหลายๆ อย่างไม่เรียบร้อย
ตอนนี้ก็เลยต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่อีกรอบ

ยังไงขอบคุณมากครับในความห่วงใย ไว้คืบหน้าอย่างไรจะบอกครับ :-)
 
 

โดย: bugsong (bugsong ) วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:4:26:50 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

bugsong
 
Location :
Saint Paul, Minnesota United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add bugsong's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com