|
|
|
|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
เตรียมตัวเป็นเด็กไกลบ้าน เวอร์ชันปี 2006
หลังจากปีที่แล้ว (ค.ศ.2005) โครงการไปเรียนต่อที่อเมริกามีอันต้องชะงักไป สาเหตุมาจากเรื่องงานที่เคลียร์ไม่ลงตัวซักที กว่าจะรอเทรนด์คนที่มารับช่วงงานต่อ ก็ได้แต่รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ จนแล้วจนรอดดูวี่แววก็คงไม่สามารถทำให้เสร็จสิ้นได้ภายในปีนั้น ยังไงก็คงยืดออกมาอีกตั้งเกือบปี สุดท้ายเลยต้องสละวีซ่าที่ได้มานั้นไปซะ แง.. เสียดายจัง ฮือๆๆ
ในเมื่อไม่ได้ไปเรียนตามที่ขอวีซ่าไว้แล้ว ก็อย่าลืมคืน I-20 กลับไปยังโรงเรียนที่ออก I-20 ให้ด้วยนะครับ :-)
ตามแผนที่ผมวางไว้ ผมตั้งใจจะเดินทางไปอเมริกาประมาณเดือน ม.ค.-ก.พ. เพราะอยากจะไปเรียนภาษาก่อนที่จะเข้าเรียนหลักสูตร ป.โท จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจอะไรขนาดนั้นหรอกครับ มันเป็นไฟลท์บังคับต่างหาก 555 คือผมต้องสอบโทเฟลให้ได้ตามเกณฑ์ก่อน (อยู่เมืองไทยสอบไม่ได้เรื่องสักกะที บวกกับไม่ค่อยมีเวลาซะ ก็เลยตัดสินใจไปสอบเอาที่นู่นดีกว่า อิอิ)
เมื่อดูความเหมาะสมแล้ว ก็น่าที่จะไปเรียนภาษาก่อนซักประมาณ 6 เดือน แล้วถ้ามีบุญ ก็คงจะได้ admit เข้ามหาวิทยาลัยในเทอม Fall 2007 ซะเลย แต่เพื่อความชัวร์ (ตามวัฒนธรรมแถบเอเชีย ที่พยายามหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน ^_^) ผมก็เลยเลือกที่จะเรียนภาษากับ ELS เช่นปีก่อน แม้ว่ามันจะแพงกว่าที่อื่นก็ตาม :-(
สาเหตุที่เลือก ELS เพราะว่ามีมหาวิทยาลัยที่ทำข้อตกลงกับเค้าไว้เยอะ ดูๆ แล้ว ถ้าผมสามารถเรียนภาษาได้ตามระดับที่กำหนด หรือถึงระดับสูงสุด ก็จะสามารถใช้ผลนี้แทนการสอบโทเฟลได้ แต่ถ้าสอบโทเฟลได้ ก็โชคดีไป
ก่อนอื่น ผมได้สมัครหลักสูตร ป.โท ตามมหาวิทยาลัยที่ผมได้เลือกไว้ เป็นมหาวิทยาลที่เกี่ยวดองกับ ELS 4 ที่ แล้วก็ที่ไม่เกี่ยวอีก 1 ที่ ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะเลือกในรัฐที่ผมต้องการ คือไม่ค่อยอยากไปในที่ที่มันกันดารจนเกินไป และก็ไม่อยากไปที่ที่มันหรูหราเกินไปเช่นกัน ^_^
ในการสมัคร ผมได้ทำจดหมายบอกมหาวิทยาลัยไปด้วยว่า เราจะสมัครมหาวิทยาลัยยูนะ แต่เราไม่มีผลสอบโทเฟล และตั้งใจจะเรียนภาษากับ ELS ก่อน อะไรประมาณนี้ แนบไปกับหลักฐานอื่นๆ ที่ใช้ในการสมัคร
พูดถึงขั้นตอนการสมัครมหาวิทยาลัยนิดนึงนะครับ ก่อนอื่น ผมได้ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน เพื่อหาข้อมูลของมหาวิทยาลัยที่ต้องการ จากนั้นก็มาชั่งน้ำหนักเลือกว่าจะ "เอา" อันไหนดี 555 เมื่อเลือกได้แล้ว ผมก็เริ่มส่งใบสมัครประมาณเดือน ก.ย. โดยระบุว่าจะ admit เข้าเทอม Fall 2007 น่ะครับ
การสมัครมหาวิทยาลัย เราจะต้องตรวจสอบให้ดีว่าใช้หลักฐานอะไรบ้าง เพื่อเราจะได้เตรียมตัว หลักฐานบางอย่าง อย่างเช่น transcript หรือ letter of recommendation จะใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นควรเตรียมแต่เนิ่นๆ และบางมหาวิทยาลัยจะค่อนข้างจะเคร่งครัดเรื่องการรับรองเอกสารมากๆ เช่นจะต้องมีการปั๊มตรามหาวิทยาลัย มีลายเซนต์ของอาจารย์สลักหลังซอง แถมจะต้องให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้ส่งจดหมายถึงมหาวิทยาลัยที่เราสมัครอีก ซึ่งเรื่องต่างๆ ค่อนข้างต้องมีการเตรียมการ และใช้เวลาพอสมควร บางทีโชคร้าย ก็นานเป็นเดือนๆ ไปซะอย่างนั้น นอกจากนั้นก็มีเงินค่าสมัครมหาวิทยาลัยนั้นๆ อีก บางแห่งก็ใช้ application ที่ on-line ในเว็บไซต์ สามารถจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้ บางแห่งก็จะต้องส่งเป็น Bank Draft ไป หรือบางแห่งอาจจะไม่คิดค่าสมัคร :-)
อีกเรื่องคือการเขียน SOP (Statement of Purpose) ที่เราจะต้องเขียนเพื่อส่งไปกับการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย ตรงนี้ก็ค่อนข้างใช้เวลานานโข เพราะว่ากลัวไม่ดี แก้แล้วแก้อีก ไม่จบไม่สิ้น แต่ของผมโชคดีหน่อย เพราะใช้ของเก่าที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้เลยเอามารีวิวนิดหน่อยก็เรียบร้อย จะว่าไปผมก็ค่อนข้างมั่วๆ เหมือนกัน คือหาตัวอย่าง SOP จากในอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีหลากหลายเวอร์ชัน ทั้งที่เขียนอย่างสุดเลิศเลอจากเจ้าของภาษา จนถึงเวอร์ชันที่ไทยกายอย่างเราๆ เขียนมันขึ้นมา ผมก็เอามาประกอบกันหมด แต่พอเขียนไปอ่านไป ก็ค้นพบแล้วว่า เวอร์ชันที่เขียนด้วยตัวเรานั่นแหละ คือเวอร์ชันที่เจ๋งที่สุด 555 อันนี้ไม่ได้โม้นะครับ ถึงภาษามันจะไม่ได้สวยงามอย่างเนทีฟ แต่เรื่องของไอเดียและข้อเท็จจริงที่พรีเซนท์ตัวตนของเรา ผมว่ามัน cool สุดๆ เลยนะครับ :-)
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมรีบสมัครมหาวิทยาลัยซะขนาดนั้น ค่อยไปสมัครเมื่อไปอยู่ที่นู่นก็ได้ (ตามกรณีของผม) แต่ผมก็กลัวว่าจะเตรียมหลักฐานการสมัครได้ไม่สมบูรณ์ในขณะเรียนภาษาอยู่ที่นู่น แล้วจะให้ทางบ้านช่วยก็คงยาก ผมก็เลยตัดสินใจชิงสมัครมันซะก่อนเลยดีกว่า :-) ซึ่งจริงๆ แล้ว เราสามารถส่งใบสมัครไปได้ล่วงหน้า และโดยส่วนใหญ่ทางมหาวิทยาลัยก็จะเก็บหลักฐานการสมัครของเราไว้ประมาณ 1 ปี ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ก็ควรจะเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ จริงไหมครับ :-)
กลับมาพูดถึง ELS ต่อ ผมได้ทำเรื่องสมัครเรียนไปกับเค้าประมาณต้นเดือน ต.ค. โดยหลักฐานที่ใช้ก็มีใบสมัครของเค้า หลักฐานทางการเงิน ซึ่งหมายถึง statement ของธนาคารนั่นเองครับ ผมก็ไปขอที่ธนาคารที่แม่ (sponsor ของผมเอง อิอิ) เปิดบัญชีอยู่ โดยแต่ละธนาคารก็จะคิดค่าใบ statement แตกต่างกัน ส่วนใหญ่ก็น่าจะอยู่ประมาณ 100-200 บาทต่อฉบับ
เมื่อส่งใบสมัคร ELS ไปเรียบร้อยแล้ว ก็รอ I-20 ต่อไป เพราะว่าเราจะต้องใช้ I-20 ในขั้นตอนการขอวีซ่านักเรียนไงครับ
หลังจากรอๆๆ แล้วก็รอ ก็ได้ I-20 จาก ELS มาซะที แหม! กว่าจะมาได้ ปาไปเกือบเดือนเลยครับท่าน สงสัยเค้าคงคิดว่ามันเป็นมะม่วง ดองซะเค็มเชียว :-) จำได้ว่าปีที่แล้วที่ผมสมัคร มันประมาณ 2 สัปดาห์เองนะเนี่ย 555 แต่ยังไงก็ได้มาแล้ว เย เย..
ขั้นตอนต่อไปก็คือเรื่องวีซ่า อิอิ น่ากลั๊ว น่ากลัว ^_^
Create Date : 12 ธันวาคม 2549 |
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2550 9:33:10 น. |
|
7 comments
|
Counter : 375 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: PutterZ (ToppuT ) วันที่: 12 ธันวาคม 2549 เวลา:11:03:03 น. |
|
โดย: นิรมาณ วันที่: 12 ธันวาคม 2549 เวลา:11:21:40 น. |
|
โดย: bugsong วันที่: 15 ธันวาคม 2549 เวลา:13:51:23 น. |
|
โดย: เอ็มเองจ้า.. (~~FrOm NoW oN~~ ) วันที่: 31 ธันวาคม 2549 เวลา:6:54:23 น. |
|
โดย: we will rock you (we will rock you ) วันที่: 7 มีนาคม 2552 เวลา:14:04:45 น. |
|
| |
|
bugsong |
|
|
|
|