บ้านเราอยู่ที่อิสราเอล
Group Blog
 
 
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
28 มกราคม 2549
 
All Blogs
 
"ความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ที่อิสราเอลกลับมาปกครองในพื้นที่ที่ประเทศตัวเองหายไปหลายปีแล้ว"


ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลปาเลสไตน์นั้นเริ่มขึ้นก่อนปี 1948 อีกค่ะน้องจอมโจรดุ๊ยดุ่ย ผู้บุกเบิกชาวยิวจากศตวรรษที่สิบเก้านั้นได้เริ่มลงมือสร้างบ้านให้กับชาวยิว (Jewish homeland) โดยการซื้อที่ดินจากกษัตริย์ของอาณาจักรออตโตมันหรืออาณาจักรตุรกี จากเจ้าของที่ดินชาวตุรกี และจากเจ้าของที่ดินชาวอาหรับ(Effendi) ที่ยอมขายให้แต่โดยสดุดีในราคาที่แสนแพงลิบลิ่ว….ไม่มีการรุกราน ไม่มีการสู้รบ ไม่มีการขโมยที่ดินของชาวอาหรับใดๆทั้งสิ้นค่ะและแน่นอนไม่มีชาวปาเลสไตน์ภายใต้การปกครองของตุรกี ชาวยิวได้ทำการซื้อที่ดินเป็นจำนวนมาก ไม่มีคำบ่นว่ามีการขโมยที่ดินก็เพราะว่ามันไม่มีไงคะ ไม่มีชาวอาหรับถูกไล่ออกจากบ้าน…อันที่จริงแล้วอัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรอาหรับ(อพยพมาจากประเทศอาหรับรอบๆ) มีอัตราการเพิ่มที่สูงขึ้นมากนั้นนั่นเป็นเพราะว่าในช่วงนั้นมีการบุกเบิก มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของไซออนนิสต์ยิวนั่นเองค่ะ เพราะไซออนนิสต์ยิวนี่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีทักษะทางวิชาการด้วยกันทั้งสิ้น

ดังนั้นระหว่าง1514 AD และคริสตศักราชย์ 1850 จำนวนประชากรอาหรับภายใต้การปกครองของตุรกีจึงมีประมาณ 34,000 และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีค.ศ. 1855 และ 1947 จำนวนประชากรหยุดอยู่ที่ประมาณ 1,300,00 คน ค่ะดูจากตรงนี้จะเห็นได้ว่าห่างไกลจากข้อกล่าวหาที่บอกว่ายิวไปขับไล่อาหรับ ขโมยที่ดินอาหรับหรือทำลายเศรษฐกิจอาหรับนี่เป็นผลงานของผู้บุกเบิกชาวยิวในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ที่มีส่วนทำให้ประชากรอาหรับเพิ่มขึ้นมากมาย นำระบบเศรษฐกิจเข้าสู่พื้นที่และสังคม ซึ่งไม่เกิดการพัฒนาใดๆขึ้นเลยในพื้นที่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรออตโตมาน มีชาวอาหรับมากมายทึ่ มาทำงานในโรงงานที่มีชาวยิวเป็นเจ้าของหรือทำงานในฟาร์มในชุมชนชาวยิวโดยใช้เทคโนโลยียุคกลาง ชาวอาหรับมีรายได้สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับชีวิตอัตราการตายของทารกแรกเกิดชาวอาหรับนั้นมีอัตราการตายที่ลดต่ำลงมากและมีช่วงชีวิตที่ยืนยาวกว่าเดิมเพราะชาวยิวได้นำเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาช่วยนั่นเอง อันนี้ต้องไปอ่านเจอร์นัลทางด้านเศรษฐศาสตร์การพัฒนาของมหาวิทยาลัยค่ะ

ที่ดินส่วนใหญ่ที่ชาวยิวไซออนนิสต์ซื้อมานั้นจะมีลักษณะเป็นทะเลทราย เป็นบ่อ เป็นหนองน้ำ เป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกและไร้ซึ่งผู้คนอาศัยเพราะถูกพิจราณาจากชาวอาหรับแล้วว่าไม่เหมาะสมกับการอยู่อาศัย แต่ด้วยเทคนิคทางด้านการเกษตรสมัยใหม่ ด้วยเลือด ด้วยหยาดเหงื่อของไซออนนิสต์ยิวนับพันที่มีความฝัน ต้องการสร้างบ้าน และเปลี่ยนผืนแผ่นดินไปสู่สิ่งปลูกสร้างที่ทันสมัย มีการเจริญเติบโตผุดขึ้นของฟาร์มมากมาย การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของชุมชน มีเทคโนโลยีสมัยใหม่และมีเศรษฐกิจการตลาดที่รุ่งเรืองเกิดขึ้นในที่สุด ด้วยเหตุนี้เองค่ะจึงเป็นผลทำให้ชาวอาหรับจากเพื่อนบ้านที่อยู่รายรอบนับร้อยนับพันคนอพยพเข้ามาในพื้นที่ที่เรียกว่าอิสราเอลในปัจจุบันนี้ เพื่อเสาะแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า หากจะพูดว่าจำนวนประชากรอาหรับส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล ปัจจุบันนี้เป็นผลมาจากความมานะ บากบั่นของคนยิวก็คงจะไม่ผิดนักและด้วยความสำเร็จในการสร้างประเทศที่เกิดจากความมานะ อุตสาหะของชาวยิวจริงๆค่ะที่ทำให้ผู้นำอาหรับทั้งโกรธและกลัว...ด้วยความก้าวหน้่าทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจของไซออนนิสต์ยิวและความเต็มใจที่จะแชร์เทคโนโลยีกับเพื่อนบ้านอาหรับนั่นเองที่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อกลุ่ม Effendi ยุคกลาง

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน อาหรับหรือปัจจุบันนี้ที่เรียกว่าอิสราเอลนั้นไม่ปรารถนาที่จะเสี่ยงในการขัดแย้งกับอาณาจักรออตโตมาน มาตราการหรือวิธีการที่พวกตุรกีใช้จัดการให้เกิดความสงบภายใต้การปกครองของสุลต่านออตโตมานนั้นค่อนข้างโหดร้ายพอสมควร..อังกฤษดีกว่าเยอะค่ะ...ดังนั้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง(WWI) เมื่ออังกฤษและฝรั่งเศสได้มีชัยชนะเหนืออาณาจักรออตโตมาน (สนธิสัญญา Sykes-Picot ในปี 1916) และอังกฤษได้เข้ามาปกครองปาเลสไตน์ (ที่ซึ่งปัจจุบันนี้คือประเทศอิสราเอลและจอร์แดน) ในเวลาต่อมา ผู้นำอาหรับพบว่าตัวเองมีอิสระมากกว่าสมัยสุลต่านออตโตมานเยอะ จึงมีหนทางสะดวกโยธินในการปลุกระดมความเกลียดชังทางด้านศาสนา ปลุกปลั่นให้ชาวนาอาหรับมีความรู้สึกเกลียดชาวยิวด้วยการโกหกว่าชาวยิวต้องการทำลายศาสนาอิสลาม(เหมือนปัจจุบันนี้เลยค่ะที่พวกมุสลิมหัวรุนแรงและผู้นำอาหรับใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในทางการเมือง ) กลุ่มตัวแทนของผู้นำตระกูล Effendi ซึ่งนำโดย Hajj Amin el-Husseini (ลุงของอาราฟัต) ได้เริ่มแคมเปญการฆ่าสังหารหมู่ชาวยิวอย่างต่อเนื่อง...ค่ะจะเห็นได้ว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอาหรับนั้นเกิดขึ้นก่อนสงครามประกาศอิสระภาพของอิสราเอลในปี 1948 เสียอีก

ในช่วงปี 1919, 1921, 1922, 1929 และ 1936 นั้นชาวอาหรับได้เข้าไปทำร้ายชาวยิวในชุมชนชาวยิวเพิ่มขึ้นมากมายอย่างที่ได้พูดไปในความเห็นข้างต้นนั่นล่ะค่ะว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอาหรับนั้นเกิดขึ้นก่อนสงครามประกาศอิสระภาพของอิสราเอลในปี 1948 เสียอีกและในช่วงนั้นอังกฤษปกครองปาเลสไตน์อยู่คำว่าปาเลสไตน์ในตอนนั้นนี่ไม่ได้หมายถึงชาวปาเลสไตน์นะคะแต่หมายถึง พื้นที่หรือดินแดนของชายฝั่งทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งกินอาณาบริเวณจากทะเลไปถึงหุบเขาจอร์แดนและจากทางตอนใต้ของทะเลทรายเนเกฟไปจนถึงทะเลสาปกาลิลีทางตอนเหนือ…อังกฤษนั้นไม่ได้ยื่นมือเข้าไปปราบปรามกลุ่มอาหรับที่เข้าไปทำร้ายชุมชนชาวยิวเลยแถมบางครั้งยังเห็นดีเห็นงามด้วย ด้วยเหตุนี้ Lord Earl Peel จึงได้พยายามหาวิธีแก้ไขความขัดแย้งระหว่างอาหรับกับชาวยิวที่ดูทีท่าว่าจะไม่จบง่ายๆนี้ขึ้น โดยข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาของ Lord Earl Peel นั้นก็คือต้องมีการแบ่งประเทศ(พื้นที่) ให้กับทั้งชาวยิวและชาวอหรับโดยให้ชาวยิวมีประเทศของตัวเองจากผืนแผ่นดินที่ชาวยิวซื้อมาซึ่งคิดเป็น 15% ของพื้นที่ทั้งหมดส่วนพื้นที่อีก 85% ที่เหลือนั้นให้อาหรับเอาไปตั้งประเทศ ดังนั้นเมื่อล่วงมาถึงในปี 1922 อังกฤษจึงได้ยกพื้นที่บริเวณปาเลสไตน์ตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดแก่ Prince (emir) Abdullah ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นกษัตริย์แฮชมาไทม์แห่งจอร์แดนนั่นเองค่ะ ราชอาณาจักรจอร์แดนหรือประเทศจอร์แดนในปัจจุบันนั้นประกอบไปด้วยประชากรชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่และโดยกฏหมายแล้วจะห้ามไม่ให้ชาวยิวเข้าประเทศด้วย…

และเมื่อพื้นที่ทางชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนเกือบ 85 % ของ British Mandatory Palestine ถูกเสนอให้เป็นบ้านของชาวอาหรับในปี 1937 นั้นผู้นำอาหรับปฏิเสธเลือกทำสงครามและการก่อการร้ายแทนค่ะเพราะต้องการทั้งหมดนั่นเองการเลือกทำสงครามและการก่อการร้ายของพวกอาหรับนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อการปฏิวัติอาหรับครั้งใหญ่ ช่วงปี 1937-1939 และในช่วงนั้นเองสงครามโลกครั้งที่สอง(WWII) ก็ได้ปะทุขึ้นประจวบเหมาะพอดี อังกฤษจึงไม่มีเวลาในการทำการปราบปรามการปฏิวัติอาหรับครั้งใหญ่นี้ ในขณะเดียวกันนักบุกเบิกไซออนนิสต์ยิวก็ได้ทำการซื้อที่ดิน(ผืนดิน) จากอังกฤษเพิ่มขึ้นอีก…และสิ่งที่สำคัญที่จะมองข้ามตรงนี้ไม่ได้ก็คือว่าตามประมวลกฏหมายระหว่างประเทศนั้น ดินแดนที่อยู่ภายใต้อาณานิคมของอาณาจักรออตโตมันนั้นก็ยังเป็นดินแดนที่ดำรงอยู่อย่างถูกกฏหมายภายใต้อาณัติของอังกฤษ ผืนแผ่นดินที่ชาวยิวซื้อมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรออตโตมันอย่างถูกต้องตามกฏหมายนั้นได้รับการปกป้องโดยสิทธิของอังกฤษและภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าชาวยิวไม่ได้ไปปล้นที่ดินใครมาเลยค่ะและผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินส่วนใหญ่ในตอนนั้นก็คือสุลต่านแห่งออตโตมัน ชาวอาหรับส่วนใหญ่ยังคงเร่ร่อนอยู่เลยค่ะ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้เริ่มระอุขึ้นอย่างเต็มที่ชาวยิวก็ได้ครอบครองพื้นที่ประมาณ 28% ที่เป็นประเทศอิสราเอลในปัจจุบันนี้แหละค่ะและพื้นที่ที่เหลือนั้นมีเอกชนชาวอาหรับเป็นเจ้าของและเป็นดินแดนภายใต้อาณานิคมของอังกฤษและเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงผู้นำอาหรับได้ส่งเสริมการใช้ความรุนแรงและการก่อการร้ายเข้าโจมตีผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวและอังกฤษอีกครั้งส่วนผู้นำชาวยิวส่วนใหญ่ในขณะนั้นยังคงไม่เลือกที่จะใช้ความรุนแรงเข้าโต้ตอบและได้หาหนทางการแก้ปัญหาความรุนแรงที่พวกอาหรับก่อขึ้นผ่านทางองค์การสันนิบาตชาติ แต่ก็มีผู้นำชาวยิวส่วนน้อยเลือกที่จะใช้วิธีการก่อการร้ายตอบโต้อังกฤษ แก้เผ็ดและล้างแค้นพวกอาหรับเช่นกัน เรียกว่าหนามยอกเอาหนามบ่งล่ะค่ะน้องจอมโจรฯ..

และด้วยความเบื่อหน่ายในความรุนแรงบนดินแดนปาเลสไตน์และต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่รุมเร้าเข้ามาอันเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่สองอังกฤษจึงได้ตัดสินใจลามือยกปัญหาปาเลสไตน์ให้ไปอยู่ในมือขององค์การสหประชาชาติ (ซึ่งก็คือสันนิบาติชาติในอดีต) จัดการ และเมื่อวันที่ 19 เดือนพฤศจิกายน ในปี 1947 ยูเอ็นก็ได้ตัดสินใจประกาศแก้ปัญหา(ที่วางอยู่บนพื้นฐานข้อสรุปของ Lord Earl Peel ก่อนหน้านี้) ความรุนแรงด้วยการแบ่งปาเลสไตน์ออกเป็นสองส่วนคือ รัฐปาเลสไตน์ สำหรับชาวอาหรับครอบคลุมพื้นที่ 45% และ รัฐอิสราเอลสำหรับชาวยิวซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 55% ของแผ่นดินทั้งหมด…ในแผนการแบ่งประเทศของยูเอ็นนั้น ภายใต้มติสหประชาชาติที่ 181 ได้ก่อให้เกิดพรมแดนที่จัดการได้ยากระหว่างสองประเทศที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากว่าการแบ่งประเทศของยูเอ็นนั้นวางอยู่บนพื้นฐานของการเป็นเจ้าของที่ดินและความหนาแน่นของประชากรรวมไปถึงการจัดการกับผืนที่ดินแถบเนเกฟ…เนเกฟนี่เป็นทะเลทรายทางตอนใต้ของอิสราเอลค่ะผืนดินส่วนใหญ่ตรงนี้เป็นที่ไม่มีคนอาศัยอยู่เพราะเชื่อว่าเป็นผืนดินที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ และผืนดินทะเลทรายเนเกฟนี้ประกอบด้วย 60 % ของผืนดินที่ประกอบเป็นประเทศอิสราเอล (60% ของ 55%) และสิ่งที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามตรงนี้ก็คือ บรรดาชาติอาหรับยังเป็นสมาชิกของยูเอ็นด้วย และหากพูดกันตามความจริงชาติอาหรับในฐานะที่เป็นชาติสมาชิกของยูเอ็นนั้นก็ควรที่จะน้อมรับมติของเสียงสมาชิกส่วนใหญ่ในองค์การสหประชาชาติใช่มั๊ยคะ? แต่เปล่าค่ะบรรดาชาติสมาชิกอาหรับคัดค้านแผนการแบ่งประเทศของยูเอ็น บรรดาชาติอาหรับนั้นต่อต้านแผนการแบ่งประเทศของยูเอ็นด้วยความโอหัง และเริ่มแคมเปญปลุกระดมเรียกร้องชาวอาหรับทั้งผอง ความตั้งใจของชาวอาหรับในแคมเปญปลุกระดมไม่ใช่เพื่อแก้ไขความถูกต้องของเขตแดนที่มีข้อพิพาท หรือประกาศยึดดินแดนที่เคยสูญเสียในการสู้รบก่อนหน้านั้นคืน แต่เป็นความตั้งใจในการทำสงครามกำจัดรัฐยิวและฆ่าสังหารหมู่ชาวยิว 605,000 คน…

ความรู้สึกผิดหวังหรือความอับอายของชาติอาหรับ ที่มีมากมายท่วมท้นชาติอาหรับก็คือ พวกเค้าสูญเสียค่ะ และในความสูญเสียนั้นพวกเค้าสูญเสียดินแดนส่วนใหญ่ที่ยูเอ็นได้กำหนดให้เป็นรัฐปาเลสไตน์ตั้งแต่แรกทุกครั้งที่ทำสงครามกับอิสราเอล อย่างไรก็ตามพื้นที่ของรัฐปาเลสไตน์ที่เหลือรอดพ้น(เวสแบ้งค์และกาซ่า) จากการยึดครองของอิสราเอลก็ไม่เคยกลายมาเป็นรัฐปาเลสไตน์เลยค่ัะ….เพราะอะไรน่ะหรือคะ? นั่นก็เพราะว่าอิยิปต์ยังคงยึดครองฉนวนกาซ่าเอาไว้อย่างผิดกฏหมายระหว่างประเทศนั่นเองยังไม่พอค่ะจอร์แดนเองก็ยึดเอาเวสแบ้งค์มาครอบครองและผนวกเข้าเป็นดินแดนของตัวเองอย่างผิดกฏหมายเช่นกัน ทั้งอียิปต์และจอร์แดนไม่ใยดีต่อกฏหมายระหว่างประเทศและมติสหประชาชาติฉบับที่ 181 และ 194 ทั้งคู่ แต่ไม่มีใครกล้ากระโตกกระตากเลยใช่มั๊ยคะ? ยูเอ็นและประชาคมโลกก็เงียบกริบไหนเลยมันจะสนุกเท่ากับทุบอิสราเอล หุหุ ในทางตรงข้ามยังนึกภาพไม่ออกเลยค่ะว่าหากอิสราเอลเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามจะยังคงมีรัฐยิวอยู่หรือไม่จะยังคงมียิวหลงเหลือในดินแดนอิสราเอลหรือไม่ น่าคิดนะคะ

และความน่าละอายในอดีตที่เหล่าผู้นำอาหรับได้ทำไว้ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะกล่าวถึงก็คือ อิสราเอลเสนอการเจรจาสันติภาพให้กับบรรดาผู้นำอาหรับในปี 1949 ….เพื่อแลกเปลี่ยนสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการอิสราเอลต้องคืนดินแดนส่วนใหญ่ที่ยึดครองได้จากการทำสงครามและอนุญาติให้ผู้ลี้ภัยชาวอาหรับกลับสู่ถิ่นเดิม.(ี่เป็นการเจรจาสันติภาพ Rhodes Armistice talks ในเดือนกรกฏาคมปี 1949) ถ้าหากบรรดาชาติอาหรับเต็มใจที่จะรับแผนการแบ่งประเทศของยูเอ็นตั้งแต่แรกหรือเต็มใจที่จะรับแผนสันติภาพที่อิสราเอลเสนอไม่เพียงแต่รัฐปาเลสไตน์จะกลายเป็นสภาพเป็นประเทศที่ยืนเคียงข้างอิสราเอลตั้งแต่เกือบ 60 ปีที่แล้วแต่ปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัยชาวอาหรับก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ด้วย แต่การตอบรับแผนสันติภาพของเหล่าประเทศอาหรับที่อิสราเอลเสนอก็คือ NO PEACE การกลับคืนสู่ปาเลสไตน์ของผู้ลี้ภัยชาวอาหรับมันมีความหมายว่าเมื่อพวกเค้าสามารถโบกธงปาเลสไตน์ไหวสบัดเหนือศพของชาวยิว อย่างในปี 1936 ก็เหมือนกันผู้นำอาหรับปฏิเสธโอกาสในการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์โดยเลือกหนทางในการต่อสู้กับอิสราเอลต่อไป…

อิสราเอลก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยความความถูกต้องชอบธรรมทั้งในด้านประวัติศาสตร์ และกฏหมายระหว่างประเทศที่รับรองความถูกต้องนั้นทุกประการค่ะน้องจอมโจรฯ

มันไม่ใช่การสถาปนารัฐอิสราเอลหรอกค่ะที่ก่อให้เกิดปัญหาผู้ลี้ภัยและปัญหาอื่นๆตามมาเช่นการก่อการร้าย เป็นต้นตรงนี้กล่าวไม่ถูกและไม่เคยตรงจุดแต่มันคือการเลือกทำสงครามในการลบล้างรัฐอิสราเอล ต้องการขับไล่ชาวยิวลงทะเลของชาติอาหรับที่ทำลายโอกาสครั้งที่สองในการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์นั่นเอง….

***ขอบคุณ การตอบฟอรุ่มของเจสจากราชดำเนิน***

สำหรับคนที่เข้ามาอ่าน ขอให้เปิดใจค่ะ เราเองเป็นคนศาสนาพุทธ(ถึงแม้จะกำลังเรียนศาสนายูดายอยู่ก็ตาม) เรารักในความยุติธรรม แต่เราก็มองโลกในความเป็นจริง ใช่การตั้งประเทศนี้ขึ้นมา อาจทำให้คนชนชาติหนึ่ง ต้องสูญเสีย หากการยอมรับนั้น ก็เป็นกฏที่ต้องใช้ร่วมกันด้วย การต่อสู้มีตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน แต่ทำไมไม่เลือกการเจรจา ที่จะนำมาซึ่งการสูญเสียน้อยกว่า การต่อรองอย่างฉลาด การคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดที่พึงได้ ต่อประชากรของตัวเอง ในเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เปรียบเรื่องของ"ความเห็นใจ" จากนานาชาติอยู่แล้ว ทำไมไม่คิดสร้างชาติให้มั่นคงเสียก่อน...มัวแต่คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องจะทำลายชาติอื่น เมื่อไหร่ประชาชนจะได้ลืมตาอ้าปาก ได้มีงานทำในประเทศตัวเอง มีสาธารณูปโภคพื้นฐานในชีวิตที่ดีขึ้น ...หรือเพียงแต่คิดว่า "ความจน ความลำบากนี่แหละ เป็นเครื่องมือที่วิเศษยิ่งในการปลุกปั่นความเกลียดชัง และต้องการทำลาย" เงินช่วยเหลือจากนานาชาติ(โดยเฉพาะอเมริกา) ทุกๆปีกว่า 300 ล้านเหรียญ มันเลยละลายหายไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรงอกขึ้นจากแผ่นดินเพื่อประชาชนซักนิดเลย นี่แหละที่ฮามาสชนะเลือกตั้งด้วยนโยบายที่แถลงอย่างง่ายๆว่า "ถ้าอิสราเอลถูกทำลาย เราจะเจริญ เราจะอยู่ดีกินดี เราจะไม่ยากจน ที่เรายากจนน่ะ เพราะมีประเทศนี้ เสกมนต์ครอบงำอยู่ นู่นย้อนไปดูซิ อิสราเอลมาครอบครองดินแดนนี้ นั่นแหละ มันเป็นพ่อมดหมอผี เสกทะเลทรายที่เรานั่งอยู่ กลายเป็นพื้นที่เกษตรก็ยังได้ มันเจริญเพราะมันขี้โกง ไม่ยอมมาจนแบบเรา...หมั่นใส้มัน ....." หาเสียงกันแบบนี้จริงๆนะ คือบอกว่า "หนทางการตั้งประเทศน่ะ มีหนทางเดียวคือทำลาย และฆ่าคนยิว เท่านั้นแหละ ไม่มีทางอื่น" ...ง่ายมั้ยล่ะ

จบดีกว่า ยิ่งเขียนยิ่งหม่น



Create Date : 28 มกราคม 2549
Last Update : 30 มกราคม 2549 2:52:31 น. 6 comments
Counter : 1272 Pageviews.

 
นาน ๆ จะเจอคนหัวอกเดียวกัน ดิฉันก็กำลังเรียนเกี่ยวกับศาสนายิวอยู่เหมือนกัน จะได้แต่งงานซะที


โดย: nan IP: 58.9.189.116 วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:24:29 น.  

 
เฮ้อ....อ่านทางมุสลิมเขียนก็ว่ายิวปล้นแผ่นดิน พออ่านบทความของยิว ก้อกลายเป็นว่าอาหรับหาเรื่อง

เอ้า....เหตุการณ์ 911 ที่อเมริกา มุสลิมว่ายิวเป็นคนทำ เนื่องด้วยวันนั้นไม่มียิวไปทำงานที่ตึกนั้นเลย (จำชื่อตึกไม่ได้) คนเมกันหลายคนก้อว่ายิวทำเช่นกัน กรณีนี้ยิวแก้ต่างว่าอย่างไรบ้าง อยากรู้อ่ะ


โดย: bebek วันที่: 8 มกราคม 2551 เวลา:16:12:24 น.  

 
ยิวก็เงียบสิครับ


โดย: Ghairil maghdoobi alaihim. IP: 202.44.8.100 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:15:12:05 น.  

 
อ่าน bible ครับ ประวัติศาสตร์ดี


โดย: วิท IP: 124.121.0.59 วันที่: 7 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:27:28 น.  

 
ยิวไม่มีสิทธ์ที่จะอยู่บนดินแดนปาเลสไตน์ ถึงแม้จะอ้างว่ายิวซื้อที
ดินจากชาวอาหรับ แต่ยิวไม่สิทธ์ที่จะไล่ ฆ่า ชาวอาหรับ เพราะ สมมุติว่ามียิวมาซื้อที่ดินในประเทศไทย พอมาอยู่มากๆหน่อย แล้วมาประกาศว่าจะปกครองดินแดนนี้ มิหนำซ้ำยังมาฆ่าคนไทยอีก และยังมาบอกว่ายิวสมควรอยู่ในแผ่นดินนี้ เพราะยิวเก่ง ยิวสามารถทำใ้ห้ประเทศนี้เจริญ คนไทยไม่มีความสามารถหรอก แน่นอนเราไม่มีทางยอมเด็ดขาด พอเราตั้งกองกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยของเรา อเมริกา อังกฤษ มาบอกว่าพวกนี้เป็นพวกก่อการร้าย โห มันเป็นการซ้ำเติมเข้าไปอีก ทั้งที่เขาต่อสู้เพื่อประชาชนของพวกเขา ซึ้งสิ่งเหล่านี้เราก็น่าจะมองออกแล้วนะว่าโลกทุกวันนี้ช่างไมมีความยุติธรรมสักจริงๆ


โดย: יהודים הוא רשע IP: 41.91.158.255 วันที่: 19 มิถุนายน 2553 เวลา:7:31:46 น.  

 
ใช้สมองส่วนไหนคิดอ่ะ
ตรรกะล้มเหลวอย่างยิ่ง


โดย: ตลก IP: 27.130.91.224 วันที่: 16 ตุลาคม 2553 เวลา:14:46:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BoomK
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 50 คน [?]




บล็อกส่วนตัว เอาไว้เขียนเรื่องส่วนตัว
ถ้าบางเรื่องที่เขียน มีประโยชน์กับบางคน
ก็เชิญเอาไปใช้ได้ตามสบาย ไม่สงวนลิขสิทธิ์
ทักทายกันได้หลังไมค์ และทางอีเมล์ค่ะ
Friends' blogs
[Add BoomK's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.