Mint's world.
|
|||
บทที่ 6 ญาณทิพย์ของพิศลย์ บทที่ 6 ญาณทิพย์ของพิศลย์ “มันคืออะไรเหรอพิศลย์ สิ่งที่ฉันเห็นในความฝัน มันคือตัวตนฉันใช่มั้ย? คือตัวฉันในอดีตชาติใช่มั้ย...” “ทุกสรรพสิ่งล้วนกำเนิดและดำเนินไปด้วยผลของกรรม ธันย์ อย่าไปสนใจว่าอดีตที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เป็นตัวเราอยู่ทุกวันนี้ล้วนเกิดจากกรรมในอดีตที่เราทำไว้ ฉันตอบไม่ได้หรอกนะว่าแกเคยเป็นอะไร แกก็คือแก ภาพที่เห็นอาจเป็นเพียงแค่แวบหนึ่งของชีวิตในอดีตชาติ แต่อย่าได้ไปใส่ใจ มันผ่านมาแล้ว ไม่อาจย้อนกลับไปได้อีก” “แต่หลายวัน หลายคืนมานี้ฉันฝันถึงมัน ฝันเห็นแต่ภาพนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนอยู่ในหัวประหนึ่งว่ามันคือสิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานมานี้เอง...” สองตาของธันย์ เบิกมองบันไดนาคที่สลักเสลาด้วยลวดลายอันประณีตบรรจง มือหนานั้นลูบไปบนเกล็ดสีทองวาววับ ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงเศียรที่ชูขึ้นอย่างสง่าและงดงาม พิศลย์เดินตามผู้เป็นเพื่อนลงบันไดมาอย่างช้าๆ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนาเพ่งพินิจชายหนุ่มข้างหน้าที่เงยหน้าขึ้นมองเศียรของพญานาคหน้าบันไดโบสถ์ด้วยสายตาชื่นชม “จะเป็นไปได้มั้ยพิศลย์ ที่ชาติก่อนฉันจะเคยเกิดเป็นพญานาคเหมือนในฝันที่ฉันเห็น...” คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันต้องหรุบตาลงต่ำ ธันย์ถอนหายใจน้อยๆ และหันมาจ้องหน้าเพื่อนหนุ่มเพื่อรอคำตอบ “แล้วถ้าฉันบอกว่า สิ่งที่นายกำลังคิดอยู่เป็นความจริงล่ะธันย์ นายจะทำยังไงต่อไป รู้แล้วได้อะไรขึ้นมา บางเรื่องนั้นสู้ไม่รู้เสียยังดีกว่า...” “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจตัวเองกำลังโหยหาบางอย่าง...” ธันย์ลากเสียง ดวงตาเหม่อมองอากาศธาตุอันว่างเปล่าเบื้องหน้า “ก็ได้เจอแล้วไม่ใช่เหรอ?...” พิศลย์แทรกขึ้น นั่นทำให้ธันย์ต้องเบิกตาโพลง ชายหนุ่มในชุดขาวทั้งตัวเดินเข้ามาใกล้เพื่อนรัก จ้องมองดวงตาดำขลับของธันย์คล้ายจะหยั่งลึกเข้าไปในจิตใจที่กำลังสับสน “แต่เชื่อฉันเถอะธันย์ ความรักไม่เคยให้คุณแก่ผู้ใด มันยิ่งจะทำให้นายต้องทุกข์ใจ นายไม่ควรจะ...” พิศลย์กัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนสะบัดหน้าหนีด้วยความอึดอัดใจ “พูดมาเถอะ นายรู้ใช่มั้ยว่าต่อไปชีวิตฉันจะเป็นยังไง” “การที่เกิดมาพร้อมกับมีอภิญญานั้นมันทำให้ฉันทรมานใจยิ่งนัก ทรมานใจที่จะต้องมารู้มาเห็นเรื่องของคนอื่น เห็นความทุกข์ของพวกเขาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้...” ธันย์มองร่างของเพื่อนสนิทด้วยความเห็นใจ ก่อนยื่นมือไปตบไหล่พิศลย์เบาๆ “แกไม่ต้องคิดมากหรอกนะพิศลย์ ฉันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกน่า...เอาเถอะ มันก็อาจจะเป็นแค่ความฝันประหลาดๆ ก็ได้ ว่าแต่...อย่างแกเนี่ยคงรู้เรื่องลี้ลับ ตำนานอะไรพวกนี้ดีใช่มั้ย ? ฉันอยากรู้เรื่องพญานาค ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ...” ธันย์เบิกตากว้างด้วยความอยากรู้ ชายหนุ่มผู้เคร่งในการปฏิบัติธรรมถอนหายใจน้อยๆ รู้อยู่แล้วว่าตัวเองคงมิอาจห้ามความอยากรู้เขาได้ เขาไม่คิดเลยว่าธันย์จะรับรู้สัญญาจากภพชาติเดิมได้ชัดเจนมากเท่านี้ พิศลย์พาธันย์มานั่งพักใต้ร่มไม้หน้าวิหาร อีกไม่กี่นาทีก็จะเวลาเพลแล้ว เหล่าชาวบ้านจึงทยอยเดินเข้าวัดกันมาเป็นแถว “ฉันก็รู้ไม่มากหรอกนะไอ้ธันย์ รู้แต่ว่าพญานาคจัดอยู่ในพวกสุคติภูมิ เป็นเจ้าแห่งงู มีพ่อคนเดียวกันกับครุฑ ซ้ำแม่ของทั้งสองก็ยังเป็นพี่น้องกัน ในตำราโบราณนั้นบอกไว้ว่าด้วยเหตุที่ครุฑและนาคมีเหตุขุ่นเคืองกันมาก่อน จึงทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์ต้องคอยจองล้างและทำร้ายกันทุกครั้งที่พบหน้า แต่โดยส่วนใหญ่ครุฑจะเป็นฝ่ายชนะเสียมากกว่า...” พอเพื่อนหนุ่มเอ่ยมาถึงเรื่องของเจ้าแห่งปักษา ใบหน้าของธันย์พลันซีดเผือดลงทันที สีหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้พิศลย์อดสงสัยไม่ได้ “นี่แกยังมีอะไรที่ไม่ได้เล่าให้ฉันฟังอีกรึเปล่าธันย์...” “อ้อ...ไม่มีหรอก เล่าต่อเถอะพิศลย์” ชายหนุ่มแกล้งตีหน้าซื่อ รีบคะยั้นคะยอให้พิศลย์อธิบายต่อ คนที่ถูกรบเร้ากลืนน้ำลายลงคอน้อยๆ เบิกตามองไปยังรูปสลักของนาคาที่บันไดหน้าโบสถ์ “พวกนาค มีทั้งเกิดบนบกและในน้ำ ที่ฉันเคยอ่านในตำรานั้นเขาว่ามีอยู่สี่ตระกูล คือกัณหาโคตรมะ เป็นพวกนาคสีดำ ฉัพยาปุตตะ นาคสีรุ้ง เอราปถ นาคสีเขียว และวิรูปักษ์ คือนาคสีทอง... นาคาทุกตระกูลต่างอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของท้าววิรูปักษ์ ผู้รักษาสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก ถ้าหากว่าสิ่งที่ฉันเห็นและสิ่งที่นายฝัน มันตรงกัน...นั่นก็แสดงว่า ชาติที่แล้วนายคงเคยเกิดเป็นนาคสีทอง...” “ตระกูลวิรูปักษ์น่ะเหรอ...” ธันย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สองตาเหม่อลอยคล้ายย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในความฝันเมื่อคืนนี้ แต่จู่ๆ ก็มีสายลมอันเย็นเฉียบพัดผ่านร่างไปคล้ายสัญญาณเตือน ร่างสูงสง่าหยัดกายขึ้นจากม้านั่ง ก่อนหันซ้ายขวาด้วยสีหน้าตกใจ พิศลย์เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของเพื่อนหนุ่มจึงลุกขึ้นตาม “ไม่นึกว่าจะได้พบกันนะครับ...คุณธันย์...” เสียงแหบห้าวดังมาจากด้านหลัง เมื่อชายหนุ่มหันไปก็ได้พบกับชายฉกรรจ์รุ่นราวคราวเดียวกันที่ยืนเด่นเป็นสง่า ใบหน้าสีน้ำตาลเข้มของวิศรุตเจือด้วยรอยยิ้ม ดวงตาประดุจพญาเหยี่ยวจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า “มาทำบุญเหรอครับ... ผมก็มาทำบุญเหมือนกัน...” “ครับ...” ธันย์ตอบกลับเสียงค่อย ยิ้มเรียบๆ ให้อีกฝ่าย ไม่รู้ว่าทำไมทั้งร่างถึงเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งเมื่อได้ประจันหน้ากับชายคนนี้ เหมือนกับตอนที่เขามาในงานวันนั้น แวบแรกที่สบสายตากัน ธันย์ก็รู้สึกกริ่งเกรงเขาอย่างน่าประหลาด “ผมรู้มาว่าวัดนี้ขาดงบประมาณในการบูรณะพระเจดีย์ด้านหลัง หากคุณธันย์ไม่รังเกียจสนใจร่วมทำบุญบริจาคกับผมมั้ยครับ นี่ผมก็กำลังรวบรวมเงินกับเพื่อนๆ ที่บริษัทอยู่ ทำบุญทำทานด้วยกันชาติหน้าจะได้เกิดมาพบกันอีก” วิศรุตเน้นคำที่ท้ายประโยค นั่นทำให้พิศลย์ต้องเพ่งมองชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มผู้นี้อย่างจริงจัง ก่อนที่เขาจะต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจทันทีที่ภาพของปักษาสีแดงร่างใหญ่ ปรากฏทับซ้อนกับภาพของมนุษย์หนุ่มตรงหน้านี้... ยิ่งยืนประจันหน้ากับวิศรุต ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่มีอยู่นั้นหดหายลงไปทีละนิด ดวงตาของธันย์ประสานกับสองตาสีน้ำตาลเข้มอันทรงอำนาจ ความหนาวยะเยือกเริ่มเกาะกุมร่างของผู้ที่มีฤทธิ์น้อยกว่า แต่ทว่าพิศลย์ก็ปราดเข้ามาขวางเสียก่อน “ขอตัวนะครับ ผมกับเพื่อนต้องไปทำธุระที่อื่นต่อ” ชายหนุ่มผู้มีญาณวิเศษประสานสายตากับวิศรุตตรงๆ สิ่งที่สื่อผ่านแววตานั้นทำให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกกริ่งเกรงในแววตาที่แสดงความหยิ่งผยองและทรงอำนาจนั้นเลยแม้แต่น้อย วิศรุตคงรับรู้ว่าตัวเองเคยเป็นอะไรมาก่อน และพอเห็นธันย์ซึ่งคงรู้แน่ว่าเขาเคยเกิดเป็นนาคา ชาตินี้จึงตามมาหมายกลั่นแกล้งและทำร้าย หากแต่มันก็คงไม่ง่ายตราบใดที่ยังมีชายที่ชื่อพิศลย์อยู่ พิมพ์วารีรีบเคลียร์งานที่กองท่วมโต๊ะจนเสร็จ เย็นนี้หญิงสาวรีบตรงดิ่งกลับที่พักเร็วกว่าทุกวัน ด้วยที่ว่ามีภาระกิจสำคัญที่จะต้องทำ ร่างอรชรลากดินสอลงบนกระดาษวาดภาพขนาดใหญ่ ทั้งสีหน้าและแววตาเบิกบานใจมีความสุข เมื่อร่างภาพได้อย่างคร่าวๆ แล้วจึงเริ่มลงสี จากนั้นจึงเก็บรายละเอียดอย่างประณีตบรรจง เวลาล่วงผ่านไปจนเกือบถึงตีสามภาพพญานาคสีเขียวอันงดงามที่กำลังว่ายวนอยู่ในมหานทีสีครามจึงเสร็จสมบูรณ์ หญิงสาวตั้งใจแล้วว่าจะเขียนภาพนี้ให้ชายหนุ่มเป็นของขวัญเพื่อต้อนรับการกลับมาของเขา เพราะตอนไปงานเลี้ยงคราวก่อน เธอกับพงศกรไม่ได้เตรียมของขวัญไปด้วย ถึงแม้มันจะล่าช้าไปหน่อยแต่เธอก็ตั้งใจวาดมันอย่างจริงจัง เส้นทุกเส้นในภาพวาด สีทุกสีและลวดลายที่ได้เขียนลงไปในทุกรายละเอียด ล้วนแต่ถ่ายทอดออกมาจากหัวใจอันบริสุทธิ์ของเธอโดยทั้งสิ้น... ธันย์จะต้องชอบในของขวัญชิ้นนี้แน่นอน... เขาจะต้องประทับใจและหลงใหลมันยิ่งกว่างูสีรุ้งน่าเกลียดของยัยปลายฟ้าตัวนั้นอย่างแน่นอน เช้าวันนี้พิมพ์วารีสวมชุดเดรสทำงานสีเขียว มีกระดุมด้านหน้า ตัวกระโปรงนั้นสั้นเลยเข่าขึ้นมาราวสองนิ้ว ที่เอวมีเข็มขัดสีขาวอัดใหญ่รัดไว้ ผมสีดำสลวยถูกดัดเป็นลอนและปล่อยสยายอย่างสบายๆ พิมพ์วารีเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองนับตั้งแต่ที่ได้พบชายหนุ่มคนนั้น เธอพยายามทำทุกอย่างให้เขาหันมาสนใจโดยมีพงศกรผู้เป็นเพื่อนรักคอยเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ แต่ทว่าเพื่อนหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า หากธันย์ รัตนเวคินทร์คนนั้นหลงใหลได้ปลื้มปลายฟ้ามากกว่าเพื่อนของเขา พิมพ์วารีจะทำเช่นไรต่อไป... “นั่นมันอะไรน่ะฟ้า กรอบรูปเหรอ?” พงศกรเอ่ยถาม หลังจากวางแฟ้มหนาลงยังเบาะหลังของรถยนต์หญิงสาว คนที่ยืนอยู่เคียงข้างบอกเสียงใสพร้อมรอยยิ้ม “ใช่จ้ะ นี่เป็นรูปที่ฉันตั้งใจวาด กะว่าจะเอาไปให้คุณธันย์ แทนของขวัญที่เราไม่ได้ให้เขาในวันงานเลี้ยงต้อนรับเขาน่ะ...” พอเห็นสีหน้าเป็นสุขของเพื่อนสาวพงศกรก็อดคลี่ยิ้มตามด้วยไม่ได้ “งั้นก็รีบๆ ไปแล้วกัน ตอนบ่ายมีประชุมสำคัญด้วย” เพื่อนหนุ่มบอกเสียงเรียบ ด้วยที่ว่าพิมพ์วารีมีนัดคุยเรื่องรายละเอียดการตกแต่งภายในกับธันย์ หลังจากที่คุยกันค้างไว้คราวก่อน หญิงสาวโบกมือลาเพื่อนหนุ่ม เปิดประตูก้าวขาขึ้นรถและขับออกไปด้วยความเบิกบานใจ ไม่นานนักก็มาถึงบ้านหลังย่อมของชายหนุ่มในที่สุด พอเห็นแขกสาวหอบข้าวของพะรุงพะรังเดินตรงเข้าบ้านที่กำลังตกแต่งจวนจะเสร็จ ธันย์จึงรีบปรี่เข้าช่วยมาถือแฟ้มและกรอบรูปใบใหญ่ที่มีกระดาษห่อหุ้มมิดชิดไว้ พอเข้ามาในบ้าน หญิงสาวจึงวางรูปนั้นไว้มุมห้อง รีบกางแฟ้มให้พนักงานของบริษัทซึ่งมารออยู่ก่อนแล้วดูรายละเอียดที่ธันย์ต้องการ ก่อนเดินดูบริเวณที่ชายหนุ่มต้องการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมไปพร้อมกัน ตัวบ้านนั้นก่อสร้างทาสีจนเสร็จเรียบร้อย จะเหลือก็เพียงแต่การตกแต่งภายในเพิ่มเติม ในส่วนของห้องครัวและห้องนอนซึ่งธันย์ต้องการให้ทางบริษัทจัดหาเฟอร์นิเจอร์จัดหาสิ่งของที่ต้องการให้เพราะตัวเองกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานวิจัยที่จะเริ่มลงพื้นที่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ที่จะถึงนี้แล้ว “บ้านหลังนี้...ผมกะว่าจะมาพักเวลาที่เข้ามาทำธุระในกรุงเทพฯ น่ะครับ ที่เลือกสร้างบนทำเลแถบนี้เพราะมันไม่วุ่นวายเหมือนในตัวเมือง” เขาเปรยขึ้น ภายหลังจากเจรจาเรื่องงานกับหญิงสาวเสร็จสิ้น พิมพ์วารีพยักหน้าเนิบนาบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่เธอจะรีบลุกไปหยิบเอาของขวัญชิ้นพิเศษมามอบให้ชายหนุ่ม “นี่ค่ะ...ฉันมอบให้คุณเป็นของขวัญ ต้อนรับการกลับมา...” หญิงสาวยื่นกรอบรูปที่ถูกห่อไว้อย่างมิดชิดส่งให้ ธันย์รับมาด้วยความตกใจนิดๆ สงสัยตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหญิงสาวถือมันลงมาจากรถแล้ว ธันย์ค่อยๆ แกะกระดาษนั้นออกอย่างช้าๆ ขณะที่พิมพ์วารีได้แต่จ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ของชายหนุ่ม จนกระทั่งภาพพญานาคสีเขียวกำลังเล่นน้ำปรากฏต่อสายตาของชายหนุ่ม ธันย์ก็คลี่ยิ้มกว้างออกมาอย่างพอใจ เขายืนขึ้นขณะที่มือทั้งสองข้างยังจับรูปวาดขนาดยี่สิบสี่คูณสามสิบนิ้วนั้นไว้แน่น เดินดุ่มๆ ไปทาบกับผนังห้องรับแขกพร้อมกับแหงนหน้ามอง “สวยจริงๆ เลยครับคุณพิมพ์... คุณไปได้มาจากไหนครับเนี่ย” เขาถามทั้งที่ตายังคงนิ่งค้างอยู่กับภาพวาดอันวิจิตรนั้น พิมพ์วารีหยัดกายลุกขึ้นยืน เดินเนิบนาบไปยืนข้างๆ ชายหนุ่ม “ฉันเป็นคนวาดเองค่ะ... ตั้งใจวาดให้คุณโดยเฉพาะเลยนะคะ...” น้ำเสียงนุ่มใสนั้นฉุดให้ใบหน้าหล่อเหลาต้องหันขวับมามองเธอด้วยความประทับใจในพรสวรรค์ที่หญิงสาวมี ธันย์ฉีกยิ้มกว้าง แววตาคู่นั้นอัดแน่นไปด้วยความตื้นตันและเป็นสุข เช่นเดียวกับหญิงสาวตรงหน้าเขานี้ รอยยิ้มของชายหนุ่มเหมือนสายฝนอันเย็นฉ่ำที่ซัดสาดลงมากลางหัวใจอันแห้งผากของเธอ... “ขอบคุณมากนะครับ... ผมจะติดรูปนึ้ไว้ตรงนี้แหละ” ธันย์ว่าเสียงใสก่อนที่พิมพ์วารีจะค้อมศีรษะให้ด้วยความยินดียิ่ง เพียงแค่ไม่ได้พบหน้าเขาหนึ่งวัน หัวใจเธอมันก็ร้อนรนไม่เป็นอันทำอะไร หญิงสาวเดินวนไปเวียนมารอบห้องทำงานอยู่หลายรอบ กำลังตัดสินใจอยู่ว่าเย็นนี้จะไปหาธันย์ดีหรือเปล่า ? จนสุดท้ายปลายฟ้าก็ทนแรงปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจจนล้นปรี่ไม่ไหว หญิงสาวนั่งคิดหาเรื่องที่จะเข้าพบชายหนุ่มอยู่นานก่อนจะคิดออก “พี่ธันย์เหรอคะ... นี่ฟ้าเองนะคะ คือว่า...ฟ้ามีเรื่องอยากขอคำปรึกษานิดหน่อยน่ะค่ะ” น้ำเสียงที่ฟังดูติดๆ ขัดๆ ทำให้คนปลายสายต้องย่นคิ้ว ธันย์แหงนหน้ามองนาฬิกาที่ติดไว้เหนือโซฟาตัวใหญ่ขณะที่พิศลย์กำลังยกแกงร้อนๆ ออกมาจากครัว “น้องฟ้ามีเรื่องอะไรเหรอครับ...ว่ามาสิ” ธันย์เดินเนิบนาบไปยังโต๊ะอาหาร ใช้อีกมือจับเหยือกรินน้ำใส่แก้วสองใบที่เตรียมไว้สำหรับเขาและเพื่อนหนุ่มที่มาค้างด้วย ธันย์ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของหญิงสาว ก่อนที่เธอจะเอ่ยอย่างกระหืดกระหอบ “คือ...ฟ้าได้ยินว่าพี่ธันย์กำลังตกแต่งบ้านเหรอคะ พอดีคุณแม่ให้ฟ้าเป็น:-)านเรื่องการตกแต่งรีสอร์ทที่บึงกาฬน่ะค่ะ แต่ฟ้าไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้นัก...” “ได้สิจ้ะ แต่พี่ก็ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่นะ อันที่จริงพี่ว่าน้องฟ้าควรมอบให้ลูกน้องที่ถนัดทางด้านนี้จัดการจะดีกว่านะ เราเองจะได้ไม่ต้องเหนื่อยด้วยไง...” พอได้ยินคำเสนอแนะของอีกฝ่ายก็ถึงกับทำให้หญิงสาวใจแป้ว “แต่ฟ้าก็อยากจะหาความรู้เพิ่มเติมบ้างน่ะค่ะ อยากไปดูสไตล์การแต่งบ้านของพี่ธันย์ เผื่อว่าอาจจะได้เอามาปรับใช้ที่รีสอร์ท ได้ยินว่าบริษัทที่พี่ธันย์ว่าจ้างนี่ฝีมือดีใช่มั้ยค่ะ” “ใช่จ้ะ...ถ้าน้องฟ้าสะดวกจะมาตอนไหนก็โทร.บอกพี่นะ” “เป็นวันนี้ได้มั้ยคะ ไม่ทราบว่าพี่ธันย์สะดวกรึเปล่า เอ่อ...พอดีว่าฟ้ากำลังมาทำธุระแถวบ้านพี่ธันย์ด้วย” “งั้นก็ได้เลยจ้ะ พี่กำลังจะทานข้าวเย็นพอดี งั้นเดี๋ยวพี่จะรอฟ้านะ...” เขาบอกเสียงหวานก่อนที่ปลายฟ้าจะผายยิ้มกว้างด้วยความดีใจ พอหญิงสาววางสายไปชายหนุ่มจึงหันมาบอกกับพิศลย์ที่กำลังจะลงมือทานอาหารเย็นว่าให้คอยแขกคนสำคัญของเขาเสียก่อน พิศลย์ต้องทนฟังเสียงท้องตัวเองร้องจ๊อกๆ อยู่เกือบชั่วโมงกว่าที่แขกคนสำคัญของธันย์จะมาถึง ปลายฟ้าตรงเข้าบ้านมาพร้อมกับหอบหิ้วถุงของกินพะรุงพะรัง สองหนุ่มรีบตรงเข้าไปรับของจากเธอขณะที่หญิงสาวตกใจน้อยๆ ที่เห็นพิศลย์ “นี่เพื่อนพี่เองจ้ะ ชื่อพิศลย์” ธันย์แนะนำเพื่อนหนุ่มให้รู้จักกับหญิงสาวรุ่นน้องขณะที่ทั้งสามเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อจัดแจงอาหารที่ปลายฟ้าซื้อมาใส่จานเรียบร้อยแล้วจึงได้ลงมือทานอาหารเย็นกันเสียที “แกงเผ็ดไก่และต้มยำกุ้งนี่ไอ้พิศลย์ทำจ้ะ ส่วนผัดกระเพราะหมูสับนี่พี่ทำเอง...” ธันย์บอกอย่างภาคภูมิ ก่อนใช้ช้อนกลางตักใส่จานให้หญิงสาว แม้เขาจะทำไปเพราะความเป็นสุภาพบุรุษหากแต่มันก็ยิ่งทำให้ปลายฟ้าปลาบปลื้มในตัวเขามากยิ่งขึ้น คราวนี้หญิงสาวจึงตักแกงส้มที่แวะซื้อมาให้ชายหนุ่มบ้าง “พี่ธันย์ไปอยู่ต่างประเทศตั้งนาน ไม่นึกว่าจะยังคงชอบทานอาหารไทยนะคะ” “พี่ก็หาเวลาทำอยู่บ่อยๆ ครับ ยังไงก็ลืมรสชาติอาหารไทยไม่ลงหรอก” สองหนุ่มสาวพูดคุยกันพร้อมรอยยิ้มจนพิศลย์เริ่มรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนเกิน พอเขาหันไปจ้องมองสายตาของปลายฟ้าอย่างพินิจจึงแน่ใจแล้วว่าหล่อนคิดกับธันย์มากกว่าคนรู้จักแน่ จะเหลือก็แต่ไอ้เพื่อนหนุ่มเจ้าเสน่ห์ของเขาคนนี้เท่านั้นแหละ ที่จะคิดเช่นไรกับหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาซึ่งจัดสวยงามหยาดฟ้ามาดินและเพียบพร้อมเช่นปลายฟ้าคนนี้ เมื่อทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ธันย์จึงพาหญิงสาวเดินสำรวจภายในห้องต่างๆ ของบ้านหลังย่อมของเขา “นี่ก็เหลือแค่ตกแต่งเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ น่ะจ้ะ พอดีได้คุณพิมกับคุณกรเขามาดู สองคนนี้เก่งมาก ตกแต่งได้ถูกใจพี่ งานก็เสร็จเร็ว” “พิมเหรอคะ...” พอได้ยินชื่อนี้ ปลายฟ้าถึงกับนิ่งค้างราวกับหุ่นไร้ชีวิต ทั้งสองมาถึงห้องรับแขกที่ตกแต่งจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ผนังสีเหลืองอ่อนนั้นมีรูปวาดพญานาคสีเขียวเล่นน้ำแขวนเด่นเป็นสง่า “คุณพิมเป็นมัณฑนากรน่ะจ้ะ คนที่พี่เคยแนะนำให้ฟ้าได้รู้จักในงานวันนั้นไง...” จู่ๆ ความร้อนประหนึ่งเปลวเพลิงก็พัดโหมเข้าใส่ทั่วร่างของหญิงสาว ริมฝีปากเรียวบางนั้นเม้มแน่นเข้าหากันด้วยความโกรธเคืองที่ประทุขึ้นอีกครั้ง ปลายฟ้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ก่อนที่สองตาจะได้พบกับภาพวาดอันวิจิตรงดงามภาพนั้น เมื่อเห็นสองตาของหญิงสาวจดจ้องอยู่กับภาพวาดที่ชายหนุ่มเพิ่งได้รับมาธันย์จึงรีบอธิบายพร้อมรอยยิ้มด้วยความปลาบปลื้มใจ “ภาพนี้... คุณพิมเธอเพิ่งมอบให้พี่เป็นของขวัญเมื่อกลางวันนี่เองจ้ะ ลายเส้นสวยมาก เธอเป็นคนมีพรสวรรค์จริงๆ” ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงและแววตาที่ทอดมองภาพนั้นด้วยความชื่นชมปลายฟ้าก็ยิ่งกัดฟันแน่นด้วยความเดือดแค้น “แล้วเจ้าสายรุ้งของฟ้าล่ะคะ พี่ธันย์เอามันไปไว้ไหน?” น้ำเสียงฟังดูคล้ายตัดพ้อเอ่ยถามถึงงูน้อยที่เธอมอบให้กับเขาเป็นของขวัญ “อ๋อ...พอดีพี่เอาไว้ที่บ้านใหญ่น่ะครับ ให้ยัยธารน้องสาวพี่เป็นคนดูแล เอามาไว้ที่นี่พี่เองก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างสักเท่าไหร่” ธันย์บอกน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้สังเกตเลยว่าหญิงสาวข้างกายเขากำลังรู้สึกน้อยใจ ปลายฟ้าทำทีเป็นเดินชมห้องอื่นๆ ภายในบ้านต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะขอลากลับไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง ธันย์รู้สึกแปลกใจน้อยๆ ที่จู่ๆ ความสดใสบนใบหน้าของเธอก็พลันเลือนหายไป ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำให้เธอขุ่นเคืองใจตรงไหนรึเปล่า? “นี่ถ้าหากว่าฉันไม่มาค้างด้วย แกจะชวนน้องเขาค้างที่นี่มั้ยวะไอ้ธันย์” พิศลย์เอ่ยถามขึ้น ขณะเดินเนิบนาบออกมาหาเพื่อนหนุ่มที่ยืนมองรถยนต์หญิงสาวขับหายลับไป ธันย์หันมาทำหน้าเหรอหราใส่ ก่อนบอกอย่างยิ้มๆ “ก็อาจจะ...” อีกฝ่ายรู้ว่าคนตรงหน้านี้แกล้งพูด จึงหรี่ตามองเพื่อนหนุ่มจริงจัง “ถามตรงๆ นะธันย์ ตอนนี้แกยังไม่มีใครใช่มั้ยวะ” พอได้ยินคำถามจากปากเพื่อนรัก ธันย์ก็ถึงกับอมยิ้มกรุ้มกริ่ม มาคุยเรื่องความรักกับไอ้พิศลย์เนี่ยนะ...ฝนฟ้าเป็นได้แล้งแน่ปีนี้ “ไม่มี...” น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับ “แล้วคิดยังไงกับน้องปลายฟ้า” “คิดยังไง?...” ธันย์ทวนคำขณะที่พิศลย์พยักหน้าหงึกหงัก “ถ้าหากฉันจะบอกว่า... แกกับน้องคนนั้น เคยเกี่ยวข้องกันเมื่ออดีชาติล่ะ แกจะอยากฟังรึเปล่า?...” คำพูดของพิศลย์ถึงกับทำให้ชายหนุ่มเบิกตาค้าง ก่อนที่พิศลย์จะรีบเฉลย “แต่ฉันรู้ไม่มากเท่าไหร่ บอกได้เพียงแค่ว่า ในภพชาติเดิมนั้น เธอมีกำเนิดเหมือนกันกับแก...” “นี่แกจะบอกว่าน้องฟ้าเคยเกิดเป็นนาคางั้นเหรอ? แล้วทำไมชาตินี้ถึงได้มาพบกับฉันล่ะ เราเคยเกี่ยวข้องกันใช่มั้ย ?” ธันย์เอ่ยถามอย่างร้อนรน นั่นทำให้พิศลย์ต้องถอนหายใจยาวก่อนจะสาธยาย “ฉันจะบอกแกนะไอ้ธันย์ การที่ฉันได้มาเป็นเพื่อนแกน่ะมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก หรือการที่ได้แกได้พบผู้หญิงคนนั้นก็เพราะว่าเคยมีสัญญาต่อกันมาก่อน คนที่เคยเป็นกัลยาณมิตรต่อกันในอดีตชาติ เมื่อจุติสู่ภพภูมิใหม่ในเวลาใกล้เคียงกัน ก็อาจจะได้กลับมาพบเจอกัน ตามแต่วิถีแห่งกรรม เหมือนกับที่บางครั้งเรารู้สึกถูกชะตากับบางคนที่เพียงแค่มองหน้ากันแวบแรกหรือเพียงแค่พูดคุยกันไม่กี่คำ และบางทีก็รู้สึกเกลียดชังหรือหวาดกลัว บางคนอย่างไม่มีสาเหตุ นั่นก็อาจเป็นเพราะห้วงอารมณ์ในอดีตยังติดค้างอยู่ในมโนจิต และมันก็ไม่แปลกเลยที่น้องปลายฟ้าจะรู้สึกดีกับแก...” “รู้สึกดี... นี่แกหมายความว่ายังไงวะไอ้พิศลย์” หัวใจของธันย์เต้นโครมครามอยู่ในอก พิศลย์จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนหนุ่มจริงจัง ก่อนคลายยิ้มบางๆ “แค่ฉันมองตาหล่อน ฉันก็รู้แล้วว่าหล่อนคิดยังไงกับแก ปลายฟ้ากำลังตกหลุมรักแกนะ...ไอ้ธันย์” “ไม่รู้สิ ฉันยังตอบไม่ได้ว่าคิดยังไงกับน้องฟ้า เพียงแค่รู้สึกดีที่ได้พบเธอ อนาคตนั้นจะเป็นยังไงฉันไม่รู้ น้องเป็นคนน่ารัก เป็นผู้หญิงสดใสร่าเริง” ขณะเอ่ยถึงหญิงสาว ใบหน้าหล่อเหลาคมคายก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา พิศลย์มองแววตาของธันย์ที่แสดงถึงความเสน่หาในตัวปลายฟ้าก็ต้องถอนหายใจกับความปากแข็งและยังไม่รู้ความต้องการของหัวใจตนเอง พิศาลคลี่ยิ้มบางๆ สายตายังคงพินิจเรือนหน้าของเพื่อนหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ทำให้ธันย์ต้องยืนนิ่งค้างไปพักใหญ่เพื่อขบคิดหาคำตอบให้ผู้เป็นเพื่อน “หากนายประทับใจในความสดใสของปลายฟ้า แล้วตอนนี้นายรู้สึกยังไงกับผู้หญิงที่วาดรูปพญานาคสีเขียวเล่นน้ำรูปนั้นล่ะธันย์...” |
ผีเสื้อสีดำ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?] จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า... ทำไม่ได้ Group Blog All Blog
Friends Blog
Link MY VIP Friend |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |