ผ้าไหมโบราณ

นับตั้งแต่ที่ได้พบหน้าผู้หญิงคนนั้น พิมพ์วารีก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่คุกรุ่นอยู่รอบกายเธอ เธอยังจำเครื่องหน้าของหล่อนได้ดี  ผู้หญิงที่มีใบหน้าขาวสวยคล้ายคนจีน ผิวบอบบางตามแบบฉบับลูกผู้ดีมีตระกูล ริมฝีปากเรียวบางได้รูป กับรูปคิ้วที่หางเชิดบ่งบอกถึงความยโส และแววตาคมคายมุ่งมั่นคู่นั้น หล่อหลอมให้ปลายฟ้ากลายเป็นผู้หญิงที่งดงามและมาดมั่นผู้หนึ่ง แต่ก่อนหน้าที่เธอจะกลายเป็นหญิงสาวที่มีความมั่นใจสูงเช่นทุกวันนี้ ชีวิตที่ผ่านมาในอดีตกลับต้องพบเจอแต่สิ่งที่ทำร้ายจิตใจอย่างแสนสาหัส ทั้งมารดาที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเยาว์วัย และยิ่งกว่านั้น คนรักที่คบหากันมากว่าห้าปีก็มาขอตัดสัมพันธ์จากไปอย่างไม่มีเยื่อใย แต่แม้จะต้องเผชิญมรสุมในชีวิตอย่างหนักหนาสาหัสอย่างไร หากแต่เธอก็ยังข้ามผ่านมันมาได้อย่างเข้มแข็ง  

ไม่ต่างกับผู้หญิงที่ปลายฟ้าได้พบเมื่อวันก่อนนั้น ทันทีที่สบสายตากัน เธอก็รู้สึกคล้ายมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงแล่นผ่านร่างไปชั่ววินาที ใบหน้าเนียนละเอียดสีน้ำผึ้ง คิ้วสีดำรูปเคียว ดวงตาสีดำสนิทที่กลมโตโดดเด่น จมูกโด่งสวยกับริมฝีปากสีแดงสด ผมยาวถึงกลางหลังของหล่อนพลิ้วไหวตามแรงลม  

ปลายฟ้ายังจำภาพในวันนั้นได้ติดตา สีหน้าและแววตาอันสงบนิ่ง อัดแน่นไปด้วยความมั่นคงแข็งแกร่ง และเชื่อพิมพ์วารีเองก็คงมิอาจลืมใบหน้าของเธอไปได้เช่นเดียวกัน



“กะอีแค่ผ้าไหมผืนเดียวแกก็เกือบไปมีเรื่องกับเขาเหรอยัยฟ้า แกนี่มันบ้าชะมัด รู้รึเปล่าว่านับวันยิ่งทำตัวแรงขึ้นเรื่อยๆ” ใบหม่อนถอนหายใจน้อยๆ ก่อนรวบเอาผมหยักสกที่ยาวประบ่าไว้ที่ท้ายทอย มือขาวเนียนเอื้อมไปหยิบเอาปิ่นปักผมมาเสียบมวยผมที่เกล้าไว้ รีบเดินกรุยกรายมาหาเพื่อนสนิทที่นั่งจ้องหน้าจอมอนิเตอร์

ปลายฟ้าไม่พูดอะไร ยังคงเพ่งสมาธิไปยัง Profile ของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เธอเจอในโลกออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นที่เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คยอดฮิต

ใบหม่อนในชุดเสื้อแขนกุดสีขาวและกระโปรงยาวสีเดียวกันทรุดนั่งลงยังเก้าอี้ข้างๆ เพื่อนสนิท ใบหน้ากลมอิ่มยื่นเข้าไปใกล้จอมอนิเตอร์ ก่อนเพ่งสายตาไปยังรูปชายหนุ่มที่ปลายฟ้านั่งจ้องอยู่เป็นนาน

“ธันย์ รัตนเวคินทร์” หญิงสาวเจ้าของบ้านไม้ริมน้ำเจ้าพระยาหลังย่อมอุทานเสียงเบา ก่อนหันไปมองคนข้างๆ ที่เริ่มอมยิ้ม ท่าทางดูมีความสุข

“แกรู้จักเขาเหรอ?...ก็หล่อดีนะ”

“ไม่ ฉันไม่รู้จัก แต่ต้องรู้จักให้ได้” ปลายฟ้าบอกอย่างมาดมั่นก่อนย่อหน้าต่างแอพพลิเคชั่นนั้นลงและหันมาหาใบหม่อนแทน

“วันนี้เราไปทานข้าวข้างนอกกันเถอะหม่อน ฉันอยากกินกุ้งเผา ต้มยำกุ้ง พล่ากุ้ง แล้วก็...”

“นี่...เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องนะฟ้า แกยังไม่ยอมเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังถึงเรื่องนั้นเลย” ใบหม่อนทำสีหน้าเคืองใส่ จู่ๆ อีกฝ่ายก็มาตัดบทเอาเสียดื้อๆ แบบนี้ เธอก็อุตส่าห์เป็นห่วง แต่ปลายฟ้ากลับไม่ใส่ใจในความหวังดีเลย เธอจึงทำเป็นนิ่งเฉยไม่ยอมคุยด้วยปลายฟ้าจึงได้เปิดปากเล่าอย่างไม่เต็มใจนัก

ใบหน้าขาวสวยเรียบเฉยราวกับหุ่นขี้ผึ้ง ดวงตากลมรีทอดมองไปยังคุ้งน้ำตรงหน้า ค่อยๆ ระบายลมหายใจออกอย่างช้าๆ

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่พอใจผู้หญิงคนนั้นเอามากๆ ขณะที่เกิดเรื่องขึ้น รู้สึกเหมือนว่าควบคุมตัวเองไม่อยู่ ฉันรู้แต่ว่า...ตัวเองต้องได้ผ้าไหมผืนนั้นมาครอบครอง ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอามันมาให้ได้”

ขณะที่ปลายฟ้าเล่าอยู่นั้น มือทั้งสองข้างก็กำแน่นจนใบหม่อนสังเกตเห็น ใบหน้าที่เรียบนิ่งเริ่มเครียดเกร็งจากแรงบีบคั้นภายใน และจู่ๆ บรรยากาศริมแม่น้ำอันเงียบสงบก็เริ่มอึมครึมด้วยเมฆฝนที่เคลื่อนมาบัดบังแสงอาทิตย์

ใบหม่อนขยับกายเข้าไปใกล้ก่อนบีบมือเพื่อนสนิทเบาๆ “แล้วเป็นยังไงต่อไปฟ้า...” คนพูดว่าเสียงกระซิบ ยกอีกมือขึ้นลูบหลังปลายฟ้าด้วยอยากให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

ปลายฟ้าละสายตาจากท้องน้ำ มองสูงขึ้นสู่หมู่เมฆสีดำเข้ม ก่อนก้มลงมายังกลางแม่น้ำพร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนใบหม่อนต้องยกมือทาบอกด้วยความตกใจ

หญิงสาวจ้องมองละอองน้ำที่แตกกระจายเป็นฟูฟ่องพร้อมกับขบกรามแน่น  

“ผู้หญิงคนนั้นก็อยากได้เหมือนกัน ตอนนั้นฉันกำลังดูผ้าไหมจากทางเหนืออยู่ แต่จู่ๆ เหมือนมีอะไรมาดลใจตามันก็หันไปมองเห็นผ้าไหมผืนนั้นเข้า ฉันเดินตรงไปหามันก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบ แต่ว่า...” คนพูดกัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนยิ้มเหยียดอย่างเจ็บใจ ใบหม่อนยังคงจ้องหน้าเพื่อนสนิทอย่างไม่กระพริบตา ปลายฟ้าสูดลมหายใจเข้าปอดฮึดฮัดก่อนเอ่ย

“เธอเอื้อมมือมาจับชายผ้าอีกด้านไว้ เราสองคนมองหน้ากันทันที...” คนพูดลากเสียงค้าง หวนนึกถึงวินาทีที่ได้จ้องหน้ากับหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้น รู้สึกเหมือนมีใครเอาน้ำร้อนมาสาดใส่หน้าเธอ มันร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัว อยากจะกระโจนเข้าไปทำร้ายเขาเสียให้ได้ ขณะที่มือเธอยังจับผ้าไหมไว้แน่นอีกฝ่ายเองก็ยึดไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เช่นเดียวกัน

“แล้วสรุปว่าใครเป็นคนได้ผ้าผืนนั้นไป เธอหรือว่าผู้หญิงคนนั้น ผ้านั่นมันสวยมากนักเหรอฟ้า แล้วมันมีแค่ผืนเดียวเหรอ?” ใบหม่อนลากเสียง หัวคิ้วย่นเข้าหากันจนแทบชิด แม้จะรู้ว่าเพื่อนสนิทมีนิสัยเอาแต่ใจแต่ก็ไม่เคยเห็นปลายฟ้าอยากได้ของชิ้นไหนมากเท่านี้ ถึงขนาดเกือบไปมีเรื่องกับคนอื่น

สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างแรง แสงแดดสีเหลืองทองลับหายไปกับหมู่เมฆที่เคลื่อนมาบดบัง สายตาของปลายฟ้ายังคงเหม่อมองไปยังสายน้ำและท้องฟ้าที่กำลังพิโรธด้านนอก

“ผ้าไหมผืนนั้นมีแค่ผืนเดียว ทอจากไหมเนื้อดี เป็นผ้าในราชสำนักโบราณ สีน้ำเงินเข้ม ลายกนก”

“ผ้าไหมโบราณ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ามันเคยมีเจ้าของมาก่อนแล้วน่ะสิ แบบนี้แกยังจะอยากได้อยู่เหรอฟ้า อีกอย่าง...ไม่รู้ว่าผ้านั่นมีที่มาที่ไปยังไงบ้าง”

“ช่างปะไร ก็ฉันอยากได้นี่ใบหม่อน” ปลายฟ้าสะบัดหน้ามาหาเพื่อนสนิทอย่างแรง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มขุ่นมัวเหมือนกับสีของท้องฟ้าในยามนี้ คนที่ถูกจ้องหน้าก้มหน้าลงน้อยๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้สติและเอ่ยขอโทษใบหม่อนไป

ปลายฟ้าหยัดกายลุกขึ้นยืน เดินเนิบนาบไปยังประตูกระจกที่เปิดออกกว้างให้ลมเย็นได้พัดผ่านเข้ามา ปอยฝนปลิวมากระทบผิวกายเนียนขาว ความร้อนรุ่มจึงพอผ่อนคลายลงไปได้บ้าง

ใบหม่อนลุกตามผู้เป็นเพื่อนก่อนมองไปเห็นถุงกระดาษสีน้ำตาลที่ปลายฟ้าถือเข้ามาตั้งแต่ก้าวเข้าบ้าน หญิงสาวเดินตรงไปคว้ามันขึ้นมาและหยิบเอาผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มผืนนั้นออกมาช้าๆ ด้วยความตื่นเต้น

“ผ้าไหมผืนนี้ใช่มั้ย แต่เอ...นี่มันเป็นรอยฉีกนี่ฟ้า หมายความว่ายังไง” ใบหม่อนทอดสายตาไปยังร่างสูงเพรียวที่ยืนพิงขอบประตูเพื่อรอคำตอบ ปลายฟ้าหรุบตาลงต่ำพร้อมกัดฟันอย่างเจ็บใจ ความเสียดายก่อตัวเป็นความขุ่นแค้นอย่างไม่มีทางลบล้างให้หายไปได้

“ฉันกับผู้หญิงคนนั้น เราแย่งผ้าไหมผืนนั้นจนมันขาดออกเป็นสองส่วน” คำตอบที่ได้ยินทำเอาคนฟังถึงกับตาโตอย่างตกใจ

“แล้วผ้าอีกส่วนนึงล่ะ อย่าบอกนะว่า...” ใบหม่อนอ้าปากค้างก่อนที่ปลายฟ้าจะค่อยๆ หันหลังมา

“ใช่ หล่อนก็เอาส่วนนั้นกลับไปเหมือนกัน”



พงศกรกวาดสายตาหารอบๆ แผนกแต่ก็ไม่พบร่างเพื่อนสาวสุดที่รัก ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเดินละลิ่วตรงสู่ประตูก่อนกดลิฟต์ขึ้นไปหาพิมพ์วารีเผื่อว่าหล่อนอาจไปปรึกษางานกับพี่นงเยาว์

“อ้าว...ยัยพิมไม่ได้มาหาพี่เหรอครับ” คนที่เพิ่งมาถึงอุทานเสียงหลง เขาต้องรีบส่งรายการวัสดุให้ฝ่ายจัดซื้อก่อนบ่ายโมง แต่นี่แม่มัณฑนากรสาวกลับมาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้เสียได้

“เพิ่งเข้าไปคุยกับหัวหน้าเมื่อกี้เองกร นั่งเล่นกับพี่ก่อนสิ อีกเดี๋ยวยัยพิมคงออกมา” นงเยาว์ เลขานุการวัยสามสิบห้าปีเชื้อเชิญก่อนที่อีกฝ่ายจะทิ้งตัวลงบนโซฟาพร้อมหอบหายใจ แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่บริษัทใหญ่โตแต่ก็มีงานเข้ามาทุกวัน ล่าสุดเป็นทายาทนักธุรกิจที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ว่าจ้างให้ออกแบบ สร้างและตกแต่งบ้าน

“เออ แล้วโปรเจ็คใหม่ว่ายังไงไอ้กร หัวหน้าจะให้ใครทำบ้าง...” นงเยาวว์ปิดแฟ้มเอกสารที่จะต้องเสนอเซ็นต์หลังจากที่พิมพ์วารีออกมาจากห้องผู้เป็นเจ้านาย เดินเนิบนาบตรงไปยังมุมเครื่องดื่มและชงกาแฟมาให้พนักงานรุ่นน้องที่สนิทสนมกันมานาน

“ก็คงไม่กี่คนหละพี่เยาว์ เอาไว้ให้ไอ้ยศมันสร้างใกล้เสร็จก่อนแล้วกันถึงค่อยมาคุยเรื่องตกแต่งภายใน ตอนนี้งานยังค้างอยู่เยอะเลยพี่”

“แกอย่าปล่อยให้งานค้างจนกลายเป็นดินพอกหางหมูล่ะไอ้กร แล้วงานใหม่นี่รูปแบบเป็นยังไงบ้าง”

“เห็นว่าเขาอยากได้บ้านแนวโมเดิร์นน่ะพี่ แต่แฝงกลิ่นไอของความเป็นไทย”

“มิน่าล่ะหัวหน้าถึงให้แกทำกับยัยพิม แกถนัดสไตล์โมเดิร์นส่วนยัยพิมเค้าก็อนุรักษ์ความเป็นไทย” นงเยาวว์พูดพร้อมกับผายยิ้มกว้างส่วนพงศกรก็ทำทีพยักเพยิดหน้าก่อนถอนหายใจยาว

“เออ...ว่าแต่ เมื่อวานนี้พิมมันมีเรื่องอะไรรึเปล่า เห็นสีหน้าไม่ค่อยดีเลย เมื่อเช้าก็ดูเหม่อๆ ยังไงไม่รู้”

“นี่พี่เยาว์ยังไม่รู้เรื่องเหรอ?” พงศกรเลิกคิ้วสูงขณะที่นงเยาว์สั่นศีรษะไปมา

“เล่ามาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” พนักงานรุ่นพี่คะยั้นคะยอ พงศกรหยิบกาแฟขึ้นจิบก่อนเริ่มเรื่อง

“ก็วันก่อนยัยพิมไปดูผ้าที่ร้าน แล้วเผอิญว่าเจอผ้าที่ถูกใจเอามากๆ แต่ก็มีลูกค้าอีกคนที่อยากได้ผ้าผืนนั้นเหมือนกัน แล้วพี่เยาว์รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ถ้ารู้แล้วฉันจะมาถามแกทำไมไอ้กร รีบๆ เล่ามาเร็วเข้า” พอถูกกัดเข้าให้พงศกรจึงยิ้มร่าชอบใจก่อนรีบเล่าต่ออย่างเมามัน

“ทีแรกน่ะกรก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าเป็นเรื่องจริง พอดีเมื่อวานแวะไปเมาท์กับพี่ที่ร้านนั้นมาแกก็เลยเล่าเรื่องยัยพิมให้ฟัง ยัยพิมพ์กับลูกค้าคนนั้นนะ แย่งผ้าไหมผืนเดียวกัน ต่างคนต่างไม่ยอมปล่อย ดึงจนผ้าขาดน่ะพี่เยาว์”

“หา...ดึงจนผ้าขาดเลยเหรอ?” นงเยาวว์ร้องเสียงหลง ไม่คิดว่าพิมพ์วารีจะเป็นคนอารมณ์รุนแรงแบบนั้น แล้วทำไมหญิงสาวต้องอยากได้ผ้าผืนนั้นถึงขนาดยื้อยุดฉุดกระชากกับคนอื่นแบบนั้นได้

“กรคะยั้นคะยออยู่นานกว่ายัยพิมจะยอมเปิดปากเล่า”

“แล้วพิมว่ายังไงบ้าง ผ้าผืนนั้นมันสวยมากถึงขนาดต้องแย่งกันเลยเหรอ?”

“เห็นว่าเป็นผ้าโบราณลายกนก กรเห็นส่วนที่ยัยพิมได้มาแล้วครับ ไหมเนื้อดีมาก ลายที่ทอก็ประณีต คงเป็นผ้าในราชสำนักแต่ไม่รู้ว่าสมัยไหน พี่ที่ร้านบอกว่าญาติที่เวียงจันทร์ส่งมาให้”

“มาจากลาวอย่างนั้นเหรอ?.... แล้วพิมกับลูกค้าคนนั้นตกลงกันได้มั้ย?”

“ก็พอผ้าขาดแล้ว ต่างคนก็ต่างเอาไปคนละข้าง ฟังดูตลกดีมั้ยล่ะพี่เยาว์ แต่ตอนที่ยัยพิมเล่านะ เหมือนว่ามันกำลังเหม่อหรือตกอยู่ในภวังค์ของอะไรซักอย่าง บอกว่าจู่ๆ ก็อยากได้ผ้าผืนนั้นขึ้นมาและต้องเอามันมาให้ได้” คำพูดของพงศกรทำให้นงเยาว์ต้องหรี่ตาครุ่นคิดอย่างหนัก หรือผ้าผืนนั้นจะมีอาถรรพ์กันนะ

“พี่เยาว์ ไอ้กร กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ?” เสียงกังวานใสร้องถามมาจากหน้าห้องผู้เป็นหัวหน้า ทำเอาสองร่างที่กำลังนั่งเมาท์กันอยู่ต้องสะดุ้งโหยง พิมพ์วารีในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นเข้ารูปกับกางเกงขายาวก้าวขาฉับๆ ตรงมาหาทั้งสอง

“อ๋อ...ก็นินทาคนในออฟฟิศไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละจ้ะน้องพิม แล้วนี่คุยงานกับหัวหน้าเสร็จแล้วเหรอ” นงเยาว์ปั้นหน้ายิ้ม เอ่ยถามไปตามสถานการณ์

“ค่ะ ก็เป็นเรื่องโปรเจ็คใหม่นี่แหละ”

“อะไรนะ โปรเจ็คใหม่เหรอ? บ้านก็เพิ่งสร้างไม่ใช่เหรอพิมพ์” พงศกรเลิกคิ้ว งานเข้าล่ะทีนี้

“ใช่ แต่ว่าหัวหน้าสั่งให้ยศเร่งให้เสร็จก่อนสิ้นเดือน อาทิตย์หน้าแกกับฉันต้องไปคุยกับเจ้าของบ้านถึงเรื่องรายละเอียดการตกแต่งภายในที่แกเคยไปเสนอให้เขาดู แล้วนี่...อย่าบอกนะว่าแกมารอฉันน่ะกร” ดวงหน้าสีน้ำตาลอ่อนยิ้มเรียบ สองตากลมใสเบิกมองพงศกรที่ทำหน้าบูดบึ้งใส่

“ฉันเอารายละเอียดวัสดุมาให้แกเช็ค จะได้รีบส่งฝ่ายจัดซื้อ” จบคำก็ยื่นแฟ้มหนาส่งให้ผู้เป็นเพื่อน พิมพ์วารีตรวจดูครู่หนึ่งจึงยื่นส่งให้

“โอเค เอาตามนี้แหละ” พูดจบก็หันมาหานงเยาวว์ “พี่เยาว์เคลียร์งานเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ เที่ยงนี้หัวหน้าจะเลี้ยงสุกี้ สั่งให้เราไปรอที่ร้านเลย”

“อ้าว...จริงเหรอเนี่ย งั้นเดี๋ยวรอฉันแปปนึงนะ เอาแฟ้มไปส่งฝ่ายจัดซื้อก่อน” พงศกรสั่นเป็นเจ้าเข้า รีบตะลีตะลานวิ่งไปกดลิฟต์ นงเยาว์รีบหยิบเอาแฟ้มเสนอเซ็นต์เดินเข้าห้องผู้เป็นเจ้านายก่อนกลับออกมาพร้อมรอยยิ้ม ไม่นานนักทั้งสามก็ถึงร้านสุกี้ที่ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุง



พิมพ์วารียังคงคิดถึงเรื่องวันนั้นอยู่ ทั้งใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นและผ้าไหมสีน้ำเงินที่ฉีกขาดอย่างน่าเสียดาย หญิงสาวยังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ทำไมเธอถึงอยากได้ผ้าผืนนั้นนักหนา ทำไมถึงต้องแย่งเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ประหนึ่งว่ามันเป็นของล้ำค่าและสำคัญสุดชีวิต ทั้งที่ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ผ้าไหมธรรมดาๆ ผืนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ในความสับสนที่เกิดขึ้น อีกเสี้ยวหนึ่งของหัวใจกลับเบิกบานอย่างเป็นสุข อย่างน้อยเธอก็ยังได้อีกส่วนที่ฉีกขาดนั้นมาครอบครอง  

พิมพ์วารีก้มมองลงมายังกระเป๋าถือใบย่อม ผ้าไหมสีน้ำเงินส่วนนั้นพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อย หญิงสาวสอดมือลงไปสัมผัสเนื้อผ้าเบาๆ สัมผัสนั้นทำให้เธอรู้สึกเป็นสุขและหดหู่ใจในคราวเดียวกัน

“อ้าวยศ แล้วหัวหน้าล่ะ?” เสียงของพงศกรที่เอ่ยขึ้นนั้นทำให้พิมพ์วารีหลุดจากภวังค์ หญิงสาวรีบเอามือออกจากกระเป๋าถือ เงยหน้าขึ้นสบสายตากับทรงยศที่เดินตรงมายังโต๊ะ

สถาปนิกหนุ่มทรุดนั่งลงพร้อมกับถอนหายใจยาว ใบหน้าขาวสะอาดนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ “รถติดเป็นบ้าเลย อากาศข้างนอกก็ร้อนยิ่งกว่าอะไรดี หัวหน้าบอกว่าให้กินกันไปก่อนเลย อีกสิบนาทีคงมาถึง”

“ได้ไงล่ะ...ไม่ใช่ว่ามาอำกันนะ บอกว่าจะเลี้ยงแต่กลับมาไม่ได้”

“ก็บอกว่าเดี๋ยวหัวหน้าตามมาไงครับคุณพงศกร ถ้าไม่กินงั้นเดี๋ยวฉันกินก่อนเลยนะ” จบคำก็รีบคีบผัก คีบหมูใส่หม้อสุกี้อย่างไม่รีรอก่อนที่พิมพ์วารีจะหยัดกายลุกขึ้น

“ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแปปนึงนะ” นงเยาวว์กับพงศกรพยักหน้าส่งให้ ร่างอรชรรีบเดินละลิ่วออกจากร้านสุกี้ตรงไปยังห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น

พิมพ์วารีจ้องมองตัวเองในกระจกก่อนถอนหายใจเพื่อขับไล่ความเคร่งเครียด เอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำและล้างมือ แต่เมื่อเพ่งสายตาไปยังน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อก ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกค้างด้วยความตกใจ น้ำเย็นใสกลายเป็นสีแดงอิฐ ร่างระหงผงะออกห่างอ่างล้างหน้าด้วยความตกใจ แม่บ้านทำความสะอาดมาเห็นพอดีจึงเข้าไปปิดน้ำที่ไหลแรงขึ้นเรื่อยๆ

“พอดีว่าทางห้างกำลังปรับปรุงระบบท่อน้ำน่ะค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะคะ” หญิงแม่บ้านบอกอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ก้มมองดูมือทั้งสองข้างที่เปื้อนน้ำสีคล้ำเหล่านั้น

“เอ่อ คุณคะ น้ำสะอาด ใช้ได้แล้วค่ะ” พิมพ์วารีเหลือบไปมองน้ำที่ไหลออกจากก๊อกซึ่งแม่บ้านเปิดไว้อีกครั้ง น้ำกลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้ว หญิงสาวรีบเดินเข้าไปล้างมือทันที

หญิงแม่บ้านที่กำลังเดินผ่านประตูห้องน้ำต้องหลีกห่างไปจนชิดผนังเมื่อมีหญิงสาวร่างเพรียวลมเดินดุ่มๆ ตรงมายังห้องน้ำด้วยความเร่งรีบ ปลายฟ้ารีบวางกระเป๋าถือลงบนขอบอ่างล้างหน้า หยิบแป้งขึ้นมาเติมหน้าด้วยความเร่งรีบก่อนที่สองตากลมรีจะนิ่งค้างอยู่หน้ากระจก ดวงหน้าขาวเนียนค่อยๆ หันไปยังอีกร่างที่ก้มหน้าล้างไม้ล้างมืออยู่ด้านซ้ายช้าๆ

“เอ่อ ป้าค่ะ...ดูเหมือนว่าในน้ำยังมีกลิ่นอยู่นะคะ” พิมพ์วารีเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังก้มหน้า เมื่อปิดก๊อกน้ำแล้วจึงเงยหน้าขึ้น ก่อนจะประสานสายตากับปลายฟ้าที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล

มือที่ถือตลับแป้งอยู่นั้นกำแน่นเข้าหากัน ภายในแววตาคู่สวยที่เคลือบด้วยคอนแท็คเลนส์สีน้ำเงินเข้มระอุร้อนด้วยเปลวไฟแห่งโทสะ

“ได้ยินว่าน้ำมีกลิ่นเหรอคะ...” คนพูดแสร้งยิ้ม จ้องมองด้วยแววตาอาฆาต ก่อนวางตลับแป้งลงและเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำอย่างแรง ยื่นมือทั้งสองข้างไปใต้ก๊อกน้ำให้สายน้ำไหลผ่าน ก่อนจะชักมือกลับและสะบัดอย่างแรงจนปอยน้ำกระเด็นใส่หน้าพิมพ์วารี

ปลายฟ้ายกมือขึ้นมาดมก่อนยักไหล่ “ก็ไม่เห็นมีกลิ่นนี่คะ...” รอยยิ้มเหยียดหยันนั้นทำให้พิมพ์วารีสูดหายใจฮึดฮัดอย่างหมดความอดทน หญิงสาวเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำอีกครั้ง เอาสองมือรองน้ำจนเต็มก่อนสาดน้ำในอุ้งมือใส่ร่างตรงหน้าสุดแรง

“เป็นยังไง ได้กลิ่นอะไรบ้างรึยัง?” ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องหน้าปลายฟ้าอย่างไม่กระพริบ ร่างระหงตรงหน้านั้นสั่นเทิ้มด้วยความขึ้งโกรธสุดขีด

“ฟ้า...” เสียงเรียกของใบหม่อนฉุดให้ปลายฟ้าที่กำลังจะฟาดกระเป๋าสะพายใส่พิมพ์วารีต้องหยุดกึกกะทันหัน ใบหม่อนยึดแขนเพื่อนสนิทไว้แน่นก่อนหันไปมองคนตรงหน้าที่ยังคงจ้องปลายฟ้าด้วยความเดือดดาลไม่แพ้กัน

“นี่มันเกิดเรื่องอะไร ทำไมหน้าเธอถึงได้เปียกอย่างนี้ฟ้า” ใบหม่อนถามเสียงกระซิบ หากเธอเข้ามาไม่ทันเพื่อนเธอคงกระโจนใส่หญิงตรงหน้านี้เข้าไปเต็มแรงแน่

ปลายฟ้ากำมือแน่นด้วยความโกรธ ระหว่างนั้นมีหญิงออฟฟิศกลุ่มใหญ่เดินเข้าห้องน้ำมาพอดี สองร่างที่เอาแต่ยืนจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใครจึงจำต้องแยกจากกันไปในที่สุด




Create Date : 13 พฤษภาคม 2555
Last Update : 13 พฤษภาคม 2555 15:59:18 น.
Counter : 780 Pageviews.

6 comments
  
สนุกดีนะคะ เรื่องยาวหรือเปล่าเนี่ย ช่วยบอกด้วยจะได้เข้ามาอ่านต่อ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:23:20:24 น.
  
เป็นเรื่องยาวครับ....


ขอบคุณครับ
โดย: มิ้นท์ IP: 103.3.66.19 วันที่: 15 พฤษภาคม 2555 เวลา:13:36:01 น.
  
กลับมาแล้วหรอน้องมินต์ หายไปซะนาน คิดถึงนะคะ กลับมาพร้อมกับผลงานที่น่าติดตาม เก่งมากค่ะ

โดย: พี่แอน IP: 166.147.114.151 วันที่: 5 มิถุนายน 2555 เวลา:9:37:07 น.
  
ครับ ^^ ขอบคุณนะคับพี่แอน คิดถึงเหมือนกันคับ

หลังจากที่ฝึกหนักมาร่วมสามเดือน ก็มีเวลาได้เขียนนิยายซะที ^O^
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 10 มิถุนายน 2555 เวลา:21:53:50 น.
  
ผมไม่ได้เข้ามาซะนานเพราะเห็นว่าไปเป็นทหารไม่มีเวลาเขียนนิยายก็เลยไม่ได้เข้ามาดูแต่วันนี้นึกขึ้นได้ว่าอ่านเรื่องเพียงเพื่อนใจยังไม่จบก็เลยลองแวะเข้ามาดู
เห็นมีนิยายเพิ่มหลายเรื่องเลย ยังไงผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
แล้วเรื่องนี้ก็น่าจะสนุกอีกเรื่องนะครับ(ผมยังไม่ได้อ่านเลยแต่ขอคุยก่อน อิอิ) ติดตามผลงานของคุณอยู่นะครับ
โดย: หนุ่ย IP: 1.0.129.107 วันที่: 12 กันยายน 2555 เวลา:11:50:41 น.
  
ขอบคุณคับ...ตอนนี้ใกล้ปลดแล้วคับ ขอโทษที่เขียนเพียงเพื่อนใจค้างมาเป็นปี สัญญาว่าปีหน้าจะเขียนให้จบครับ ^^


ขอบคุณที่ยังติดตามนะครับคุณหนุ่ย
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 11 ธันวาคม 2555 เวลา:12:53:38 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
พฤษภาคม 2555

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
17
18
20
21
23
24
25
28
29
30
31
 
 
13 พฤษภาคม 2555
MY VIP Friend