Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
10 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 
บทที่ 12 บรรยากาศดีๆ

“ใช่ผมมันเข้าใจอะไรยาก ผมมันโมโหร้าย ผมมันไม่มีเหตุผล ผมไม่ดี อะไรอะไรก็ไม่ดี ไม่เหมือน...............”

ผมจับใบหน้าของพีเข้ามาชิดแล้วประกบจูบลงไปกับริมฝีปากอุ่นร้อนของคนที่กำลังเดือดดานตรงหน้า พยายามเพิ่มแรงบดเบียดให้มากขึ้น ค่อยๆสอดใส่ลิ้นเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆและหวังว่าเค้าจะตอบรับ และสุดท้ายก็ถอนมันออกเพื่อรออะไรบางอย่างที่ผมหวังเอาไว้ บางอย่างที่ว่าก็คือความไว้เนื้อเชื่อใจ เชื่อว่าผมจริงใจ เชื่อว่าผมไม่ได้ทิ้งขว้าง เชื่อว่าผมจะมีเพียงเค้าคนเดียว พีรวิชญ์มองผมด้วยความตกตะลึงส่วนผมเองก็เม้มริมฝีปากแน่นด้วยความไม่แน่ใจในการกระทำของตัวเอง

“พี.......ผมจริงใจกับคุณจริงๆ นะ ผมไม่เคยคิดจะหลอกคุณเลย แต่ตอนนี้ผมเพียงแค่ต้องการเวลาที่จะสะสางกับปัญหาต่างๆ ให้มันคลี่คลายลงเท่านั้น คุณจะให้เวลาผมบ้างได้มั๊ย”

สุดท้ายผมต้องหยุดทุกอย่างลงเมื่อคนตรงหน้าไม่มีอาการโต้ตอบใดๆไปมากกว่ามองผมด้วยความนิ่งงัน หรือว่าคราวนี้พีจะโกรธผมมากจริงๆ ขนาดผมพยายามแสดงให้เห็นความจริงใจขนาดนี้เค้ายังเฉย รู้สึกคล้ายหัวใจกำลังถูกบีบอย่างรุนแรงเมื่อรับรู้ได้ว่านี่คงจะเป็นปฏิกิริยาของการปฏิเสธ อยู่ๆก็รู้สึกร้อนๆในตาซะอย่างนั้น สงสัยว่ามันคงจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อนัยน์ตากำลังผลิตน้ำใสๆออกมาเพราะว่าตอนนี้ภาพตรงหน้ามันเริ่มจะพร่าเลือนเพราะเริ่มมีน้ำเหล่านั้นออกมาบดบังการมองเห็น ต้องรีบหันหน้าหนีและไปจากบรรยากาศแบบนี้..

เพียงแค่หมุนตัวเท่านั้นก็ถูกกระชากให้เข้าไปหา มือแกร่งของเค้าจับให้ใบหน้าของผมเข้าไปชิดพร้อมกับแรงบดขยี้จากริมฝีปากหนา มือของผมออกแรงทุบไปที่อกของเค้าด้วยความตกใจแต่ไม่นานก็วางมันลงไว้ข้างๆเอวของเค้า ลำแขนแข็งแรงเปลี่ยนมารวบไว้รอบเอวของผมและกระชับให้ผมเข้าไปชิดกับร่างของเค้ามากขึ้นทั้งๆที่มันก็ติดเสียจนได้ไม่มีระยะห่างของผิวเนื้ออยู่แล้ว กลีบปากร้อนที่บดเบียดเข้ามาอย่างรุนแรงทำให้ผมอ่อนระทวยก่อนที่มันจะค่อยๆลดความหยาบกร้านลงแล้วเหลือไว้ซึ่งรสจูบที่แสนจะอ่อนโยน เล้าโลมกลีบปากด้านนอกแล้วล่วงล้ำเข้ามาด้านในเพื่อดูดกลืนความหอมหวานจนกว่าจะพอใจ

จุมพิตถูกถอนออกพร้อมกับหัวใจของผมที่หลุดออกตามไปพร้อมกับริมฝีปากอุ่นอย่างง่ายดาย จิตใจโหวงเหวงคล้ายจะแอบเสียดายกับการสิ้นสุดของรสจูบอันละมุนละไม แต่แล้วหัวใจก็ถูกเติมเต็มอีกครั้งจากอ้อมกอดอันแสนจะอบอุ่นที่พีรวิชญ์ดึงผมเข้าไปชิดจนได้ยินถึงเสียงหัวใจของกันและกัน แขนของผมยกขึ้นโอบร่างแข็งแกร่งของพีเป็นการตอบรับ แอบปาดน้ำตาของตัวเองออกเพราะรู้สึกกระดากอายที่จะให้คนตัวโตตรงหน้าได้เห็นว่าผมดีใจจนร้องไห้ แต่ทันทีที่อ้อมกอดอบอุ่นคลายออก กลับกลายเป็นว่าน้ำใสๆที่คิดว่าจะมีเพียงผมคนเดียวที่จะมีกลับมาปรากฏเด่นชัดอยู่ในดวงตารีเรียวตรงหน้า ยามเมื่อพีดีใจก็ร้องไห้ไม่ต่างจากเด็กๆเอาเสียเลย

“ก้อง....ผมให้เวลาคุณได้ทั้งชีวิตอยู่แล้ว เพราะชีวิตของผมเป็นของคุณ เหมือนที่ชีวิตของคุณก็เป็นของผม เราสองคนเป็นของกันและกันมาตั้งนานแล้ว ทั้งเมื่อก่อน ปัจจุบัน อนาคต และตลอดไป”


ใบหน้าของผมเริ่มกลับมาร้อนวูบวาบอีกครั้งเมื่อได้พบกับสายตาที่แสนจะสื่อความหมาย หัวใจอาจจะไม่เต้นแรงขนาดนี้หากใบหน้าของเค้าไม่ได้ค่อยๆเข้ามาใกล้จนในที่สุดมันก็แนบชิดด้วยริมฝีปากที่จรดหากันอย่างนุ่มนวล ความอ่อนหวานที่เคยได้สัมผัสอยู่บ่อยครั้งเข้ามาทดแทนหยาดหยดน้ำตายามเมื่อเรามีเรื่องผิดใจกัน เพียงแค่ได้รับสัมผัสบางเบาเท่านั้นร่างกายก็คล้ายจะลอยละล่องจนยากที่จะฉุดมันลงมาได้ เมื่อความอ่อนโยนเริ่มพบกับความอิ่มตัว ต่างคนต่างรับรู้ถึงความไม่พอ แรงจูบที่มอบให้แก่กันและกันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จากจุมพิตที่อ่อนโยนแปรสภาพเป็นการบดขยี้ที่แสนจะเร่าร้อนรุนแรง

สองร่างพากันล้มลงไปบนเตียงสีขาวด้วยกัน พร้อมกับรสจูบที่ชวนให้ใจหวามไหวนั้นถอนออก สะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงมือร้อนที่เริ่มลุกล้ำเข้ามาในร่มผ้า บดขยี้อย่างหื่นกระหายอยู่รอบๆเอว สุดท้ายพันธนาการที่ขวางกันระหว่างผิวเนื้อก็ถูกเค้าดึงออกและโยนมันทิ้งลงไปที่พื้นอย่างไม่ใยดี

“อือ...พี ใจเย็นสิ”

เสียงสั่นๆของผมพยายามบังคับให้พูดเป็นคำเพื่อหวังจะหยุดอารมณ์ที่พุ่งทะยานจนเกินที่ผมจะรับไหวของพี ไฟราคะที่ซัดสาดเข้ามาดูจะรุนแรงเกินไปแล้วเมื่อมือของเค้าถูไถอยู่บนตัวของผมไปมาราวกับว่ามันกำลังสัมผัสกับเหล็กร้อน ความรู้สึกเสียวซ่านทุรนทุรายถาโถมเข้ามาก่อให้เกิดความหวามไหวจนขนลุกชูชันไปทั่วทั้งตัว

สัมผัสอุ่นชื้นจากริมฝีปากของพีไล่เล้าโลมตั้งแต่หน้าอกลงไปจนถึงหน้าท้องจนคนรับสัมผัสอย่างผมต้องหลับตาแน่นและกัดปากเอาไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องอันน่าอับอายออกมา เมื่ออกแกร่งเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งขวางกั้นใดๆทาบทับลงมาก็รังแต่จะพาให้กล้ามเนื้อของผมกระตุกด้วยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นกลัว ร่างกายของผมบัดนี้ได้ถูกริมฝีปากของเค้าตวัดไปมาราวกับกำลังประกาศถึงความต้องการที่จะครอบครอง

ถ้าเป็นครั้งก่อนๆผมคงจะปฏิเสธและต่อต้านความรู้สึกหวามไหวในครั้งนี้ก่อนที่อะไรๆมันจะเกินเลย แต่ทว่าวันนี้ผมกลับไม่มีแรงแม้แต่จะยื่นมือออกไปผลักที่อกกว้างของเค้าด้วยซ้ำ ไม่ผิดใช่มั้ยถ้าความต้องการของร่างกายจะนำพาตัวเองเข้าสู่การกระทำในขั้นต่อๆไปเมื่อเราไม่สามารถห้ามอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ผิดใช่มั้ยถ้าหากหัวใจจะเป็นตัวสนับสนุนให้ร่างกายทำตามสิ่งที่คล้ายกับว่าถูกเรียกร้องมานานแสนนาน ไม่ผิดใช่มั้ยถ้าหัวใจของเราจะหวั่นไหวไปกับกามารมณ์ที่กำลังฉุดตัวเองให้ขึ้นไปยังจุดที่แสนจะร้อนแรงแบบนี้ได้เมื่อคนๆนั้นเป็นคนที่หัวใจเรียกหาและรับรู้เสมอว่าเค้าตรงหน้าคือคนที่เราได้มอบหัวใจทั้งดวงให้อย่างไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าหลังจากคืนนี้จะเป็นยังไงต่อไปผมก็จะยอมรับมัน ไม่ว่าจะดีหรือจะร้ายผมก็จะเชิดหน้ารับผิดชอบกับมันเอง ในเมื่อผมเลือกแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมก็ขอรับมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจ...


สองสายตาประสานกันอยู่เนิ่นนานราวกับว่าวันเวลาได้หยุดแล้วซึ่งการเดินทาง นัยน์ตาคมเข้มที่ส่งมาให้ผมด้วยแววเสน่หายิ่งทำให้หัวใจของผมเต้นระรัว ใบหน้าที่ถูกเค้าจดจ้องพลันร้อนผ่าวไม่ต่างกับมีไฟมาอิงอยู่ในระยะใกล้ แรงดึงดูดบางอย่างทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากคนตรงหน้าจึงได้แต่มองตอบกลับไปเช่นกัน พีรวิชญ์หลุบตาต่ำลงคล้ายกำลังสำรวจใบหน้าของผมให้ถ้วนทั่วส่งผลให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบ สายตาที่ส่งมามันร้อนแรงราวกับไฟที่สามารถแผดเผาใครก็ได้เพียงแค่ถูกจดจ้อง ผมรีบก้มหน้าหลบด้วยเพราะมิอาจทานทนกับแววตาเร่าร้อนของเค้าได้ ปลายนิ้วมือเย็นยะเยือกที่แตะที่ปลายคางทำให้ผมต้องเงยหน้าไปสบกับสายตาร้อนแรงนั่นอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ความสัมผัสทางผิวหนังรับรู้ได้ว่ามือที่แตะถูกร่างกายอยู่นั้นมันเย็นเฉียบด้วยสภาพอากาศจากเครื่องปรับอากาศในห้อง แต่ทำไมภายในใจของผมกลับรู้สึกว่าสัมผัสเหล่านั้นมันอุ่นเสียจนร้อนคล้ายกับว่าเพียงแตะเบาๆที่คางก็สามารถทำเอาตัวผมมอดไหม้ลงได้อย่างง่ายดาย

“ก้อง.........เป็นของผมเถอะนะ”


ผมดันตัวเองขึ้นไปประกบริมฝีปากของพีแทนคำตอบคล้ายจะหลอกล่อให้ร่างข้างบนตามลงมาทาบทับอีกครั้ง ก่อนที่ความรู้สึกจะลอยเคว้งเพราะถูกริมฝีปากหนาสัมผัสลงมาในตำแหน่งเดียวกันของผม ทั้งๆที่ผมเองแท้ๆที่เป็นคนพาตัวเองขึ้นไปเรียกร้องนำพาให้พีจูบตอบ แต่เมื่อร่างแกร่งตอบสนองกลับกลายว่าเป็นผมเองที่กำลังรู้สึกทุรนทุรายจนแทบจะทนไม่ได้ กลีบปากที่ประกบแนบแน่นเปิดอ้าออกเล็กน้อยเพื่อเริ่มทำการโลมเลียและส่งความรักผ่านเรียวลิ้น แลกรสหวานหอมกันอยู่อย่างนั้นเริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยหอบจึงได้ทุบลงไปที่อกของเค้าเพื่อขอเวลาพักให้ได้กอบโกยอากาศให้ได้หายใจ เพียงเท่านั้นริมฝีปากหนาก็เปลี่ยนเป้าหมายไปที่แก้มและใช้ปลายจมูกคลอเคลียไปจนถึงใบหูจนผมต้องเผลอหดคอด้วยความขนลุก ไล้ลงไปเรื่อยๆแล้วยุ่มย่ามอยู่บริเวณซอกคออยู่นาน

“อ๊ะ!”

ผมร้องเบาๆเมื่อกลีบปากหนาของเค้ากดหนักๆที่คอและดูดดุนมันอย่างอ่อนโยน ก่อนที่ทุกอย่างเหมือนจะเร็วและเร่าร้อนมากขึ้นราวกับพายุที่เริ่มต้นด้วยความสงบเยือกเย็นและค่อยๆเพิ่มความรุนแรงจนทำให้ใครต่อใครรู้สึกใจหาย จะต่างกันก็ที่ความรู้สึกของผมคือหวามไหวและมีความสุขเสียจนเผลอครางออกมาในลำคอ ไม่ทันได้สนใจกับเสื้อผ้าอาภรณ์ว่ามันถูกถอดออกจนหมดเหลือไว้เพียงร่างเปลือยเปล่าตั้งแต่เมื่อไหร่ สัมผัสของนิ้วเรียวยาวที่ลุกล้ำเข้ามาในส่วนลึกของร่างกายทำให้เกิดความรู้สึกตื้อไปหมด เผลอจิกเล็บลงไปกับลาดไหล่แข็งแกร่ง นิ้วมือที่ถอนออกทำให้ผมคลายความเกร็งลงได้ พีก้มลงมาเบียดริมฝีปากอีกครั้งซึ่งทุกครั้งมันคล้ายจะดูดพลังในกายของผมออกไปจนหมด รู้ตัวดีว่ากำลังสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองเพราะไม่อาจหยุดยั้งความต้องการในครั้งนี้เอาไว้ได้ นิ้วมือนิ้วเดิมที่ค่อยๆเข้ามารุกล้ำในร่างกายอีกครั้งคล้ายจะปลอบประโลมสำหรับการบอกให้เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการเผชิญกับสัมผัสต่อไป แต่นั่นมันยิ่งกลับทำให้ผมบิดกายด้วยความทรมาน

“ยะ..อย่า..อย่าแกล้งผม” ความต้องการของร่างกายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติกำลังบอกผมว่ามันยังไม่พอ มันต้องการมากกว่านี้ ในเมื่อถูกกระตุ้นแล้วก็ต้องดำเนินต่อไปให้ถึงที่สุด ได้โปรดอย่างทรมานให้ผมแบบนี้

ยังไม่ทันที่จะคุ้นชินกับสัมผัสอันวาบหวามจนพาให้หัวใจสะบัดรัว อารมณ์เสน่หาในกายของผมก็ถูกฉุดให้ขึ้นสูงอีกครั้งและดูว่าจะสาหัสไม่แพ้สัมผัสจากนิ้วมือที่เข้ามารุกรานยังพื้นที่ภายใน ความรู้สึกเปียกแฉะที่เกิดขึ้นเมื่อริมฝีปากเข้ามาครอบงำจนรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว ร่างกายยากเกินที่จะควบคุมคล้ายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆเมื่อรู้ตัวเองว่าบัดนี้เลือดสีแดงเข้มในตัวของผมมันคงจะกำลังวิ่งพลุ่งพล่านร้อนรนคล้ายกำลังจะปะทุออกมาดั่งน้ำร้อนที่กำลังเดือดอยู่ในอุณหภูมิกว่าร้อยองศา แผ่นหลังของพีคงจะอ่วมไปหมดแล้วเพราะบัดนี้มันได้กลายเป็นที่รองรับอารมณ์รวดร้าวที่มาพร้อมกับความสุขสราญของผมโดยการฝังเล็บลงไป


และแล้วการชะลอเวลาเพื่อกลั่นแกล้งให้ผมคลั่งตายก็สิ้นสุดลงเมื่อร่างอันแข็งแกร่งของเค้าเข้ามาแนบชิดในกายแทนที่ ความเจ็บที่แล่นร้าวขึ้นมาส่งผลให้เกิดหยดน้ำใสๆที่หางตา ริมฝีปากอุ่นจูบที่ขมับเพื่อเป็นการปลอบโยน เพลงรักที่ค่อยๆเริ่มต้นขึ้นก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผสมกับความคุ้นเคย ก่อนที่ความรู้สึกทุกอย่างจะพลันเวิ้งว้างล่องลอยคล้ายกำลังอยู่บนที่สูง ในตาพร่าเลือนพร้อมกับทุกๆอย่างที่เริ่มกลายเป็นสีขาวโพลน สติหลุดลอยรับรู้ได้เพียงว่าสิ่งที่ได้รับเรียกว่าความสุข ความสุขที่เกิดได้เฉพาะจากคนๆนี้คนเดียวเท่านั้น เพลิงพายุที่มีแต่จะทวีความรุนแรงยิ่งทำให้เลือดในกายวิ่งพุ่งพล่าน เสียงหายใจหอบถี่ยิบดังแข่งกับเสียงครวญครางที่ประสานกันดังขึ้นเรื่อยๆ ความเร่าร้อนก่อให้เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วร่างกายขัดกับอากาศเย็นเฉียบภายในห้อง ความอ่อนโยนที่ได้รับจากรสจูบในคราแรกสูญสลายเหลือไว้เพียงความเร่าร้อนที่ต่างฝ่ายต่างนำพาซึ่งกันและกัน

“ก้อง..ก้อง..ผมรักคุณ”

“พี..ผม..ผม..”

พยายามจะตอบกลับแต่ก็ไม่สามารถทำได้ สีดำขมุกขมัวเข้ามาอยู่ในโฟกัสของสายตาส่งผลให้สิ่งที่มองเห็นกลายเป็นความพร่าเลือน ภาพสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าชุ่มเหงื่อที่ยิ้มให้ด้วยแววตาของความเสน่หาท่ามกลางบทรักร้อนแรงที่ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะดับวูบไปจนกลายเป็นสีดำ...




ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางแสงสว่างสลัวๆเหมือนว่ากำลังอยู่ในช่วงเช้ามืด นาฬิกาข้อมือของพี หรือโทรศัพท์มือถือก็วางเอาไว้ไกลเกินกว่าที่จะสามารถเอื้อมมือไปหยิบได้โดยไม่ให้อีกคนตื่น อย่าว่าแต่เพียงจะหันไปคว้ามันมาเลย เพียงแค่จะเงยหน้าขึ้นปลายจมูกของผมก็ไปชนกับริมฝีปากหนานุ่มแล้ว อีกทั้งตัวของผมก็ยังถูกแขนหนักๆของเค้าทับเอาไว้อีก ผมหลับไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ..เมื่อคืนเรา...

เพียงแค่พยายามนึกทบทวนภาพเหตุการณ์ล่าสุดเท่าที่จำได้ก็ทำเอาหัวใจเต้นรัว ใบหน้าร้อนรุมๆขึ้นมา เมื่อคืนความเร่าร้อนรุนแรงของพีทำให้ร่างกายของผมตั้งรับไม่ไหว จำได้ว่าอยู่ๆภาพก็ดับมืดลงทั้งๆที่ผมกับเค้ากำลัง...
เอ่อ....เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

ผมเหลือบมองใบหน้าคมคายที่กำลังหลับใหลอยู่ในระยะประชิดชนิดที่เรียกว่าลมหายใจเป่ารดกันและกัน ขยับใบหน้าให้ออกห่างอีกนิดเพื่อสำรวจดูใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ค่อยได้เห็นในระยะใกล้ขนาดนี้บ่อยครั้งนัก นัยน์ตารีเรียวถูกหนังตาปิดเอาไว้ทำให้ไม่เห็นถึงแววตากะล่อนเจ้าเล่ห์ที่เคยได้เห็นในทุกๆวัน หรือบางครั้งดวงตาคู่นั่นก็จะแปรเปลี่ยนเป็นดุดันจริงจังได้ราวกับคนละคนเมื่อคราวที่เรามีปัญหากันเหมือนอย่างสองสามอาทิตย์ก่อน นานแล้วที่ไม่ได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดแบบนั้น ถึงมันจะดูน่ากลัวแต่แววตาแบบนั้นมันก็กลับทำให้หัวใจของผมเต้นรัวได้ไม่ต่างจากแววตากระล่อนเลย เพราะถ้าเรามีปัญหากันแล้วได้เห็นแววตาแบบนั้นของพี นั่นก็แสดงว่าเค้าเองก็ยังแคร์ผมอยู่ และหนึ่งเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้แววตาแบบนั้นดูมีเสน่ห์สำหรับผมนั่นก็อาจเป็นเพราะมันมาจากคนๆเดียวกัน พีรวิชญ์ที่กำลังนอนยิ้มบางๆคล้ายกับว่ากำลังฝันหวานอยู่นี่เอง จมูกโด่งที่เข้ากับใบหน้าคมเข้มได้อย่างเหมาะเจาะ รวมไปถึงริมฝีปากหนาที่ผมได้สัมผัสมันบ่อยครั้ง นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกร้อนๆที่ใบหน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อส่วนประกอบทุกอย่างมารวมตัวกันก็ทำให้เกิดความลงตัวบนใบหน้าคมคายนี้ได้เป็นอย่างดี ร่างของผมขยับเข้าไปชิดกับเค้ามากขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆคนที่กำลังนอนกอดผมอยู่ก็รั้งเอวผมเข้าไปทั้งๆที่ก็ยังไม่ได้ลืมตา เอ...ตกลงว่าตื่นรึยังนะ..ผมนิ่งเพื่อดูเหตุการณ์ว่าเค้าจะลืมตาขึ้นมารึเปล่า เมื่อพบว่าเค้ายังคงหลับต่อผมก็เลยเริ่มหันมาให้ความสนใจกับดวงหน้าของคนที่กำลังหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว จากที่แค่มองก็เริ่มมาเป็นสัมผัส ปลายนิ้วของผมจิ้มเบาๆลงไปที่ปลายจมูกแหลมๆนั่น หัวเราะคิกออกมาเบาๆเมื่อพบว่าเค้ายังไม่ตื่น และลากไล้ขึ้นไปบนสันจมูกจนถึงช่องระหว่างคิ้วที่เรียงตัวเป็นเส้นสวย ออกแรงคลึงเล็กน้อยคล้ายกำลังสะกดจิตให้เจ้าของใบหน้าต้องนึกถึงแต่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้น เข้าใจมั้ย... จากนั้นก็ลากไปที่คิ้วทีละข้างเลื่อนลงมาที่แก้มและไปหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก ลูบไปมาเล่นอย่างเพลินมือกับความนุ่มนิ่มและสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆฟันขาวที่ซ่อนอยู่ในปากนั้นโผล่ออกมากัดที่ปลายนิ้ว

“อ๊ะ!”เอาออกไม่ทันฟันคมๆที่อยู่ๆก็งับลงมาเสียดื้อๆ ก็เลยถูกกัดแบบเฉี่ยวๆที่ปลายนิ้ว ดีที่ตวัดออกเสียออกจะโดนกัดไปเยอะกว่านี้ จากนั้นก็จะพลิกตัวหนีแต่คนกัดที่น่าจะตื่นตั้งนานแล้วแต่แกล้งหลับก็ดันกระชับเอวของผมเข้าไปชิดจนแม้แต่จะพลิกตัวก็ยังทำไม่ได้

“เมื่อกี๊ทำอะไรครับ แกล้งผมงั้นเหรอ” ถามอย่างเดียวไม่พอ ยังเอาหน้าเข้ามาใกล้อีก แล้วไม่ต้องเอาจมูกมาเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาได้มั้ย มันจั๊กจี้

“อึ๊ยย..ไม่ได้แกล้งซะหน่อย คุณนั่นแหละ อย่าเบียดมาสิ นี่!!” ผมดันตัวเค้าให้ออกห่างแต่สุดท้ายเค้ากลับคว้าอาวุธเดียวที่เอาไว้ป้องกันตัวของผมไปรวบเอาไว้ซะนี่ ข้อมือทั้งสองข้างถูกเค้าคว้าเอาไว้อย่างง่ายดาย ส่วนมืออีกข้างของพีก็กระชับเอวผมให้เข้าไปใกล้อีก ให้มันได้อย่างนี้สิ

ตอนนี้ทุกอย่างหยุดนิ่งสงบ บรรยากาศพาลให้นึกถึงท้องทะเลที่กำลังนิ่งสงัดและมีเพียงคลื่นลูกเล็กๆ เพราะว่าตอนนี้ผมกับพีกำลังเล่นเกมส์จ้องตากันอยู่ ผมเผลอขมวดคิ้วตึงเพราะโมโหกับท่าที่แบบนี้ มือก็ถูกรวบเอาไว้ แถมตัวยังถูกกอดเสียแนบชิดจนแทบจะไม่มีช่องให้อกขยายเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอด ผมจดจ้องอย่างเอาจริงเอาจัง คิดตามไปด้วยว่าพีกำลังคิดอะไรอยู่ พอสังเกตเห็นสายตาของเค้าเท่านั้นแหล่ะความรู้สึกเขินอายก็เข้ามาจู่โจมเสียอย่างนั้น เพราะตอนนี้พี่เอาแต่มองไล่ไปเรื่อยตั้งแต่หน้าของผมลงไปจนถึงหน้าอกที่ตอนที่มันเปิดโชว์จากสาบเสื้อให้เห็นถึงเนื้อข้างในเล็กน้อยเนื่องจากมีเสื้อคลุมปิดร่างกายเอาไว้อยู่ นั่นทำให้ผมเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเมื่อคืนพีคงจะเอามาใส่ให้ผม ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าของผมมันจะแสดงอาการมากแค่ไหน นึกได้อย่างนั้นก็รีบก้มหลบสายตาเจ้าเล่ห์ของพีก่อนดีกว่า และเพื่อความปลอดภัยของตัวเองผมก็เลยถือโอกาสหลบสายตาด้วยการมุดหน้าลงไปกับอกของพีเสียเลย เค้าจะได้ลวนลามผมทางสายตาต่อไม่ได้ มือที่ยังถูกเค้ารวบเอาไว้ตอนนี้มันชิดอยู่กับอกของผมเองจึงใช้โอกาสนี้ดึงๆสาบเสื้อให้มันชิดกันไว้ก่อน กำมันเอาไว้แน่นอย่าให้คนกะล่อนมักมากมายุ่มย่ามได้

นี่ผมคิดดังไปรึเปล่า อยู่ๆพีก็เอียงหน้าเอาจมูกลงมาถูไถอยู่กับหูของผมแถมมืออีกข้างที่ไม่ได้จับข้อมือผมก็ยังมายุ่งกับสาบเสื้อคลุมอีก ผมรีบกำมันเอาไว้แน่นพร้อมทั้งซุกหน้าลงไปกับอกกว้างให้มากขึ้น ทำเป็นว่าหลับไปแล้ว

“ถ้าคุณหลับ ผมจะลักหลับคุณ”

นั่นไง...รอดแล้ว

ลักหลับ? เฮ้ย!! ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาส่งสัญญาณบอกคนตัวโตว่าผมไม่ได้หลับนะ เพราะฉะนั้นคุณจะลักหลับผมไม่ได้เด็ดขาด แต่นั่นเป็นอีกครั้งที่กระบวนการทางความคิดของผมมันคำนวณออกมาผิดพลาด เมื่อคนเข้าเล่ห์ยิ้มกว้าง

“ดีเลย ไม่ได้หลับ งั้นเรามาต่อกันนะ”

เฮ้ย!!

“อื๊อออ~~” ผมรีบใช้มือที่ถูกปล่อยแล้วดันตัวเค้าให้ออกห่าง เมื่อรับรู้ว่าเอวของตัวเองพ้นจากพันธนาการจากลำแขนแข็งแรงนั่นแล้วก็รีบลุกพรวดจากที่นอนทันที

“จะไปไหน” พีรวิชญ์ลุกมาคว้าเอวผมเอาไว้ได้ ยิ่งดิ้นแรงกอดก็ยิ่งแน่นจนสุดท้ายต้องสะดุ้งตัวโยนเมื่อถูกดันจนหลังสัมผัสถึงผนังห้อง

“จะไปไหนครับ” ข้อมือของผมถูกขึงติดกับกำแพงสีขาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมคายใกล้เข้ามาพร้อมกับคำถามที่ออกมากจากปากที่กำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์โชว์เขี้ยวเล็กๆ ปลายจมูกแหลมๆปัดผ่านไปมาอยู่แถวๆแก้มจนผมต้องรีบเบือนหน้าหนี

“เมื่อคืน..” คำพูดที่หยุดเอาไว้แค่ตรงนั้นทำให้ผมอายจนอยากจะมุดหน้าแทรกเข้าไปในผนัง มีอย่างที่ไหน สลบไปทั้งๆที่ยังไม่ถึงฝั่ง ตกลงว่าพีรวิชญ์รุนแรงเกินไปหรือตัวเองอ่อนแอมากเกินกันแน่นะ

“จำได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น” สายตาวิบวับแบบนั้นทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่ากำลังถูกล้อเข้าให้แล้ว ก็..ก็ผมไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแบบนั้นซักหน่อย มันสลบไปเองนี่

“ก็เพราะคุณนั่นแหละ!!”

“หึ ผมว่าผมก็ปกตินี่นา เมื่อก่อนยิ่งกว่านี้คุณยังไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย สงสัยอาจเป็นเพราะห่างหายไปนาน ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราคงต้องทบทวนกันบ่อยๆ ร่างกายของคุณจะได้ชิน จะได้รับไหวไง ดีมั้ย”

ไอ้..ไอ้บ้า ไอ้เจ้าเล่ห์ ไอ้กระล่อน หื่น!! นี่ผมไม่รู้จะด่าคำไหนดีแล้วนะเนี่ย !!!! แต่ว่าได้แต่ด่าในใจครับ ไม่กล้าพูดออกไปหรอก แค่หน้าผมตอนนี้มันก็คงจะแดงและอายจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาเป็นคำได้แล้ว อีกอย่าง....ตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะสนใจนั่นก็คือสาบเสื้อคลุมของตัวเองมากกว่า นี่!!!

ในที่สุดมือของผมก็ถูกปล่อยจากพันธนาการแข็งแกร่ง แต่ผมก็ต้องรีบตะปบสาบเสื้อคลุมเอาไว้เมื่อพีเอามือมายุ่งย่าม

“ขอดูหน่อยสิ รอยของเมื่อคืนน่ะ ”

“ไม่!!!” ไม่เด็ดขาด ขนาดตัวผมมีเสื้อคลุมปิดเอาไว้อย่างมิดชิดเค้ายังมองด้วยสายตาแทะโลมได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพีมีความสามารถมองทะลุผ่านเสื้อผ้าได้รึเปล่าถึงทำได้หน้าแบบนั้น แล้วถ้าผมยอมให้เค้าเปิดสาบเสื้อเพื่อดูรอยที่หน้าอก สายตาวิบวับนั่นจะมีอานุภาพน่ากลัวขนาดไหน ไม่ได้เด็ดขาด ผมตีเข้าไปที่มือของเค้าจนมือของพีเริ่มแดง

“หึหึ..โอ๊ยเจ็บจัง” เง้ออออ ตกลงมันเจ็บจริงมั้ยครับเนี่ย

“เอางี้ ถ้าคุณให้ผมดูผมจะไม่เซ้าซี้ให้เรามาต่อจากเมื่อคืนให้จบ แต่ถ้าไม่ยอมให้ดู ผมก็จะต่อ แล้วถ้าคุณไม่ยอมให้ผมต่อ ผมก็ไม่สน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมก็จะข่มขืนคุณ”

เฮ้ย!!! ต้องต่อด้วยเหรอ งี๊ดดดดดด

“มันเป็นความผิดอะไรของผมกันเล่า ไม่มีอะไรดีต่อผมเลยซักอย่าง มีแต่คุณที่ได้กับได้!!” ผมโวยวายใส่ด้วยความโมโห นับวันพีชักจะเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน แถมยังหื่นมากขึ้นทุกวันด้วย อ๊ะ..สุดท้ายเค้าก็แหวกสาบเสื้อคลุมออกจนได้ รอยแดงๆตั้งแต่ลำคอไล่ลงมาจนถึงหน้าอกจนไปถึงหน้าท้องทำให้ผมรู้สึกเขินจนไม่รู้จะทำหน้ายังไง แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าออกจะพอใจเสียมากกว่าเมื่อรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าคม ผมรีบตะปบสาบเสื้อเข้าหากันจนมิดเหมือนเดิม

“พอใจยัง”

“ยัง”

เป็นคำตอบที่เล่นเอาผมตะลึงกับความดื้อด้าน พลันมือใหญ่ของเค้าก็เริ่มมายุ่งวุ่นวายอยู่ที่เอวก่อนที่ลำแขนแข็งแรงจะออกแรงคว้าผมเข้าไปชิดจนผมต้องเอามือขึ้นมากั้นระหว่างอกผมกับเค้าเอาไว้ ลืมไปแล้วว่าตอนนี้ผมต้องขัดขืนเค้าเพียงได้ประสานสายตากับคนตัวโตตรงหน้า สายตาที่ผมสามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่ามันช่างอ่อนโยนเสียเหลือเกิน ผมรีบหันหน้าไปทางอื่นเมื่อไม่อาจทนที่จะจ้องตอบสายตาคู่นั้นได้ มือของเค้าที่ยกขึ้นแตะปลายคางของผมทำให้จำต้องเลื่อนใบหน้าหันกลับไปทางเดิม ไม่นานริมฝีปากก็ถูกปิดลงด้วยกลีบปากอุ่นร้อนของพี เป็นจูบที่แสนจะอบอุ่น อ่อนหวาน และหวานหอมจนผมเองก็อดไม่ได้ที่จะตอบสนองกลับไปบ้าง เอวตัวเองถูกกระชับกอดให้แน่นขึ้น สัมผัสที่ละมุนละไมบางเบาทำให้หัวใจของผมเต้นแรงด้วยความรู้สึกอิ่มเอม ไม่ใช่สัมผัสที่รุกรานเอาแต่ใจ แต่เป็นจุมพิตที่เกิดขึ้นเพื่อจะมอบความรักความทนุถนอมให้แก่กันและกัน สุดท้ายจูบที่แสนอ่อนโยนครั้งนี้ก็มีจุดจบลงที่เตียงนอนอีกครั้ง

“ไหนว่าถ้าดูแล้วจะไม่ทำอะไรผมไง” ผมถามออกไปเมื่อปากเป็นอิสระ

“ผมพูดอย่างนั้นเหรอ” พีรวิชญ์ทำหน้างุนงงเสียจนจริงจัง ผมทุบไปที่อกเข้าหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

“ก็ใช่น่ะสิ เพราะฉะนั้นออกไปจากตัวผมได้แล้วครับ”

“ผมแค่บอกว่า ถ้าคุณให้ผมดูผมจะไม่ต่อนะ ไม่ได้บอกว่าจะไม่ทำอะไร”

“หมายความว่ายังไง นี่คุณจะโกงผมงั้นเหรอ”

“ผมบอกว่าจะไม่ต่อ ก็ไม่ได้ต่อไง แต่ที่จะทำต่อไปนี้คือ เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรกเลย ไม่ได้ต่อจากของเก่าซักกะหน่อย เห็นมั้ยผมโกงคุณตรงไหน”

พูดจบจมูกโด่งก็ฝังลงมาที่ซอกคอจนผมจั๊กจี้ เผลอหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาเพราะพีแกล้งตวัดผ่านไปมาเบาๆแล้วกดซ้ำๆ ไม่ได้ให้ความวาบหวิวซักเท่าไหร่ รู้สึกเพียงขนลุกเพราะมันคันยิบๆมากกว่า

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี ไม่เอา นี่!! อย่าแกล้งผมนะ” ผมหัวเราะออกไปอย่างหยุดไม่ได้ คนตัวโตเริ่มได้ใจก็เอานิ้วจิ้มมาที่เอวของผมจนผมบิดตัวหนีพร้อมกับหัวเราะไปมา

“ไม่เอา ไม่เล่น โอ๊ย..นี่ผมเหนื่อยแล้วนะ” เหนื่อยเพราะว่าหัวเราะไม่หยุด พอพีเผลอผมเลยดันให้ตัวพีลงไปนอนหงายบ้างเพื่อจะได้คร่อมแล้วแกล้งพีคืน แต่มือดันถูกคว้าไปได้ซะนี่

“จะเอาคืนเหรอ คุณสู้ผมไม่ได้หรอก หึหึ”

“คอยดูละกัน ลงไป นอนลงไปเดี๋ยวนี้ ” ผมดันๆให้เค้าหลุดออกจากตัวผมแต่ก็ดันไม่ไป เค้าไม่ยอมให้ผมได้เอาคืนบ้างเลย ซ้ำยังรวบข้อมือผมเอาไว้แน่น

“เอางี้ดีกว่า ถ้าคุณอยากจะคร่อมผมนะ เรามาเล่นอย่างอื่นกันดีกว่า” ฮึ้ย! ผมชะงัก เล่นอย่างอื่น เล่นอะไร..ไม่

ยังไม่ทันจะได้เถียงอะไรพีก็ฝังจมูกลงที่คอ คราวนี้มันกดหนักๆลงจนกลายเป็นความหวามไหวแทนการจั๊กจี๋แบบที่เล่นสนุกกันเมื่อนาทีก่อน เสื้อคลุมถูกดึงลงไปจนพ้นหัวไหล่ตามด้วยการกดแรงๆจากริมฝีปากของเค้า เชือกที่มัดเป็นปมหูกระต่ายเอาไว้ถูกเค้าดึงออกจนหลุดอย่างง่ายดายก่อนที่มือของพีจะเข้ามาวุ่นวายอยู่แถวๆเอว

“พี ไม่เอา ไม่เล่นแบบนี้ ไม่เล่นแล้ว อื๊อ~!!” และแล้วก็ถูกปิดปากจนได้ ทันทีที่จุมพิตถูกถอนออก สายตาแวววาวก็ถูกส่งมาอีกครั้งกลายจะกลืนกินผมลงไปได้ทั้งตัว

“ไม่ได้เล่นครับ เอาจริง”

พีลูบต้นขาของผมไปมาก่อนจะจับมันแยกออก ผมรีบตะปบมือของเค้าเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าแรงๆ ไม่เอาแล้ว เหนื่อยแล้ว

“อ้อ ลืมไปว่าคุณอยากคร่อมผม” เฮ้ย!! อันนั้นมันตอนที่เล่นจั๊กจี๋กันต่างหาก ผมรีบโวยวายปล่อยกำปั้นลงไปที่ตัวเค้าเป็นสิบๆทีเมื่อพีพลิกตัวให้ผมขึ้นไปนั่งอยู่ด้านบน เสื้อคลุมถูกพีดึงออกไปหมดแล้วจะเหลือก็แต่กางเกงบ็อกเซอร์ของพีที่เป็นสิ่งขวางกันชิ้นสุดท้ายบนร่างกายของเรา ผมได้แต่นั่งหน้าแดงอยู่อย่างนั้น ทำอะไรไม่ถูก ส่วนพีที่นอนหงายอยู่ด้านล่างก็เอาแต่ส่งสายตาที่ผมรู้สึกว่าน่ากลัว มาให้ มือก็ลูบขาของผมไปมาทำเอาผมรู้สึกขนลุก

“เอ้า นิ่งทำไมล่ะครับ หึหึ” พีหัวเราะออกมาทำเอาผมอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หรือไม่ก็วิ่งไปที่ห้องน้ำแล้วหัวมุดลงไปในชักโครกไปให้มันรู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องทนเห็นแววตาแบบนั้นของพีอีก

“ไม่เล่นแล้ว คุณแกล้งผมอ่ะ” ผมฟาดมือลงไปที่อกของพีแรงๆจนเจ้าตัวร้องโอ๊ยแต่ก็ยังมิวายจะหัวเราะ พีดึงให้ผมลงไปนอนทับ แรงฉุดกระชากอย่างแรงทำให้ปากของเราชนกัน ผมรีบตะเกียกตะกายยันตัวเองให้ลุกขึ้นแต่เค้าก็ยังกอดผมเอาไว้แน่น

“ไม่เอาแล้ว ไม่เล่นไม่เล่นไม่เล่น!! ปล่อยผม คุณน่ะมันนิสัยไม่ดี ปล่อย” ผมโวยวายพร้อมกับดิ้นขลุกขลักไปมาด้วยความโมโห สุดท้ายพีก็พลิกตัวกลับมาเป็นคนคร่อมผมเอาไว้อย่างเดิม




“อ่ะๆ ผมอยู่ข้างบนก็ได้” ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น!!!!

“ผม...อื้อออ~~!!!” ยังไม่ทันจะได้เถียงก็ถูกปิดปากซะมิด มือไม้ของพีเริ่มลามไปทั่วร่างของผม จุมพิตที่รุนแรงคล้ายจะเป็นเพียงเพราะมันคือการเริ่มต้นเพื่อปิดปากผมเอาไว้เท่านั้น เพราะจากนั้นแรงจูบที่นั้นก็ค่อยๆผ่อนลงจนกลายเป็นจุมพิตที่แสนจะอ่อนโยน ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าแรงต่อต้านของร่างกายเริ่มจะลดลง มือของผมถูกพีจับให้คล้องไว้ที่คอแข็งแกร่ง และผมเองก็ตอบสนองกลับไปตามความรู้สึก

แรงสัมผัสที่ริมฝีปากถูกถอนออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกหนักๆที่ปากของตัวเองทำให้รู้ได้เลยว่าตอนนี้มันคงจะบวมแล้วก็แดงช้ำมากแน่ๆ ผมมองตอบสายตาอ่อนหวานของพีที่ส่งมาให้แต่แล้วก็ต้องเบือนหน้าหลบเพราะสายตานั้นมันส่งมานานเกินไป รอยยิ้มที่เผยให้เขี้ยวเล็กๆเล็ดลอดออกมาที่มุมปากยิ่งทำให้ผมทนที่จะประสานสายตาต่อไปไม่ได้

“อึก!”


สิ่งที่กำลังเริ่มขึ้นต่อจากนี้มีเพียงสัมผัสที่อ่อนโยนและทนุถนอม ต่างจากบทรักของเมื่อวานที่เร่าร้อนรุนแรงกว่า อาจเป็นเพราะครั้งนั้นทำให้พีได้เรียนรู้แล้วว่าความรุนแรงอันเกิดจากแรงปรารถนาที่ยั้งเอาไว้ไม่ได้คงจะทำให้ผมต้องเจ็บปวดและอาจจะหมดสติไปได้อีก สิ่งที่ผมได้รับจากครั้งนี้จึงมีแต่ความอ่อนโยนแต่ทว่าก็ยังคงให้ความรู้สึกหวามไหวได้ไม่ต่างกัน แต่กระนั้นสุดท้ายบทรักที่เริ่มต้นด้วยสัมผัสบางเบาก็ค่อยๆกลายเป็นสัมผัสที่หนักหน่วงอยู่ดี กลิ่นฟีโรโมนจากร่างกายของพีกระตุ้นให้อารมณ์ของผมพุ่งขึ้นสูงได้ไม่ต่างกัน การตอบสนองที่ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนความวาบไหวให้กันและกันสร้างความรู้สึกอิ่มเอมจนหัวใจเต้นรัว เสียงร้องแห่งความพึงพอใจของคนสองคนแข่งกันดังอยู่ในห้องอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายสองร่างก็ไปถึงปลายทางฝันด้วยกันได้สำเร็จพร้อมกับความสุขที่ถักทอขึ้นมาจนเต็มหัวใจ


“ผมมีความสุขมากเลยก้อง คุณล่ะ เหมือนผมรึเปล่า”

มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ ผมได้แต่มุดหน้าเข้าไปซุกกับอกกว้างของพีด้วยความเขิน ยากเกินไปกับการจะตอบคำถามของพีได้ ไม่รู้เลยว่าการกระทำที่แนบชิดมากขึ้นกลายเป็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์ของพีรวิชญ์ให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งรึเปล่า เพราะอยู่ๆร่างสูงก็พลิกตัวเองขึ้นคร่อมผมเอาไว้อย่างรวดเร็วจนผมตกใจ ผมจ้องมองพีด้วยความงุนงงแต่มันยิ่งกลับทำให้คนเบื้องบนยิ้มออกมาซะอย่างนั้น

“คุณจะยั่วผมไปถึงไหน ”

เพียงได้ยินเท่านั้นตากลมโตของผมก็เปิดกว้างตามด้วยการขมวดคิ้วด้วยความโมโห กัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ด้วยความรู้สึกขัดใจเมื่อนึกรู้ในความต้องการที่ไม่เคยสิ้นสุดของข้างบน

“หึ..ทำหน้าแบบนี้คิดจะยั่วกันจริงๆใช่มั้ยเนี่ย” ใบหน้าที่กำลังหงุดหงิดของผมมันคงจะเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ อกกว้างถูกทุบแรงๆด้วยกำปั้นของผม ก่อนที่จะพยายามดันให้คนเจ้าเล่ห์พาร่างกายกำยำออกไปจากการกดทับบนร่างของตัวเองเสียที แต่ดูว่าจะไม่ง่ายเมื่อพีรวิชญ์ยังคงยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวที่มุมปาก ส่งสายตาวิบวับมาให้เสียจนผมนึกอยากจะมุดหน้าหลบไปอยู่ใต้ฟูกที่นอน

“พี ออกไปนะ! ผมโกรธจริงๆแล้วนะ” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม้อ่อนดูจะใช้กับคนกะล่อนอย่างพีรวิชญ์ไม่ได้ ผมจึงตวาดเสียงดังใส่เพื่อเป็นการดุด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ได้ๆ นี่มันสายแล้ว ไม่รู้ว่าทุกคนรอกินข้าวอยู่รึเปล่า แล้วผมเองก็เหนื่อยมากแล้วด้วย

“น่ากลัวจัง” คำตอบพร้อมสีหน้าที่เสแสร้งแกล้งว่ากลัวเสียจนตัวสั่นจนน่าหมั่นไส้ของคนเบื้องบนทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะแสดงอาการกระฟึดกระฟัด พร้อมทั้งงุ้มปากด้วยความขัดใจ

“อีกรอบนะครับก้อง”

“ไม่..... อื๊อ~~~!!” ไม่รอให้คำอนุญาตริมฝีปากหนาก็บดเบียดลงมาเสียแล้ว ผมทุบรัวๆที่อกกว้างแต่ก็ไร้ซึ่งประโยชน์เมื่อคนตัวโตยังคงไม่ยอมอ่อนให้ ซ้ำข้อมือของผมยังถูกเค้าคว้าขึ้นไปขึงไว้กับพื้นที่นอนเพื่อตัดความรำคาญอีกต่างหาก พลันเมื่อกลีบปากทั้งคู่ถอนออกจากกัน ผมก็เปิดปากออกเพื่อเตรียมจะว่า

“คุณนี่มัน ผมบอกว่า..อุบบบ อื้มมมม!!” พีก้มลงไปปิดปากผมอีกครั้ง และคราวนี้ก็ทิ้งสัมผัสอันเร่าร้อนเอาไว้อย่างยาวนานจนกระทั่งคนถูกจูบอย่างผมหมดแรงและเอาเวลามาหายใจหอบแทนการจะปล่อยคำห้ามออกไปเมื่อคนรุกรานถอนจูบออก พีรวิชญ์ยิ้มอย่างพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้เมื่อผมไม่มีแรงแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยการปฏิเสธได้อีก จมูกโด่งก้มลงซุกไซร้ตามลำคอ และแล้วอารมณ์เสน่หาของผมก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง...และอีกครั้ง



ความรู้สึกเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาจนผมต้องนอนตัวงอ พยายามปิดปากไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกไปให้คนที่กำลังหลับสนิทได้ยิน ลำแขนหนักๆของพีที่วางพาดอยู่ที่เอวของผมถูกผมหยิบออกอย่างเบามือที่สุด ผมค่อยๆพาตัวเองลุกออกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำแต่ทว่ามันดูยากลำบากซะเหลือเกิน

“โอ๊ย!” ผมจิ๊ปากด้วยความโมโหแถมยังเผลอหลุดปากร้องออกไปอีก นั่นเพราะพอผมก้าวลงมาจากเตียงปุ๊บร่างของผมก็ร่วงลงไปกองกับพื้นทันที พีที่กำหลังหลับสนิทตื่นขึ้นมาแล้วรีบลุกขึ้นมาดูผม

“เจ็บตรงไหนมั้ยก้อง เป็นอะไรรึเปล่า”

พีมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อหาตำแหน่งบาดเจ็บ ผมได้แต่ก้มหน้าด้วยความอาย ไม่อยากจะบอกเลยว่าที่ผมร่วงเพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะขามันอ่อน ยืนไม่ไหว

“เจ็บเท้ามั้ยก้อง พลิกรึเปล่า ไหนดูซิ” ผมส่ายหน้าเบาๆก่อนจะค่อยๆยันตัวเองให้ลุกขึ้นโดยมีพีช่วยประคองเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องฟุบลงไปอีก

“คุณเป็นอะไรน่ะ ข้อเท้าแพลงรึเปล่า เจ็บเหรอครับ” ผมไม่ตอบ ก็ไอ้ที่เจ็บเนี่ยมันไม่ใช่ที่ข้อเท้า แต่มันเป็นที่อื่นต่างหาก

เหมือนพีจะจับสังเกตผมได้ อยู่ๆพีที่นิ่งไปก็หัวเราะออกมาจนผมนี่อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ได้แต่ทุบที่หน้าอกของพีไปเบาๆ และแล้วลำแขนแข็งแรงก็ยื่นออกมาสอดที่ใต้ข้อพับเข่าของผม ส่วนแขนอีกข้างก็โอบอยู่ที่หลังขึ้นไปเกือบถึงบริเวณหัวไหล่ ผมรีบโอบรอบคอของพีเป็นการตอบสนองเมื่อรู้ว่าพีจะอุ้มผมขึ้น

“ตัวหนักเหมือนกันนะเรา”

ผมค้อนให้พีหนึ่งทีโทษฐานที่บังอาจมาแซวผม แล้วยังไงล่ะ ก็ยังอุ้มผมไหวล่ะน่า...

“จะไปไหนครับ”

“อาบน้ำ” ผมอ้อมแอ้มตอบ จากนั้นผมก็ถูกวางลงบนโต๊ะที่เป็นอ่างล่างหน้า มองพีที่หันไปผสมน้ำอุ่นใส่อ่างเอาไว้ให้

“อาบในอ่างละกัน ดูแล้วคุณคงยืนอาบไม่ไหว” จากนั้นก็ส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาให้จนผมหันหน้าหลบสายตาแทบจะไม่ทัน พีรวิชญ์เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า ระดับสายตาของพีที่ยืนอยู่กับผมที่นั่งอยู่บนเคาท์เตอร์อ่างล่างหน้านั้นไม่ต่างกันเท่าไหร่

“ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณเจ็บ แล้วก็เมื่อวานที่ทำให้คุณหมดสติไปด้วย ” คราวนี้พีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ก็ทำเอาผมรู้สึกอายกับสิ่งที่เค้าพูดอยู่ไม่น้อย จึงได้แต่ก้มหน้าหลบแววตาคมคายนั้น

“ผมรักคุณนะ”

ผมเงยหน้าขึ้นมามองคนที่บอกรักด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจ ผงกหัวเป็นเชิงตอบรับว่ารู้แล้ว จากนั้นคนตรงหน้ามอบจุมพิตที่แสนจะอ่อนโยนให้ผมอีกครั้ง แลกเปลี่ยนความอ่อนหวานกันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานจนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำที่ล้นออกมาจากอ่างราวกับนาฬิกาเตือนว่าหมดเวลาแห่งการรับสัมผัสที่ช่วยให้วาบหวามหัวใจ

“ถ้าอาบเองไม่ไหว...”

“ไหว ไม่ต้องเลย ออกไปได้แล้ว” ผมรีบตอบออกมาเพราะรู้ว่าพีกำลังจะพูดอะไร ขืนให้เค้าช่วยอาบก็เป็นอันไม่ได้ลงไปข้างล่างกันพอดี พีหัวเราะเบาๆก่อนจะอุ้มผมให้ลงไปนั่งในอ่าง

“ถ้าเสร็จแล้วลุกไม่ไหวก็เรียกนะครับ”



กว่าเราสองคนจะได้ลงไปข้างล่างก็บ่ายพอดี แค่วันนี้วันเดียวก็มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายตั้งหลายอย่าง ตอนนี้ก็เย็นแล้ว แม่กับพี่ๆออกไปตลาดเพื่อหาซื้อของสดมาเตรียมสำหรับอาหารค่ำวันนี้ ส่วนพี่นิคก็นอนพักอยู่ในห้องของเค้าเพราะไม่ค่อยสบาย ก่อนหน้านี้ก็เถียงกับคุณไอรินไปมาทั้งวัน สงสัยว่าจะหงุดหงิดที่ผมกับพีต้องมานอนห้องเดียวกันสองต่อสองโดยไม่มีพี่ปออยู่ด้วยแบบนี้ล่ะมั้ง นึกแล้วก็ตลกดี พอมานึกถึงเรื่องที่ผมทะเลาะกับพีเมื่อวานนี้แล้วก็อดคิดมากไม่ได้ หลังจากที่เราเถียงกันไปมาสุดท้ายจุดจบเราก็ดันมาอยู่บนเตียงเสียได้ ผมรีบยกมือขึ้นโอบที่ข้างแก้มเมื่อรู้สึกว่ามันกำลังร้อนผ่าวไปทั้งหน้า สุดท้ายก็อดไม่ได้จะยิ้มออกมา ที่บอกว่าอดคิดมากไม่ได้นั่นก็คือเรื่องของผมกับพี่นิคไง ความสัมพันธ์ของเราสามคนรวมทั้งพีด้วยมันยังดูคลุมเครือ เหตุการณ์แต่ละวันที่ทำเอาผมปวดหัวเป็นเหตุให้ผมต้องมานั่งอยู่ในห้องเพื่อคิดอะไรต่อมิอะไรจนหัวแทบจะระเบิดอย่างตอนนี้ ผมควรจะทำยังไงดี

“อ๊ะ” สะดุ้งนิดหน่อยเพราะอยู่ๆพีก็เข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง ผมที่นั่งอยู่ที่ปลายเตียงได้แต่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

“เบื่อรึเปล่า” ผมถาม และพบก็ได้คำตอบเมื่อพีส่ายหน้าแรงๆ

“อยู่กับคุณผมจะเบื่อได้ยังไง คิดอะไรอยู่ครับ”

“คิดเรื่องเมื่อวาน ที่คุณถามไงว่าทำไมผมถึงกลับมาพร้อมกับพี่นิคได้” พีคลายอ้อมกอดให้หลวมลงแล้วยื่นหน้ามามองผม

“นั่นสิ ผมยังไม่รู้เลยนะก้อง ตกลงคุณไปไหนกับเค้ามา หืม” ปลายนิ้วแข็งแกร่งเกลี่ยที่แก้มของผมเบาๆ...



“พี่จะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะก้อง ”

“ก้องว่าเราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วนะครับพี่นิค ก้องบอกไปแล้วไงว่าพี่นิคจะทำให้แม่และทุกคนรู้เรื่องของเราไม่ได้ จะมีใครที่ไหนบ้างที่แต่งงานแล้วแต่กลับยังคบคนอื่นเป็นแฟน”

ผมเผลอพูดออกไปด้วยความโมโห จะว่าตอนนี้ผมเริ่มจะไม่พอใจกับสถานะแบบนี้แล้วก็ไม่ผิด

“ก้อง พูดอย่างงี้หมายความว่ายังไง”

“พี่นิคก้องเจ็บ” ผมบิดแขนออกจากการบีบของพี่นิค ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่นิคโมโหใส่

“พี่ขอโทษ” น้ำเสียงของเค้าอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด พี่นิคมองที่ข้อมือของผมที่ถูกบีบเมื่อครู่คล้ายกับว่ารู้สึกผิด ผมเองก็ผิดเหมือนกันที่เผลอใช้คำพูดที่อาจจะทำร้ายความรู้สึกของพี่นิคได้ อีกอย่างผมเองต่างหากที่เป็นคนรับรัก คนที่ทำให้สถานะอันคุมเครือนี้มันเกิดขึ้นคงจะเป็นผมมากกว่า แต่เมื่อกี๊ผมกลับพาลใส่พี่นิคซะได้

“ก้องก็ขอโทษเหมือนกันครับ เอาเป็นว่าก้องเข้าบ้านก่อนดีกว่านะ พี่นิคมีอะไรจะคุยอีกรึเปล่าครับ”
พี่นิคส่ายหน้าด้วยสีหน้าเศร้าๆทำเอาผมรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ แต่จะอยู่ต่อก็ไม่ได้ ออกมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เกิดใครมาเห็นเข้าคงจะยุ่งยากเข้าไปใหญ่



“ว่าไงครับก้อง เมื่อวานคุณไปไหนกับไอ้นิคมาเหรอ” รู้สึกถึงแรงกดที่หัวไหล่เมื่อพีทิ้งคางลงมาเกยพร้อมทั้งกระชับกอดให้แน่นขึ้น คำถามของพีทำให้ผมตื่นจากภวังค์

“ไม่มีอะไรหรอกพี คุยกันธรรมดา คุณอย่าคิดมากเลยนะ” ผมตอบออกไปทั้งๆที่สายตายังมองออกไปข้างหน้า มีบางสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะถูกมั้ยจะผมจะตัดสินใจแบบนั้น เอาเถอะ ขอเวลาซักสองสามวันในการคิดทบทวนก็
แล้วกัน


หลังจากกลับมาจากระยองความสัมพันธ์ของผมกับพีก็ดูเหมือนจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะเราได้ผ่านอะไรมากมายเหลือเกิน จะว่าไปจะบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมมีความสุขมากที่สุดก็อาจจะใช่ แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดซะทีเดียว เพราะยังมีเรื่องบางเรื่องที่ทำให้ผมยังต้องคิดอยู่ทุกวัน การตัดสินใจทำอะไรซักอย่างเพื่อให้ความสัมพันธ์ของเราสามคนมันชัดเจนมากกว่านี้

สามทุ่มแล้ว พียังไม่กลับมาอีก หรือว่าวันนี้จะมีประชุมนะ...วันนี้คนไข้ก็เยอะเหลือเกิน ผมเองต้องวิ่งวุ่นทั้งวัน เรียกได้ว่าไม่มีช่วงเวลาให้ได้ว่างเลย พอเสร็จจากเคสนั้นก็มาเจอเคสนี้ เคสนี้เรียบร้อยก็ต้องออกออกไปทำเคสนอกสถานที่อีก ครั้นวุ่นวายแค่เรื่องงานยังไม่พอ ยังมีเรื่องอื่นๆเข้ามาให้คิดจนปวดหัวแบบนี้อีก สุดๆเลยวันนี้ กับข้าวที่วางเอาไว้เต็มโต๊ะก็เริ่มจะไม่ร้อนแล้วเพราะพียังไม่มาเสียที ผมเองก็นั่งรอพี่อยู่ที่โซฟาเพื่อจะได้ทานพร้อมกัน ร่างกายที่รับศึกหนักมาทั้งวันเริ่มส่งผลแล้วจริงๆเพราะว่าตอนนี้ตาของผมมันใกล้จะปิด ผมพยายามยกหนังตาหนักๆขึ้นไม่อยากหลับก่อนที่พีจะกลับมา แต่แล้วสุดท้ายภาพทุกอย่างก็มืดลงไปจนได้..

ความรู้สึกอุ่นชื้นที่มาสัมผัสอยู่ที่แก้มทำให้ผมรู้สึกตัว พบว่าปลายจมูกโด่งกำลังซุกไซร้อยู่ที่คอ เมื่อกี๊ก็คงจะเป็นริมฝีปากของพีที่หอมแก้มผมสินะ ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งด้วยอาการงัวเงีย

“ทานอะไรมารึยังครับพี”

“กำลังทาน” ด้วยความมึนเบลอของคนที่เพิ่งตื่นทำให้ไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของพีซักเท่าไหร่ จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีพีก็จับผมนอนลงที่โซฟาแล้วก็ฝังจมูกลงไปที่คอของผมแล้ว แถมยังสอดมือเข้ามาในเสื้ออีกต่างหาก

“อื๊อ~”ผมดันตัวพีให้ออกห่าง

“บนโต๊ะนู่น ผมเตรียมไว้ให้แล้ว นี่~ พี..อื๊อ..”

“บนโต๊ะที่ไหนล่ะ บนโซฟาต่างหาก” ยอกย้อน เล่นลิ้น หื่น!!

“ไม่เอานะพี ผมอุส่าห์รอกินพร้อมคุณนะ แล้วผมก็หิวมากด้วย”

“ผมก็หิวแล้วเหมือนกัน นี่ไง” พีไม่ได้ฟังผมเลย ความสนใจของพีกลับอยู่บนตัวผมเสียมากกว่า ผมดันพีออกจากตัวได้ก็รีบลุกขึ้นนั่ง

“เอ๊ย! ไม่เอานะพี วันนี้ผมเหนื่อยมากเลยนะ ปล่อยผมลงนะ นี่!!” ผมดิ้นขลุกขลักเมื่อพีอุ้มผมขึ้นจนผมตั้งตัวไม่ทัน สุดท้ายปลายทางของคนเจ้าเล่ห์อย่างนายพีรวิชญ์ก็หนีไม่พ้นห้องนอน ไอ้พีบ้า!!





กี่ครั้งแล้วนะที่ผมวกกลับไปคิดถึงเรื่องนั้น เรื่องระหว่างผมกับพีและพี่นิค เอาล่ะ...ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าจะตัดสินใจกับเรื่องนี้ยังไงดี....


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

น้องเอสขอลาจากฟิคเรื่องนี้เป็นเวลาสองถึงสามอาทิตย์นะคะ เพราะช่วงนี้งานยุ่งมาก เราะฉะนั้นบทที่สิบสามก็จะออกมาประมาณสิ้นเดือนนะคะ ขอบคุณทุกๆคนที่ให้การสนับสนุนฟิคของเราอย่างดีค่ะ ^O^


Create Date : 10 มิถุนายน 2554
Last Update : 11 มิถุนายน 2554 20:13:42 น. 5 comments
Counter : 397 Pageviews.

 
รอได้ค่ะ^^
อ่านแล้วหวานละมุ่น
อบอุ่นใจก่อนนอน ... อิอิ
คุณพีร์ เค้ารักก้องทุกวันคืนเลยเนาะ^_^
ฮัายยย มีความสุขจัง

ขอบคุณที่เขียนฟิคให้อ่านนะคะ^__^


โดย: sky IP: 124.121.2.176 วันที่: 12 มิถุนายน 2554 เวลา:0:56:39 น.  

 
อ่านแล้ว มีความสุขจังเลย มันอิ่มใจที่สุดเลย เฮ้อ! เต็มอิ่ม ตื้นตันกับบรรยากาศของความสุข ความเข้าใจ ของสองคนนี่ จังเลย อย่าหายไปนานนะคะ writer คิดถึงค่ะ อิๆๆ ^___^". ปล.เหนื่อยนักก็พักก่อนนะคะแต่ห้ามนานนะ เพราะยังมีอีกหลายลมหายใจ รอ คุณอยู่ (ตอนต่อปายยยยยยยย)


โดย: lek^lek. IP: 223.206.239.118 วันที่: 12 มิถุนายน 2554 เวลา:5:12:47 น.  

 
ตอนนี้น่ารักดีอ่ะ อ่านแล้วยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบตอนเลยคะ ^^


โดย: JEW IP: 202.176.81.15 วันที่: 20 มิถุนายน 2554 เวลา:15:34:27 น.  

 
เขียนได้นารักจังคะ อ่านไปก็เขินไป
เย้ๆๆๆๆๆๆจะสิ้นเดือนแล้วจะได้อ่านตอนต่อไปแล้ว


โดย: นน IP: 110.168.23.247 วันที่: 30 มิถุนายน 2554 เวลา:6:55:42 น.  

 
กลับมาอ่านกี่ครั้งๆก็แอร๊ยยยยยยยยยย
ชอบอ่ะ(หื่นซะไม่มีอ่ะ)


โดย: Keamdeang1@smile IP: 119.31.105.109 วันที่: 20 กันยายน 2554 เวลา:15:39:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biomedical_girl
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นนัก (หัด) เขียน ที่ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเรื่องสั้นเรื่องแรกมาจากความน่ารักของตัวละคร พีรวิชญ์ และ ก้องบดินทร์ จากละครเรื่องพรุ่งนี้ก็รักเธอ โดยปกติจะเป็นนักศึกษาทุนในระดับปริญญาโทสาขาชีวเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ แต่เมื่อไหร่ที่ความเวิ่นเว้อบังเกิดก็จะแปลงร่างจากสาวเนิร์ด เป็นสาววายทันที ^^" นอกจากนี้ยังชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ และมีความใฝ่ฝันว่าสักวันฉันจะได้ออกเทป (หุหุ) บางครั้งในเวลาว่างๆ ก็จะแต่งเพลง แต่งกลอน ออกมาอยู่เสมอ จนบางครั้งคนรอบข้างถึงกับแซวว่าเธอน่าจะไปเรียนอักษรหรือนิเทศมากกว่าชีวโมเลกุลนะ --"
New Comments
Friends' blogs
[Add biomedical_girl's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.