Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
22 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
บทที่ 6 ยิ่งกว่าความเสียใจ

เจ็บมานานแค่ไหน จะต้องเจ็บไปอีกนานไหม
แต่ทำไมหัวใจ ของฉันมันยังไม่ชิน
เจ็บที่ต้องทนเห็น ต้องทนที่จะได้ยิน
ไม่มีสักวัน ที่มันจบสิ้นสักที
อยากจะมีวันไหน มันสิ้นสุดไปทีได้ไหม
ไม่อยากทำร้ายใจ ของฉันไปมากกว่านี้
จบมันไปได้แล้ว เมื่อทางจะไปไม่มี
รักแล้วมีแต่ความเสียใจ
หัวใจทนไม่ไหวแล้ว รับอะไรไม่ไหวแล้ว
ฉันไม่อยากนั่งรอ ขอเลือกเดินหนีไป
เสียใจมากี่ร้อยครั้ง เพียงแค่ครั้งเดียวมันแทบขาดใจ
เจ็บช้ำมาสักเท่าไหร่ อยากขอให้สิ้นสุดซะที..

เสียงเพลงที่คลอเบาๆอยู่ในรถไม่ได้ทำให้จิตใจของผมสดชื่นขึ้น ทว่ามันกลับยิ่งเป็นเหมือนหนามแหลมคมที่พากันถาโถมเข้าทิ่มแทงให้รอยบาดแผลในหัวใจลึกลงยิ่งกว่าเดิม หยาดน้ำอุ่นๆที่ไหลลงมาคลอเคลียแก้มของผมที่กำลังนั่งมองเหม่อออกไปทางนอกหน้าต่าง แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำที่พากันไหลออกมาอย่างหนัก ผมที่นั่งนิ่งกลั้นสะอื้นอยู่เงียบๆกลายเป็นค่อยๆเพิ่มแรงสั่นเทาเมื่อไม่อาจห้ามน้ำตาที่พากันพรั่งพรูออกมาได้ ผมเอาแขนทั้งสองข้างกอดก่ายหมอนใบเล็กไว้กับอกแน่นราวกับว่ามันจะเป็นเพื่อนที่ช่วยรองรับน้ำตาอุ่นๆที่ไหลซึมจนเปียกชุ่ม ก้มลงไปร้องไห้กับหมอนใบนั้น กระชับกอดให้แน่นขึ้นหวังจะช่วยบรรเทาความหนาวที่แผ่ซ่านมาจากเสื้อผ้าที่ยังคงเปียกโชก แต่ทว่า ความหนาวเหน็บที่ร่างกายรู้สึกได้ กลับเทียบไม่ได้เลยกับความหนาวที่เข้ามาสัมผัสที่หัวใจ ความรู้สึกต่างๆประเดประดังเข้ามาจนแยกกันไม่ออก ความเสียใจ ความผิดหวัง ความสมเพช สมเพชตัวเองที่โง่ไปให้หัวใจกับใครได้อย่างง่ายดาย จนถึงตอนนี้ ผมถึงได้รู้ว่าอาการโรคหัวใจที่มันเกิดขึ้นบ่อยๆ มันก็คือโรคหัวใจรักใครซักคนนั่นเอง แต่วันนี้..คนที่ผมยอมรับว่าผมรักเค้าเข้าให้แล้ว ก็ทำให้หัวใจของผมบอบช้ำจนเกินกว่าที่ผมจะพาตัวเองกลับเข้าไปในวังวนแห่งความเจ็บช้ำนั้นได้อีก

‘ได้โปรด.....ได้โปรดเปิดใจให้ผมสักครั้ง สัมผัสหัวใจของผมด้วยหัวใจของคุณ แล้วคุณจะรู้ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน’

ฮึก!

ผมกัดปากแน่นจนได้กลิ่นคาวเลือดของตัวเอง พยายามจะกลั้นเสียงเอาไว้ไม่ให้มันสะอึกออกมาแสดงความอ่อนแอให้คนข้างๆเห็น ทว่ามันชั่งยากเย็นเหลือเกิน

‘ผมขอให้เราลืมเรื่องราวร้ายๆ ต่างๆ ที่เคยเกิดระหว่างเรานะก้อง เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ ผมรักคุณนะก้อง รักมาก มากยิ่งกว่าชีวิตของผมเอง ผมยินดีที่จะทำให้คุณมีความสุขในทุกๆ วัน ผมจำได้ว่าผมเคยสัญญากับคุณเอาไว้ในวันแต่งงานว่าจะดูแลคุณด้วยชีวิต ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณไปจนวันตาย ผมยังจำมันได้อยู่นะก้อง’

ผมลืมแล้วพี เพราะคุณบอกให้ผมลืมมัน ผมจึงลืมเรื่องร้ายๆพวกนั้นไปหมดแล้ว..แต่คุณ..คุณกลับเป็นคนที่ทำให้ทุกอย่างมันกลับมา คำสัญญาปากเปล่าที่ใครๆก็พูดได้ ผมจะเชื่อใจคุณไม่ได้อีกต่อไปแล้วใช่มั้ย...

หมอนที่ผมกอดเอาไว้แน่นถูกผมใช้เป็นที่เก็บเสียง ผมกัดมันลงไปแทนที่การกัดปากของตัวเอง มือของผมกำสิ่งนุ่มนิ่มในอ้อมกอดแน่นราวกับมันจะช่วยระบายความรู้สึกเจ็บปวดของผมลงไปได้บ้าง ความอ่อนแอที่ผมพยายามแสดงออกให้พี่นิคเห็นน้อยที่สุดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา วันนี้มันคงจะถูกปล่อยออกมาจนไม่เหลือแววความเข้มแข็งแล้ว เพราะน้ำตาเจ้ากรรมมันหยุดไหลไม่ได้จริงๆ สภาพผมในตอนนี้คงจะเหมือนกับเด็กที่นั่งสะอื้นไห้อย่างน่าเวทนา พลันความคิดของผมก็ถูกหยุดเอาไว้เมื่อรู้สึกได้ไออุ่นจากเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่วางลงมาที่ตัว เสื้อคลุมที่พี่นิคเคยใส่มันเอาไว้ ตอนนี้เจ้าของมันถอดออกแล้วเอามาคลุมให้ผมแทน
“อุ่นขึ้นมั้ย”
“ขอบคุณครับ” ผมหันไปตอบรับความหวังดีของพี่นิค และรีบยกมือขึ้นปาดแก้มตัวเองเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสชื้นแฉะกับน้ำตาหยดใหม่ นี่ผมจะต้องนั่งเช็ดมันไปอีกกี่ครั้งนะ ผมถึงจะผ่านมันไปได้ ต้องให้ผมมีน้ำตาอีกซักกี่หยดคุณถึงจะเลิกทำให้ผมเสียใจซักที..

“ก้อง” เสียงเรียกของคนข้างๆทำให้ผมหันหน้าไปหาคนร่างสูง ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มถูกยื่นมาตรงหน้า ผมรับมันไว้ก่อนจะเอ่ยขอบคุณพี่นิค ตอนนี้เอง ผมเพิ่งรู้ตัวว่ารถที่ผมนั่งอยู่จอดหยุดอยู่ที่ข้างทางแล้ว นี่พี่นิคจอดรถตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเหม่อจนไม่รู้เรื่องขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย..

“ที่พี่เคยถามก้องเอาไว้ ก้องมีคำตอบให้พี่รึยังครับ” ผมนั่งนิ่งไปเพราะนึกไม่ออกว่าพี่นิคหมายถึงเรื่องอะไร แต่พอผมหันไปมองที่คนถาม สายตาวิงวอนที่ส่งออกมานั้นก็ทำให้ผมเข้าใจ

“เอ่อ..” ผมได้แต่นั่งก้มหน้าเพราะคำตอบของผมจริงๆก็คือยัง ผมยังไม่พร้อมจะรักพี่นิคในตอนนี้

“ก้อง” เสียงเรียกเบาๆเป็นการรุกเร้าพร้อมกับการขยับเข้ามาของคนที่รอคำตอบ พี่นิคพาดแขนเอาไว้กับเบาะของผมนั่นทำให้ผมรีบถอยหนี พี่นิคกำลังทำให้ผมกลัว เหตุการณ์ร้ายๆที่ผมเพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงชั่งโมงทำให้ผมผวากับการกระทำของคนตรงหน้า หลังของผมถอยครูดไปจนติดประตู พี่นิคเห็นดังนั้นจึงถอยกลับไปนั่งพิงที่เบาะของตัวเองอย่างเดิม ถึงแม้ว่าผมจะสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆอยู่หลายครั้งเพื่อรวบรวมสติสตังของตัวเอง แต่สายตาก็ยังไม่กล้าพอที่จะเงยขึ้นไปสบสายตาของคนอีกคนได้ มือของผมกอดหมอนแน่นเหมือนว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยเป็นเกราะกำบังให้ผม พี่นิคดูจะงุนงงกับท่าทางผวาของผมอยู่เล็กน้อย แต่ผมไม่จำเป็นจำต้องเล่าเรื่องราวที่ไม่ควรแก่การจดจำให้ใครได้ฟัง ผมค่อยๆเหลือบตาขึ้นไปมองก็พบว่ามือของพี่นิคกำลังแตะอยู่ที่แผลข้างแก้มขวา ร่องรอยการถูกชกที่อยู่อีกด้านทำให้ผมไม่เห็นและลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ผมรีบเข้าไปถามคนที่ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ

“เจ็บมั้ยครับพี่นิค ก้องขอโทษนะครับที่ทำให้พี่นิคต้องเจ็บตัว” พี่นิคหันหน้ามาด้วยสีหน้าแสดงความเจ็บปวด แต่จากนั้นใบหน้าขาวก็ปล่อยยิ้มกว้างออกมาอย่างทุลักุเล สงสัยคงจะเจ็บมาก ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งคืนให้เจ้าของ

“ก้องเอาไว้ใช้เถอะ”

“ไม่เป็นไรครับพี่นิค ก้องไม่ร้องแล้วล่ะ” จากนั้นผมก็ใช้ปลายนิ้วแตะที่คางของพี่นิคเบาๆเพื่อให้เจ้าตัวหันหน้ามาให้ผมดูแผลที่มุมปาก รอยช้ำสีแดงอมม่วงและเลือดที่ซึมอยู่บริเวณปากแผลทำให้ผมเผลอเบ้หน้าออกมานิดนึง ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นซับลงไปเพื่อเช็ดคราบโลหิต สงสารพี่นิคจัง ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยก็ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้....แค่ก้มหน้าลงมาเอาผงทรายที่เข้าตาออกให้เท่านั้น ก็ถูกคนไม่มีเหตุผลเดินดุ่มๆเข้ามาชกเสียจนหน้ายับเยิน

พี่นิคพาผมมาที่ร้านเบเกอร์รี่ที่ตัวเค้าเป็นเจ้าของ ผมรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง แต่แล้วท่าทีของผมที่คงจะเหมือนคนที่กำลังนึกอะไรอยู่ก็ทำพี่นิคยิ้มกว้างแล้วอธิบายให้ผมฟังว่าพี่แก้วเคยพาผมมาทานเค้กที่นี่ ภายในร้านตกแต่งออกมาในแนวน่ารักมากกว่าจะใช้คำว่าหรูหรา มันดูอบอุ่น อ่อนโยน กลิ่นอโรมาอ่อนๆที่ฟุ้งกระจายอยู่ทั่วทั้งร้านทำให้ผมแอบสูดลมหายใจรับกลิ่นนั้นเข้าปอดเพื่อเพิ่มความรู้สึกสดชื่น พี่นิคบอกว่าโดยปกติแล้วถ้าวันไหนทำเค้กก็จะไม่มีกลิ่นอโรมา เพราะจะมีแต่กลิ่นเค้กที่หอมอบอวลจากข้างในห้องครัวแทน ไฟสีส้มอ่อนสลัวๆไม่ได้ทำให้บรรยากาศในร้านดูน่ากลัว แต่กลับทำให้รู้สึกอ่อนหวานและโรแมนติกเสียมากกว่า ดูท่าร้านของพี่นิคคงจะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคู่รักวัยรุ่นซะล่ะมั้ง

“โอ๊ย..” พี่นิคร้องร้องออกมาเบาๆพลางนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บแสบบริเวณแผล ผมรีบชักมือออกเพราะตกใจ

“ขอโทษครับ ขอโทษครับ ก้องไม่ได้ตั้งใจ” ผมปล่อยสำลีในมือทิ้งแล้วกวาดตามองอุปกรณ์ทำแผลที่วางกระจายเต็มโต๊ะ จากนั้นก็เลือกหยิบสิ่งที่จะใช้ในขั้นตอนต่อไป

“เอ่อ..ก้องว่า พี่นิคทาเองดีกว่าครับ เดี๋ยวก้องจะทำให้พี่นิคเจ็บอีก”

“ไม่เอาอ่ะ พี่มองไม่เห็นแผลนะครับ ทำไม่ถนัดหรอก”

“อ๋อ งั้นเดี๋ยวก้องไปเอากระจกมาให้นะครับ นั่นไงโต๊ะนั้น” ผมลุกขึ้นตั้งใจจะไปหยิบกระจกตั้งโต๊ะที่วางอยู่ใกล้ๆ แต่พี่นิคคว้ามือผมเอาไว้

“ไม่ต้องหรอกก้อง พี่หมายถึงว่า..พี่อยากให้ก้องทำให้มากกว่า”

ผมชะงักไป แต่สุดท้ายเมื่อเห็นสายตาเว้าวอนของคนเจ็บ ผมก็เลยต้องพยักหน้าตอบแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิมต่อ

ผมจัดการทายาที่แผลสดนั่นให้อย่างเบามือ พยายามเหลือเกินที่จะให้เบามือมากที่สุด ลำพังแค่วันนี้ทั้งวันพี่นิคต้องลำบากเพราะผมก็ทำให้ผมรู้สึกแย่พอยู่แล้ว ถ้าพี่นิคยังจะต้องมาเจ็บหนักกว่าเก่าเพราะฝีมือการทำแผลที่ไม่ได้เรื่องของผมอีก ผมคงจะรู้สึกผิดไปตลอด ผมนึกไม่ออกเลยว่าตอนนี้หน้าผมจะเป็นยังไง คงจะบูดเบี้ยวเหยเก ตลกพิลึก ผมหรี่ตาลงมองที่แผลอย่างกล้าๆกลัวๆ กลัวว่าคนตรงหน้าจะเจ็บ แต่แล้วสายตาของผมก็บังเอิญไปสะดุดเข้ากับสายตาอีกคู่ พี่นิคกำลังมองผมอยู่ นั่นทำให้ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมกับพี่นิคคงจะใกล้กันมากเกินไปแล้ว ผมถอยตัวให้ห่างออกมาพร้อมกับจะปลดมือลงเมื่อทายาเสร็จเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันที่มือของผมจะถอยห่างจากแผลของพี่นิค เจ้าตัวก็คว้าข้อมือของผมพลิกไปมาเพื่อสำรวจด้วยท่าทีตกใจ

“นี่รอยอะไรน่ะก้อง” พี่นิคหมายถึงรอยแดงรอบข้อมือ และแล้วมืออีกข้างของผมก็ถูกพี่นิคคว้าขึ้นไปดูอีกข้างจนได้

“ข้างนี้ก็มี เค้าทำอะไรก้อง”

ผมได้แต่ก้มหน้าหลบกับสายตาที่มีแต่เครื่องหมายคำถามคู่นั้น จะให้ตอบออกไปได้ยังไงว่าผมเกือบจะถูกพี... ผมรีบชักมือตัวเองกลับ ก่อนจะหันไปเก็บอุปกรณ์ทำแผลที่วางแบบอิเหละเขละขละลงกล่องให้เรียบร้อย ทว่ายังเก็บของได้ไม่เสร็จดีพี่นิคก็คว้าข้อมือข้างหนึ่งของผมเอาไว้อีก มือของผมถูกควบคุมให้เลื่อนไปอยู่ที่หน้าอกของคนเจ็บ และสุดท้ายมันก็ถูกจับให้ทาบอยู่ที่อกข้างซ้ายของพี่นิค ผมรู้สึกได้ถึงการกระตุกแรงๆของกล้ามเนื้อตรงนั้นว่ามันกำลังเต้นอยู่ในจังหวะที่เร็วกว่าปกติ ทำไมผมจะไม่เข้าใจความหมายของมัน ก็ในเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้ คนๆนั้นก็ทำกับผมแบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้น..อัตราการเต้นหัวใจที่มันเร็วจนน่าตกใจของเค้า ทำให้ผมรู้สึกหวามไหวอย่างบอกไม่ถูก หากแต่ถ้าเค้าจะลองฟังเสียงหัวใจของผมในตอนนั้นดูบ้าง ก็คงจะได้รู้ว่ามันก็เต้นเร็วไม่ต่างกันกับเค้าเลย แต่ตอนนี้..การกระทำเดียวกันของคนสองคน แต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างไม่น่าเชื่อ ผมไม่ได้รู้สึกดีใจ หรือมีความสุขเหมือนกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ทิ้งไป แม้กระทั่งความคิดผมก็ไม่ควรจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวพันกับเค้าอีก

“ก้อง ดูหัวใจพี่มันเต้นสิ มันเต้นรัวแบบนี้ทุกครั้งที่พี่ได้อยู่กับก้อง” ผมได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาวิงวอนตรงหน้า คำพูดของพี่นิคทำให้ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดและทำตัวไม่ถูก

“พี่ทนเห็นเค้าทำร้ายก้องไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ให้พี่ได้ดูแลก้องนะ พี่จะไม่ให้ใครมาทำร้ายก้องได้อีก พี่จะไม่ทำให้ก้องเสียใจ พี่สัญญา”

ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกสับสน พยายามคิดทบทวน หาเหตุและผลว่าสุดท้ายแล้วผมควรจะทำยังไงดี ผมเงยหน้าขึ้นไปก็ได้เห็นกับแววตาจริงจังที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผย แววตาแห่งการวาดหวัง แววตาของการรอคอย แววตาของความจริงใจ..ผมเม้มปากเข้าหากันอย่างชั่งใจเพื่อไตร่ตรอง เพราะผมรู้ดีว่าถ้าผมได้ตัดสินใจตอบออกไปแล้ว มันอาจจะไม่สามารถแก้ไขคำตอบทีหลังได้ และแล้วมองของผมก็บอกกับผมว่า ในเมื่อคนๆนี้ก็ไม่เคยทำให้ผมเสียใจเลยซักครั้ง คนๆนี้ไม่เคยจะทำให้ผมต้องร้องไห้แม้แต่ครั้งเดียว กลับกัน พี่นิคกับเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจผมตลอดเวลาในยามที่ผมมีปัญหา และผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่ผมได้อยู่กับพี่นิค ผมเองก็รู้สึกสบายใจ เหมือนมีคนดีๆซักคนมาคอยเอาใจใส่ ในเมื่อมันเป็นแบบนั้น แล้วทำไมผมจะต้องปฏิเสธความรู้สึกดีๆของคนตรงหน้าคนนี้ด้วยล่ะ

“ครับ” ผมตอบสั้นๆ และหวังว่าพี่นิคจะเข้าใจกับคำตอบของผม พี่นิคอึ้งไปชั่วครู่จนผมเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจว่า พี่นิคจะไม่เข้าใจความหมายของผมรึเปล่า แต่สุดท้ายคนตรงหน้าผมก็ยิ้มกว้างและละล่ำละลักพูดอย่างดีใจ

“จริงๆนะก้อง..จริงๆนะครับ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำให้ก้องต้องเสียใจ พี่สัญญา” และแล้วพี่นิคก็รวบตัวผมเข้าไปกอดจนแน่นเสียจนผมกลัวว่าพี่นิคจะทำให้ผมจะเสียใจก็เพราะหายใจไม่ออกมันก็ตอนนี้แหละ ผมอดที่จะหัวเราะน้อยๆออกมาไม่ได้ ก็ท่าทางดีใจเสียจนโอเว่อร์ของพี่นิคดูยังไงก็ไม่ต่างไปจากเด็กน้อยที่กำลังได้ของเล่นใหม่เลย

“ขอบคุณนะครับพี่นิค ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ” พี่นิคไม่ตอบ แต่สายตาที่กำลังยิ้มกว้างของพี่นิคในตอนนี้ก็ทำให้ผมรู้แล้วว่าพี่นิคกำลังจะตอบกลับมาว่าไม่เป็นไร

“เอ่อ...แล้วพี่นิคตามไปเจอก้องที่ระยองได้ยังไงน่ะครับ”ผมเริ่มถามถึงสิ่งที่ผมค้างคาใจตั้งแต่ตอนเจอพี่นิคที่หาด แต่ด้วยเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้ผมลืมเรื่องนี้ไปจนเสียสนิท

“พี่แก้วไงครับ พี่จำได้ว่าพี่แก้วเคยเล่าว่ามีบ้านอยู่ที่ระยอง ”

“แล้วพี่นิคไปหาก้องถึงที่นั่น มีอะไรรึเปล่าครับ”

“ก็..ติดต่อก้องไม่ได้ พี่ไปหาก้องที่โรงพยาบาลก็ไม่เจอ มีคนบอกให้พี่ตามไปที่หอพัก ก็ไม่มีใครอยู่ พี่ร้อนใจก็เลยตามไปดูที่คอนโด แต่ก็เงียบ จนพี่กลัวว่าจะเกิดเรื่อง นึกขึ้นได้ว่าก้องมีบ้านอยู่ระยองก็เลยลองตามไปดู..และสุดท้ายก็พบ...เอ้อ! จริงสิ”

พี่นิคล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อและเมื่อชักมือออกมา สิ่งที่พบก็คือกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินสด ผมรู้ดีว่าในนั้นคืออะไร และแล้วพี่นิคก็เปิดมันออก แหวนทองคำขาวดูสะอาดบริสุทธิ์ถูกแสดงให้เห็นต่อสายตา

“ก้องครับ”

“ไม่เอานะครับพี่นิค ก้องรับไว้ไม่ได้” ผมรีบปฏิเสธพัลวัน ผมเพิ่งตอบตกลงคบกับคนตรงหน้าไปได้ไม่ถึงห้านาที คงจะเร็วไปถ้าผมจะรับแหวนนั้นไว้ สำหรับผมแล้ว การจะสวมแหวนของใครซักคน นั่นต้องหมายความรู้สึกรักที่พิเศษและยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมถึงขนาดนั้น

“พี่รู้ว่าก้องกำลังคิดอะไร พี่ไม่ได้จะเร่งรัดก้องขนาดนั้น พี่ก็แค่อยากให้ก้องรู้ว่าพี่จริงใจ อย่าทำลายความตั้งใจของพี่เลยนะ” คำพูดของพี่นิคทำให้ผมต้องนิ่งงัน ผมไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาเลี่ยงได้อีก ถึงวันนี้ผมเชื่อสนิทใจแล้วว่าคนตรงหน้าจริงใจกับผมมากแค่ไหน แต่สำหรับเรื่องแหวน..

รู้ตัวอีกทีแหวนทองคำขาวสีนวลละเอียดก็ถูกสวมเข้าไว้กับนิ้วนางของผมแล้ว ผมอึกอักทำตัวไม่ถูก อยากจะถอดมันคืนให้กับเจ้าของ แต่พอเห็นสีหน้าอ้อนวอนของพี่นิคแล้วก็ทำไม่ลง

“พี่ตั้งใจเอามาให้ก้องนะ อย่าทำให้พี่เสียความตั้งใจสิ..นะครับ” แล้วผมจะพูดยังไงได้ ผมได้แต่แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ขอบคุณนะครับพี่นิค ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง

“ขอบคุณนะครับ”

ทำไมนะ กับคนที่ดีกับผมขนาดนี้แต่ทำไมผมถึงต้องรู้สึกกลัวกับการตัดสินใจนั้นด้วย ในเมื่อพี่นิคช่างแสนดี อบอุ่น อ่อนโยน เค้าไม่เคยแม้แต่จะทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม ที่ผ่านมาพี่นิคเคยแต่จะทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น รู้สึกสบายใจ ปลอดภัย และปล่อยวาง เค้าเหมือนคนที่เข้ามาช่วยโอบอุ้มอารมณ์ที่เลวร้ายของผมให้มันหมุนกลับไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผมไม่เคยต้องมานั่งหนักใจ หรือต้องมานั่งคิดมากในเรื่องของพี่นิคเลยซักครั้ง หรือสิ่งเหล่านั้นมันจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้ใส่ใจ ก็เลยไม่เคยเก็บเอาเรื่องของพี่นิคมาคิด ไม่เหมือนกับ..อีกคน ที่ผมมักจะเผลอเอาเรื่องของเค้าเข้ามาใส่หัวจนปวดสมอง และบางครั้งมันก็แย่กว่านั้นตรงที่มันลามไปปวดที่..หัวใจ
เลิกคิดซะ..ก้องบดินทร์ ถ้าอยู่กับพี่นิคแล้วทำให้ไม่ต้องมีเรื่องมาคิดให้ปวดหัวก็ดีแล้วนี่ ถ้าอยู่กับพี่นิคแล้วทำให้ไม่ต้องมาคอยนั่งกังวลในเรื่องนั้นเรื่องนี้ของพี่เค้ามันก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่รึไง นั่นแสดงว่าพี่เค้าทำให้เราสบายใจ ให้เราไม่คิดมากต่างหาก ซึ่งมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอก้อง คนที่ดีขนาดนี้มาอยู่ตรงหน้า แล้วเราก็ได้ตัดสินใจลงไปแล้ว ยังจะมัวมากังวลอะไรอีก..

ในที่สุดผมก็เลิกคิดได้ แต่นั่นไม่ใช่เพราะผมสามารถทำใจให้สมองมันปลอดโปร่งได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าตอนนี้ผมมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพักแล้วต่างหาก ผมไขกุญแจเข้าไปพร้อมกับถอนหายใจเมื่อพบกับความว่างเปล่า แปลกจัง..ในเมื่อผมเองไม่ใช่หรือที่เรียกร้องที่จะออกมาจากคอนโดนรกนั่นตลอดเวลา ผมเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนร้องขอกับผู้ชายคนนั้นแทบทุกวัน ว่าให้ปล่อยผมไป... แต่พอมาวันนี้ วันที่ผมได้โอกาสนั้นแล้ว โอกาสที่ผมจะได้มาอยู่ในห้องนี้ ได้มาอยู่ในที่ๆจะไม่มีเค้า ไม่มีคนนิสัยไม่ดีมาคอยทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดและหัวเสีย ผมควรจะดีใจถึงจะถูก แต่ทำไมตอนนี้ผมกลับรู้สึกแปลกๆ

ผมนั่งกอดเข่าขดอยู่ที่พื้นข้างๆเตียงนอน ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นร้าวมาถึงที่อกซ้ายของผมอีกครั้งเมื่อความเงียบมาเยือนเหมือนเพื่อจะตอกย้ำว่าตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องพักเพียงลำพัง...

ทำไมมันถึงเหงาได้ขนาดนี้นะ..

ผมกระชับอ้อมกอดตัวเองแน่นด้วยความรู้สึกหนาว หนาวที่ตรงนี้ ตรงที่หัวใจ..

‘คุณจะทำอะไรน่ะ!’

‘ก็จะเตือนความจำของคุณไง.......ว่าเราเป็นอะไรกัน’ ฉับพลันภาพความทรงจำอันเลวร้ายที่สุดในชีวิตก็ปรากฏขึ้นในหัว ผมก้มหน้าลงกับหัวเข่าแน่นราวกับว่ามันจะช่วยทำให้ผมลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นลงได้…

สัญชาตญาณของการเอาตัวรอดถูกใช้เป็นครั้งแรก ผมพยายามลุกหนีจากเตียงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่ทันเมื่อเค้าคว้าเอวของผมเอาไว้แล้วจับผมกดลงไปนอนกับเตียงพร้อมกับมือที่ถูกพันธนาการติดไว้ที่พื้นฟูก ผมรู้สึกถึงสัญญาณอันตรายที่กำลังถาโถมเข้ามา ความรู้สึกกลัวเข้ามาแทนที่ทุกสรรพสิ่ง และแล้วสิ่งที่ผมกลัวก็ปรากฎเป็นภาพเมื่อเค้าทับลงบนตัวผมแล้วใช้กำลังเข้ารุกรานจนผมตั้งตัวไม่ทัน เสียงในลำคอของผมพยายามร้องเรียกให้เค้าหยุดการกระทำอันเลวร้ายนั้น แต่มันก็ไม่มีประโยชน์เมื่อดูแล้วอารมณ์โกรธของเค้ากำลังถูกจุดจนมันรุ่มร้อนดังไฟลูกใหญ่ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า

หยุดนะ..ผมบอกกับตัวเองให้หยุดนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อหลายชั่วโมงก่อนนั้นไปซะ เพราะมันยิ่งทำให้หัวใจของผมมันเจ็บจนชาจนยากที่จะทนไหว ผมมุดหน้าลงไปซุกกับหัวเข่าแน่น น้ำตาหยดแรกในสองสามชั่วโมงมานี้ไหลรินออกมารดที่แก้มของผมอีกครั้ง ผมเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นสะอื้น พอแล้ว..ผมไม่อยากจะร้องไห้เพราะเค้าอีกแล้ว..

ผมเริ่มเห็นทางรอดเมื่ออยู่ๆแรงกดที่ข้อมือของผมก็เบาลง ผมตัดสินใจรวบรวมกำลังทั้งหมดผลักเค้าออกจนในที่สุดผมก็ทำได้ เค้ากระเด็นออกไปจากตัวผม ผมมองไปที่ประตูห้องและหวังว่าขาของผมมันจะสามารถพาผมวิ่งออกไปถึงตรงนั้นได้ ทว่าผมที่กำลังจะวิ่งลงจากเตียงก็ต้องล้มลงเมื่อเค้าฉุดข้อเท้าของผมแล้วดึงอย่างแรงจนตัวผมไถลไปอยู่ไต้ร่างของเค้าอีกครั้ง หัวใจของผมหล่นวูบเมื่อสัณชาตญาณกำลังจะบอกผมว่าผมต้องไม่รอดแน่ๆ เค้าถอดเสื้อผ้าของผมออกอย่างไม่ใยดีว่าผมจะเจ็บแค่ไหน ข้อมือของผมถูกเสื้อของตัวเองมัดติดไว้กับหัวเตียง ความรู้สึกเจ็บที่ข้อมือแล่นขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว ผมร้องให้เค้าหยุดแต่เค้ากลับไม่ได้สนใจคำร้องขอของผมเลย เค้ารุกรานผมอย่างรุนแรงจนผมรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว ผมกลัว..ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น สิ่งที่เค้ากำลังทำอยู่มันทำให้ผมกลัว ยิ่งไปกว่านั้นมันกำลังทำให้หัวใจของผมเจ็บปวดเจียนตาย เหลือก็แค่ย้ำให้แผลมันลึกลง ลึกลง และสุดท้ายก็คงจะแตกสลายลงไปในอีกไม่ช้า..
นี่หรือ คนที่พร่ำบอกกับผมทุกวันว่ารัก นี่หรือคนที่ร้องขอให้ผมลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ นี่หรือคือคนที่สัญญากับผมเอาไว้ว่าจะไม่ทำให้ผมต้องเสียใจอีก นี่หรือคนที่บอกว่าจะทำให้ผมมีแต่ความสุข และนี่หรือ คือคนที่ผม..รัก เค้าทำกับผมแบบนี้หรือ..
คำถามต่างๆที่รุมเร้าเข้ามายังสมองทำให้หัวใจของผมรู้สึกเจ็บปวด ผมเริ่มหยุดขัดขืนเพราะร่างกายหมดหนทางที่จะต้านทานกับความเจ็บได้ ทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามากำลังทำให้ผมหมดแรง แต่ที่เจ็บไปกว่านั้นคือ..หัวใจ.. ในที่สุดน้ำตาหยดแรกของวันก็ไหลออกมาจนได้ ตัวของผมเริ่มสั่นด้วยอาการสะอื้นที่ยากเกินจะกลั้นเอาไว้ ผมได้แต่ปล่อยให้เค้ารุกล้ำตามความต้องการโดยที่ผมไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย นี่คือร่างกายของผม แต่ผมกลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่ที่จะหวงแหน นี่คือร่างกายของผม แต่ผมกลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปกป้อง ผมผิดอะไร...

ฮึก!
เข่าของผมเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ยังคงพากันไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทำไมผมถึงไม่ลืมเรื่องนั้นไปซักที..ผมกระชับอ้อมกอดของตัวเองแน่นขึ้นไปอีกแต่แล้วรอยแดงที่คอมือของผมมันก็สร้างความเจ็บปวดจนยากที่จะกลั้นน้ำตาระลอกใหญ่เอาไว้ได้ ผมเอาฝ่ามือตัวเองถูไถไปที่แขนและเนื้อตัวแรงๆเพื่อหวังจะลบร่องรอยแห่งความเจ็บปวดที่ฝังอยู่แทบจะถ้วนทั่วร่างกาย ผมกำต้นแขนของตัวเองเอาไว้เมื่อพบว่ามันมีรอยช้ำเป็นรูปมือ มือที่เค้าบีบอย่างแรงจนทำให้ผมเจ็บไปทั้งหัวใจ ผมได้ยินเพียงเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองที่ดังระงมอยู่ในห้องที่เงียบเหงา สภาพผมในตอนนี้คงจะดูน่าสมเพชไม่ต่างจากหมาข้างถนนที่ใครนึกอยากจะขว้าง จะปาข้าวของ หรือจะทำอะไรกับมันก็ได้ เค้าทำเหมือนผมไม่มีค่า..

“คุณผิดสัญญา”

“คุณทำแบบนี้กับผมได้ยังไง..”

เสียงสั่นๆที่ออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้น คำถามที่ผมอยากรู้ แต่คงจะไม่มีวันได้คำตอบ ผมรำพันออกมาก็เพียงเพื่อจะตอกย้ำให้ตัวเองได้รู้และจำถึงสิ่งที่เค้าได้ทำเอาไว้ จะได้เอาไว้คอยเตือนตัวเองว่าอย่าได้เผลอเอาหัวใจไปให้คนใจร้ายคนนั้นอีกเป็นอันขาด..

เสียงข้อความจากพี่นิคทำให้ผมรู้สึกตัวและเงยหน้าขึ้นจากเข่าที่เปียกโชกไปด้วยน้ำตา บรรยากาศรอบห้องที่มืดแทบจะสนิทถ้าไม่ได้แสงจากนอกหน้าต่างช่วยทำให้ผมรู้ว่าคงจะค่ำแล้ว ผมมองไปที่นาฬิกาในโทรศัพท์มือถือที่บอกเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ นี่ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าเพราะอะไร ข้อความขอให้หลับฝันดีของพี่นิคถึงไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย หรือนั่นอาจะเป็นเพราะนี่คือเรื่องปกติของพี่นิคอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนจะถึงวันนี้..วันที่ผมตัดสินใจตกลงคบกับเค้าเสียอีก ผมลุกขึ้นไปเปิดไฟก่อนจะพาตัวเองไปอาบน้ำแล้วล้มลงนอนที่เตียงด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้ทั้งวันผมเจอเรื่องราวมามากมาย ทั้งเรื่องที่น่าจำ และเรื่องที่ควรจะลืม..
ผมนอนพลิกไปพลิกมาอยู่นาน อาการนอนไม่หลับของผมเริ่มกลายมาเป็นโรคประจำตัวผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า เตียงที่มีผมนอนอยู่คนเดียว มันกว้างเกินไป...

ความรู้สึกบางอย่างที่ใครหลายๆคนพากันเรียกว่าเหงา เข้ามาแทรกแซงในหัวใจของผมอีกครั้ง ความรู้สึกชื้นแฉะที่ปลายตาเกิดขึ้นพร้อมกับหยดน้ำบางๆที่ไหลร่วงลงมาเป็นรอยยาวลงมาที่แก้ม ผมใช้มืดปาดมันออกและพยายามควบคุมไม่ให้ของเหลวเหล่านั้นไหลออกมาได้อีก แต่ทว่ามันกลับช่างยากเย็นเหลือเกิน ทำไมนะ..ทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้..ผมรู้ว่าตอนนี้หัวใจของผมมันกำลังบอกกับตัวเองว่าอะไร ผมรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นผมถึงต้องมานอนร้องไห้อยู่แบบนี้ และผมพยายามข่มความรู้สึกแบบนั้นเอาไว้เพราะรู้ดีว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่ควรจะเกิด

“ผมคิดถึงคุณ..”

อีกครั้งกับหยดน้ำที่ระรินลงมาที่แก้มของผมแล้วไหลลงไปถึงหมอนจนมันเปียกชุ่มไปหมด ผมจะทำยังไง ผมควรจะจัดการกับความรู้สึกดีนี้ยังไงดี...

‘ในเมื่อเรารู้ว่าในน้ำมีปลาฉลาม เรายังจะอยากลงไปว่ายเล่นอีกเหรอก้อง..’

‘ไม่รู้ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อเราเองก็รู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้เราต้องเจ็บปวด...แล้วมันจะมีเหตุผลอะไร ที่เราจะต้องเข้าไปยุ่งกับมันด้วย สู้พยายามให้เราอยู่ห่างจากต้นเหตุของความเสียใจนั้นไม่ดีกว่าเหรอ ก้องเข้าใจที่พูดใช่มั้ย’

พี่นิคพูดถูก ผมพยายามท่องประโยคเหล่านั้นเอาไว้ในใจ หวังจะให้มันช่วยเตือนตัวเองว่าอย่าได้คิดจะกลับเข้าไปในวังวนของความทุกข์ทรมานนั้นอีก แต่ว่าพี่นิคจะรู้บ้างมั้ย สำหรับผมแล้ว...พีรวิชญ์ไม่ใช่ปลาฉลาม แต่เค้าเป็นน้ำทะเล ทะเลที่มีแต่คลื่นลมแรงที่คอยจะพัดพาให้หัวใจของใครบางคนถูกซัดเสียจนกระเด็นกระดอน กว่าจะรู้ตัวอีกทีหัวใจดวงนั้นก็ถูกซัดไปอยู่ที่กลางทะเลเสียแล้ว จากนั้นทะเลก็จะคงความเงียบสงบ และปล่อยให้หัวใจดวงนั้นลอยเคว้งอย่างโดดเดี่ยว และเมื่อหัวใจดวงนั้นรู้ตัวว่าตัวเองถูกซัดสาดออกมา จะหาทางกลับเข้าฝั่งก็ทำไม่ได้...หัวใจมองไปรอบๆเห็นแต่เพียงความเงียบและความสว่างที่น้อยลงๆของท้องฟ้า หัวใจร้องเรียกหวังจะให้มีใครมาพบและช่วยเหลือแต่ก็กลับไม่มีสิ่งใดตอบรับคำขอจากเค้า คลื่นลมที่กระเพื่อมน้อยๆทำให้หัวใจตั้งสติได้ เค้าหวังว่าคืนนี้ทะเลอาจจะใจดี ช่วยพาเค้ากลับเข้าฝั่ง หัวใจเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ทว่าพอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า กลับพบว่าตัวเองยังอยู่ที่เดิม กลางทะเลที่เวิ้งว้างว่างเปล่า และตอนนี้..หัวใจดวงนั้นก็กำลังร้องไห้..

ผมปาดน้ำตาที่ไหลดิ่งลงมาเปื้อนแก้มอีกครั้ง คำพูดของพี่นิคที่เหมือนจะช่วยเตือนใจตัวเองได้ดี แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินในความเป็นจริง ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องทำให้ตัวเองเจ็บปวด...แต่ถ้าทุกคนคิดแล้วทำมันได้ง่ายขนาดนั้น คำว่าเสียใจก็คงจะไม่ถูกบันหยัดเอาไว้ในพจนานุกรม เพราะถ้าเราทำได้ เราก็จะสามารถพาตัวเองหลีกเลี่ยงกับความเสียใจเหล่านั้นได้เช่นกัน คงจะไม่มีใครได้รู้จักคำว่าเสียใจแน่ๆ แต่นั่นเป็นเพราะว่ามันไม่ง่ายแบบนั้นไง ..ผมถึงได้มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้..

ผมกำลังหยุดยืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ห้องสี่เหลี่ยมที่กำลังพาผมขึ้นไปถึงในที่ๆผมต้องการจะไป ไม่นานนักประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออก ผมก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ.. ผมไม่รู้ว่าผมมีเหตุผลอะไรถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ผมรู้แต่เพียงว่า..ผมอยากมาเห็นเค้าทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผมจะกล้าเคาะประตูแล้วเข้าไปหาเค้าในห้องรึเปล่า แต่ยังไงซะตอนนี้ผมก็มาถึงแล้ว..

เสียงหัวเราะต่อกระซิกอย่างอารมณ์ดีของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดังแว่วๆมาจากข้างหลังทำให้ผมกวาดตามองที่ที่จะสามารถพาตัวเองเข้าไปหลบได้ ผมรีบวิ่งไปแอบอยู่ที่มุมกำแพงที่เลยห้องของพีออกไปอีก ทำไมผมจะจำเสียงนั้นไม่ได้ เสียงของผู้หญิงที่กำลังหัวเราะอย่างร่าเริงค่อยๆเพิ่มความดังมากขึ้นเมื่อเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้ทุกที ไอรินที่เดินขนาบข้างผู้ชายอีกคนอยู่ไม่ห่าง แขนของเธอเกาะเกี่ยวกับแขนของเค้าเอาไว้ราวกับกลัวว่าเค้าจะหายไปไหนซะอย่างนั้น ท่าทีแนบชิดสนิทสนมที่ใครๆดูแล้วก็คงคิดเหมือนกันหมดว่าเค้าทั้งสองคนคือคู่รัก สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกกลัว กลัวว่าสิ่งที่ผมคิดจะเป็นจริง สุดท้าย...มีดแหลมคมที่ถูกเตรียมเอาไว้ก็พุ่งเข้ามาทิ่มแทงหัวใจของผมเสียจนชาหนึบ เมื่อทั้งสองคนหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องๆนั้นด้วยกัน ผู้ชายคนนั้นก็ล้วงกุญแจห้องออกจากระเป๋ากางเกงแล้วสอดใส่เข้าไปที่ลูกบิดประตู เป็นการยืนยันความกลัวของผมว่ามันได้เกิดขึ้นจริงๆ เค้ากำลังจะเข้าห้องไปด้วยกัน..ผมกำลังจะหันหลังก้าวออกไปที่ลิฟต์อีกฝั่ง ทว่าภาพบางอย่างก็หยุดขาของผมเอาไว้ ไอรินแตะข้อมือที่กำลังจะไขกุญแจของพีรวิชญ์ และจับให้ตัวเค้าหันหน้าเข้าหา หญิงสาวใช้นิ้วมือดันจนหลังของพีร่นไปติดกับกระตู เธอยกมือขึ้นโอบรอบคอ แล้วออกแรงโน้มเค้าให้ลงมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ภาพตรงหน้าทำให้ผมทนที่จะดูต่อไปอีกไม่ไหว ผมหันหลังแล้วพาตัวเองวิ่งไปที่ลิฟต์ที่อยู่อีกฝั่งของคอนโด ประตูลิฟต์ปิดลงแล้ว พร้อมๆกับผมที่กำลังนิ่งงันและเหม่อมองออกไปอย่างเลื่อนลอย ผมกำลังอึ้งกับเหตุการณ์ที่ผมเห็นเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา รู้ตัวอีกทีหลังของผมก็เย็นวูบกับสัมผัสที่ผนังลิฟต์ หยาดน้ำใสๆที่คลอออกมาทำให้ตาของผมพร่ามัว และสุดท้ายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจของผมทั้งหมดทั้งมวลก็ถูกปล่อยออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ผมเอียงหน้าเบียดกับผนังลิฟต์เพื่อกลบเกลื่อนเสียงสะอื้นของตัวเอง น้ำตาที่ไหลออกมากำลังทำให้ผมยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ครั้งที่เท่าไหร่ของวันที่ผมร้องไห้....ผมมันผิดเอง ที่ดันคิดถึงคุณแล้วมาที่นี่ ทำให้ผมต้องเห็นภาพที่ผมไม่อยากจะเห็น ผมมันผิดเองที่ห้ามความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ทั้งที่พี่นิคก็เตือนแล้วแต่ผมก็ยังมา..ผมมันผิดเอง..ที่เจ็บเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำเสียที”

“อ้าวน้องก้อง มาได้ไงคะเนี่ย” พี่ตุ่มถามผมพร้อมๆกับเลื่อนรั้วบ้านเปิดให้ผมได้เข้าไป ผมส่งยิ้มออกไปให้กับคนตรงหน้า พี่ตุ่มมองชะเง้อไปข้างหลังของผมเพื่อจะหาใครซักคน แต่เมื่อพบว่าผมมาคนเดียวก็ยิ่งทำสีหน้างุนงงเข้าไปใหญ่

“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอคะน้องก้อง” ผมชะงักไปกับคำถามนั้น แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

“เปล่านี่ครับพี่ตุ่ม ก้องแค่คิดถึงแม่น่ะ นี่ก็บ้านก้องนะ ก้องจะกลับมาหาแม่บ้างไม่ได้เลยรึไง” ผมทำสีหน้าเง้างอดอย่างที่คิดว่าน่ารักเหมือนเคยๆ ไม่อยากให้ใครต้องรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ ไม่อยากให้ใครรู้ถึงปัญหาของผมกับพี พี่ตุ่มหรี่ตามองผมด้วยท่าทีจับสังเกต หรือจริงๆท่าทางแบบนี้ของพี่ตุ่มดูจะเหมือนคนที่กำลังพยายามจะจับผิดกันเสียมากกว่า ผมยิ้มตาหยีกลับไป ผมว่าผมรีบอ้อนให้พี่ตุ่มเข้าบ้านก่อนดีกว่า ปล่อยไว้อย่างนี้ผมต้องถูกชายหัวใจสาวที่แสนจะฉลาดคนนี้จับพิรุธได้แน่ๆเลย อย่างที่ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิด ทันทีที่แม่เจอผม แม่ก็ถามถึงพีทันที ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าผู้ชายคนนั้นมาโปรยเสน่ห์อิท่าไหน ครอบครัวของผมถึงได้รักนักรักหนาขนาดนี้ แม่นะแม่ แทนที่จะถามลูกชายก่อนว่าเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย แต่กลับถามถึงลูก..เอ่อ..กลับถามถึงแต่นายพีรวิชญ์

ตอนนี้ทุกคนเข้านอนหมดแล้ว จริงๆผมเองก็เข้านอนไปแล้วเหมือนกัน แต่เรื่องหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันทำให้ผมต้องนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนานนับเป็นชั่วโมง จนสุดท้าย..ผมก็ต้องลุกออกจากที่นอน ลงมานั่งที่ศาลาหน้าบ้านอยู่คนเดียว..พระจันทร์เต็มดวงที่ลอยเคว้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนท้องฟ้าสีเข้มนั้น หลายๆคนที่กำลังมีความสุขคงจะต้องมองว่ามันสวยงามมากแน่ๆ แต่ทำไมนะ..ทำไมตอนนี้ผมถึงรู้สึกว่ามันน่าสงสารเสียเหลือเกิน อาจเป็นเพราะบรรยากาศแห่งสีสันในกรุงเทพทำให้บดเบียนการมาเยือนของดวงดาวที่จะได้อยู่เคียงข้างพระจันทร์ พระจันทร์ในมุมมองของผม มันก็เลยดูอ้างว้างและหงอยเหงาเหมือนในตอนนี้...ผมรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่จะทำให้น้ำตาของผมเริ่มคลอหน่วย เหนื่อย..เหนื่อยเหลือเกิน..แล้วนับจากนี้ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี..

“น้องก้อง” เสียงแหบห้าวที่ดูตุ้งติ้งทำให้ผมคืนสติ พี่ตุ่มถือแก้วน้ำลงมานั่งข้างๆผม

“พี่ตื่นลงมากินน้ำ เห็นเรานั่งอยู่คนเดียว เป็นอะไรไปอีกล่ะ นอนไม่หลับล่ะสิ”

“เอ่อ..เปล่าครับพี่ตุ่ม ก้องแค่..ยังไม่ง่วงน่ะ”

“นั่นแล่ะเค้าเรียกว่านอนไม่หลับ พี่ก็เคยบอกน้องก้องไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่ามีอะไรก็ต้องหันหน้าคุยกันดีๆสิ หนีหลับมาหลบอยู่ที่บ้านแบบนี้ จะเข้าใจกันได้ยังไง”

“เอ่อ..ก้องไม่ได้มีปัญหากับพีซะหน่อยครับ ก้องบอกแล้วไงที่ก้องกลับบ้านก็เพราะว่าก้องคิดถึงแม่ แล้วก็คิดถึงพี่เจ๋ง คิดถึงพี่ตุ่มด้วยนะ” ท้ายเสียงของผมเต็มไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน หวังจะช่วยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปได้

“ไม่ต้องมาทำเป็นอ้อนเลยนะ ทำไมพี่จะไม่รู้ นิสัยเราน่ะ พี่แค่เห็นตอนเรายืนอยู่หน้ารั้วก็รู้แล้วล่ะค่ะว่ากำลังมีเรื่องไม่สบายใจ”

“ไม่มีอะไรจริงๆครับพี่ตุ่ม ก้องแค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยแค่นั้นเอง จริงๆนะ ”

“จริงเหรอคะ”

พี่ตุ่มยังคงหรี่สายตามองอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่สุดท้ายพี่สาวที่แสนจะน่ารักของผมก็เลิกซักไซร้ พี่ตุ่มเดินไปหยิบยาพร้อมกับน้ำเปล่าส่งให้ก่อนจะไล่ให้ผมขึ้นไปนอน เพื่อไม่ให้พี่ตุ่มที่เหมือนจะเชื่อเกิดสงสัยขึ้นมาอีก ผมจึงต้องทำตามอย่างว่าง่าย

แสงแดดอ่อนๆที่หลุดลอดออกมาจากผ้าม่านผืนบางทำให้ผมรับรู้ถึงการมาเยือนของรุ่งอรุณ ผมหยิบนาฬิกาที่หัวเตียงขึ้นมาดู แย่จัง..เก้าโมงแล้ว ผมไม่เคยตื่นสายขนาดนี้เลย คงเป็นเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็คงปาเข้าไปเกือบเช้า ผมรีบลุกขึ้นทำธุระส่วนตัวแล้วลงไปข้างล่าง

แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องชะงักเท้าค้างเอาไว้อยู่ที่บันได ผู้ชายที่นั่งหันหลังมาทางผม เค้ากำลังคุยกับแม่ พี่ตุ่ม และพี่เจ๋งอย่างสนุกสนาน ทำไมผมจะจำไม่ได้ว่าเค้าเป็นใคร แค่เห็นข้างหลังเค้าผมก็รู้แล้ว ผมรีบหมุนตัวกลับแต่แล้วก็ต้องหยุดเท้าเมื่อแม่เรียกผมเอาไว้

“ตื่นแล้วเหรอก้อง”

“ครับแม่” แล้วผมก็ต้องเดินลงไปเผชิญหน้ากับเค้าจนได้

ผมเลือกที่นั่งที่จะให้ห่างจากเค้ามากที่สุด ตอนนี้แค่ผมเห็นหน้าเค้าผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆแล้ว ภาพเหตุการณ์ที่ระยองเมื่อวานย้อนขึ้นมาในหัวจนผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเค้า

“เดี๋ยวก้องมานะครับแม่” ผมรีบทำตามอย่างที่ใจคิดก่อนที่มันจะรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้ ประตูห้องน้ำถูกปิดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับแผ่นหลังของผมที่พิงมันเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อคลายความตึงเครียด เค้าจะมาทำไม..เค้าจะมาทำไม..

ผมหลบอยู่ในนั้นอยู่พักใหญ่ ทว่าพอผมเปิดประตูออกมาก็เบิกตาโตด้วยความตกใจ พีรวิชญ์ที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ ดันผมให้เข้าไปข้างในอีกครั้งพร้อมกับหันไปกดล็อคที่ประตู

“ทำอะไรของคุณ ผมจะออก” ผมเบี่ยงตัวเอื้อมมือไปจับที่ลูกบิด แต่แล้วเค้าก็เข้ามาดันให้หลังของผมชิดกับกำแพง ผมรีบหันตัวหนีแต่แล้วเค้าก็ยกแขนขึ้นยันที่ผนังขวางผมเอาไว้ และเมื่อผมหันไปอีกข้างเค้าก็เอาแขนอีกข้างขึ้นมากั้นเอาไว้เหมือนกัน

“ออกไปนะ” ผมตวาดใส่เค้าเสียงดัง ผมอยากทำให้เค้ารู้ว่าผมไม่มีอารมณ์จะมาให้คุณล้อเล่นได้ ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดที่เค้าคิดจะทำอะไรกับผมก็ได้

“ฟังกันก่อนได้มั้ย”

“ไม่ฟัง ผมบอกให้คุณออกไปอยู่ห่างๆจากตัวผมเดี๋ยวนี้” พีรวิชญ์เชิดหน้าขึ้นถอนหายใจแรงๆออกมา

“เรื่องเมื่อวาน ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะก้อง” สีหน้าวิงวอนและแววตาสำนึกผิดทำให้ผมเกือบจะเชื่อ แต่ทว่าเรื่องเหล่านั้นมันก็ทำให้ผมเจ็บจนเกินกว่าจะให้อภัยได้

“คุณบอกว่าคุณไม่ตั้งใจ”

“ใช่ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“คุณไม่ได้ตั้งใจ แต่คุณรู้มั้ยว่าผมรู้สึกยังไง” ผมเริ่มหมดความอดทน สายตาของผมเริ่มพร่าเลือนเมื่อมีน้ำใสๆออกมาคลออยู่ที่เบ้าตา

“ออกไปนะ ผมไม่อยากฟังคุณพูดแล้ว” ผมดิ้นสุดชีวิตเพื่อจะพาให้ตัวเองออกจากการกั้นขวางของเค้าได้ แต่เค้าก็กลับเข้ามารวบเอวของผมเอาไว้จนตัวผมเข้าไปแนบชิด ผมออกแรงดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมกอดนั่นแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายน้ำตาที่คลออยู่แล้วก็พากันไหลออกมาระรินอยู่ที่แก้ม

“ร้องไห้ทำไม” เค้าใช้ปลายนิ้วมือเช็ดน้ำตาให้ผม ผมสะบัดหน้าหนีออกจากมือหยาบกร้านนั่น

“เรากลับมาดีกันเหมือนเดิมนะก้อง นะ..ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจอีก ผมสัญญา”

“สัญญา สัญญาแล้วก็จะเป็นเหมือนเมื่อวานอีกรึเปล่า สัญญาแล้วก็ทำไม่ได้ ผมไม่อยากฟังคำสัญญาพร่ำเพรื่อของคุณหรอก”

ผมออกแรงดิ้นอีกครั้ง มือทั้งสองข้างของผมทุบซ้ำๆเข้าไปที่ตัวเค้าอย่างแรง คราวนี้เค้าคว้ามือของผมเอาไว้

“หยุดดิ้นซะทีเถอะก้อง คุณจะทำยังไงผมก็ไม่ปล่อยคุณหรอก ถ้าเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”

“คุณนั่นแหละที่ทำให้คุยไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจที่ผมพูดหรือไง ว่าให้ปล่อยผมเดี๋ยวนี้ ผมไม่อยากฟังคุณพูดแล้ว”

“ผมไม่ปล่อย”

“ปล่อย”

“ไม่ปล่อย”

“ถ้าไม่ปล่อยผมจะร้องให้ลั่นบ้านเลย” ผมขู่เค้ากลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง แต่สิ่งทีได้กลับมากลับมาสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเค้า นั่นยิ่งทำให้ผมโมโหมากขึ้นไปอีก ผมออกแรงดิ้นอีกครั้ง คราวนี้เค้ากลับย้ายตัวเองมากอดผมไว้จากด้านหลัง

“คุณพีรวิชญ์!”

“ครับ คุณก้องบดินทร์” ผมโกรธจริงๆนะ แต่ดูเค้าสิ เค้ากลับทำเป็นเรื่องตลก น้ำเสียงที่กวนอารมณ์แบบนั้นทำไมผมจะไม่รู้ว่าตอนนี้เค้ากำลังทำหน้ายังไง

“ผมรักคุณนะก้อง” เสียงแผ่วเบาที่กระซิบอยู่ข้างๆหูทำให้ผมนิ่งสนิท แต่ไม่นานผมก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อรู้สึกได้ถึงไอ่อุ่นที่เกิดขึ้นบริเวณซอกคอ ผมเอี้ยวตัวหนีจมูกที่ฉวยโอกาสซุกไซร้นั่น

“หยุดนะ!”

“หยุดก็ได้ แต่คุณต้อง..เอ๊ะ! นี่แหวนใคร!” เค้าคว้ามือผมขึ้นมา ก่อนจะพลิกให้ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับเค้า

“ของไอ้นิคใช่มั้ย ” พีรวิชญ์ถอดแหวนออกจากนิ้วของผมแล้วจับมันโยนลงไปในชักโครก เสียงน้ำที่ดูดกลืนแหวนลงไปทำให้ผมตะลึงงัน

“คุณทำอะไรของคุณ”

“ก็ทิ้งแหวนไง ทำไม..อยากได้เหรอ ผมจะซื้อให้คุณกี่วงก็ได้นะ” เสียงขุ่นขบฟันพูดออกมา ผมตวาดตอบกลับ

“แต่นั่นมันแหวนของพี่นิค คุณไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนี้นะ!”

พีรวิญช์ดึงตัวผมให้เข้าไปชิดเค้ามากขึ้นไปอีกจนผมรู้สึกอึดอัด

“ทำไม..หวงนักเหรอแหวนของมันเนี่ย”

“ใช่! หวงมาก ของทุกอย่างที่เป็นของพี่นิค ผมหวงหมดแหละ ”

“ก้อง!!” เค้าตวาดใส่ผมเสียงดัง แววตาโมโหของเค้าทำให้ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะจ้องตอบกลับไปด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ก็ทีคุณยังทำอะไรต่อมิอะไรกับผู้หญิงคนนั้นได้เลย แล้วทำไมผมจะมีพี่นิคบ้างไม่ได้ล่ะ เค้านิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง

“ผมจะมารับคุณกลับ”

“ผมไม่กลับ!”ผมรีบตอบทันควัน

“ผมไม่สน ยังไงวันนี้คุณก็ต้องกลับไปกับผม” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร เค้าก็ดึงผมออกจากห้องน้ำตรงไปที่รถแล้ว

“ปล่อยผมนะคุณพี ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นน่ะ !” ผมเหวี่ยงแขนแรงๆหวังจะให้มือของผมหลุดจากพันธนาการที่แน่นหนานั่น ทันทีที่ประตูรถถูกเปิดเค้าก็ดันผมให้ขึ้นไปนั่งบนรถอย่างดาย ผมกระโดดลงด้วยความดื้อดึงแล้วก้าวเท้าวิ่งเข้าไปในบ้านแต่กลับถูกเค้าคว้าเอาไว้ได้ เค้าผลักผมไปที่รถ ความรู้สึกเจ็บร้าวที่แผ่นหลังที่กระแทกกับตัวรถทำให้ผมเผลอเบ้หน้าออกมา แต่แล้วน้ำเสียงดุดันบวกกับแววตาขุ่นเคืองของคนตรงหน้าก็ทำให้ผมลืมความเจ็บเหล่านั้นไปจนหมด

“คุณจะเอายังไงก้อง ผมมารับคุณกลับคุณก็ไม่กลับ!”

“ก็ผมก็บอกแล้วว่าผมไม่อยากกลับ คุณจะมาบังคับผมทำไม”

“เหอะ..อ๋อ..ถ้าเป็นพี่นิคอะไรนั่นคุณคงจะยอมขึ้นรถไปดีๆ ไม่หือไม่อือเลยซักคำใช่มั้ย ” น้ำเสียงดุดันบวกกับสีหน้ายิ้มเยาะเหล่านั้นทำให้หัวใจของผมเจ็บแปลบ เค้ากำลังดูถูกผมอีกแล้ว สำหรับเค้าแล้วผมมันใจง่ายขนาดนั้นเลยรึไง

“ก็อาจจะใช่..เพราะเค้าไม่เคยทำกับผมเหมือนที่คุณทำ เค้าไม่เคยฉุดกระชากลากถูกจนผมเจ็บไปทั้งตัวและหัวใจแบบคุณ เค้าไม่เคยตวาดและใช้น้ำเสียงดูถูกความรู้สึกของผมเหมือนคุณ ” และเค้าก็ไม่เคยเข้าห้องไปกับผู้หญิงอีกคนเหมือนที่คุณทำด้วย ผมได้แต่คิดประโยคสุดท้ายนั่นในใจ ไม่กล้าพูดออกไปให้เค้ารู้ว่าเมื่อวานผมกลับไปที่นั่น..ผมหลบสายตาที่นิ่งงันของเค้า พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาให้คนตรงหน้าได้เห็น

“ก้อง..”

ผมเบี่ยงตัวหลบมือใหญ่ของเค้าที่ยกขึ้นมาใกล้ที่แก้ม ได้โปรด..ได้โปรดอย่าทำให้ผมความรู้สึกของผมต้องถลำลึกลงไปมากกว่านี้เลยจะได้มั้ย..แค่นี้ผมก็เจ็บปวดมากพอแล้ว

“จะกลับกันแล้วเหรอคะน้องพีน้องก้อง” เสียงพี่ตุ่มที่ตะโกนออกมาจากหน้าบ้านช่วยกระชากความรู้สึกน่าอึดอัดระหว่างผมกับเค้าลงไปได้ ผมรีบหันไปปาดน้ำที่ปริ่มอยู่ที่หางตาออก ส่วนเค้าเองก็หันไปยิ้มให้กับกระเทยร่างท้วมเหมือนว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นปรกติ

“เอ่อ..ครับพี่ตุ่ม ยังไงผมกับก้อง..ลาเลยละกันนะครับ เอ่อ..ฝากลาแม่ฟองด้วยนะครับ”

พีรวิชญ์ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมเหมือนที่เคยทำ ผมที่ได้ยินว่าเค้ากำลังพูดมัดมือชกผมก็รีบหันไปถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ

“ใครจะกลับกับคุณ ผมไม่กลับนะ” ผมรีบเบี่ยงตัวจะเดินไปหาพี่ตุ่ม

“โถ่ก้อง” เค้าคว้ามือผมเอาไว้ ผมรีบสะบัดมันออกแต่เค้าก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“เดี๋ยวพี่ตุ่มจะรู้เข้านะ แล้วถ้าพี่ตุ่มเอาไปบอกแม่ด้วยล่ะก็ แม่ต้องไม่สบายใจแน่ๆเลย..” ถ้อยคำที่กระซิบแผ่วๆอยู่ข้างหูทำให้ผมต้องหยุดการดื้อดึงเอาไว้ หันไปมองที่พี่ตุ่มที่กำลังมองมาอย่างสงสัย ผมฝืนยิ้มออกไปเพื่อจะกลบเกลื่อนร่องรอยสงครามระหว่างผมกับนายพีรวิชญ์ เห็นดังนั้น คนข้างๆผมก็รีบเปิดประตูรถแล้วผายมือให้ผมขึ้นไปนั่งบนรถทันที....

ต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก คุณจะทำให้ผมเสียใจอีกรึเปล่า...คุณพีรวิชญ์





Create Date : 22 เมษายน 2554
Last Update : 4 พฤษภาคม 2554 15:12:42 น. 2 comments
Counter : 524 Pageviews.

 
ช่วงนี้อยู่ในโหมด...อยากให้ถึงวันศุกร์เร็วๆ 555
แหะ..แหะ...อาการเหมือนคนติดยา..
ขอบคุณนะจ๊ะ...ว่าที่ ดร.ทางไบโอเค็มฯ ที่ทำให้..อิ๊ป้ามีความสุข
แล้วจะตามมาอ่านอีกนะคะ...


โดย: auntieaui IP: 10.3.59.106, 10.1.5.11, 203.155.29.220 วันที่: 23 เมษายน 2554 เวลา:10:04:16 น.  

 
แอบเข้ามาอ่าน...มีลุ้้นตลอดเวลาเลย..เขียนได้ดีมากน่าติดตามจริงๆ

ขอบคุณสำหรับจินตนาการที่แสนหวาน..ปนเศร้า..เคล้าน้ำตา..

จะตามเป็นกำลังใจให้ตลอดไปนะจ้ะสาวน้อย..


โดย: ไข่มุกดำ IP: 182.232.81.195 วันที่: 29 เมษายน 2554 เวลา:1:34:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biomedical_girl
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นนัก (หัด) เขียน ที่ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเรื่องสั้นเรื่องแรกมาจากความน่ารักของตัวละคร พีรวิชญ์ และ ก้องบดินทร์ จากละครเรื่องพรุ่งนี้ก็รักเธอ โดยปกติจะเป็นนักศึกษาทุนในระดับปริญญาโทสาขาชีวเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ แต่เมื่อไหร่ที่ความเวิ่นเว้อบังเกิดก็จะแปลงร่างจากสาวเนิร์ด เป็นสาววายทันที ^^" นอกจากนี้ยังชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ และมีความใฝ่ฝันว่าสักวันฉันจะได้ออกเทป (หุหุ) บางครั้งในเวลาว่างๆ ก็จะแต่งเพลง แต่งกลอน ออกมาอยู่เสมอ จนบางครั้งคนรอบข้างถึงกับแซวว่าเธอน่าจะไปเรียนอักษรหรือนิเทศมากกว่าชีวโมเลกุลนะ --"
New Comments
Friends' blogs
[Add biomedical_girl's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.