จะสุขหรือทุกข์ ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่นทำ แต่อยู่ที่เราเลือก
Group Blog
 
All blogs
 
เที่ยวปักกิ่ง ปีนกำแพง สักครั้งในชีวิต (Day 3)

17 มิถุนายน 2008

  โปรแกรมหลักของวันนี้ ถือได้ว่า เป็นจุดมุ่งหมายของฉันในการมาเที่ยวปักกิ่งในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ นั่นคือ การไปปีนกำแพงเมืองจีน
  เห็นแต่ในทีวีก็ตั้งหลายครั้ง ล่าสุดก็เพิ่งดูซีรีย์หนังจีนเรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้ แม้จะดูไม่จบก็ตาม ทำให้อยากมาสัมผัส 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก

  กำแพงเมืองจีนนี้ อยู่นอกเมืองปักกิ่งออกไป ประมาณ 60 กิโลเมตร ไกด์หมูบอกว่าจะให้แวะพักเข้าห้องน้ำที่ร้านขายหยก
  บนรถ ระหว่างทางเนื่องจากวันนี้เป็นวันทำงานของคนจีน รถค่อนข้างติด คุณหมูกลัวลูกทัวร์จะเบื่อ ก็เลยพยายามหาเกมส์มาให้เล่นกัน

  เกมส์แรก ให้หาสำนวน สุภาษิตไทย ที่เกี่ยวกับคำว่า น้ำ ออกมา อย่างเช่น น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา เป็นต้น โดยคุณหมูจะเป็นคนเริ่มต้นก่อน ใครนึกออก ก็ให้บอกออกมาเรื่อยๆ
  เกมส์นี้เล่นได้นานทีเดียว ก็จะไม่ให้นานได้ไง ก็เวลาที่ดูเหมือนจะไม่มีใครนึกออก เธอก็เล่นนับจาก 1 ไปจนถึง 10 พอใกล้ๆจะ 10 ก็ไม่ยอมนับ 10 ซะที ฉันก็เล่นเหมือนกัน ไม่ได้อยากสนุกกับเกมส์หรอก เดี๋ยวหาว่าไม่มีส่วนร่วม

  สุดท้าย คนที่ชนะในเกมส์นี้ คือคุณ Thomas จำไม่ได้ล่ะ ว่าสุภาษิตสุดท้ายที่คุณ Thomas บอกคืออะไร
  แต่ก็ยังไม่ถึงร้านค้าหยกซะที คุณหมูเธอเลยงัดเกมส์ที่ 2 ออกมาเล่น
  เกมส์นี้ ให้บอกชื่อจังหวัดของประเทศไทย ที่มีพยัญชนะ “ร” ออกมา
  เท่าที่แต่ละคนบอกออมา ฉันว่า น่าจะมีเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทยเลยละมั้ง
  สุดท้าย ฉันเป็นผู้ชนะเกมส์นี้ ด้วยจังหวัดสระแก้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่า คุณหมูจะไม่รู้ว่า สระแก้วเป็นจังหวัดของประเทศไทยแล้ว

  ไกด์หมูบอกว่า จะมีของรางวัลเล็กๆน้อยๆให้ ก่อนกลับ
  :
  มาถึงร้านค้าหยก จะใช้เวลากันซะเท่าไรกันเนี่ย
  คนขายหยก พอเห็นลูกค้าเข้ามาปุ๊บ ก็พยายามหากำไรหยกที่ดูดีมีราคา (สูง) ให้เอามาลอง เห็นวิธีการใส่หยก แล้วก็พอให้เก็บเกี่ยวเอากลับไปใช้ได้บ้าง

  เคล็ดลับนิดเดียวเท่านั้น เนื่องจากกำไรหยกนั้น ถ้าใส่ให้สวยต้องหากำไรที่ค่อนข้างพอดีกับข้อมือ ไม่ให้ใหญ่เกินไป และคนจีนเชื่อว่า ถ้าใส่กำไรหยกแล้ว จะไม่ถอดอีกเลย เขามีความเชื่อว่า กำไรหยกเป็นเหมือนเครื่องรางของขลัง
  คนขายกำไรหยก จะเอาถุงพลาสติกอันเล็กๆบางมาสวมที่มือของลูกค้าก่อน แล้วถึงจะใส่หยกลงไปที่ข้อมือ เป็นการลดแรงเสียดทานระหว่างมือกับหยก
  อือม.. วิธีง่ายๆแบบนี้ ก็นำมาประยุกต์ใช้ได้แล้วแหะ

  เดินดูไปเรื่อยๆ เห็นมีหยกเอามาทำเป็นที่ห้อยโทรศัพท์รูป ปี่ซิว, หมูตัวเล็กๆ, หัวใจ ฯลฯ ก็เลยดูแล้วน่าจะ ok กว่านะ ซื้อเป็นของที่ระลึกละกัน
  แม่ซื้อตัวหมูไป 2 ตัว ปี่ซิว ไป 3 ตัว ฉันเลือกรูปหมูตัวเล็กๆดูน่ารักดี 1 อัน ทั้งหมด 88 หยวน (ก็ไม่เบานะเนี่ย)

  เฮ้อ กว่าจะออกจากร้านหยกนี้ได้ ใช้เวลาไปนานมากๆๆ โปรแกรมถัดไปจะไปดูพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งของกรุงปักกิ่ง
  ตอนแรกฉันก็นึกว่า คงมีแต่หุ่นขี้ผึ้งที่เป็นคนสำคัญของประเทศจีนมายืนๆเรียงกันให้ดูเหมือนของประเทศไทย ละมั้ง แต่พอเข้าไปดูแล้ว มันไม่ใช่...

  ที่นี่เขาจัดทำเป็นห้อง มีทั้งหมด 26 ห้อง แต่ละห้องจัดเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ สมัยราชวงศ์หมิงกับชิง (ถ้าจำไม่ผิดนะ) เรื่องราวการต่อสู้ การครองราชย์ของกษัตริย์แต่ละองค์ และแน่นอน การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ (เหมือนจะเป็นเรื่องสากลไปซะแล้ว มีทุกยุคทุกสมัย)



  ยอมรับเลยว่า ที่นี่จัดได้ดีมาก ทั้งฉาก องค์ประกอบทุกอย่าง หุ่นขี้ผึ้งที่ทำขึ้นนี้ สัดส่วนดูแล้วใหญ่กว่าตัวคนจริงๆ มีห้องอยู่ห้องหนึ่ง เป็นการจำลองท้องพระโรงในวังหลวง มีเหล่าขุนนางอยู่ 2 ฝั่ง แต่ตรงกลางไม่มีฮ่องเต้ เพราะจะขาย package ถ่ายรูป ให้ผู้ชมสามารถใส่ชุดฉลองพระองค์ ทั้งฮ่องเต้ และ ฮองเฮา แล้วไปนั่งอยู่ตรงกลาง เพื่อนทัวร์ที่ไปถ่ายรูปคราวนี้คือคุณ Thomas เจ้าเดิม แต่พ่อกับแม่ไม่ยอมถ่ายอ่ะ (ตอนหลังมาดูรูปของคุณ Thomas ก็ ok อ่ะค่ะ)

ห้องนี้แหละที่จัดให้นักท่องเที่ยวสวมบทเป็นฮ่องเต้ได้

  ก่อนไปปีนกำแพงเมืองจีน แวะกินข้าวเที่ยงกันก่อน มื้อนี้ ไกด์ฝนค่อนข้างจะออกตัวว่า เป็นอาหารท้องถิ่น รสชาติอาจไม่ค่อยถูกปากนัก แต่ก็ต้องกิน

  ฉันว่า มื้อนี้อาหารอร่อยทีเดียวเลยอ่ะ ไม่ได้แย่อย่างที่บอก (หรืออาจเป็นเพราะ ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะอร่อยมาก่อนก็ได้)
  นั่งรถไปอีกนิดก็เริ่มมองเห็นแล้วล่ะ กำแพงเมืองจีน วันนี้(หรืออาจจะนับได้ว่า ทริปนี้ทั้งทริป) ถือว่า โชคดีในแง่ของ สภาพอากาศ เพราะตลอดการเดินทาง ไม่มีแดด , ฝน, อากาศกำลังพอดี ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป (แต่ก็จะได้รูปไม่ค่อยสวยนัก)

  ไกด์หมูบอกว่า นัดเจอที่รถประมาณบ่าย 3 โมง ฉันก็เริ่มเอาล่ะ จะปีนไปให้ถึงป้อมสูงสุด ไม่แน่ใจว่า ป้อม 6,7
  พ่อกับแม่ ปีนไปได้ป้อมแรก ก็บอกว่า พอล่ะ ฉันเก็บรูปถ่ายบริเวณนี้สักพัก แม่บอกให้ฉันเดินต่อไปเองละกัน

เริ่มต้นเส้นทางกำแพงเมืองจีนกันเลย

  พยายามมองหา เพื่อนทัวร์คนอื่นๆ ดูเหมือนมีครอบครัว 4 คนปีนขึ้นไปแล้ว แต่สักพัก ดูเหมือนกำลังเดินกลับลงมา
  คนอื่นๆไม่เห็นมีใครตามมาเลย แต่ฉันก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ดูกำแพงแต่ละป้อม สูงนะ แต่เดินจริงๆ ก็ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไร

  ภูกระดึงโหดกว่านี้ตั้งเยอะ ยังพิชิตมาได้แล้ว นี่แค่นี้เอง อีกอย่างวันนี้อากาศดี ไม่มีแดดด้วยอ่ะ ปีนไปเรื่อยๆ พอจะเริ่มเหนื่อย ก็เจอป้อมให้พักหายเหนื่อยละ
  นี่ขนาดเราแค่เดินเองนะเนี่ย แล้วคนสมัย 2000 ปีก่อน ต้องทำการสร้างกำแพงพวกนี้ ด้วยแรงงานล้วนๆ จะเหนื่อยยากลำบากขนาดไหนเนี่ย

  ก็คงเป็นอย่างนั้นจริงๆนะซิ เคยได้ยินได้ฟังมาว่า การก่อสร้างกำแพงนี้ มีคนตายไปเป็นจำนวนมาก คนที่ตายก็ถูกฝังศพอยู่ในกำแพงนี้ซะด้วยซิ (อึ๋ยย)
  ป้อมแต่ละป้อมที่เข้าไปสัมผัสนั้น บรรยากาศไม่ชวนเข้าไปเลย ไม่ใช่อะไรหรอก เหม็นกลิ่นฉี่ นะซิ นี่มันเป็นป้อม หรือห้องสุขากันแน่

  ตามแนวกำแพง มีศิลปะทางด้านภาษาเต็มไปหมด แต่ฉันว่า คงเป็นศิลปะสมัยใหม่แน่ๆเลย คนจีนสมัยก่อน คงไม่สลักชื่อคนลงในกำแพงเป็นแน่ อีกทั้งชื่อเหล่านั้นก็เป็นภาษาต่างถิ่นซะเป็นส่วนใหญ่

ศิลปะ(แย่ๆ)บนกำแพง

  พอไปถึงป้อม 3 มีบริการให้ ถ่ายรูปติดบัตรประกาศเกียรติคุณ (certificate) พร้อมบริการพิมพ์ชื่อ และวันที่ที่มาลงในบัตรแข็งขนาดบัตรเครดิต ราคา 20 หยวน
  ก็ดูๆแล้ว ก็ถือว่า ok น่ะ มาปีนกำแพงสักครั้งในชีวิต นอกจากความทรงจำแล้วก็ยังมีของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆแบบนี้เก็บไว้ ก็ยังดี ว่าแล้ว ก็ ok

  ไหนๆ ให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปติดบัตรแล้ว ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยถ่ายรูปจากกล้องของฉันอีกสักรูปสองรูปให้ด้วยละกัน อิอิ (ประมาณว่า ช่วยถ่ายให้ด้วยเถอะ มาเดินเดี่ยวๆเดี๋ยวจะไม่มีรูปไปอวด)

นักท่องเที่ยวจะเอากุญแจมาคล้องไว้ เพื่อให้อยู่ด้วยกันกับคนรักตลอดไป

  เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอ เพื่อนทัวร์ 2 ศรีพี่น้องพยาบาล โอ๋กับเอ๋ อยู่ข้างหน้า กำลังสนุกสนานกับแอ็คชั่นถ่ายรูปกันใหญ่ เลยขอเข้าไปแจมด้วยคน
  ดีจัง ไม่ต้องเดินคนเดียว ตะลุยกันต่อ 3 คน ตลอดทางก็เลยมีเพื่อนช่วยกันผลัดถ่ายรูป แถมต้องช่วยกันคิดท่าถ่ายรูปด้วย...




  ตลอดทางจะพบนักท่องเที่ยว กำลังปีนขึ้นลงไปเรื่อยๆ หลายๆคนก็เป็นชาวตะวันตก อายุอานามก็ไม่น้อย เป็นธรรมชาติของพวกนักท่องเที่ยวละมั้ง ที่ต่างก็พยายามให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ต่าง say hello หน้าตาก็ยิ้มแย้ม คนปีนลงก็ให้กำลังใจคนปีนขึ้น


  ปีนกันเกือบจะถึงป้อมสุดท้ายแล้วอ่ะ จริงๆฉันยังสามารถปีนได้ต่อไปเรื่อยๆ แต่เมื่อมองดูเวลาแล้ว ก็ประมาณบ่าย 3 แล้ว เอ๋กับโอ๋ ก็มาชักชวนปีนลงกันแล้ว เอ้าลงก็ลง
  สรุปแล้ว ก็มีเพียง 3 คนเท่านั้นสำหรับกลุ่มทัวร์นี้ที่ไปได้ไกลสุดแต่ไม่สูงสุด เสียดายเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าจะมาอีกครั้งเมื่อไร มาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้ปีนขึ้นหรือเปล่า


  โปรแกรมถัดไป ไปร้านผ้าไหม (ไม่อยากจะบ่นเลยว่า ที shopping ให้เวลาเยอะซะ ทีฉันจะปีนกำแพงซะหน่อย ให้เวลาซะกะติ๊ด) ร้านผ้าไหมแห่งนี้ ส่วนด้านหน้าของร้านตั้งโชว์เสื้อผ้าของฮ่องเต้ เป็นผ้าไหมสีเหลือง ดูสวยงามสง่ามาก

ชุดผ้าไหมฮ่องเต้

ชุดผ้าไหมฮองเฮา

  คนขายทำการสาธิตวิธีการผลิต เริ่มจากตัวไหมกันเลยทีเดียว ฉันฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะบ้านเราก็มีขายผ้าไหมเหมือนกัน แต่ผ้าไหมที่ผลิตได้ที่นี่ เนื้อผ้าจะนิ่มมาก ไม่เหมือนผ้าไหมบ้านเรา ดูแข็งๆ
คนขายเขาสาธิตการทำผ้าห่มนวมด้วย ซึ่งก็ต้องใช้ไหมจำนวนมาก การขายผ้านวม จะขายเป็นจำนวนกิโล เช่น 2 กิโล, 3 กิโล สาธิต packaging อย่างดี สามารถนำกลับบ้านสบายๆ
  กำลังคาดการณ์อยู่ว่า ที่ร้านนี้ จะมีใครเป็นลูกค้าหรือเปล่า เพราะราคาผ้านวม ผ้าห่ม นี้ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ หมื่นกว่าบาท

  เสร็จจากอาหารเย็น ตอนแรกนึกว่าจะกลับที่พักกันเลย แต่ยังมีโปรแกรมสุดท้ายของวัน คือ การเดิน shopping ตลาดกลางคืนที่หวั่งฝู่จิ่ง เป็นลักษณะคล้ายไนท์บาร์ซาร์ผสมกับสยามเซ็นเตอร์บ้านเราตอนกลางคืน
  ที่นี่เขาให้เวลาไม่นานนัก ประมาณ 1 ชั่วโมง น่าจะแบบเดินเล่นดูบรรยากาศซะมากกว่าการ shopping หลังจากนัดแนะสถานที่นัดพบแล้ว ก็แยกย้ายกันไป

  เห็นบรรยากาศของที่นี่แล้วนึกถึง ตอนไปเดินที่เซินเจิ้นตอนกลางคืน แต่ที่นั่นดูจะเป็นแหล่ง shopping มากกว่าที่นี่ ทั้งจำนวนร้านค้า , นักท่องเที่ยว มากกว่าที่นี่มาก
  เดินเข้าร้านค้าที่ขายของเกี่ยวกับโอลิมปิค ไปถ่ายรูปตัวตุ๊กตา mascot คนขายพูดอะไรบางอย่าง ไม่เข้าใจเหมือนกัน สุดท้ายคงแปลได้ความว่า ไม่ให้ถ่ายรูปละมั้ง

Olympic Mascot

  ไม่ได้ซื้อไรเกี่ยวกับ โอลิมปิค ในคราวนี้เลย เมื่อตอนที่ไปเดินแถวเทียนอันเหมินในวันแรก ก็มีคนมาขายพวงกุญแจ mascot นี้เหมือนกัน แต่ไกด์ฝนแนะให้ซื้อของจริงดีกว่า ของพวกนั้นเป็นของปลอม
  เดินมาเจอซอยเล็กๆซอยหนึ่ง ต้นซอยขายของกิน ท้ายซอยจะขายของที่ระลึก คล้ายแถวจตุจักร แต่ของกินเนี่ยซิ ในที่สุดฉันก็เจอแล้ว ม้าน้ำ, แมงป่องเสียบไม้ทอด

แม่งป่องทอด

พุทราจีน

  ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะมาชิมของแปลกหรอกนะ พอดีหลายสัปดาห์ก่อน เห็นเจ้าเรย์ แม็คโดนัลด์ จากรายการ ซ่าส์ซัมแวร์ มาเที่ยวชิมของแปลกที่เมืองจีน ทั้งตะขาบเอย ม้าน้ำเอย เสียบไม้ทอดแบบนี้แหละ สนนราคาก็ใช่ว่าจะถูกด้วยนะ
  ยืนดูสักพัก พอฉันทำท่าจะถ่ายรูป คนขายก็ทำท่าไม่ให้ถ่าย (อะไรจะเว่อร์ซะขนาดนั้น) ไม่ถ่ายก็ไม่ถ่ายอ่ะ

  เดินดูของที่ระลึกซักพัก ย้อนกลับทางเดิม เห็นมีขนมวางขายหลายอย่างเหมือนกัน อันที่จริงเพิ่งกินข้าวเย็นมา ยังอิ่มอยู่เลย แต่อยากลองทานเล่นๆ มาถึงที่นี่ปักกิ่งแล้ว ยังไม่ได้ลองชิมของพื้นเมืองสักอย่าง
  ดูไปดูมา ไม่รู้จะกินไรดี เห็นมีแป้งกลมๆทอด คล้ายปาท่องโก๋ บ้านเรา 4 ชิ้น 5 หยวน แต่กว่าจะสื่อสารกับคนขายรู้เรื่อง เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน (ภาพตอนไปเซิ่นเจิ้นผุดขึ้นมาทันทีทันใด) เวลากินเขาจะโรยน้ำตาลมาให้ด้วย

  4 ชิ้น กินกัน 3 คนไม่หมดอ่ะ มันจืดๆ ไม่มีรสชาด อีกอย่างยังอิ่มกันด้วย
  ได้เวลากลับกันล่ะ วันนี้เที่ยวจนดึกแหะ กว่าจะเข้าโรงแรมก็ 4 ทุ่มครึ่งแล้วล่ะ



Create Date : 21 สิงหาคม 2551
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 8:34:43 น. 7 comments
Counter : 837 Pageviews.

 
ขอบคุณนะคะที่มาเล่าให้ฟัง พุทรากำลังดูทริปไปจีนอยู่พอดีเลยค่ะ ^ ^


โดย: แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:12:07:39 น.  

 
เราคงไป route เดียวกันค่ะ แต่จุฬาภินันท์เจ็ยสะโพกเลยไม่ได้ขึ้นกำแพง


โดย: Chulapinan วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:17:58:39 น.  

 
ปีนกำแพงเหนื่อยไหมคับ

แล้วแมงป่องอร่อยหรือเป่า

อยากได้ตุ๊กตาโอลิมปิกจัง


โดย: chalawanman วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:23:19:10 น.  

 
แหม คุณ chalawanman ค่ะ เอารูปแมงป่องมาให้ดูเฉยๆค่ะ ไม่ได้ไปชิมซะหน่อย
ปีนกำแพง ปีนไป พักไป ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ หนุกหนานซะมากกว่า
ส่วนตุ๊กตาโอลิมปิก ก็เอารูปมาฝากแล้วไง


โดย: เจ้าของ blog จ้า (susanjoan ) วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:7:36:34 น.  

 
/ กำลังจะแบคแพคไปปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ ขแวะมาสูบข้อมูลนะคะ ^^


โดย: gig IP: 58.9.121.218 วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:17:38:08 น.  

 
อยากไปอีกครับ


โดย: Lucky in Life วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:18:57:35 น.  

 
ตามมาเที่ยวอีกแล้วครับ

อยากไปเดินกำแพงเมืองจีนบ้าง



โดย: จอมยุทธเฮง วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:22:19:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

susanjoan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




    ข่าวท่องเที่ยว

    ข่าวไลฟท์สไตล์

Friends' blogs
[Add susanjoan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.