Group Blog
 
All Blogs
 

ความในใจจากคองตัวหนึ่ง

โฉมงามของฉัน
ขอเก็บเธอเป็นภาพฝันจะได้ไหม
สองมือพร้อมจะปกป้องทุกผองภัย
หนึ่งหัวใจพร้อมเคียงข้างร่วมทางเดิน

ด้วยไม่อาจส่งสารผ่านให้ทราบ
จึงปวดปลาบกับความในให้ขัดเขิน
หวาดผวาถ้ายอดขวัญนั้นหมางเมิน
จะดำเนินชีวิตไปอย่างไรกัน

ผ่านคืนวันอันโดดเดี่ยวแลเปลี่ยวร้าง
อยู่ท่ามกลางความเถื่อนถึกในพฤกษ์นั่น
มีมิตรเพียงเดือนดาว เงาตะวัน
ณ ขอบฟ้าอำพันอันโพ้นไกล

แต่บัดนี้ มีเธอให้เพ้อพก
จะยอมยกทั้งชีวีอีกพลีให้
แม้เราต่าง แม้เราห่าง ใช่ร้างไกล
จะตามไป ณ สุดหล้า แม้นล้าโรย

หลับเถิดนะ ยอดขวัญ
ในอุ้งมือของฉันอันระโหย
ริ้นมิตอม ไรมิไต่ อีกภัยโพย
จะโบกโบยหลีกเร้น...เป็นสัญญา

ท้ายที่สุด แม้มิอาจร่วมเคียงข้าง
แม้ทุกอย่างจะพังภินทร์ สิ้นสังขาร์
โลกจะจารจดจำให้นำพา
ว่ารักข้า แด่เธอนั้น นิรันดร

ฮือๆ เมื่อคืนเพิ่งไปดูพี่คองมาค่ะ หลงรักและสงสารพี่คองจับจิตจับใจเลย (อินไปมั้ยเนี่ยเรา)




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2548    
Last Update : 17 ธันวาคม 2548 23:49:33 น.
Counter : 386 Pageviews.  

ความรักฉันอยู่ที่ไหน

ความรักของฉันอยู่ที่ไหน
อยู่ในสายลมไหวฤาสายหมอกขาว
อยู่ในท้องทุ่งฤาโค้งรุ้งคุ้งดาว
หรือเป็นเพียงร่างเงาอันร้าวราน

ไขว่คว้าเพียงอ้อมอกอุ่นอุ่น
อีกรอยจูบละมุนกรุ่นกลิ่นหวาน
ถ้อยคำรำพันว่ารักกันชั่วกาล
สองมือสอดประสานดังสัญญา

วันเหน็บหนาวยาวนานเช่นนี้
ทุกวินาทีล้วนล้นปรี่ความปวดปร่า
หยาดน้ำใสไหลเอ่อท้นล้นสองตา
กอดเก็บความเหว่ว้าเพียงลำพัง

อยากเป็นคนที่มีความหมาย
มิใช่ฝุ่นผงพลัดพรายไร้ความหวัง
อยากเป็นคนที่มีใครใส่ใจ..ชิงชัง
ดีกว่าไม่เป็นอะไรสักอย่างในสายตาใคร

เผชิญเพียงความโดดเดี่ยว
กอดตัวเองดายเดียวกับความอ่อนไหว
หรือชีวิตถูกลิขิตให้ไม่มีใคร
จึงได้แต่ถามไถ่กับสายลม

เอ่อ ช่วงนี้มันหนาวอ่ะค่ะ ลมหนาวมาเมื่อไรใจฉันคงยิ่งเหงา อะไรประมาณนั้น
ก็เลยเขียนออกมาได้ประมาณนี้




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2548    
Last Update : 12 ธันวาคม 2548 20:37:11 น.
Counter : 274 Pageviews.  

ฝั่งไร้ฝัน (บทที่ 5)

บทที่ 5

ฉัน เดียว และเพื่อนๆต่างมหาวิทยาลัย ต้องมาร่วมประชุมกันเพื่อทำค่ายศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นตั้งแต่นัดคุยงานหมุนเวียนไปตามแต่ละมหาวิทยาลัยสัปดาห์ละครั้ง และจากการพูดคุยแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมแต่ละครั้ง ฉันก็เริ่มมองเห็นเดียวแตกต่างออกไปจากผู้ชายหลายๆคนที่ฉันรู้จักมา เดียวเป็นคนสนุกสนานเฮฮา สามารถมีมุกเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้ตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นคนผ่อนคลายบรรยากาศในการประชุมเลยทีเดียว

แต่ในขณะเดียวกัน เดียวก็มีความคิดเห็นในประเด็นต่างๆที่แหลมคม เวลาที่เดียวนำเสนอความคิดเห็น ไม่มีใครที่จะไม่ให้ความเชื่อถือ ด้วยความที่เดียวเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ติดตามข่าวสารอยู่เสมอ ไม่ว่าจะวิเคราะห์ประเด็นใดก็ตาม เดียวก็ทำได้อย่างน่าทึ่งเสมอ

พักหลังๆ ฉันเริ่มสนิทกับเดียวมากขึ้น เราต้องไปต่างจังหวัดเพื่อสำรวจพื้นที่ทำค่ายด้วยกัน ยิ่งได้ร่วมเดินทางด้วยกัน ฉันก็ยิ่งรู้สึกดีกับเดียวมากกว่าใครๆขึ้นทุกที เดียวคอยดูแลเป็นห่วงเพื่อนๆทุกคนโดยเสมอกัน หากแต่บางครั้ง ฉันกลับรู้สึกหวั่นไหว ฉันได้แต่แอบชื่นชมเดียวอยู่เงียบๆ โดยไม่ปริปากบอกใครๆ เพราะเพื่อนๆที่อยู่ชมรมเดียวกันกับเดียวบอกกับฉันว่า เดียวมีคนพิเศษอยู่แล้วและคบกันมาถึงสี่ปี คงไม่ผิดใช่ไหม ถ้าฉันจะขอเพียงแค่ชื่นชม และเก็บความรู้สึกดีๆที่มันแทบล้นทะลักในใจอยู่เพียงลำพัง

เมื่อผ่านการร่วมงานกันมาสามค่าย ฉันกับเดียวก็ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น ทั้งเพื่อนชมรมของฉันและของเดียวก็กลายมาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ที่เมื่อจะไปเที่ยวที่ไหน เราก็จะไปด้วยกัน ฉันยังจำได้ดี ในทุกๆฉากที่เราได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง นั่งดูทะเลหมอกยามเช้าที่ภูชี้ฟ้า ในท่ามกลางความงดงามและสงบเงียบของธรรมชาติ ทว่าหัวใจของฉันมันกลับเต้นแรงจนฉันกลัวว่าเดียวจะได้ยิน ในยามที่เราเดินเล่นเคียงกันบนชายหาด ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องความฝัน ฉันเองก็เกือบเผลอหลุดปากบอกเดียวไปบ่อยครั้งว่า ฉันฝันว่าจะเป็นคนสำคัญที่อยู่ข้างๆเดียว

นอกจากนั้น โดยที่ฉันก็ไม่รู้ตัวว่าใครเป็นฝ่ายเริ่ม และเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเราสองคนไปแล้ว ทุกๆวัน ฉันกับเดียวจะใช้เวลานานนับชั่วโมงเพื่อโทรหากัน พูดคุยเรื่องราวสัพเพเหระ เพื่อนๆของฉันและของเดียวต่างรับรู้และอยากให้เราสองคนได้คบกัน จนพักหลังๆ ฉันได้ข่าวว่าเดียวเริ่มระหองระแหงกับเธอคนนั้น สาเหตุจะเป็นจากฉันหรือเปล่า ฉันเองก็ไม่แน่ใจ

จนเมื่อวันหนึ่งที่เราคุยโทรศัพท์กันตามปกติ ฉันเองจึงเอ่ยปากบอกเดียวไปว่าฉันชอบเดียว ฉันคงดูเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจเห็นแก่ตัวที่คิดถึงแต่ความสุขของตัวเอง แต่ที่จริงแล้ว ฉันแค่คิดว่าถ้าฉันรักใครมันก็ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไว้เพื่อให้ตัวเองเสียโอกาสดีๆในชีวิตไป แม้คำตอบจะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยฉันก็ได้บอกแล้ว


คำตอบของเดียวที่มีกลับมาคือ เดียวก็รู้สึกเช่นนั้น จะเป็นไปได้ไหมที่เราสองคนจะลองคบกัน เดียวเล่าว่าเดียวตั้งใจจะบอกฉันเช่นกัน และเดียวได้บอกเลิกกับเธอคนนั้นไปแล้ว ลึกๆในใจฉันก็รู้สึกผิด แต่ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ที่เมื่อคนหนึ่งหมดความรู้สึกแล้ว การจะยื้อไว้ต่อไปก็รังแต่จะเสียเวลาและเสียใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้น ฉันกับเดียวก็คบกันอย่างเปิดเผย ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก คงจะไม่มีช่วงเวลาไหนของชีวิตที่ฉันจะมีความสุขขนาดนี้อีกแล้ว

เราต่างร่วมวางแผนวาดฝันด้วยกันว่าเมื่อเรียนจบแล้วเราทั้งสองจะไปทำงานในองค์กรที่ต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อม เราจะมีชีวิตครอบครัวที่เรียบง่ายในชนบทที่ไหนสักแห่ง แต่สุดท้าย ฉันก็ได้รับรู้ว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น มันไม่ได้มีแค่ความสุขเพียงด้านเดียว ยังมีความเจ็บปวด ความเสียใจแสนสาหัส ที่รอคอยฉันอยู่

วันนั้น เดียวโทรมาหาฉันตามปกติ หากแต่น้ำเสียงฟังดูแล้วช่างสั่นไหว ความวิตกกังวลของฉันมันสะท้านไปตามน้ำเสียงของเดียว เดียวบอกว่าเธอคนนั้น คนที่คบกับเดียวมาสี่ปี คนที่เดียวเพิ่งตัดสัมพันธ์เพื่อมาคบกับฉันเมื่อสี่เดือนก่อน ป่วยหนัก เข้าโรงพยาบาลเพราะทำใจไม่ได้กับการจากไปของเดียว
เพื่อนของเธอคนนั้นเรียกร้องให้เดียวไปดูแลใยดีเธอบ้าง เดียวจึงต้องไป จุดอ่อนของเดียวคือตรงนี้นี่เองที่เดียวเป็นคนใจอ่อน ฉันให้เดียวไป โดยที่ในใจก็ภาวนาว่าอย่าให้สิ่งที่ฉันกำลังกังวลนั้นเป็นจริง

แต่ฉันไม่ได้เกิดมาโดยกุมโชคชะตาของตัวเองไว้ ฉันไม่สามารถกำหนดให้ทุกๆอย่างเป็นไปอย่างใจ เดียวมาขอโทษฉัน และบอกว่าจะกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่กับเธอคนนั้น เพราะเดียวไม่ต้องการทำร้ายจิตใจของเธออีกต่อไป เธอกำลังอยู่ในภาวะที่เปราะบาง และต้องการกำลังใจ เธอบอกว่าเธอขาดเดียวไม่ได้
ฉันเองก็อยากจะอุทธรณ์กับเดียวเหมือนกัน ว่าฉันก็ขาดเดียวไม่ได้ แต่เมื่อทบทวนดูแล้ว สี่ปี่ที่เดียวกับเธอสั่งสมมาด้วยกันมาหรือจะเทียบกับสี่เดือนที่เดียวมาเจอกับฉันได้

“เราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะนะ ถึงคบกันไป ความสัมพันธ์ของเราก็คงจะไม่คืบหน้า เราขอโทษ” คำพูดนั้นของเดียว มันก็เพียงพอแล้วที่จะเหยียบย่ำความรัก ความหวัง ความฝันของฉันจนไม่เหลือชิ้นดี ฉันได้แต่แสร้งยิ้มรับคำขอโทษนั้นโดยไม่ให้เดียวต้องเห็นน้ำตา เพราะอยากให้เดียวจากไปโดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิด ฉันแสร้งทำเป็นเข้มแข็งโดยที่ข้างในนั้นมันผุพังเปื่อยยุ่ย
และแล้วความรักของฉันกับเดียวก็จบลงเท่านั้นเอง ถึงแม้เราจะยังโทรหากัน ไปเที่ยวด้วยกัน แต่มันก็แค่ในฐานะเพื่อนเท่านั้น ใช่ สำหรับเดียว ฉันคือเพื่อน แต่สำหรับฉันเดียวยังเป็นคนที่สำคัญที่สุดของใจอยู่ดี

ฉันจมอยู่กับวันอันทุกข์ทรมานแสนยาวนาน และผ่านพ้นแต่ละค่ำคืนด้วยน้ำตา เพียงแค่สะกิดนิดเดียว ต่อมน้ำตาของฉันก็ปิดกั้นทำนบไว้ไม่ไหว ต้องทลายลงมาทุกคราวไป จากหญิงสาวที่สดใส ยิ้มแย้มร่าเริงได้ตลอดเวลา ฉันกลายเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยยิ้มแย้มเล่นหัวกับใครๆเหมือนเคย ถึงแม้จะเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เจอะเจอความรักครั้งใหม่กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ฉันก็พังมันด้วยมือของฉันเองทุกครั้ง ฉันเข็ดขยาดเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่ คงเป็นเพราะว่าฉันยังเรียนรู้เพื่อพ้นผ่านความเจ็บปวดได้ไม่มากพอ


เวลาจะทำให้ทุกๆอย่างดีขึ้น ใครต่อใครก็บอกอย่างนั้น ฉันเองก็หวังว่ามันจะใช่ แต่ ณ เวลานี้ ผ่านไปสี่ปีแล้ว เมื่อคิดถึงเดียว ความรู้สึกทุกอย่างมันก็ยังคงเหมือนเดิม คงผิดแต่เพียงวันนี้ฉันไม่มีน้ำตาแล้ว ด้วยความที่มันเหือดแห้งเสียจนไม่มีจะไหลอีกต่อไป...

...................................................

“แก้ม อ้ะ คืน อ่านไม่ไหวแล้ว ทางมันโค้งเหลือเกิน” ฉันสะดุ้ง วินเนี่ย คนกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่แท้ๆ ฉันหันมาหาวิน ยื่นมือรับหนังสือตรงหน้า

ฉันเพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าขณะนี้รถได้ควบปุเลงๆ ไปตามถนนที่เลียบกับภูเขา โค้งหักศอกที่ลัดเลาะไต่ขอบเหว เรียกความหวาดเสียวให้กับนักเดินทางที่เพิ่งย่างก้าวมายังดินแดนแปลกใหม่แห่งนี้ได้เหลือเกิน แต่สำหรับคนในพื้นที่ที่ต้องเดินทางไปกลับโดยเส้นทางนี้บ่อยๆคงเป็นเรื่องปกติ
บางครั้งทัศนียภาพทั้งสองข้างทางก็สลับสับเปลี่ยนกันไป เดี๋ยวทางซ้ายมือก็เป็นหน้าผาหินตระหง่านเงี้อม ทางขวาเป็นโตรกเหว แล้วทางซ้ายมือก็กลับเป็นเหว ในขณะที่ทางขวาเป็นหน้าผาชัน ถนนทอดยาวที่เดี๋ยวก็ลดลงต่ำและตัดขึ้นเป็นเนินสูงสลับกันชวนให้เวียนหัวได้ดีแท้
แต่ความเขียวครึ้มของทั้งสองข้างทางและต้นไม้นานาพรรณที่ดูแปลกตาก็ช่วยให้รื่นรมย์เช่นกัน

เรานั่งรถกันมาประมาณสองชั่วโมงแล้ว วินกลับมานั่งลงข้างๆฉันตามเดิม เพราะอีกฟากหนึ่งมีแดดส่องลอดแมกไม้เข้ามารำไร

“แล้วเราจะไปลงที่ไหนล่ะแก้ม”
“เอ่อ แก้มว่าแก้มเพิ่งนึกอะไรได้ล่ะ ทำไมเราไม่นั่งรถฝางมาตั้งแต่แรกล่ะวิน มาขึ้นรถไชยปราการทำไมเนี่ย มันไปถึงซะที่ไหนกันล่ะ” ฉันยิ้มแก้เก้อ หันไปเหน็บวินเบาๆถึงความผิดพลาดของตัวเองครั้งที่สองในรอบวัน
“อ้าว จะไปรู้เรอะ ก็เห็นแก้มออกจะเชี่ยว จะเป็นไกด์เองนี่นา ไอ้เราก็ลูกทัวร์ที่ดี พานั่งรถผิดเหรอเนี่ย” วินยกมือขึ้นมาขยี้ผมของฉันเบาๆ อย่างเพื่อนเอ็นดูเพื่อน

“ก้อ ไม่เชิงผิดหรอก แต่รถคันนี้ไปไม่ถึงน่ะ เอางี้ เดี๋ยวเราลงรถที่แยกไชยปราการ แล้วโบกรถต่อไปกันอีกดีกว่า ที่จริงแล้ว ฉันตั้งใจน่ะ จะได้ให้วินมีประสบการณ์ร่วมกันไง ว่าการโบกรถมันสนุกจะตาย”

วินโคลงศีรษะไปมา แล้วยิ้มขำ
“เอ้า โบกก็โบก เห็นแก้มชอบอวดนักอวดหนา ว่าสมัยเรียนมหาลัยเนี่ยเป็นเซียนโบกรถ โบกคันไหนไม่มีใครไม่จอด ถามจริงทำไงอ่ะ”
“ก้อไม่เห็นยากหรอก คนอื่นๆเค้าก็โบกกันริมถนนนั่นแหละ แต่แก้มจะพิเศษกว่าคนอื่นเค้านิดนึง ชอบขึ้นไปโบกกลางถนนน่ะ ไม่จอดก็ตายกันไปข้างแหละ แหะๆ”วินยิ่งฉีกรอยยิ้มกว้างขึ้นไปอีก

สักครึ่งชั่วโมงต่อมา เราทั้งสองคนก็ลงจากรถที่แยกไปไชยปราการ อากาศยามนั้นเริ่มร้อนระอุ ดวงอาทิตย์แผดแสงอย่างไม่เกรงใจสิ่งมีชีวิตที่ยืนหันรีหันขวางอยู่ริมถนนนั้น แต่ลมเย็นๆของวสันตฤดูก็ยังโชยแผ่วๆมาบรรเทาบรรยากาศร้อนอยู่ตลอดเวลา รถที่วิ่งผ่านไปมามีอยู่บางตา ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านขายข้าวแกง ปลูกสร้างด้วยวัสดุธรรมชาติ หลังคาใบจาก ตัวเรือนทำด้วยไม้ไผ่ ตั้งกันอยู่เรียงราย มีลูกค้านั่งกินอยู่บางตา บางคนก็หันมามองเราสองคนอย่างสนอกสนใจ

วินหยิบเอาขวดน้ำดื่มมาเปิดฝาแล้วส่งให้ฉัน ฉันรับมาดื่มไปหลายอึกใหญ่ๆ แล้วส่งคืนให้วิน ปลดเป้วางลงบนพื้นหญ้าริมทาง
“เห็นทางแยกที่เราเลยมานิดนึงนั่นป่ะ วิน ทางนั้นน่ะ ไปดอยหลวงเชียงดาว แก้มนะอยากไปมากเลยล่ะ มีอยู่ปีนึง โบกรถมาเที่ยวสงกรานต์ที่เชียงใหม่กับเพื่อน แล้วก็ไปหาคนนำทางให้พาขึ้นดอยหลวงเชียงดาว แต่เค้าไม่ไปน่ะ บอกว่า ผมยังไม่ได้ฟิตร่างกาย คิดดูดิ่ ขนาดคนในพื้นที่เค้ายังต้องฟิตน่ะ ส่วนพวกแก้มน่ะ แต่ละคนกะหร่องเชียว เลยอด แต่ซักวันก็คงจะได้ขึ้นไปล่ะ”
“อืม เหรอ งั้นแสดงว่าคงสูงมากและสวยมากเลยน่ะสิ เคยได้ยินชื่ออยู่บ้างเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวกลับไปฉันไปฟิตร่างกายก่อน แล้วเจอกัน” วินหันหน้าไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของดอยหลวงเชียงดาว แล้วเอ่ยขึ้นมา
“ซ้าธุ อย่าลืมนะ พูดไรไว้”ฉันหัวเราะในความเดียงสาน่าหยิกแกมหยอกของวิน แล้วจึงเริ่มปฏิบัติการโบกรถอย่างคนที่ช่ำชอง วินทำตามท่าทางของฉันอย่างเก้ๆกังๆปนเขินๆเล็กน้อย มีรถบางคันจอดถามว่าจะไปไหน แต่พวกเขาไม่ได้ไปไกลถึงทางแยกดอยอ่างขาง ฉันจึงต้องปฎิเสธไมตรีของพวกเขาไป “อยากโบกต่อเดียวน่ะ จะได้ไม่เสียเวลา” ฉันเอ่ยกับวิน
สักพักก็มีรถกระบะ สีน้ำเงินเข้มมาจอดเลยไปข้างหน้าประมาณสิบเมตร ฉันวิ่งไปถาม ชายวัยกลางคนลดกระจกลง ส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ เมื่อเราบอกจุดหมายปลายทาง เขาก็ตอบตกลงเพราะเขาเองก็กำลังจะกลับไปสถานีเกษตรหลวงอ่างขางที่เขาทำงานอยู่พอดี ฉันแสดงท่าทางดีใจ พนมมือไหว้ขอบคุณ แล้วกวักมือเรียกวิน วินฉวยเอาเป้ของฉันและของตัวเอง วิ่งกะเตงๆ มาที่รถ เราเหวี่ยงเป้ขึ้นหลังรถ แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งกระบะท้าย

“เฮ้อ ได้ไปซักที เป็นไงมั่งวิน”ฉันเปิดเป้ ค้นหาหมวกในกระเป๋าขึ้นมาสวมหลบแดด แต่ต้องคอยเอามือกดหมวกไว้ เพราะลมแรงตามการวิ่งของรถ วินเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมากระหวัดรอบหัวไปพลางตอบว่า “เออ หนุกดี ประหยัดด้วย มิน่าล่ะ เห็นใครต่อใครชอบโบกรถกัน”
“อื้ม”ฉันรับคำ แล้วซุกหน้าลงกับเป้ “หลับแล้วนะ” ฉันส่งเสียงบอกวิน วินพยักหน้าหงึกๆทำกริยาเดียวกันกับฉัน
รถวิ่งไปเรื่อยๆด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ตามเส้นทางหลัก และชั่วไม่นานนัก ก็ชะลอเลี้ยวโค้ง ฉันเงยหน้าขึ้นจากเป้มองไปที่ป้ายบอกเส้นทาง เลี้ยวเข้าแยกดอยอ่างขางแล้วเหรอเนี่ย พอมองไปก็เห็นวินหลับอยู่ ขนตางอนเป็นแพระยับนั้นพริ้วกระเพื่อมไปตามแรงลม

แสงอาทิตย์เหนือศีรษะยังคงเจิดจ้าอยู่ สองข้างทางที่แยกเข้าดอยอ่างขางเรียงรายไปด้วยสวนส้มหลากหลายผู้ครอบครอง ฉันปลุกวินขึ้นมาแล้วชี้ชวนให้ดูสวนส้ม บางต้นลูกก็ออกดกมากจนย้อยเต็มไปหมด แลเห็นเป็นจุดสีส้มๆแตะแต้มอย่างละลานตา บางสวนก็จะมีร้านวางแผงขายส้มเป็นกล่องๆ อีกทั้งแก้วมังกรสีแดงสุกใส ลูกโตๆ

เมื่อนั่งไปอีกสักพัก สองข้างทางเริ่มกลับมาคดเคี้ยวดังเดิม รถกำลังไต่ขึ้นเนินเขาที่ปูลาดยางไปตลอดทาง บางจังหวะก็มีโค้งหักศอก ยังดีที่ไม่มีรถสวนมา รถแล่นไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับที่ฉันเริ่มรู้สึกว่าอากาศเย็นลงเรื่อยๆเช่นกัน คงเป็นเพราะดอยอ่างขางนั้นมีทำเลอยู่ในท่ามกลางหุบเขานั่นเอง รถแล่นผ่านรีสอร์ทใหญ่ที่อยู่ตรงปากทางของชุมชนดอยอ่างขาง และแล่นมาจอดอยู่หน้าสถานีเกษตรดอยอ่างขาง เรากระโดดลงจากรถพร้อมทั้งไม่ลืมขอบคุณคุณลุงที่พาพวกเรามาส่งถึงที่ด้วย

ฉันกับวินหันมองไปรอบๆตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ ภาพเบื้องหน้าคือภูเขาลูกขนาดย่อมๆที่มีชุมชนอาศัยอยู่ บ้านเรือนร้านค้าแปลกตาเรียงรายเป็นตรอกซอกซอยลดหลั่นไปตามระดับความสูงของทิวเขา เจริญกว่าที่คิด ฉันคิดในใจ ทางด้านซ้ายมือไกลออกไป เราเห็นป้ายชื่อโรงเรียน น่าจะเป็นโรงเรียนประถม ส่วนทางด้านขวามือ มีสถานีเกษตรหลวงอ่างขางที่กินพี้นที่ครอบคลุมกว้างไกล เมื่อมองลึกเข้าไปก็เห็นแปลงผัก แปลงดอกไม้ปลูกเรียงรายนานาชนิด มีผู้คนเข้าไปเดินชมเพราะที่นี่เปิดขายบัตรให้เข้าชมได้

ฉันกับวินเดินเตร็ดเตร่ สอดส่ายสายตามองไปเรื่อยๆ ใกล้กับทางที่เราจะเดินไปชุมชนมีท่ารถสองแถวอยู่ ผู้คนในแถบนั้น บางคนก็ยังคงแต่งตัวตามวัฒนธรรมดั้งเดิม มีร้านอาหารหลายร้านขึ้นป้ายว่าเป็นอาหารของชาวยูนนาน บางร้านเป็นร้านไก่ย่างยูนนาน บางร้านก็เป็นข้าวซอยยูนนาน และร้านส่วนใหญ่ก็จะติดป้ายว่ามีห้องพักให้เช่า เราเดินเมียงมองกันอยู่ชั่วครู่ จึงตัดสินใจเข้าไปสอบถามที่พักกับร้านอาหารแห่งหนึ่ง สาวน้อยวัยกำดัด หน้าตาคมขำนุ่งผ้าถุงเสื้อยืดสีแสดปรี่เข้ามาทักทายและตอบคำถามด้วยสำเนียงเจือความเป็นชนเผ่าเล็กน้อย

“ยังมีห้องเหลืออยู่ค่ะ อยู่ทางด้านบนโน้น”สาวน้อยพูดไปพลางผายมือไปยังทิวแถวห้องพักเบื้องหลังที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร
“คิดราคายังไงครับ” วินถาม
“คืนละหกร้อยบาทค่ะ มีน้ำอุ่นให้ด้วย ห้องใหญ่นะคะ จะไปดูมั้ยคะ”ฉันฟังการเจรจาอันฉะฉานของเธอแล้วนึกชมในใจ คงเป็นเรื่องปกติของเมืองท่องเที่ยวที่จะมีการปรับตัวเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวสนใจในสินค้าและบริการ

แต่ลึกๆแล้วฉันก็รู้สึกสะท้อนใจ ใช่หรือไม่ว่า ความเป็นเมืองนั้นกำลังรุกคืบและกลืนกินความเป็นชนบทที่งดงาม แต่ใครเลยจะมีสิทธิไปห้ามไม่ให้ชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งได้เข้าถึงวัฒนธรรมอันห่อหุ้มความเอาตัวรอด ความเอารัดเอาเปรียบด้วยคำว่าศิวิไลซ์ได้

บางครั้งเราก็คาดหวังว่าเมื่อดั้นด้นบนทางไกลไปจนถึงป่าดงดอย เราก็ย่อมจะได้พบกับความบริสุทธิ์แรกแย้มของธรรมชาติ ของผู้คน ของวัฒนธรรมที่นั่น จะไม่มีแสงสียามราตรี จะไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ผู้คนจะอาศัยอยู่ภายใต้กรอบเงื่อนไขของการพึ่งพาธรรมชาติ โดยลืมคำนึงไปว่า เราและเรานั่นเองที่เป็นคนเข้าไปหว่านเมล็ดพันธุ์ของบริโภคนิยมให้ผลิดอกออกผล จนพวกเขาต่างดิ้นรนอยากมีอยากเป็นให้เหมือนๆกับหนุ่มสาวชาวพื้นราบทั้งหลาย
ดังนั้น ไม่ว่าจะมาถึงดอยอ่างขาง หรือจะผ่านทางลัดเลาะไปไกลสักแค่ไหน เราก็ยังมองเห็นโทรทัศน์ จานดาวเทียม รถกระบะป้ายแดง และร้านรวงที่มีของอุปโภคบริโภคมากมายเรียงรายกันอยู่
“งั้น ขอไปดูห้องก่อนได้มั้ยคะ” หญิงสาวพยักหน้ารับพร้อมขอไปหยิบกุญแจห้อง
“คืนละหกร้อย ก็ไม่แพงเท่าไหร่เนอะ วิน” วินหันมายิ้มรับ หญิงสาวเดินมาหยุดตรงหน้าแล้วเดินนำไปยังห้องพัก




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2548 9:36:39 น.
Counter : 305 Pageviews.  

ฝั่งไร้ฝัน (บทที่ 4)

บทที่ 4
ขณะเดินไปที่ท่ารถก็เห็นวินท่าทางงัวเงียอยู่ ฉันยิ้มขำๆ นึกขึ้นได้ว่าอันที่จริงน่าจะได้จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะอย่างไรเสีย เราสองคนต่างก็ไม่ได้รีบเร่งอะไรกับการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้
“วิน แก้มว่าเราไปล้างหน้าแปรงฟันกันก่อนดีกว่ามั้ย จะได้สดชื่นขึ้น”
“อืม ก้อดีเหมือนกัน อยากเข้าห้องน้ำอยู่พอดีเลย”

ฉันจึงเดินนำหน้าวินเข้าไปยังอาคารที่พักของผู้โดยสาร ปลดเป้วางลงบนเก้าอี้ เปิดเป้หยิบเอาชุดแปรงฟันออกมา พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็ก
“วิน ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนละกัน เดี๋ยวแก้มเฝ้าของเอง”
“แก้มไปก่อนก้อได้”
“น่า ไปเหอะ ไปก่อนไปหลังก้อเหมือนกันแหละจ้า” วินจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ หยิบเอาชุดแปรงฟันของตัวเอง เดินเข้าห้องน้ำไป

ฉันเหลียวมองไปรอบๆตัว ผู้คนยังบางตา แสงไฟในอาคารค่อนข้างสว่าง ทำให้รู้สึกปลอดภัย รออยู่สักพักหนึ่ง วินก็เดินกลับออกมาด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส
“น้ำเย็นดี” ฉันยิ้มรับ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดแจงทำธุระของตัวเองบ้าง

เมื่อเสร็จธุระส่วนตัว ฉันจึงชวนวินไปหาของกินรองท้อง

ฉันเดินฝ่าความหนาวเข้าไปหากลุ่มคนที่นั่งผิงกองไฟ ลมหนาวยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ พัดโชยเอากรุ่นกลิ่นควันอ่อนๆ ของใบไม้ใบหญ้าแห้งตามแต่จะเก็บหาได้จากบริเวณนั้น หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น หันมาเห็นฉันและวิน จึงกุลีกุจอลุกเดินมาสอบถามว่าเรากำลังจะไปไหนกัน

“ไปกาดต้นพยอมค่ะ” ฉันบอกจุดหมายปลายทาง ด้วยจำได้ว่าที่กาดต้นพยอมซึ่งอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นมีร้านโจ๊กที่ขึ้นชื่ออยู่ ในบรรยากาศหนาวๆ เช่นนี้แล้ว ได้กินอะไรร้อนๆในตอนเช้า น่าจะทำให้กระชุ่มกระชวยได้บ้าง

คนขับรถโดยสารซึ่งน่าจะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว ส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ พร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ไปยังรถของเขา
ฉันเดินนำหน้าวินเข้าไปในรถสองแถว ปลดเป้ที่หลังลงวางข้างๆกาย วินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสอดส่ายสายตาไปซ้ายทีขวาที อย่างตื่นตาตื่นใจ

“เป็นอะไรไป วิน ตื่นเมืองเหรอ” ฉันเย้าอย่างขำ ๆ บางเวลาฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่ฉันกำลังพาเด็กน้อยมาทัศนศึกษาอยู่รึปล่าวนะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า วินจะน่ารำคาญแต่อย่างใด

ตรงกันข้ามกิริยาท่าทางที่ดูสนอกสนใจต่อสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอนั้น มันช่วยกระตุ้นเตือนให้ฉันได้คิดอยู่เสมอว่า ที่จริงแล้ว ฉันเองก็ยังอยู่ในวัยรุ่น วัยที่สดใส วัยที่เปี่ยมพลังสร้างสรรค์ เหมือนพกแบตเตอรี่เคลื่อนที่เลยแฮะเรา
“ก้อนะ ไม่เคยมานี่นา ไม่รู้ว่านี่มันกี่องศาเนอะ แต่อากาศดีมากเลยอ่ะ หนาวใช้ได้เลย เนี่ยถ้าได้ผ้าห่มอุ่นๆไว้ซุกอ่ะนะ เยี่ยมเลย” ฉันยิ้ม ฉันเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับวิน บรรยากาศรอบๆ เย็นสบาย ร้านค้าบ้านเรือนต่างๆปิดเงียบ
ก็นั่นสินะ เพิ่งจะตีห้ากว่าๆเอง ใครจะอยากเปิดเปลือกตา สลัดผ้าห่มที่อบอุ่นออกมานั่งทนหนาวเช่นเราสองคนอย่างนี้
ฉันชอบฤดูหนาวก็ตรงนี้แหละ มันทำให้เราโหยหาความอบอุ่น มันทำให้เรารู้ว่า ต่อให้เราเข้มแข็งสักแค่ไหน แต่ในจังหวะที่ชีวิตต้องพานพบกับความหนาวเหน็บ ใช่หรือไม่ว่าเราเองต่างก็เรียกร้องต้องการผ้าห่มสักผืนหรืออ้อมกอดของใครสักคนที่จะให้หัวใจอันอ่อนแอได้อิงแอบ กอบเก็บเอาความอบอุ่นเข้าเติมเต็มความรู้สึกเพื่อที่จะสามารถต่อกรกับความเหน็บหนาวร้าวรานได้อีกคราครั้ง
รถโดยสารเริ่มออกสตาร์ท และค่อยๆวิ่งลัดเลาะไปตามถนนแคบๆพอให้รถสวนกันได้เพียงคันเดียว ยิ่งรถทวีความเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ ทั้งฉันและวินต่างก็พากันกอดกระชับให้เสื้อหนาวนั้นปกปิดร่างกายให้มิดชิดมากที่สุด
“วู้วววววววววว ใช้ได้เลยแก้ม ฉันชอบว่ะ อยู่กรุงเทพไม่ได้เจออะไรอย่างนี้เลย”
“อื้ม อยากเก็บใส่กระเป๋าเก็บไปกรุงเทพด้วยจังเลยอ่ะ” ฉันกับวินต้องอาศัยวิธีการตะโกนคุยกัน ใบหน้านั้นเรียกได้ว่าเริ่มชาแล้วด้วยแรงลมหนาวที่เข้ามาปะทะใบหน้า
“แล้วเราจะไปไหนนะ กาดต้นพยอมเหรอ มีไรอ่ะ แก้ม”
“อ๋อ มีร้านโจ๊กน่ะ เช้าๆอย่างนี้ อยากกินอะไรร้อนๆ”
“อื้ม เยี่ยม” ฉันและวินหันไปมองสองข้างทาง รถวิ่งผ่านบริเวณที่เป็นตลาดสด พ่อค้าแม่ขายที่ตื่นแต่เช้าเริ่มจัดร้านรวง คนเข็นรถขนผัก เดินกันขวักไขว่อยู่สองข้างทาง แล้วรถก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงบริเวณที่กาดต้นพยอม เราเดินลงจากรถจ่ายเงินค่ารถ แล้วออกเดินไปตามทางฟุธบาท
เดินไปได้สักยี่สิบเมตร ก็สังเกตเห็นร้านขายโจ๊ก มีผู้คนนั่งกินอยู่สองสามโต๊ะ เจ้าของร้านเรียกเชื้อเชิญลูกค้าเข้าร้านด้วยวาจาสุภาพอ่อนหวาน กลิ่นหอมและไออุ่นๆของโจ๊กลอยเข้ามาปะทะจมูก เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี ฉันกับวินไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ด้านนอกสุดของร้าน เราสั่งโจ๊กกันคนละชาม พร้อมกับน้ำเปล่า

สักพักไม่เกินห้านาที โจ๊กร้อนๆสองชามก็ถูกนำมาวางอยู่ตรงหน้า เราทั้งสองคนจึงลงมือจัดการ วินท่าทางจะหิวจัด สั่งต่ออีกชาม ส่วนฉันนั้น ปกติก็ไม่ค่อยได้กินข้าวเช้า แค่ชามเดียวก็พออยู่ท้องแล้ว เมื่อสสารในชามโจ๊กแปรสภาพและย้ายเข้ามาบรรจุในกระเพาะของเราเรียบร้อยแล้ว เราจึงเรียกคิดเงิน และเดินออกมาสังเกตการณ์ว่าจะไปอย่างไรต่อที่บริเวณหน้าร้าน

บรรยากาศในขณะนั้นเป็นเวลาใกล้รุ่งสางแล้ว ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเริ่มเรื่อเรืองเป็นแสงสีแดง การจราจรในถนนพอเรียกได้ว่าคับคั่งบ้างแล้ว ห่างออกไปทางซ้ายมือประมาณห้าสิบเมตร พ่อแก่แม่เฒ่าประมาณสองสามคนนั่งประนมมือจบข้าวถวายใส่บาตรให้กับพระสงฆ์ เป็นภาพที่ฉันไม่ได้เห็นมานานมากพอดู

“แล้วยังไงต่อล่ะ แก้ม” วินยืนลูบท้องของตัวเอง สีหน้าบ่งบอกว่าอิ่มเต็มที่
“อืมมมมมม ข้ามถนนไปฝั่งโน้น ขึ้นรถไปท่ารถช้างเผือก ป่ะ ไปกันเหอะ” เราทั้งสองเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เรียกรถโดยสารสีแดงที่หาได้ง่ายมากในตัวเมืองเชียงใหม่ บอกจุดหมายปลายทาง แล้วกระโดดขึ้นหลังรถ

เสียงรถราเริ่มขวักไขว่แล้ว เมืองหลวงแห่งที่สองของไทยตื่นจากการหลับไหลแล้ว บนท้องถนนเริ่มได้ยินเสียงเร่งเครื่องยนต์ เสียงบีบแตรกันอยู่ขวักไขว่

เอาเข้าจริงๆแล้ว เมืองเชียงใหม่ ดินแดนในฝันของใครต่อใครก็ไม่ต่างอะไรกับกรุงเทพ
ม่านฟ้าของเมืองล้านนาแห่งนี้แลดูอบอวลไปด้วยควันรถ บางครั้งการคาดหวังอะไรมากเกินไป ก็รังแต่จะทำให้เกิดอาการขมขื่น ฉันหวังจะให้บรรยากาศที่นี่ช่วยประโลมให้ฉันได้ลืมเรื่องราวอันเลวร้ายให้คลายลงได้บ้าง แต่ที่มันเป็นไปก็คือขึ้นชื่อว่าเมืองแล้ว ที่ไหนก็คงไม่ต่างกัน รออีกสักสามชั่วโมงน่ะ ถ้าออกนอกเมืองแล้ว อากาศคงจะดีกว่านี้

“เกือบเจ็ดโมงแล้ว” ฉันบอกวิน รถวิ่งผ่านประตูสวนดอก ลัดเลาะไปตามถนนหนทางที่สองข้างทางยังเป็นบ้านเรือนที่ได้รับการผสมผสานศิลปะล้านนาดั้งเดิมกับสถาปัตยกรรมตะวันตก ต้นไม้ใบหญ้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแลดกเขียวครึ้ม ร่มรื่นเต็มริมทาง

รถใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีก็วิ่งมาถึงท่ารถช้างเผือก ภายในบริเวณท่ารถ มีอาคารเปิดโล่งอยู่ตรงกลาง รอบๆอาคารมีรถหลากประเภท หลากจุดหมายจอดอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นรถพัดลมสีแดง บางคันบรรจุผู้โดยสารเกือบเต็มคันแล้ว เสียงลูกเด็กเล็กแดงหัวเราะกัน เสียงพนักงานรถตะโกนเรียกผู้โดยสารกันขวักไขว่

ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ท่ารถเชียงใหม่-ไชยปราการ เห็นว่ามีรถจอดรอรับคนอยู่จึงเบียดตัวเองขึ้นไปทางประตูหลัง คนบนรถนั้นมีไม่เยอะนัก ต่างกระจัดกระจายนั่งกันอยู่ บ้างนั่งคนเดียว บ้างนั่งกันเป็นคู่ ฉันกับวินเลือกนั่งตรงฝั่งด้านซ้ายมือของคนขับ ถัดจากประตูหลังขึ้นมาสักสองแถว “จะได้ไม่ร้อนไง” ฉันบอกวิน เราพูดคุยกันสักพักหนึ่งคนขับจึงเดินขึ้นรถมานั่งประจำตำแหน่ง แล้วเริ่มเคลื่อนรถออกไปจากท่า

ประมาณห้านาที พนักงานเก็บเงินค่าโดยสารจึงเริ่มทยอยเดินเก็บเงิน เมื่อจ่ายเงินเสร็จสรรพ ก็เป็นจังหวะที่รถเริ่มเลี้ยวออกจากเมืองและบ่ายหน้าเข้ายังเส้นทางหลักแล้ว

“อิจฉาคนที่อยู่ที่นี่ เนอะ ว่างั้นมั้ยแก้ม ฉันอ่ะนะ เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้ามีบ้านอยู่ที่นี่ก้อคงจะเวิร์คมากเลยแหละ” วินชวนคุย ฉันละสายตาจากทิวทัศน์ข้างทางที่มีบ้านของผู้คนเรียงราย แดดในยามเช้าเริ่มแผดรังสีแรงกล้าขึ้น ม่านหมอกที่ลอยตัวเอื่อยๆคลี่คลุมภาพในคลองจักษุให้สลัวรางเมื่อยามน้ำค้างซาช่วงเช้าตรู่นั้น ได้ระเหยหายไปแล้ว
“อืม มันก็ดีอยู่หรอก แต่สงสัยว่าเราคงจะคิดเหมือนกันหมดน่ะ ดูสิ ผู้คนอพยพเข้ามาอยู่เชียงใหม่กันเยอะเลย แก้มมีเพื่อนอยู่มอชอคนนึงนะ ตอนที่มันสอบติดใหม่ๆอ่ะ มันดีใจมากเลย บอกว่าจะได้หนีความโกลาหลของกรุงเทพ แต่สักพักแหละ มันก้อเล่าให้ฟังว่าวิถีชีวิตของมันที่เป็นอยู่ ก็ไม่ได้ต่างจากตอนอยู่กรุงเทพซักเท่าไหร่หรอก มันบอกว่า บางวันก็ร้อนตับแตกเลย”

รถยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้บนรถหอบเอาลมเย็นผิวจากภายนอกเข้ามาเป็นระลอก ฉันกับวินนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยสักครู่หนึ่ง วินจึงขอยืมหนังสือฉันไปปลีกตัวนั่งอยู่ที่เบาะอีกฝั่ง

ฉันจึงทิ้งสายตาออกไปนอกรถอย่างคนไม่มีอะไรทำ นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ ที่ได้มาเที่ยวเชียงใหม่ น่าจะเป็นครั้งที่หกในรอบห้าปีแล้ว ทุกครั้งที่มา ความทรงจำที่ติดตัวกลับไปก็ไม่เคยเหมือนเดิม คงเป็นเพราะฉันมาในช่วงต่างวาระ ต่างโอกาส ต่างคนร่วมทาง

ครั้งนี้ ฉันก็รู้สึกดี ที่ได้มากับวิน ใช่ ทั้งๆที่ฉันมากับวิน ฉันกลับคิดถึงชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง คนที่ฉันเองไม่อาจนับเขาว่าเป็นอดีตได้เลย เพราะไม่ว่า ณ เวลาใด เขาคนนั้นก็ยังอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอมา ตกผลึกเป็นตะกอนแห่งความเจ็บปวดที่แทรกตัวอยู่ในทุกอณูของความรู้สึก คนที่ทำให้ฉันได้พานพบกับความสุขที่สุด และความทุกข์ที่สุดด้วยเช่นกัน.....

....................................................
เมื่อสี่ปีที่แล้ว ฉันยังเป็นเพียงนิสิตในมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ใช้ชีวิตอันแสนธรรมดารอบกายรายล้อมไปด้วยเพื่อนฝูง และรักการทำงานชมรมเป็นชีวิตจิตใจ
ฉันเริ่มเข้าชมรมตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมสอง เพราะเหตุบังเอิญโดยแท้ วันนั้นฉันไปตามเพื่อนเพื่อให้ไปเรียนวอลเล่ย์บอล เพื่อนจึงชักชวนแนะนำให้ฉันได้รู้จักพี่ๆ ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็กลายเป็นขาประจำของชมรมไปโดยปริยาย
แต่ฉันเข้าทำงานชมรมอย่างเต็มตัวเมื่อตอนปีสองเทอมสอง ทุกๆวันเมื่อเว้นว่างจากชั่วโมงเรียนหรือหลังเลิกเรียน ฉันก็จะใช้เวลาอยู่ที่ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องเบาๆ เรื่องเครียดๆ พี่ๆบางคนที่มีฝีมือทางกีต้าร์ก็จะดีดไป คนที่ถนัดร้องเพลงก็ร้องไป บางครั้งก็แซวรุ่นน้องที่เดินผ่านชมรม บางครั้งที่ฉันมีปัญหา พี่ๆทุกคนก็จะเป็นห่วงเป็นใยคอยดูแลจนฉันดีขึ้นมา ฉันจึงรักและผูกพันกับที่นี่เป็นอย่างมาก
ทุกสัปดาห์เราจะมีการประชุมกัน บางครั้งก็เตรียมจัดนิทรรศการ บางครั้งก็จะจัดทำค่ายเยาวชนหรือค่ายอนุรักษ์ รวมไปถึงการต้องเป็นตัวแทนของชมรมไปปฏิสัมพันธ์จัดกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกันกับชมรมอนุรักษ์ของมหาวิทยาลัยอื่นๆ

และเมื่อขึ้นปีสาม ฉันได้รับเลือกเป็นตัวแทนของชมรมให้รับหน้าที่ประสานงานกับชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติของมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกนับสิบมหาวิทยาลัย ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันได้เจอกับเดียว

เดียวเป็นตัวแทนของชมรมที่มหาวิทยาลัยของเขาเช่นกัน ในครั้งแรกที่เราพบกันนั้น ฉันไม่ได้สนอกสนใจอะไรเดียวมากมาย เพราะความที่เดียวเป็นผู้ชายที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ล้วนไม่น่าสนใจ ชื่อจริงคงชื่อเดียวดาย ฉันยังเคยแอบคิดเล่นๆ




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2548 9:35:41 น.
Counter : 299 Pageviews.  

ฝั่งไร้ฝัน (บทที่ 3)

บทที่ 3

รถทัวร์ค่อยๆเคลื่อนตัวฝ่ารถติดแถวจตุจักรออกมาจนเข้าสู่ถนนวิภาวดีแล้ว แต่รถราก็ยังคงติดอยู่ซึ่งนับเป็นสภาพปกติของสังคมเมืองหลวงที่ผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกันนับล้านในตึกอาคารอันโอ่โถงหรือแม้กระทั่งซอกหลืบใต้สะพานลอย แต่กลับไม่ที่อยู่ให้กับหัวใจของตนเอง ไม่มีที่ที่จะโอบกอดความรู้สึกตัวเองให้สงบ คนเมือง(หรือแม้กระทั่งคนที่อพยพเข้าเมืองอย่างฉัน)จึงแลดูคล้ายๆ ว่ายวนอยู่ในความเหงาเดียวดาย
สำหรับฉัน มนุษย์ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวของจักรวาล ที่ดำเนินชีวิตไปภายใต้เจตจำนงค์เสรี เราเลือกที่จะดูแลกันได้ แต่เราก็สมัครใจที่จะละเลยกัน มันน่าเศร้าไม่หยอกเลย
“เออ แก้มผอมไปรึปล่าวอ่ะ เราไม่ได้เจอกันสามเดือนได้แล้วใช่มั้ย” วินส่งถุงขนมให้ฉัน ในขณะที่ถามปากก็เคี้ยวตุ้ยๆไปด้วย
“เหรอ ไม่เห็นรู้สึกเลย สงสัยเป็นเพราะช่วงก่อนออกต้องเคลียร์งานให้เสร็จน่ะ” พนักงานเดินมาแจกผ้าห่มให้ ฉันจึงรีบนำมาคลี่ห่มไว้เพราะอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศในรถค่อนข้างเย็น

“งั้นก็แล้วไป ถ้ามีปัญหาอะไรก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ” ฉันยิ้ม ในความสลัวรางนั้น วินคงไม่ได้สังเกตเห็นสายตาชั่ววิบเดียวของฉันที่มันเป็นประกายลึกล้ำดำมืดเหมือนตกในภวังค์ ไม่ผิดใช่ไหมนะ ถ้าคนอ่อนไหวอย่างฉันจะขอเก็บคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้ามาไว้เป็นกำลังใจของตนเองในยามที่รอนล้า
“จ้า แกก้อรู้หนิ ว่าฉันน่ะเคยมีความลับอะไรกับแกซะที่ไหน” หรือจะมีสักเรื่อง มันจะแปลกอะไร ใช่ไหม วิน


ต่อจากนั้นเราก็คุยกันสัพเพเหระ จนวินเอ่ยปากของีบหลับก่อนเพราะวันนี้เขาใช้สมองมาทั้งวันกับการปั่นต้นฉบับ ก้อวินคนเดียวน่ะ รับหน้าที่เขียนตั้งหลายคอลัมม์ แต่ฉันยังไม่ง่วง ได้แต่นั่งทอดสายตาเหม่อมองออกไปในความมืดนอกรถ ป้ายข้างทางที่แสงไฟของรถสาดไป เขียนไว้ว่าอีก 30 กิโลเมตรจะถึงสระบุรี

แสงจันทร์ที่สาดส่องอยู่เบื้องนอกแลดูซีดเซียว คงเป็นเพราะถูกแสงสีจากแสงไฟใต้แผ่นฟ้ามาเจือจางความกระจ่างชัดของจันทร์ ในสมัยเด็กๆ ฉันเคยหวาดกลัวดวงจันทร์ เพราะไม่ว่าฉันจะเดินไปไหนก็ตาม ฉันมักรู้สึกว่าดวงจันทร์ก็จะตามไปเสมอ ฉันกลัวว่าพ่อกับแม่จะดุเอา ถ้าดวงจันทร์ตามฉันเข้าไปในบ้านด้วย

นึกๆไปก็ขำ ขำในจินตนาการของตัวเองในสมัยเด็ก แล้ว ณ เวลานี้ล่ะ จินตนาการของฉันมันหายไปไหนหมดนะ หรือว่าจะโดนโลกของผู้ใหญ่กลืนกินจนเหือดหายไปสิ้นแล้ว
หันไปมองวินก็เห็นว่ากำลังหลับตาพริ้ม เหมือนเด็กน้อย วินไม่ได้เป็นชายหนุ่มหน้าดี อาจเรียกได้ว่าห่างไกลจากอุดมคติของสาวๆ ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ด้วยความที่เป็นคนผิวเข้ม ตัวเล็กกว่ามาตรฐานชายไทย (ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่ามาตรฐานที่ว่านั้นกำหนดโดยใคร แต่ที่แปลกใจก็คือกระบวนการที่ทำให้มาตรฐานที่ว่าแพร่หลายออกไปเนี่ยสิ ทำได้ยังไง) หากจะเป็นที่สะดุดตาใครต่อใครก็คงจะเป็นดวงตากลมโตที่เปล่งประกายพลังแห่งความมีชีวิตชีวาอยู่เป็นนิจนั่นเอง


ฉันไม่รู้ประวัติของวินมากนักหรอก รู้แต่เพียงว่าเป็นคนที่เรียนเก่งมาก จบจากคณะและมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในประเทศไทย ด้วยคะแนนเกียรตินิยม และเมื่อวินเข้ามาทำงานในบริษัทเดียวกันกับฉันนั้น วินก็ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าเป็นอย่างมากในความเก่ง ฉันเองยังอดทึ่งในความสามารถของวินไม่ได้


แต่ถ้าวัดจากสายตาของคนนอกที่มองอย่างผิวเผิน ก็จะรู้สึกว่าวินเป็นคนสุภาพอ่อนโยน หากทว่าถ้าได้สัมผัสใกล้ชิดกับวินจนถึงตัวตนที่แท้จริงแล้ว จะพบอีกหลายแง่มุมที่น่าทึ่งกว่า วินนับเป็นคนที่ไม่ยอมลงให้กับความไม่ถูกต้อง ถ้าเขาพบเห็นเพื่อนเดือดร้อนเพราะได้รับแรงกดดันอันอยุติธรรมไม่ว่าจากพนักงานในระดับเดียวกันหรือระดับหัวหน้างานก็ตาม เขาก็จะเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จนหลายครั้งทำให้เขาต้องงัดข้อกับเพื่อนร่วมงาน

นอกจากนั้นเขายังเป็นชายหนุ่มที่ขี้ลืมได้อย่างเหลือเชื่อ นับตั้งแต่ของเล็กๆตั้งแต่ซองใส่ซีดี ไปจนถึงลืมเพื่อน ใช่แล้ว เขาเคยลืมฉันไว้ในโรงหนัง ในตอนนั้น เมื่อหนังจบลงก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาวิน พอเจ้าตัวรับก็เกิดอาการคุยติดลม จนเดินเพลินขึ้นรถเมล์ไปเลย ปล่อยให้ฉันยืนงงอยู่เป็นนานสองนาน สักพักเมื่อนึกขึ้นได้จึงโทรกลับมาขอโทษ ซึ่งฉันก็ไม่เคยโกรธวินได้ลงสักที กลับมองว่านี่แหละคือจุดที่ทำให้วินเป็นชายหนุ่มธรรมดา สามารถจับต้องได้ แล้วไปเที่ยวด้วยกันครั้งนี้ วินจะลืมฉันทิ้งไว้ที่เชียงใหม่รึปล่าวนะ ยังสงสัย

ผู้คนส่วนใหญ่ในรถเริ่มทยอยหลับกันไปเกือบหมดแล้ว ในห้วงบรรยากาศที่เงียบงันเช่นนี้ ฉันก็มักจะปล่อยจิตใจให้ดำดิ่งสู่ห้วงอดีต คิดถึงชีวิตที่ดำเนินผ่านความสุขความทุกข์ บ่อยครั้งที่ฉันแอบนึกอิจฉาใครต่อใครที่สามารถยิ้มแย้มอย่างเบิกบานต้อนรับความสุขเข้าสู่อ้อมกอด ในขณะที่เมื่อใดก็ตามที่ความสุขนั้นได้แวะมาทักทายฉันบ้าง ฉันกลับไม่กล้าที่จะครอบครองดูแลไว้ได้อย่างเต็มที่ ฉันกลัวว่าสักวันความสุขนั้นก็จักผ่านพ้นไป

หากแต่ความทุกข์เล่า ฉันกลับยินดีให้เข้ามาพำนักอยู่ในความรู้สึก ผนึกอยู่เป็นกลุ่มก้อนที่คอยบั่นทอนให้แต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ความหมาย ฉันเฝ้าถามหาคุณค่าการมีอยู่ของฉัน ในรายทางที่ฉันเดินผ่านเข็มชีวิตของตัวเองมาจนถึง ณ วันนี้ แม้จะมีผู้คนมากมายที่ให้ความรัก หวังดีต่อฉันมาโดยตลอด แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าฉันเหว่ว้า จะมีอยู่หรือปราศจาก โลกก็คงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

“นอนไม่หลับเหรอ แก้ม” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย พอหันไปหาต้นเสียง ก็เห็นวินกำลังหาว และหยิบเอาหูฟังออกจากหู
“อ๋อ อืม เมื่อเช้าตื่นสายน่ะ เลยยังไม่ง่วง แล้ววินล่ะ ไม่นอนแล้วเหรอ”
“ก็เพิ่งหลับไปนิดหน่อยน่ะ ถึงไหนกันแล้วเนี่ย” วินชะเง้อมองออกไปในความมืด ก้มมองดูนาฬิกาพรายน้ำของตัวเอง
“อะไรกัน ห้าทุ่มแล้วเหรอ”
“อืม ตอนนี้ถึงนครสวรรค์แล้วล่ะ วินหลับต่อเหอะ เฮ้อ วางแผนผิดไปหน่อยนะเนี่ย สงสัยเราจะถึงเชียงใหม่กันประมาณตีห้าแน่ๆเลย” ฉันบ่นเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ารถทัวร์จะใช้เวลาประมาณเก้าชั่วโมงจึงจะถึงท่ารถอาเขต ในอำเภอเมืองเชียงใหม่
“อื้ม ไม่เป็นไรหรอก ดีซะอีก เผื่อได้เที่ยวตลาดเชียงใหม่ตอนเช้าไง เอ้อ เค้าเรียกว่าอะไรนะ ต้องเรียกว่า กาดเจียงใหม่ ใจ้ก่อ”
“อื้ม ใช่ๆ เก่งแฮะ หน้าตาออกจะปัตตานีแท้ๆ อู้กำเมืองได้โตยกา” ฉันและวินมองหน้าแล้วก็พากันหัวเราะ
“เออ นี่ แก้ม เพลงนี้ไง เพลงโปรดแก้ม ที่เราแนะนำให้แก้มฟัง เอาไปฟังซะ เผื่อจะนอนหลับฝันดี” อย่าแปลกใจกับสรรพนามที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างฉันกับวินเลย แม้แต่ฉันเอง ในตอนแรกๆก็ยังสับสน เดี๋ยวก็ฉัน-แก เดี๋ยวก็เรา-แก้ม แต่ตอนนี้ฉันก็เลยตามเลย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
“เพลงไรอ่ะ” วินหยิบหูฟังส่งให้ฉัน ฉันเสียบใส่หูของตัวเอง เพียงแค่ขึ้นอินโทร ฉันก็จำได้แล้ว ใช่แล้ว เพลงนี้วินเป็นคนแนะนำให้ฉันฟัง ครั้งแรกที่ได้ฟัง ฉันยอมรับว่าชอบมาก เพลงของ Travis นั่นเอง เพลง slide show แม้ไม่ต้องเข้าใจความหมายของเพลง แต่น้ำเสียงและท่วงทำนอง ที่เมื่อใดก็ตามที่ฉันได้ฟัง ฉันมักจะหลับตา ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไป สัมผัสกับความอ้างว้างที่ส่งผ่านท่วงทำนองของดนตรี

Today is the day
For dancing and for singing
The birds in the trees and all
The bells are ringing
The sun is in the sky
Is bright as bright second light
Is bright oh god I hope I'm alright

Cause I'm gonna cry
Hold on, hold on
Slow down, slow down
You're out of touch
Out of touch
'Cause there is no design for life
There's no devil's haircut in my mind
There is not a wonderwall to climb
To climb or step around
But there is a slide show and it's so slow
Flashing through my mind

Today was the day
But only for the first time…..

.......................................
“แก้มๆ ตื่นเหอะ ใกล้ถึงแล้ว” ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมา บนรถเริ่มเปิดไฟแล้ว พนักงานสาวสวยคนเดิม เดินแจกผ้าเย็น ผู้คนตื่นกันหมดแล้ว บางคนเริ่มลุกหยิบสัมภาระที่วางเหนือศีรษะ บางคนเดินลุกเข้าห้องน้ำ บางคนพับผ้าห่มเก็บ ส่วนฉัน พยักหน้าหงึกๆไปพลาง เก็บเครื่องเล่นซีดีส่งคืนวิน ทัศนียภาพเบื้องนอกยังคงมืดสนิทอยู่
“กี่โมงแล้วเนี่ย วิน”
“ตีห้า ห้านาทีอ่ะ”สักพัก รถก็เริ่มเลี้ยวเข้าไปในสถานีขนส่งของตัวจังหวัด เมื่อรถจอดสนิท ผู้คนต่างทยอยลงจากรถ เมื่อแรกที่ก้าวลงจากรถ ความหนาวเย็นก็เข้าห่มคลุมรอบๆตัวฉันทันที ลมหนาวแห่งเดือนธันวาคมพัดมาแผ่วๆ ฉันเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่บรรจุไว้ข้างรถทัวร์ขึ้นสะพาย พร้อมกับหยิบเอาเสื้อกันหนาวขึ้นมาใส่ เช่นเดียวกับวิน เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นเหล่าคนขับรถแดงรับจ้าง นั่งกระจุกตัวกัน ผิงกองไฟที่ก่อไว้พออังให้ได้ไออุ่น เสียงพูดคุยกันเบาๆ บางคนก็เดินมาถามว่าจะไปไหน ต้องการเหมารถโดยสารหรือไม่ ด้วยท่วงท่าแลสุภาพตามแบบฉบับคนเหนือ ฉันมองซ้ายมองขวาหาทิศทางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสะกิดแขนชวนวินเดินไปยังท่ารถ
“เดี๋ยว ทริปนี้ แก้มเป็นไกด์เองนะ”
..........................................................




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2548 9:34:27 น.
Counter : 262 Pageviews.  

1  2  

สหายสันติ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สหายสันติ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.