Group Blog
 
All Blogs
 
ฝั่งไร้ฝัน (บทที่ 3)

บทที่ 3

รถทัวร์ค่อยๆเคลื่อนตัวฝ่ารถติดแถวจตุจักรออกมาจนเข้าสู่ถนนวิภาวดีแล้ว แต่รถราก็ยังคงติดอยู่ซึ่งนับเป็นสภาพปกติของสังคมเมืองหลวงที่ผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกันนับล้านในตึกอาคารอันโอ่โถงหรือแม้กระทั่งซอกหลืบใต้สะพานลอย แต่กลับไม่ที่อยู่ให้กับหัวใจของตนเอง ไม่มีที่ที่จะโอบกอดความรู้สึกตัวเองให้สงบ คนเมือง(หรือแม้กระทั่งคนที่อพยพเข้าเมืองอย่างฉัน)จึงแลดูคล้ายๆ ว่ายวนอยู่ในความเหงาเดียวดาย
สำหรับฉัน มนุษย์ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวของจักรวาล ที่ดำเนินชีวิตไปภายใต้เจตจำนงค์เสรี เราเลือกที่จะดูแลกันได้ แต่เราก็สมัครใจที่จะละเลยกัน มันน่าเศร้าไม่หยอกเลย
“เออ แก้มผอมไปรึปล่าวอ่ะ เราไม่ได้เจอกันสามเดือนได้แล้วใช่มั้ย” วินส่งถุงขนมให้ฉัน ในขณะที่ถามปากก็เคี้ยวตุ้ยๆไปด้วย
“เหรอ ไม่เห็นรู้สึกเลย สงสัยเป็นเพราะช่วงก่อนออกต้องเคลียร์งานให้เสร็จน่ะ” พนักงานเดินมาแจกผ้าห่มให้ ฉันจึงรีบนำมาคลี่ห่มไว้เพราะอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศในรถค่อนข้างเย็น

“งั้นก็แล้วไป ถ้ามีปัญหาอะไรก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ” ฉันยิ้ม ในความสลัวรางนั้น วินคงไม่ได้สังเกตเห็นสายตาชั่ววิบเดียวของฉันที่มันเป็นประกายลึกล้ำดำมืดเหมือนตกในภวังค์ ไม่ผิดใช่ไหมนะ ถ้าคนอ่อนไหวอย่างฉันจะขอเก็บคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้ามาไว้เป็นกำลังใจของตนเองในยามที่รอนล้า
“จ้า แกก้อรู้หนิ ว่าฉันน่ะเคยมีความลับอะไรกับแกซะที่ไหน” หรือจะมีสักเรื่อง มันจะแปลกอะไร ใช่ไหม วิน


ต่อจากนั้นเราก็คุยกันสัพเพเหระ จนวินเอ่ยปากของีบหลับก่อนเพราะวันนี้เขาใช้สมองมาทั้งวันกับการปั่นต้นฉบับ ก้อวินคนเดียวน่ะ รับหน้าที่เขียนตั้งหลายคอลัมม์ แต่ฉันยังไม่ง่วง ได้แต่นั่งทอดสายตาเหม่อมองออกไปในความมืดนอกรถ ป้ายข้างทางที่แสงไฟของรถสาดไป เขียนไว้ว่าอีก 30 กิโลเมตรจะถึงสระบุรี

แสงจันทร์ที่สาดส่องอยู่เบื้องนอกแลดูซีดเซียว คงเป็นเพราะถูกแสงสีจากแสงไฟใต้แผ่นฟ้ามาเจือจางความกระจ่างชัดของจันทร์ ในสมัยเด็กๆ ฉันเคยหวาดกลัวดวงจันทร์ เพราะไม่ว่าฉันจะเดินไปไหนก็ตาม ฉันมักรู้สึกว่าดวงจันทร์ก็จะตามไปเสมอ ฉันกลัวว่าพ่อกับแม่จะดุเอา ถ้าดวงจันทร์ตามฉันเข้าไปในบ้านด้วย

นึกๆไปก็ขำ ขำในจินตนาการของตัวเองในสมัยเด็ก แล้ว ณ เวลานี้ล่ะ จินตนาการของฉันมันหายไปไหนหมดนะ หรือว่าจะโดนโลกของผู้ใหญ่กลืนกินจนเหือดหายไปสิ้นแล้ว
หันไปมองวินก็เห็นว่ากำลังหลับตาพริ้ม เหมือนเด็กน้อย วินไม่ได้เป็นชายหนุ่มหน้าดี อาจเรียกได้ว่าห่างไกลจากอุดมคติของสาวๆ ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ด้วยความที่เป็นคนผิวเข้ม ตัวเล็กกว่ามาตรฐานชายไทย (ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่ามาตรฐานที่ว่านั้นกำหนดโดยใคร แต่ที่แปลกใจก็คือกระบวนการที่ทำให้มาตรฐานที่ว่าแพร่หลายออกไปเนี่ยสิ ทำได้ยังไง) หากจะเป็นที่สะดุดตาใครต่อใครก็คงจะเป็นดวงตากลมโตที่เปล่งประกายพลังแห่งความมีชีวิตชีวาอยู่เป็นนิจนั่นเอง


ฉันไม่รู้ประวัติของวินมากนักหรอก รู้แต่เพียงว่าเป็นคนที่เรียนเก่งมาก จบจากคณะและมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในประเทศไทย ด้วยคะแนนเกียรตินิยม และเมื่อวินเข้ามาทำงานในบริษัทเดียวกันกับฉันนั้น วินก็ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าเป็นอย่างมากในความเก่ง ฉันเองยังอดทึ่งในความสามารถของวินไม่ได้


แต่ถ้าวัดจากสายตาของคนนอกที่มองอย่างผิวเผิน ก็จะรู้สึกว่าวินเป็นคนสุภาพอ่อนโยน หากทว่าถ้าได้สัมผัสใกล้ชิดกับวินจนถึงตัวตนที่แท้จริงแล้ว จะพบอีกหลายแง่มุมที่น่าทึ่งกว่า วินนับเป็นคนที่ไม่ยอมลงให้กับความไม่ถูกต้อง ถ้าเขาพบเห็นเพื่อนเดือดร้อนเพราะได้รับแรงกดดันอันอยุติธรรมไม่ว่าจากพนักงานในระดับเดียวกันหรือระดับหัวหน้างานก็ตาม เขาก็จะเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จนหลายครั้งทำให้เขาต้องงัดข้อกับเพื่อนร่วมงาน

นอกจากนั้นเขายังเป็นชายหนุ่มที่ขี้ลืมได้อย่างเหลือเชื่อ นับตั้งแต่ของเล็กๆตั้งแต่ซองใส่ซีดี ไปจนถึงลืมเพื่อน ใช่แล้ว เขาเคยลืมฉันไว้ในโรงหนัง ในตอนนั้น เมื่อหนังจบลงก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาวิน พอเจ้าตัวรับก็เกิดอาการคุยติดลม จนเดินเพลินขึ้นรถเมล์ไปเลย ปล่อยให้ฉันยืนงงอยู่เป็นนานสองนาน สักพักเมื่อนึกขึ้นได้จึงโทรกลับมาขอโทษ ซึ่งฉันก็ไม่เคยโกรธวินได้ลงสักที กลับมองว่านี่แหละคือจุดที่ทำให้วินเป็นชายหนุ่มธรรมดา สามารถจับต้องได้ แล้วไปเที่ยวด้วยกันครั้งนี้ วินจะลืมฉันทิ้งไว้ที่เชียงใหม่รึปล่าวนะ ยังสงสัย

ผู้คนส่วนใหญ่ในรถเริ่มทยอยหลับกันไปเกือบหมดแล้ว ในห้วงบรรยากาศที่เงียบงันเช่นนี้ ฉันก็มักจะปล่อยจิตใจให้ดำดิ่งสู่ห้วงอดีต คิดถึงชีวิตที่ดำเนินผ่านความสุขความทุกข์ บ่อยครั้งที่ฉันแอบนึกอิจฉาใครต่อใครที่สามารถยิ้มแย้มอย่างเบิกบานต้อนรับความสุขเข้าสู่อ้อมกอด ในขณะที่เมื่อใดก็ตามที่ความสุขนั้นได้แวะมาทักทายฉันบ้าง ฉันกลับไม่กล้าที่จะครอบครองดูแลไว้ได้อย่างเต็มที่ ฉันกลัวว่าสักวันความสุขนั้นก็จักผ่านพ้นไป

หากแต่ความทุกข์เล่า ฉันกลับยินดีให้เข้ามาพำนักอยู่ในความรู้สึก ผนึกอยู่เป็นกลุ่มก้อนที่คอยบั่นทอนให้แต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ความหมาย ฉันเฝ้าถามหาคุณค่าการมีอยู่ของฉัน ในรายทางที่ฉันเดินผ่านเข็มชีวิตของตัวเองมาจนถึง ณ วันนี้ แม้จะมีผู้คนมากมายที่ให้ความรัก หวังดีต่อฉันมาโดยตลอด แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าฉันเหว่ว้า จะมีอยู่หรือปราศจาก โลกก็คงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

“นอนไม่หลับเหรอ แก้ม” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย พอหันไปหาต้นเสียง ก็เห็นวินกำลังหาว และหยิบเอาหูฟังออกจากหู
“อ๋อ อืม เมื่อเช้าตื่นสายน่ะ เลยยังไม่ง่วง แล้ววินล่ะ ไม่นอนแล้วเหรอ”
“ก็เพิ่งหลับไปนิดหน่อยน่ะ ถึงไหนกันแล้วเนี่ย” วินชะเง้อมองออกไปในความมืด ก้มมองดูนาฬิกาพรายน้ำของตัวเอง
“อะไรกัน ห้าทุ่มแล้วเหรอ”
“อืม ตอนนี้ถึงนครสวรรค์แล้วล่ะ วินหลับต่อเหอะ เฮ้อ วางแผนผิดไปหน่อยนะเนี่ย สงสัยเราจะถึงเชียงใหม่กันประมาณตีห้าแน่ๆเลย” ฉันบ่นเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ารถทัวร์จะใช้เวลาประมาณเก้าชั่วโมงจึงจะถึงท่ารถอาเขต ในอำเภอเมืองเชียงใหม่
“อื้ม ไม่เป็นไรหรอก ดีซะอีก เผื่อได้เที่ยวตลาดเชียงใหม่ตอนเช้าไง เอ้อ เค้าเรียกว่าอะไรนะ ต้องเรียกว่า กาดเจียงใหม่ ใจ้ก่อ”
“อื้ม ใช่ๆ เก่งแฮะ หน้าตาออกจะปัตตานีแท้ๆ อู้กำเมืองได้โตยกา” ฉันและวินมองหน้าแล้วก็พากันหัวเราะ
“เออ นี่ แก้ม เพลงนี้ไง เพลงโปรดแก้ม ที่เราแนะนำให้แก้มฟัง เอาไปฟังซะ เผื่อจะนอนหลับฝันดี” อย่าแปลกใจกับสรรพนามที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างฉันกับวินเลย แม้แต่ฉันเอง ในตอนแรกๆก็ยังสับสน เดี๋ยวก็ฉัน-แก เดี๋ยวก็เรา-แก้ม แต่ตอนนี้ฉันก็เลยตามเลย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
“เพลงไรอ่ะ” วินหยิบหูฟังส่งให้ฉัน ฉันเสียบใส่หูของตัวเอง เพียงแค่ขึ้นอินโทร ฉันก็จำได้แล้ว ใช่แล้ว เพลงนี้วินเป็นคนแนะนำให้ฉันฟัง ครั้งแรกที่ได้ฟัง ฉันยอมรับว่าชอบมาก เพลงของ Travis นั่นเอง เพลง slide show แม้ไม่ต้องเข้าใจความหมายของเพลง แต่น้ำเสียงและท่วงทำนอง ที่เมื่อใดก็ตามที่ฉันได้ฟัง ฉันมักจะหลับตา ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไป สัมผัสกับความอ้างว้างที่ส่งผ่านท่วงทำนองของดนตรี

Today is the day
For dancing and for singing
The birds in the trees and all
The bells are ringing
The sun is in the sky
Is bright as bright second light
Is bright oh god I hope I'm alright

Cause I'm gonna cry
Hold on, hold on
Slow down, slow down
You're out of touch
Out of touch
'Cause there is no design for life
There's no devil's haircut in my mind
There is not a wonderwall to climb
To climb or step around
But there is a slide show and it's so slow
Flashing through my mind

Today was the day
But only for the first time…..

.......................................
“แก้มๆ ตื่นเหอะ ใกล้ถึงแล้ว” ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมา บนรถเริ่มเปิดไฟแล้ว พนักงานสาวสวยคนเดิม เดินแจกผ้าเย็น ผู้คนตื่นกันหมดแล้ว บางคนเริ่มลุกหยิบสัมภาระที่วางเหนือศีรษะ บางคนเดินลุกเข้าห้องน้ำ บางคนพับผ้าห่มเก็บ ส่วนฉัน พยักหน้าหงึกๆไปพลาง เก็บเครื่องเล่นซีดีส่งคืนวิน ทัศนียภาพเบื้องนอกยังคงมืดสนิทอยู่
“กี่โมงแล้วเนี่ย วิน”
“ตีห้า ห้านาทีอ่ะ”สักพัก รถก็เริ่มเลี้ยวเข้าไปในสถานีขนส่งของตัวจังหวัด เมื่อรถจอดสนิท ผู้คนต่างทยอยลงจากรถ เมื่อแรกที่ก้าวลงจากรถ ความหนาวเย็นก็เข้าห่มคลุมรอบๆตัวฉันทันที ลมหนาวแห่งเดือนธันวาคมพัดมาแผ่วๆ ฉันเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่บรรจุไว้ข้างรถทัวร์ขึ้นสะพาย พร้อมกับหยิบเอาเสื้อกันหนาวขึ้นมาใส่ เช่นเดียวกับวิน เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นเหล่าคนขับรถแดงรับจ้าง นั่งกระจุกตัวกัน ผิงกองไฟที่ก่อไว้พออังให้ได้ไออุ่น เสียงพูดคุยกันเบาๆ บางคนก็เดินมาถามว่าจะไปไหน ต้องการเหมารถโดยสารหรือไม่ ด้วยท่วงท่าแลสุภาพตามแบบฉบับคนเหนือ ฉันมองซ้ายมองขวาหาทิศทางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสะกิดแขนชวนวินเดินไปยังท่ารถ
“เดี๋ยว ทริปนี้ แก้มเป็นไกด์เองนะ”
..........................................................



Create Date : 19 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2548 9:34:27 น. 0 comments
Counter : 261 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สหายสันติ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สหายสันติ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.