Group Blog
 
All Blogs
 
ฝั่งไร้ฝัน (บทที่ 2)

บทที่ 2
ชีวิตคนเรามันก็เหมือนกับการเดินทางนั่นแหละ ประโยคนี้ ในชีวิตของฉันนั้น ได้ยินมาเป็นนับสิบครั้งแล้ว ฉันเองก็อยากออกเดินทางเหมือนกัน อยากออกไปพบอะไรใหม่ๆ ได้เจอคนที่ยังไม่รู้จัก มันคงดีกว่าว่ายวนอยู่ในความซ้ำซาก มือที่ป่ายปะไปก็เจอแต่กำแพงอิฐทึบที่ฉันเป็นคนก่อมันขึ้นมาเอง

ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อห้าปีที่แล้วได้ ฉันยังจะเลือกเส้นทางนั้น เลือกที่จะมากลายเป็นฉันคนที่ทนเจ็บกับความชินชาอย่างนี้อยู่ได้ไหมนะ ถ้าเวลาย้อนกลับไปได้จริงๆฉันเองก็ไม่แน่ใจ การมีอดีตที่มีความสุขล้นจนสำลัก แต่แล้วมันก็กลายเป็นเพียงแค่อดีต ที่ละลายหายไปกับละอองของเวลา กลายเป็นปัจจุบันที่ว่างเปล่าและปราศจากอนาคต กับการที่มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่มันดำเนินไปเรื่อยๆนั้น อย่างไหนมันจะมีคุณค่ามากกว่ากัน ฉันไม่รู้จริงๆ นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ร่าเริงหน่อยสิ จะได้ไปเที่ยวกับวินทั้งที

ฉันเก็บข้าวของเรียบร้อย ออกไปโบกรถแท็กซี่เพื่อไปหมอชิต จากหอที่ฉันพักอยู่นั้นนับว่าไม่ไกลจากหมอชิตมากนัก ช่วงเวลาโพล้เพล้เช่นนี้ รถราบนท้องถนนก็ติดเป็นปกติ

ฉันเหม่อมองออกไปนอกรถ เสียงเพลงบนรถแท็กซี่คลอเบาๆ บนโลกใบนี้ อย่าเหมารวมไปถึงองค์รวมขนาดใหญ่อย่างนั้นเลย เอาแค่ในระยะไม่กี่ตารางกิโลเมตรที่เราอยู่ร่วมกัน ไม่น่าเชื่อว่าเราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปอย่างตั้งใจขนาดนี้ ในแววตาของใครต่อใครภายนอกรถแท็กซี่ ล้วนดูแห้งแล้ง ฉันรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน

รถแท็กซี่แล่นเข้าไปจอดยังบริเวณรับส่งผู้โดยสารแล้ว ฉันจ่ายเงินพร้อมกล่าวขอบคุณ แบกเป้ออกมายืนงงอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า ผู้คนหนาตา ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาวิน
“อยู่ไหนแล้วแก ฉันถึงหมอชิตแล้วนะ”เหลือบดูนาฬิกาข้อมือ อีกสิบนาทีหนึ่งทุ่ม
“จ้าๆ รถออกทุ่มครึ่งใช่มั้ย ตอนนี้ฉันซ้อนท้ายพี่วินอยู่น่ะแก อีกซักห้านาทีก้อถึงแล้ว”

“อืม งั้นฉันรออยู่ตรงหน้าเซเว่นตรงทางเข้าสายเหนือเนี่ยแหละ” ฉันดึงสายเป้ให้กระชับแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงร้านสะดวกซื้อ ยืนรออยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงคำพูดของโอ๋ เพื่อนสมัยเรียนและเป็นเพื่อนที่เคยทำงานที่เดียวกับฉันและวิน ซึ่งฉันเพิ่งโทรไปคุยและบอกว่าฉันจะไปเที่ยวกับวินเย็นวันนี้


“ระมัดระวังด้วยนะแก้ม ยังไงแกก้อเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นประเภทอ่อนไหว สะดุดรักกับใครเค้าง่ายๆซะด้วย” โอ๋พูดได้ตรงดีจัง ฉันคิด

ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะประสบการณ์การขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัวในวัยเด็กของฉันหรือเปล่า ที่หล่อหลอมให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงที่ดูผิวเผินแล้วช่างเข้มแข็งดูแลตัวเองได้ แต่ลึกๆ กลับโหยหาใครสักคนมาอยู่ข้างๆ และเมื่อมีใครผ่านเข้ามาหยิบยื่นความรักให้ ฉันก็คว้ามันไว้อย่างกระหาย แต่ไม่เคยเรียนรู้วิธีที่จะรักษามัน ทำให้ทุกความรักต่างเอ่ยปากบอกลาฉันไปด้วยเหตุผลแตกต่างหลากหลาย


“แล้วไอ้วินนี่ก็แปลก ชอบไปไหนมาไหนกับแกอยู่เรื่อยเลย ไม่ได้กิ๊กกันแน่นะ แก้ม” ฉันแทบสำลักน้ำที่กำลังกรอกใส่ปากอยู่ขณะที่คุยกัน

“ไอ้บ้า ไม่หรอก ก้อคนมันคุยกันถูกคอนี่นา แกก้อรู้ว่าฉันนะ ไม่เหลือความรู้สึกแบบนั้นให้กับใครได้อีกแล้ว” ปลายสายเงียบไปสักพักหนึ่ง

“อืม เอาเป็นว่า ฉันเชื่อใจแก ฉันเป็นห่วงน่ะ ไม่อยากเห็นแกเจ็บเป็นครั้งที่ เอ ครั้งที่เท่าไหร่แล้วหว่า 7 ได้มั้ง ฮะฮะ”

“เซี้ยวจริงๆเลย เออ ฉันจะไปแล้วล่ะ แล้วจะเขียนโปสการ์ดมาหานะ บาย”

ฉันยังยืนรออยู่ที่เดิม สักพักก็เห็นวินวิ่งกระหืดกระหอบมา ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงเหมือนเดิม แม้จะไม่ได้เจอกันมาราวสามเดือนแล้ว “โทษที กินไรมายัง เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ไปหาไรกินรองท้องก่อนมั้ย”
“อื้ม เอาสิ” ฉันยิ้ม วันนี้วินยังคงใส่เสื้อยืด กางเกงยาวกรอมเท้าเหมือนเดิม ฉันชอบแซววินอยู่บ่อยๆ เด็กแนว อายุปาเข้าไปยี่สิบสี่แล้วนะ ยังแนวไม่เลิก

เราเดินคู่กันไป วันนี้ฉันเองก็แต่งตัวสบายๆเช่นกัน เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ ฉันไม่เคยแต่งหน้า จะอย่างมากที่สุดก็แค่ทาลิปมันกันปากแห้งในตอนหน้าหนาว สมัยเรียน เพื่อนๆพยายามยุให้ฉันแต่งหน้าบ้าง ผู้หญิงเราน่ะ มันต้องมีบ้าง เพื่อนฉันมักบอกอย่างนั้น แต่ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบ

ชายหนุ่มบางคนในอดีตเคยขอร้องให้ฉันแต่งหน้าแต่งตัวบ้าง โดยเอาฉันไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ แล้วบอกว่าฉันจืดเกินไป นั่นจึงทำให้ฉันบอกเลิก ถ้าเขาไม่สามารถยอมรับหรือนับถือในความเป็นตัวตนของฉันได้เขาก็ต้องไปตามหาคนใหม่ข้างหน้า

เมื่อกินข้าวซื้อขนมตุนเสร็จ เราก็มาขึ้นรถทัวร์ที่ชานชาลา มีคนนั่งรออยู่บนรถบ้างแล้ว ฉันดูตั๋วแล้วเดินไปนั่งที่ ฉันเลือกนั่งริมหน้าต่าง

“แก้ม แล้วเราจะไปไหนกันเนี่ย คิดโปรแกรมไรไว้รึยัง” วินควักเอาเครื่องเล่นซีดีออกมาพร้อมจะเสียบหู เอาอีกแล้ว ชอบมีโลกส่วนตัวเรื่อยเลยเชียว ผู้ชายคนนี้แหละ ที่ฉันรู้สึกว่ามีพื้นที่ส่วนตัวที่ฉันและใครๆก็เข้าไม่ถึง


“อืม ก้ออยากไปดอยอ่างขางน่ะ เห็นโอ๋มันเคยไปมา บอกว่าบรรยากาศดี แล้วก็ไปนอนในตัวเมืองเชียงใหม่ซักสองคืนมั้ย แกต้องรีบกลับรึปล่าว”

“ไม่หรอก แล้วแต่แกแหละ ดีเหมือนกัน จะได้ปลดปล่อยบ้าง ช่วงนี้งานที่ออฟฟิศยุ่งมากเลยแหละ เดือนหน้าว่าจะจัดเทศกาลหนังกัน ฉันเองก็ต้องวิ่งรอกหาสปอนเซอร์ เออ ถ้าได้บัตรแล้วจะเอามาให้ ฉันเสนอหนังดีให้เอามาฉายเพียบเลย”

“อืม ขอบใจนะ” รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา พนักงานสาวสวยกำลังเอ่ยต้อนรับ เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นบริการบนฟ้าหรือบนดินต่างก็มีพนักงานต้อนรับเสียงหวานบริการ จนกลายเป็นการแข่งขันกันไป พนักงานเริ่มแจกน้ำแจกขนม

“ดีแล้ว ที่แก้มลาออกได้ ยอมทนให้เจ้านายโหดนั่นกดขี่อยู่ได้เป็นนานสองนาน” ฉันหัวเราะ

“ก็ดีแล้วไงวิน จะว่าไปนะ การได้เริ่มต้นทำงานที่นั่น ถึงแม้จะแค่ปีครึ่ง มันก็ทำให้แก้มเข้มแข็งนะ “

“จริงอ่ะ ฉันเห็นแกร้องไห้อาทิตย์ละสามวันได้” ฉันหัวเราะไม่ออก....

จริงอยู่ที่การทนอยู่ในบริษัทนั้นมันทำให้ฉันกลายเป็นคนต่อมน้ำตาร้าวง่าย แต่สาเหตุหลักมันไม่ได้เกิดจากการที่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของเจ้านายที่โหดซะจนเป็นที่ร่ำลือในบริษัทหรอก ฉันเพียงแค่พบกับความผิดหวังและความผกผันครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต



Create Date : 19 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2548 9:33:28 น. 0 comments
Counter : 279 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สหายสันติ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สหายสันติ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.