Group Blog
 
All Blogs
 
ฝั่งไร้ฝัน (บทที่ 4)

บทที่ 4
ขณะเดินไปที่ท่ารถก็เห็นวินท่าทางงัวเงียอยู่ ฉันยิ้มขำๆ นึกขึ้นได้ว่าอันที่จริงน่าจะได้จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะอย่างไรเสีย เราสองคนต่างก็ไม่ได้รีบเร่งอะไรกับการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้
“วิน แก้มว่าเราไปล้างหน้าแปรงฟันกันก่อนดีกว่ามั้ย จะได้สดชื่นขึ้น”
“อืม ก้อดีเหมือนกัน อยากเข้าห้องน้ำอยู่พอดีเลย”

ฉันจึงเดินนำหน้าวินเข้าไปยังอาคารที่พักของผู้โดยสาร ปลดเป้วางลงบนเก้าอี้ เปิดเป้หยิบเอาชุดแปรงฟันออกมา พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็ก
“วิน ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนละกัน เดี๋ยวแก้มเฝ้าของเอง”
“แก้มไปก่อนก้อได้”
“น่า ไปเหอะ ไปก่อนไปหลังก้อเหมือนกันแหละจ้า” วินจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ หยิบเอาชุดแปรงฟันของตัวเอง เดินเข้าห้องน้ำไป

ฉันเหลียวมองไปรอบๆตัว ผู้คนยังบางตา แสงไฟในอาคารค่อนข้างสว่าง ทำให้รู้สึกปลอดภัย รออยู่สักพักหนึ่ง วินก็เดินกลับออกมาด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส
“น้ำเย็นดี” ฉันยิ้มรับ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดแจงทำธุระของตัวเองบ้าง

เมื่อเสร็จธุระส่วนตัว ฉันจึงชวนวินไปหาของกินรองท้อง

ฉันเดินฝ่าความหนาวเข้าไปหากลุ่มคนที่นั่งผิงกองไฟ ลมหนาวยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ พัดโชยเอากรุ่นกลิ่นควันอ่อนๆ ของใบไม้ใบหญ้าแห้งตามแต่จะเก็บหาได้จากบริเวณนั้น หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น หันมาเห็นฉันและวิน จึงกุลีกุจอลุกเดินมาสอบถามว่าเรากำลังจะไปไหนกัน

“ไปกาดต้นพยอมค่ะ” ฉันบอกจุดหมายปลายทาง ด้วยจำได้ว่าที่กาดต้นพยอมซึ่งอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นมีร้านโจ๊กที่ขึ้นชื่ออยู่ ในบรรยากาศหนาวๆ เช่นนี้แล้ว ได้กินอะไรร้อนๆในตอนเช้า น่าจะทำให้กระชุ่มกระชวยได้บ้าง

คนขับรถโดยสารซึ่งน่าจะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว ส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ พร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ไปยังรถของเขา
ฉันเดินนำหน้าวินเข้าไปในรถสองแถว ปลดเป้ที่หลังลงวางข้างๆกาย วินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสอดส่ายสายตาไปซ้ายทีขวาที อย่างตื่นตาตื่นใจ

“เป็นอะไรไป วิน ตื่นเมืองเหรอ” ฉันเย้าอย่างขำ ๆ บางเวลาฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่ฉันกำลังพาเด็กน้อยมาทัศนศึกษาอยู่รึปล่าวนะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า วินจะน่ารำคาญแต่อย่างใด

ตรงกันข้ามกิริยาท่าทางที่ดูสนอกสนใจต่อสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอนั้น มันช่วยกระตุ้นเตือนให้ฉันได้คิดอยู่เสมอว่า ที่จริงแล้ว ฉันเองก็ยังอยู่ในวัยรุ่น วัยที่สดใส วัยที่เปี่ยมพลังสร้างสรรค์ เหมือนพกแบตเตอรี่เคลื่อนที่เลยแฮะเรา
“ก้อนะ ไม่เคยมานี่นา ไม่รู้ว่านี่มันกี่องศาเนอะ แต่อากาศดีมากเลยอ่ะ หนาวใช้ได้เลย เนี่ยถ้าได้ผ้าห่มอุ่นๆไว้ซุกอ่ะนะ เยี่ยมเลย” ฉันยิ้ม ฉันเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับวิน บรรยากาศรอบๆ เย็นสบาย ร้านค้าบ้านเรือนต่างๆปิดเงียบ
ก็นั่นสินะ เพิ่งจะตีห้ากว่าๆเอง ใครจะอยากเปิดเปลือกตา สลัดผ้าห่มที่อบอุ่นออกมานั่งทนหนาวเช่นเราสองคนอย่างนี้
ฉันชอบฤดูหนาวก็ตรงนี้แหละ มันทำให้เราโหยหาความอบอุ่น มันทำให้เรารู้ว่า ต่อให้เราเข้มแข็งสักแค่ไหน แต่ในจังหวะที่ชีวิตต้องพานพบกับความหนาวเหน็บ ใช่หรือไม่ว่าเราเองต่างก็เรียกร้องต้องการผ้าห่มสักผืนหรืออ้อมกอดของใครสักคนที่จะให้หัวใจอันอ่อนแอได้อิงแอบ กอบเก็บเอาความอบอุ่นเข้าเติมเต็มความรู้สึกเพื่อที่จะสามารถต่อกรกับความเหน็บหนาวร้าวรานได้อีกคราครั้ง
รถโดยสารเริ่มออกสตาร์ท และค่อยๆวิ่งลัดเลาะไปตามถนนแคบๆพอให้รถสวนกันได้เพียงคันเดียว ยิ่งรถทวีความเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ ทั้งฉันและวินต่างก็พากันกอดกระชับให้เสื้อหนาวนั้นปกปิดร่างกายให้มิดชิดมากที่สุด
“วู้วววววววววว ใช้ได้เลยแก้ม ฉันชอบว่ะ อยู่กรุงเทพไม่ได้เจออะไรอย่างนี้เลย”
“อื้ม อยากเก็บใส่กระเป๋าเก็บไปกรุงเทพด้วยจังเลยอ่ะ” ฉันกับวินต้องอาศัยวิธีการตะโกนคุยกัน ใบหน้านั้นเรียกได้ว่าเริ่มชาแล้วด้วยแรงลมหนาวที่เข้ามาปะทะใบหน้า
“แล้วเราจะไปไหนนะ กาดต้นพยอมเหรอ มีไรอ่ะ แก้ม”
“อ๋อ มีร้านโจ๊กน่ะ เช้าๆอย่างนี้ อยากกินอะไรร้อนๆ”
“อื้ม เยี่ยม” ฉันและวินหันไปมองสองข้างทาง รถวิ่งผ่านบริเวณที่เป็นตลาดสด พ่อค้าแม่ขายที่ตื่นแต่เช้าเริ่มจัดร้านรวง คนเข็นรถขนผัก เดินกันขวักไขว่อยู่สองข้างทาง แล้วรถก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงบริเวณที่กาดต้นพยอม เราเดินลงจากรถจ่ายเงินค่ารถ แล้วออกเดินไปตามทางฟุธบาท
เดินไปได้สักยี่สิบเมตร ก็สังเกตเห็นร้านขายโจ๊ก มีผู้คนนั่งกินอยู่สองสามโต๊ะ เจ้าของร้านเรียกเชื้อเชิญลูกค้าเข้าร้านด้วยวาจาสุภาพอ่อนหวาน กลิ่นหอมและไออุ่นๆของโจ๊กลอยเข้ามาปะทะจมูก เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี ฉันกับวินไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ด้านนอกสุดของร้าน เราสั่งโจ๊กกันคนละชาม พร้อมกับน้ำเปล่า

สักพักไม่เกินห้านาที โจ๊กร้อนๆสองชามก็ถูกนำมาวางอยู่ตรงหน้า เราทั้งสองคนจึงลงมือจัดการ วินท่าทางจะหิวจัด สั่งต่ออีกชาม ส่วนฉันนั้น ปกติก็ไม่ค่อยได้กินข้าวเช้า แค่ชามเดียวก็พออยู่ท้องแล้ว เมื่อสสารในชามโจ๊กแปรสภาพและย้ายเข้ามาบรรจุในกระเพาะของเราเรียบร้อยแล้ว เราจึงเรียกคิดเงิน และเดินออกมาสังเกตการณ์ว่าจะไปอย่างไรต่อที่บริเวณหน้าร้าน

บรรยากาศในขณะนั้นเป็นเวลาใกล้รุ่งสางแล้ว ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเริ่มเรื่อเรืองเป็นแสงสีแดง การจราจรในถนนพอเรียกได้ว่าคับคั่งบ้างแล้ว ห่างออกไปทางซ้ายมือประมาณห้าสิบเมตร พ่อแก่แม่เฒ่าประมาณสองสามคนนั่งประนมมือจบข้าวถวายใส่บาตรให้กับพระสงฆ์ เป็นภาพที่ฉันไม่ได้เห็นมานานมากพอดู

“แล้วยังไงต่อล่ะ แก้ม” วินยืนลูบท้องของตัวเอง สีหน้าบ่งบอกว่าอิ่มเต็มที่
“อืมมมมมม ข้ามถนนไปฝั่งโน้น ขึ้นรถไปท่ารถช้างเผือก ป่ะ ไปกันเหอะ” เราทั้งสองเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เรียกรถโดยสารสีแดงที่หาได้ง่ายมากในตัวเมืองเชียงใหม่ บอกจุดหมายปลายทาง แล้วกระโดดขึ้นหลังรถ

เสียงรถราเริ่มขวักไขว่แล้ว เมืองหลวงแห่งที่สองของไทยตื่นจากการหลับไหลแล้ว บนท้องถนนเริ่มได้ยินเสียงเร่งเครื่องยนต์ เสียงบีบแตรกันอยู่ขวักไขว่

เอาเข้าจริงๆแล้ว เมืองเชียงใหม่ ดินแดนในฝันของใครต่อใครก็ไม่ต่างอะไรกับกรุงเทพ
ม่านฟ้าของเมืองล้านนาแห่งนี้แลดูอบอวลไปด้วยควันรถ บางครั้งการคาดหวังอะไรมากเกินไป ก็รังแต่จะทำให้เกิดอาการขมขื่น ฉันหวังจะให้บรรยากาศที่นี่ช่วยประโลมให้ฉันได้ลืมเรื่องราวอันเลวร้ายให้คลายลงได้บ้าง แต่ที่มันเป็นไปก็คือขึ้นชื่อว่าเมืองแล้ว ที่ไหนก็คงไม่ต่างกัน รออีกสักสามชั่วโมงน่ะ ถ้าออกนอกเมืองแล้ว อากาศคงจะดีกว่านี้

“เกือบเจ็ดโมงแล้ว” ฉันบอกวิน รถวิ่งผ่านประตูสวนดอก ลัดเลาะไปตามถนนหนทางที่สองข้างทางยังเป็นบ้านเรือนที่ได้รับการผสมผสานศิลปะล้านนาดั้งเดิมกับสถาปัตยกรรมตะวันตก ต้นไม้ใบหญ้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแลดกเขียวครึ้ม ร่มรื่นเต็มริมทาง

รถใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีก็วิ่งมาถึงท่ารถช้างเผือก ภายในบริเวณท่ารถ มีอาคารเปิดโล่งอยู่ตรงกลาง รอบๆอาคารมีรถหลากประเภท หลากจุดหมายจอดอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นรถพัดลมสีแดง บางคันบรรจุผู้โดยสารเกือบเต็มคันแล้ว เสียงลูกเด็กเล็กแดงหัวเราะกัน เสียงพนักงานรถตะโกนเรียกผู้โดยสารกันขวักไขว่

ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ท่ารถเชียงใหม่-ไชยปราการ เห็นว่ามีรถจอดรอรับคนอยู่จึงเบียดตัวเองขึ้นไปทางประตูหลัง คนบนรถนั้นมีไม่เยอะนัก ต่างกระจัดกระจายนั่งกันอยู่ บ้างนั่งคนเดียว บ้างนั่งกันเป็นคู่ ฉันกับวินเลือกนั่งตรงฝั่งด้านซ้ายมือของคนขับ ถัดจากประตูหลังขึ้นมาสักสองแถว “จะได้ไม่ร้อนไง” ฉันบอกวิน เราพูดคุยกันสักพักหนึ่งคนขับจึงเดินขึ้นรถมานั่งประจำตำแหน่ง แล้วเริ่มเคลื่อนรถออกไปจากท่า

ประมาณห้านาที พนักงานเก็บเงินค่าโดยสารจึงเริ่มทยอยเดินเก็บเงิน เมื่อจ่ายเงินเสร็จสรรพ ก็เป็นจังหวะที่รถเริ่มเลี้ยวออกจากเมืองและบ่ายหน้าเข้ายังเส้นทางหลักแล้ว

“อิจฉาคนที่อยู่ที่นี่ เนอะ ว่างั้นมั้ยแก้ม ฉันอ่ะนะ เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้ามีบ้านอยู่ที่นี่ก้อคงจะเวิร์คมากเลยแหละ” วินชวนคุย ฉันละสายตาจากทิวทัศน์ข้างทางที่มีบ้านของผู้คนเรียงราย แดดในยามเช้าเริ่มแผดรังสีแรงกล้าขึ้น ม่านหมอกที่ลอยตัวเอื่อยๆคลี่คลุมภาพในคลองจักษุให้สลัวรางเมื่อยามน้ำค้างซาช่วงเช้าตรู่นั้น ได้ระเหยหายไปแล้ว
“อืม มันก็ดีอยู่หรอก แต่สงสัยว่าเราคงจะคิดเหมือนกันหมดน่ะ ดูสิ ผู้คนอพยพเข้ามาอยู่เชียงใหม่กันเยอะเลย แก้มมีเพื่อนอยู่มอชอคนนึงนะ ตอนที่มันสอบติดใหม่ๆอ่ะ มันดีใจมากเลย บอกว่าจะได้หนีความโกลาหลของกรุงเทพ แต่สักพักแหละ มันก้อเล่าให้ฟังว่าวิถีชีวิตของมันที่เป็นอยู่ ก็ไม่ได้ต่างจากตอนอยู่กรุงเทพซักเท่าไหร่หรอก มันบอกว่า บางวันก็ร้อนตับแตกเลย”

รถยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้บนรถหอบเอาลมเย็นผิวจากภายนอกเข้ามาเป็นระลอก ฉันกับวินนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยสักครู่หนึ่ง วินจึงขอยืมหนังสือฉันไปปลีกตัวนั่งอยู่ที่เบาะอีกฝั่ง

ฉันจึงทิ้งสายตาออกไปนอกรถอย่างคนไม่มีอะไรทำ นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ ที่ได้มาเที่ยวเชียงใหม่ น่าจะเป็นครั้งที่หกในรอบห้าปีแล้ว ทุกครั้งที่มา ความทรงจำที่ติดตัวกลับไปก็ไม่เคยเหมือนเดิม คงเป็นเพราะฉันมาในช่วงต่างวาระ ต่างโอกาส ต่างคนร่วมทาง

ครั้งนี้ ฉันก็รู้สึกดี ที่ได้มากับวิน ใช่ ทั้งๆที่ฉันมากับวิน ฉันกลับคิดถึงชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง คนที่ฉันเองไม่อาจนับเขาว่าเป็นอดีตได้เลย เพราะไม่ว่า ณ เวลาใด เขาคนนั้นก็ยังอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอมา ตกผลึกเป็นตะกอนแห่งความเจ็บปวดที่แทรกตัวอยู่ในทุกอณูของความรู้สึก คนที่ทำให้ฉันได้พานพบกับความสุขที่สุด และความทุกข์ที่สุดด้วยเช่นกัน.....

....................................................
เมื่อสี่ปีที่แล้ว ฉันยังเป็นเพียงนิสิตในมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ใช้ชีวิตอันแสนธรรมดารอบกายรายล้อมไปด้วยเพื่อนฝูง และรักการทำงานชมรมเป็นชีวิตจิตใจ
ฉันเริ่มเข้าชมรมตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมสอง เพราะเหตุบังเอิญโดยแท้ วันนั้นฉันไปตามเพื่อนเพื่อให้ไปเรียนวอลเล่ย์บอล เพื่อนจึงชักชวนแนะนำให้ฉันได้รู้จักพี่ๆ ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็กลายเป็นขาประจำของชมรมไปโดยปริยาย
แต่ฉันเข้าทำงานชมรมอย่างเต็มตัวเมื่อตอนปีสองเทอมสอง ทุกๆวันเมื่อเว้นว่างจากชั่วโมงเรียนหรือหลังเลิกเรียน ฉันก็จะใช้เวลาอยู่ที่ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องเบาๆ เรื่องเครียดๆ พี่ๆบางคนที่มีฝีมือทางกีต้าร์ก็จะดีดไป คนที่ถนัดร้องเพลงก็ร้องไป บางครั้งก็แซวรุ่นน้องที่เดินผ่านชมรม บางครั้งที่ฉันมีปัญหา พี่ๆทุกคนก็จะเป็นห่วงเป็นใยคอยดูแลจนฉันดีขึ้นมา ฉันจึงรักและผูกพันกับที่นี่เป็นอย่างมาก
ทุกสัปดาห์เราจะมีการประชุมกัน บางครั้งก็เตรียมจัดนิทรรศการ บางครั้งก็จะจัดทำค่ายเยาวชนหรือค่ายอนุรักษ์ รวมไปถึงการต้องเป็นตัวแทนของชมรมไปปฏิสัมพันธ์จัดกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกันกับชมรมอนุรักษ์ของมหาวิทยาลัยอื่นๆ

และเมื่อขึ้นปีสาม ฉันได้รับเลือกเป็นตัวแทนของชมรมให้รับหน้าที่ประสานงานกับชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติของมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกนับสิบมหาวิทยาลัย ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันได้เจอกับเดียว

เดียวเป็นตัวแทนของชมรมที่มหาวิทยาลัยของเขาเช่นกัน ในครั้งแรกที่เราพบกันนั้น ฉันไม่ได้สนอกสนใจอะไรเดียวมากมาย เพราะความที่เดียวเป็นผู้ชายที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ล้วนไม่น่าสนใจ ชื่อจริงคงชื่อเดียวดาย ฉันยังเคยแอบคิดเล่นๆ



Create Date : 19 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2548 9:35:41 น. 0 comments
Counter : 298 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สหายสันติ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สหายสันติ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.