Group Blog
 
All Blogs
 
ฝั่งไร้ฝัน (บทที่ 1)

บทที่ 1
เช้าวันนี้ ฉันตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้อาศัยเสียงนาฬิกาปลุกอย่างเช่นทุกๆวัน แสงแดดที่สาดทอดเข้ามานั่นเองที่ปลุกให้ฉันลืมตาตื่น ฉันสะลึมสะลืออยู่ครู่หนึ่งด้วยความไม่คุ้นชิน เพราะทุกวันที่ผ่านมา เมื่อลืมตาตื่น ฉันก็ต้องกุลีกุจออาบน้ำ แต่งตัว ต่อรถเมล์ออกไปที่ถนนใหญ่อีกประมาณห้านาทีเพื่อรอรถรับส่งของบริษัทตั้งแต่หกโมงเช้า แต่วันนี้ฉันไม่ต้องรีบแล้ว เพราะหน้าที่ในบริษัทของฉันเพิ่งสิ้นสุดเป็นวันสุดท้ายเมื่อวาน ฉันยิ้มให้กับตัวเอง
“เป็นวันที่เธอรอมานานแล้วนี่ สมใจซักที” ฉันนอนเล่นอ้อยอิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัว ส่องกระจกเพื่อสำรวจตัวเอง วันนี้ฉันสามารถยิ้มให้กับกระจกได้แล้ว หลังผ่านความทุกข์ทรมาน หลังมองกระจกผ่านม่านน้ำตาของตัวเองมาเนิ่นนาน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันถามตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน ว่าฉันคิดอย่างไรถึงจมตัวเองเอาไว้กับบริษัทที่พรากเอาความแจ่มใส และปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่ในความสิ้นหวังมานานนับปี แต่ ณ เวลานี้มันก็ไม่สลักสำคัญอะไรแล้ว
ฉันเดินลงจากห้องพัก ออกมายืนรอรถเมล์ ใกล้สิบโมงเช้าแล้ว ไปหาหนังสืออ่านสักเล่ม หรือหาหนังดูสักเรื่องดีกว่า ในตอนแรกฉันคิดที่จะหยิบโทรศัพท์โทรชวนเพื่อนสักคน แต่ก็คิดได้ว่าตอนนี้คงไม่มีใครเป็นคนว่างงานเหมือนกับฉัน จึงเปลี่ยนใจ
การได้อยู่กับตัวเองเพียงคนเดียวมันก็สมกับเป็นฉันอยู่แล้วนี่ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ฉันก็จะถูกเพื่อนๆให้นิยามเสมอว่าเป็นคนที่เก็บตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัว วันๆอ่านแต่หนังสือที่ไม่ว่าเพื่อนคนไหนหยิบขึ้นมาดูก็ต่างพากันบ่นกระปอดกระแปดว่าฉันอ่านอะไรที่เข้าใจยาก ฉันก็ได้แต่ยิ้มขำๆ
ฉันไม่ได้เป็นคนแปลกแยกหรือพยายามตีตัวออกห่างจากใครๆอย่างที่เพื่อนๆสงสัยหรอกนะ เพียงแต่ฉันค้นพบโลกอีกใบหนึ่งที่ช่วยปลดปล่อยให้ฉันได้ลืมเวลาอันแสนเจ็บปวด “แกจะขมขื่นกับชีวิตอะไรกันนักกันหนา” มีอยู่บ่อยครั้งที่เพื่อนๆมักตั้งคำถามอย่างนี้กับฉัน ไม่รู้สิ ฉันเองก็ตอบไม่ได้ เพียงแต่บางขณะ ฉันก็รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างเลื่อนลอย และไร้ร้างซึ่งความฝันหรือมีความฝันแต่ไม่สามารถดำเนินชีวิตเพื่อรับใช้มันได้ มันช่างเจ็บปวด

บางครั้งฉันรู้สึกว่าโลกนี้ก็ช่างโหดร้ายนัก ฉันถูกโบยตีให้แปลบปลาบกับทุกๆการเริ่มต้น กับทุกๆความฝันที่ฉันมี บ่อยครั้งที่มันพังทลายและไม่เป็นไปอย่างใจ ในดวงตาของฉันเมื่อส่องกระจก บางครั้งฉันก็ไม่กล้าแม้กระทั่งจะสบตาตัวเอง กลัวที่จะต้องเผชิญกับความวูบไหว และปล่อยให้ความร้าวรื้นนั้นครอบงำ อะไรที่ทำให้ฉันเป็นเช่นนี้น่ะหรือ นั่นสินะ อะไร
รถเมล์พาฉันมาถึงป้ายที่ต้องการลง เผลอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว ไม่เอาน่า อุตส่าห์เป็นวันแรกแห่งอิสรภาพทั้งที ในขณะที่เดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าและกำลังใช้ความคิดว่าจะกินอะไรดี อยู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบออกมาจากกระเป๋าและเห็นชื่อของคนที่โทรมาเท่านั้น ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกดีดขึ้นสู่ที่สูง เบาโหวงแต่หนักอึ้งระคนกันก็ถาโถมเข้ามา
“เฮ้ย เป็นไง ลาออกแล้วนี่หว่า ไอ้แก้ม” เสียงที่ถูกส่งผ่านมายังเครื่องอิเล็กโทรนิคที่มากระซิบข้างๆหู ทำให้ฉันอดอมยิ้มไม่ได้
“อืม แล้วแกล่ะ พ่อบ.ก.ใหญ่ ทำไรอยู่” ฉันหลบไปหามุมที่เงียบเสียงคุยกับวิน เพื่อนที่เคยทำงานอยู่บริษัทที่ฉันเพิ่งออกมาเช่นกัน วินเป็นอีกคนหนึ่งที่ฉันนับถือในแง่ของการใช้ชีวิต เขาเข้าทำงานในบริษัทนั้นก่อนหน้าฉันเพียงหนึ่งเดือน และทำงานอยู่ที่นั่น เพียงแค่หกเดือนก็ลาออกมาเดินตามความฝันของตัวเอง ในช่วงห้าเดือนที่เราได้เจอกันได้ทำงานร่วมกัน วินได้ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงอะไรๆในตัวเองหลายอย่าง ทุกครั้งที่คุยกับวิน ฉันสบายใจ วินแนะนำให้ฉันได้รู้จักโลกแห่งศิลปะอีกแขนงหนึ่ง นอกจากโลกของหนังสือที่ฉันมอบตัวเองเป็นสาวกมานาน วินเป็นคนชอบดูหนัง ฟังเพลง วินมักจะแนะนำเพลงใหม่ๆ หนังดีๆให้ฉันได้ลองสัมผัสอยู่เสมอ มีอยู่บ่อยครั้งช่วงหลังเลิกงานที่เรามักไปหาอะไรนั่งกิน และคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่พอถึงเรื่องเพลงหรือหนังทีไร ในแววตาของวินที่ฉันสัมผัสได้มันดูเปี่ยมไปด้วยพลัง วินเคยบอกฉันว่า สักวันวินจะต้องได้เข้าไปสัมผัสกับโลกแห่งภาพยนตร์ได้มากกว่านี้ ประกายแจ่มใสและสายตาที่ทอดมองไปไกลนั้นทำให้ฉันอิจฉาลึกๆ ใช่ เราต่างไม่ผิดที่จะมีความฝัน และย่อมเป็นการกล้าหาญมากที่จะออกกางปีกโบยบินเพื่อไปเก็บเกี่ยวเอาความฝันนั้นไว้
เมื่อกลับมามองดูตัวเอง ฉันกลับรู้สึกสะท้อนใจ ฉันเลิกฝันไปนานแล้วเพราะบางจังหวะของชีวิต มันมีอะไรหลายๆอย่างที่บั่นทอนและฉุดคร่ามันไป ถ้าเปรียบเทียบกับวิน ฉันคงเป็นได้แค่นกบาดเจ็บที่เก็บซุกความใฝ่ฝันของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะลองบินออกไปค้นหาอะไรใหม่ๆ และในวันหนึ่ง วินก็ได้เดินเข้ามาบอกฉันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม รอยยิ้มที่กลืนโลกทั้งโลกเอาไว้ด้วยความที่มันช่างสดใส เป็นรอยยิ้มที่ฉันชอบเสียจริงๆ วินได้งานใหม่ มีเพื่อนที่รู้จักกันเสนองานเป็นคนในกองบรรณาธิการนิตยสารที่เกี่ยวกับภาพยนตร์แนวอาร์ต วินตอบตกลงอย่างไม่ลังเล และไม่นึกถึงด้วยซ้ำว่าเงินค่าตอบแทนของงานใหม่นั้น มันเป็นเพียงครึ่งเดียวที่รับอยู่ ในวันนั้น ฉันเอ่ยอะไรไปไม่ได้มากกว่าคำว่า ยินดีด้วยนะ วิน ความรู้สึกที่มันวูบวาบและเหมือนกับถูกบีบเค้นจนหายใจแทบไม่ออกในวันนั้นมันคืออะไรกันนะ
“บอกงบอกอใหญ่อะไร้ แกก็ว่าเข้า” ฉันนึกถึงสีหน้าของวินออก ฉันยิ้มกับตัวเอง
“ว่าแต่แกเหอะแก้ม จะเอาไงกับชีวิตต่อไป” ฉันตื้นตันจัง วินยังเหมือนเดิม เป็นห่วงเป็นใย ไม่เฉพาะกับฉันเท่านั้น กับเพื่อนๆทุกคน วินก็ใส่ใจอย่างนี้เสมอ
“ไม่รู้สิ ฉันยังไม่ได้คิดอ่ะ อาจจะไปเที่ยวที่ไหนซักที่สองที่ก่อน ให้สมองมันหายตึงๆกว่านี้แล้วค่อยว่ากันใหม่”
“เออ แล้วคิดยังว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ไปเที่ยวเหนือสิ หนาวแล้ว บรรยากาศดีออก”
“แกไปกะฉันมั้ยล่ะ ไปคนเดียว เหงาแย่” ฉันลองหยั่งเชิงวินดู
“ได้ๆ เอาสิ วันนี้ฉันปิดต้นฉบับเสร็จพอดี แกอยากไปเมื่อไหร่ล่ะ”
“ไปคืนนี้เลยมั้ย ไปเจอกันที่หมอชิต เดี๋ยวฉันไปซื้อตั๋วเลย” ฉันสึกเบิกบานเป็นที่สุด ฉันเองก็อยากเจอวินเช่นกัน มีหลายๆเรื่องที่อยากบอกเล่า อยากปรึกษา
“อืม โอเค ไอ้โรคคิดอะไรทำเดี๋ยวนั้นของแกเนี่ย แก้ไม่หายจริงๆเล้ย ไอ้แก้ม ไว้เดี๋ยวเจอกันซักทุ่มนึงที่หมอชิตนะ บาย” ฉันรับคำ ว่าแต่ฉันเหอะ วินเองก็เป็นเหมือนกัน นิสัยเฮไหนเฮกัน ชวนไปไหนก็ไปของวินกับฉันมันมีส่วนทำให้เราคบกันง่าย เหมือนเป็นเคมีที่ลงตัว จนทำให้เพื่อนร่วมงานหลายๆคนคิดว่าเราสองคนคบกันอยู่รึปล่าว แต่ฉันก็ไม่ใส่ใจอะไร ขอแค่วินยังรู้สึกว่าฉันเป็นคนที่สามารถพูดคุยปรึกษาเฮฮาพาเที่ยวได้ แค่นี้ฉันก็รู้สึกดีเป็นที่สุดแล้ว ฉันเดินไปหาร้านอาหารกิน เสียงคนจอแจในห้างเย็นฉ่ำนั้น ถ้าเป็นวันอื่นๆ ฉันคงรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ แต่ในตอนนี้ ฉันกลับมองว่ามันก็ฟังดูรื่นหูดีเหมือนกัน หลังจากกินอาหารเสร็จ ฉันก็ไปเดินเลือกหาหนังสือในร้าน ผู้คนค่อนข้างบางตา อาจเพราะเป็นวันธรรมดา ฉันมองไปรอบๆร้านอันมีขนาดใหญ่ ฉันเคยคิดเหมือนกันว่าสักวันอยากจะเปิดร้านหนังสือเล็กๆจะได้นั่งอ่านหนังสือได้ทั้งวัน นั่นไง หนังสือเล่มใหม่ของมูราคามิ ชื่อล้ำเหมือนเคย sputnik sweetheart ฉันชอบอ่านงานเขียนของอาจารย์แจ๊ซชาวญี่ปุ่นคนนี้ ความเหงา แปลกแยกลึกล้ำ จนหลายๆครั้งที่ฉันอ่าน ฉันมักจะใส่ตัวเองเข้าไปในโลกของจินตนาการนั้นด้วย ฉันชอบความเหงา มันทำให้ฉันได้ลองตรวจทานตัวเองว่า ทฤษฎีที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวนั้น มันจริงไหม(ซึ่งในข้อนี้ฉันเองก็ยอมรับอยู่บ่อยครั้งว่ามันจริง ถึงแม้ฉันจะซุกซ่อนตัวเองไว้ในถ้ำได้ แต่ชั่วไม่นาน ฉันก็ต้องออกมามองหาเพื่อน หรือใครสักคนมารับฟังฉันระบายความเศร้าที่มันครอบงำฉันอยู่) ในวันนี้ก็เช่นกัน ฉันจะออกจากถ้ำไปแชร์ประสบการณ์ร่วมกันกับชายหนุ่มนักฝัน ชายหนุ่มคนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า โลกไม่ได้โหดร้ายกับชีวิตของฉันจนเกินไปนักเพราะยังมีแก่ใจพาให้ฉันได้มาพบเจอคนดีๆอย่างวิน หยิบหนังสือมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แล้วก็รีบออกมาที่ป้ายรถเมล์อีกครั้งเพื่อไปจองตั๋วที่หมอชิต ดูสิ แม้แต่ท้องฟ้าเบื้องนอกก็ยังแจ่มใสออกขนาดนี้ ชีวิตมันไม่ได้มีแต่แง่มุมที่เลวร้ายทุกวันหรอก มันขึ้นอยู่กับว่า เรามองมันด้วยความรู้สึกแบบไหนต่างหาก...




Create Date : 19 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2548 9:32:29 น. 0 comments
Counter : 231 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สหายสันติ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สหายสันติ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.